ความคิดเห็นที่ 1 และเรา จะสังเกตได้ว่า ผู้ที่อ้างว่า การขว้างด้วยก้อนหินจนตาย เป็นการต่อเติมศาสนานั้น ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า การลงโทษแบบนี้ขัดกับกุรอ่านตรงไหน? มิหนำซ้ำ ยังไม่มีอะไรมาโต้แย้งได้ด้วยว่า การลงโทษชนิดนี้ ผิดหลักศาสนาอิสลามอย่างไร ถ้าการลงโทษชนิดนี้จะขัดกับสิ่งใดแล้ว มันก็ขัด กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ ของพวกที่มีรักการทำผิดประเวณี หรืออยากจะทำผิดประเวณีอยู่แล้ว เท่านั้นเอง ไม่มีเหตุผลที่มีสาระอื่นใดไปมากกว่านี้ ในความเป็นจริงแล้วถ้าบอกว่าการลงโทษด้วยการขว้าง ด้วยก้อนหินจนตายเป็นการต่อเติมศาสนาด้วยเหตุผลที่ว่า การลงโทษชนิดนี้ไม่มีอยู่ในกุรอ่านล่ะ การละหมาด5 เวลา การ อะซาน การอิกกอมะห์ หรือศาสนกิจอื่นๆ ก็ต้องเป็นการต่อเติมศาสนาสำหรับคนพวกนี้ด้วย เพราะการละหมาด 5 เวลา นั้น ไม่มีการลงรายละเอียด ว่ามี 5 เวลา ต่อวัน ในกุรอ่านครับ ไม่มีการบอกว่า มีการอะซานในแต่ละเวลาด้วย ถ้าการลงโทษด้วยการขว้างจนตาย เป็นการต่อเติมศาสนา การละหมาด 5 เวลาก็ต้องต่อเติมศาสนาด้วยไม่ใช่หรือ? ลองดูในกระทู้เหล่านี้ได้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/05/Y9268319/Y9268319.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8924179/Y8924179.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8898871/Y8898871.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7896299/Y7896299.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/07/Y8054683/Y8054683.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7858640/Y7858640.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7794379/Y7794379.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7806659/Y7806659.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/06/Y7977963/Y7977963.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8607066/Y8607066.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8606149/Y8606149.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/10/Y8451016/Y8451016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8657211/Y8657211.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8813031/Y8813031.html ซึ่งใครที่มักอ้างแต่กุรอ่านแล้วปฏิเสธฮะดีษรวมทั้งการลงโทษด้วยก้อนหิน ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ละหมาด จำนวน 5 เวลา ระบุไว้ตายตัวที่โองการใด หรือทั้งเล่ม บ่งบอกเราอย่างไรว่า จะละหมาด 5 เวลา ไม่ใช่ 6-7-8-9-10-11 เวลา ดังนั้นพวกที่อ้างว่าการลงโทษชนิดนี้ไม่มีในกุ รอ่าน และบอกว่าถ้าใครใช้กฎหมายนี้ ถือว่าต่อเติมศาสนาจนถึงขั้น ชิริก หรือตั้งภาคีกับพระเจ้านั้น ตัวมันเองนั่นแหละ ที่กำลังต่อเติมศาสนา โดยที่ไม่มีกุรอ่านรับรอง เพราะอะไร เพราะคนพวกนี้ อ้างครับว่า การละหมาด 5 เวลานั้น ตามบรรพบุรุษ? น่าสมเพชแค่ไหน นี่แสดงว่า มันเอาบรรพบุรุษ ของมันเป็นพระเจ้าใช่ไหม? พระเจ้าไม่ได้บอกเลยว่า ให้ละหมาดตามบรรพบุรุษ หรือให้ปฏิบัติศาสนกิจตามบรรพบุรุษ กุรอ่านไม่ได้รับรองการอ้างประเภทนี้ แถมยังบอกด้วยซ้ำว่า 5:104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? อีกทั้งการอ้าง บรรพบุรุษ ก็เป็นการอ้างที่อับจนปัญญาอย่างยิ่ง เพราะ ไม่มีที่มาที่ไป ใครก็อ้างได้ ใครจะต่อเติมเอาเมื่อไหร่ก็ได้ สามารถอ้างบรรพบุรุษเพื่อต่อเติมศาสนาได้ตลอดเวลา ถ้าใครอ้างผิด ก็ตรวจสอบไม่ได้อีกว่า ใครกันแน่ที่ผิด หรือโกหก เพราะไม่มีการบันทึก เป็นลายลักษณ์อักษร นี่เป็นจึงเป็นการเผยให้เห็นสันดาน หรือสัญชาติของพวกที่ปฏิเสธการลงโทษด้วยก้อนหินได้เป็นอย่างดีว่า มันมั่วแค่ไหน ตรรกะที่อ้าง ก็ขัดกับที่ตัวเองเคยอ้างในอีกเรื่อง มันอ้างว่า การลงโทษด้วยการหิน ผิด เพราะไม่มีในกุรอ่าน แต่มันดันละหมาด 5 เวลา ทั้งๆที่ ละหมาด 5 เวลา ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ในกุรอ่านเลย มันน่าประหลาดใจไหม ที่กล้าอ้างบรรพบุรุษตัวเอง โดยกุรอ่านไม่รองรับ แต่ดันปฏิเสธการรายงานของซอฮาบะห์ ที่ได้รับการรับรองเกียรติแล้ว เพื่อไม่ให้ยาวเกินไปผมแนะนำลิงค์นี้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/12/Y8675502/Y8675502.html รายละเอียดเกี่ยวกับฮะดีษนะครับ เกี่ยวกับการบันทึกฮะดีษ การคัดกรอง และความเข้มงวดของฮะดีษ และกระทู้นี้ เป็นการนำเอาหลักการของฮะดีษ ลบล้างหลักการจอมปลอมเกี่ยวกับการอ้างบรรพบุรุษของพวกปฏิเสธฮะดีษ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/01/Y8813031/Y8813031.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/01/Y8812437/Y8812437.html ดังนั้นแล้ว ใครที่บอกว่า การขว้างด้วยหินจนตายเป็นการต่อเติมศาสนา มันก็ต้องบอกว่าการละหมาด 5 เวลาเป็นการต่อเติมศาสนาด้วย ไม่เช่นนั้น มันก็คือ “ไอ้คนโกหก” เพราะ การละหมาด 5 เวลา มีรายละเอียดระบุในฮะดีษครับ จะละหมาดไม่ได้เลย ถ้าอาศัยเฉพาะกุรอ่าน แต่ปฏิเสธซุนนะห์ของท่านนบี ซึ่งมีบันทึกในฮะดีษ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 19:49:16 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:46:00

ความคิดเห็นที่ 2 ฮะดีษที่ว่า มีผู้พบเห็นลิงได้ทำซินา แล้วมีการขว้างด้วยก้อนหิน ซึ่งฮะดีษนี้ เป็นสิ่งที่ ชีอะห์ได้โจมตีฮะดีษบุคอรีย์ เพื่อลดความน่าเชื่อถือ และ คนต่างศาสนาก็เอามาโจมตีมุสลิม แล้ว login บิดเบือนอิสลามก็คงจะไปลอกเขามาตามเคย แล้วก็คงไม่รู้จักพิจารณาว่าฮะดีษนี้เป็นอย่างไร อีกเหมือนเดิม ซึ่ง ผู้รู้เขาก็อธิบายกันไว้แ้้ล้วล่ะครับดังนี้ อันที่จริงแล้วหะดีษต้น นี้แม้จะเป็นหะดีษที่ถูกบันทึกอยู่ในบุคอรีอันเป็น ตำราที่มีระบบการสืบสายรายงานบุคคลผู้รายงานหะดีษอย่างเข้มงวดถูกต้องก็ตาม แต่ มิได้หมายความว่าทุกๆหะดีษในตำราเล่มนี้จะสืบรายงานไปยังท่านรอซูลหรือพูดใน อีกแง่หนึ่งอาจจะมีบางรายงานที่ไม่ใช่หะดีษของท่านรอซูลหากแต่เป็นเพียง ทัศนะหรือคำพูดของใครบางคนเท่านั้น ซึ่งทัศนะหรือคำ พูดของใครบางคนเหล่านี้จะไม่ใช่หลักฐานหรือสิ่งวายิบให้เราต้องเชื่อเสมือน กับคำพูดและการกระทำของท่านรอซูล ศ็อลฯ กรณีหะดีษเรื่องลิงนี้ก็เช่นกันหากท่านดูระบบการไล่สายรายงานให้ดีๆดังนี้ البخاري- مناقب الأنصار- 3849 – حَدَّثَنَا نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ حَدَّثَنَا هُشَيْمٌ عَنْ حُصَيْنٍ عَنْ عَمْرِو بْنِ مَيْمُونٍ قَالَ رَأَيْتُ فِى الْجَاهِلِيَّةِ قِرْدَةً اجْتَمَعَ عَلَيْهَا قِرَدَةٌ قَدْ زَنَتْ ، فَرَجَمُوهَا فَرَجَمْتُهَا مَعَهُمْ . تحفة 10790 ، 19178 ท่าน นุอัยม์ บิน ฮัมมาด เล่าแก่เราว่า ท่านฮุชัยม์ รับรายงานมาจาก ท่านฮุศ็อยน์ รับรายงานมาจาก ท่านอัมร์ บิน มัยมูน ท่านกล่าวว่า ในสมัยญาฮิลียะฮ์ฉันได้เห็นลิงตัวหนึ่ง ได้ถูกลิงตัวหนึ่งร่วมเพศซึ่งแน่นอนว่ามันทำซินา ดังนั้นพวกมันได้ขว้างลิงตัวนั้น แล้วฉันก็ได้ขว้างกับพวกมันด้วย เรา จะเห็นได้ว่ามันเป็นการไล่สายรายงานที่ไปจบอยู่แค่ที่ท่านอัมรฺ บินมัยมูน แต่มิใช่เป็นการไล่สายรายงานที่ไปจบยังท่านนบีหรือบรรดาซอฮาบะฮฺไม่!!! ดังกรณีเรื่องลิงทำซินานี้จึงมิใช่คำพูด คำสอนของท่านรอซูลและการกระทำของซอฮาบะฮฺส่วนใหญ่ไม่ เพราะฉะนั้น เรื่องดังกล่าวนี้จึงมิใช่หลักคำสอนของฝ่ายซุนนะฮฺ เพราะมิใช่รายงานที่พาดพิงไปยังท่านนบี แต่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ท่านมัยมูนไปประสบพบเห็นมาเองตามความเข้าใจของ ท่าน!!! ท่านอิบนุหะญัร อุลามาอ์นามอุโฆษผู้ทำการอธิบายหะดีษบุคอรีได้กล่าวว่า هذه الرواية ـ كما هو ظاهر ـ ليست من كلام النبي صلى الله عليه وسلم ، ولا كلام أحد من أصحابه رضي الله عنهم รายงานเหล่านี้ตามที่ได้ปรากฏไปนั้นมิได้เป็นสิ่ง ที่มาจาก คำพูดของท่านรอซูล ศ็อลฯ และมิใช่คำพูดของศอฮาบะฮฺ รอฎิฯท่านหนึ่งท่านใดเลย (หนังสือ ตะฮฺซีบุตตะฮฺซีบ เล่ม 8 หน้า 11) ท่าน อิบนุกุตัยบะฮฺได้กล่าวไว้ ว่า إن حديث القرود ليس عن رسول الله صلى الله عليه وسلم ، ولا عن أصحابه ، وإنما هو شيء ذكر عن عمرو بن ميمون แท้ จริงหะดีษเรื่องลิงนี้ไม่ใช่ส่วน หนึ่งจากสิ่งที่มาจากท่านรอซูล ศ็อลฯ และไม่ใช่จากบรรดาซอฮาบะฮฺ แต่แท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่เป็นเพียงคำกล่าวจากท่านอัมรฺ บินมัยมูน เท่านั้น (หนังสือ ตะอฺวีลมุคตะลิฟุลหะดีษ หน้าที่ 255) เรื่อง นี้จึงไม่ใช่เหตุผลในการที่มุสลิมลงโทษด้วยการขว้างจนตายนะครับ ปล.จะ สังเกตได้ว่า มุสลิมจะไม่ถอดตัวอักษร ว่า อมัรฺ หรือ อะัมัด แต่จะเรียกว่า อัมร์ ผมเ็ห็นหลายทีแล้วล่ะ ที่เทียบเสียงมั่วๆ แสดงว่าแทบไม่ได้ศึกษาอิสลามจริงๆ เลย ได้แต่ไปลอกเว็บเขามาแล้วก็ถอดตัวอักษรไปตามมีตามเกิด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:46:52

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อมาเรื่องการที่ไม่ได้อ่านหรือ ไม่ได้บันทึกโองการที่เกี่ยวกับการขว้างนั้น ไม่ใช่การละเลยต่อหน้าที่ของท่านนบีแต่อย่างใด ถ้าอ้างเช่นนั้นก็ ให้ดูกุรอ่านนะครับเพราะกุรอ่านได้บันทึกไว้แล้วว่า กุรอานนั้นเป็น วจนะของอัลเลาะห์ ...   การยกเลิก หรือ เพิ่มเติมโองการใด ๆ  ล้วนเป็นสิทธิ์เฉพาะอัลเลาะห์ เท่านั้น หลัก การยกเลิกโองการ ( นัสค์) ในกุรอานนั้น กุรอานได้กล่าวไว้ว่า โองการ ใดที่เรายก เลิกหรือเราทำให้มันลืมเลือนไปนั้น เราจะนำสิ่งที่ดีกว่าโองการนั้นมา หรือสิ่งที่เท่าเทียมกับโองการนั้น ( กุรอาน 2 :106 ) “และเมื่อเรา ได้ เปลี่ยนโองการหนึ่งแทนอีกโองการหนึ่ง และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมา..” (กุรอาน 16 :101 ) โองการที่ถูกยกเลิก เรียกว่า  “มันซูค”  ส่วนโองการที่มายกเลิกหรือ ทดแทน  เรียกว่า “นาซิค”  ทั้ง 2 คำมาจากรากศัพท์ในภาษาอาหรับว่า  “นะซะเคาะ” ที่แปลว่า  ลบล้าง  เพิกถอน  ทดแทน ข้อ 2.3 หลักการยกเลิกโองการ ( นัสค์) ในกุรอาน มีอย่างไรบ้าง การยกเลิกดองการในกุรอาน มี 3 รูปแบบ รูปแบบ ที่ 1 –การยกเลิกการอ่านโองการ พร้อม การบังคับใช้ทางกฎหมาย   ตัวอย่าง เช่น โองการที่วะฮีย์ลงมาว่า  “ การดื่มนมจากอกแม่ โดยมีเงื่อนไขว่า ดื่ม 10 ครั้ง ทำให้การแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ... แต่ต่อมาโองการนี้ ก็ถูกยกเลิก และถูกกทดแทนด้วยเงื่อนไขใหม่ เป็น 5 ครั้ง เป็นต้น รูป แบบที่ 2 –การยกเลิกการอ่านโองการ แต่  การบังคับใช้ทางกฎหมาย ยังคงมีอยู่ ตัวอย่าง เช่น  โองการที่กำหนดโทษการขว้างด้วยหิน สำหรับการผิดประเวณีของผู้แต่งงานแล้ว  การยกเลิกการอ่านดังกล่าว  แต่ยังคงมีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ทำให้เงื่อนไข ถูกกำหนดโดย ซุนนะห์ แทน ( หะดิษ มุสลิม 3.4198 , บุคอรี 8.816 ) รูปแบบที่ 3 –การยกเลิกการบังคับใช้ทางกฎหมาย  แต่ ยังคงให้มีการอ่านโองการนั้นอยู่ ตัวอย่าง เช่น  กุรอาน 33 : 50 และ กุรอาน 33 : 52  ซึ่งถูกยกเลิกการบังคับใช้ทางกฎหมาย  และให้ใช้การบังคับใช้ทางกฎหมาย ตาม กุรอาน 4:3 แทน ... แต่ก็ยังคง ไม่ได้ยกเลิกการอ่าน (จากบทความของ ท่าน kheedes) ท่าน kheedes ก็ได้ อธิบายไว้แล้วนะครับว่า เป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺไม่ใช่เรื่องของการละเลยหน้าที่แต่อย่างใด และ ที่สำคัญ ไม่มีกุรอ่านโองการใดยกเลิก การลงโทษ ด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนตายด้วยครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:47:49

ความคิดเห็นที่ 4 มาถึงเรื่องหลักฐานหรือสิ่งที่สนับสนุนการลงโทษด้วย การขว้างด้วยก้อนหินกันก่อนนะครับ ซึ่งมีดังนี้ มีรายงานจาก อะบุฮุรอยเราะห์  ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านรอซู้ล ขณะอยู่ในมัสยิด  และกล่าว่า “ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลเลาะห์ แท้จริงฉันได้ทำซินา “ .... ท่านรอซู้ล ได้ยินเช่นนั้นก็ผินหลังให้    เขาก็ยังเรียกซ้ำแบบเดิมอีก 4 ครั้ง และ ยืนยันว่าเขาได้ทำซินาจริง พร้อมมีพยาน 4 คน .... ท่านรอซู้ล จึงไปหาเขา แล้วถามว่า “ ท่านบ้าไปแล้วหรือ ? “   ชายผู้นั้นตอบว่า “เปล่า”   ...ท่านรอซู้ล จึงถามอีกว่า “ ท่านผ่านการแต่งงานมาหรือยัง “   .... เขาตอบว่า “เคยแล้ว”  ท่านรอซู้ล จึงกล่าว่า  “จงเอาเขาออกไป และพวกท่านจงขว้างเขาด้วยก้อนหินจนกว่าจะตาย” มีรายงานจาก อะบุฮุรอยเราะห์ เช่นกัน   ได้เคยรายงานว่า ท่านนบีได้ใช้ให้คนของท่าน (คือ ท่านอะนีส  อัลอัสละมี)  ไปสอบถามหญิงคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่า ทำผิดประเวณี  โดยกล่าว่า  “ โอ้อะนิส เอ๋ย  พรุ่งนี้เจ้าจงไปหาผู้หญิงคนนั้น (แล้วสอบถามนาง)  หากนางยอมรับ  เจ้าก็จงขว้างด้วยก้อนหินจนตาย” .... เมื่อได้มีการสอบถาม และหญิงคนนั้นให้การยอมรับ  การลงโทษจึงได้เกิดขึ้น อีกกรณีนึง  มีรายงานจาก อิบนุอับบาส เล่าว่า “ แท้จริงชายคนหนึ่ง จากตระกูล บักร์ อิบนุ ลัยษ์  ได้มาหาท่านนบี ฯ  และได้ยอมรับผิดต่อหน้าท่านนบีว่า เขาได้ทำซินากับหญิงคนหนึ่งถึง 4 ครั้ง ด้วยกัน  ท่านนบีจึงได้เฆี่ยนเขา 100 ที ... ต่อมาท่านนบีได้ถามเขาถึงหลักฐานการยืนยันการทำความผิดของชายคนนี้ กับหญิงที่เขาพาดพิง  แต่หญิงนั้นปฏิเสธ และกล่าวว่า ชายคนนี้โกหก  ท่านนบีฯ จึงได้เฆี่ยนชายคนนี้อีก 80 ที ในข้อหา ใส่ร้ายเรื่องการผิดประเวณี” ข้อพิจารณาหะดิษ ดังกล่าวก็คือ  ท่านนบีได้ทำการลงโทษทันที  เมื่อมีการยอมรับผิด ... ส่วนการโบย 80 ที ในตอนหลังนั้น  ไม่ได้ไปยกเลิกความผิดของเขาในการยอมรับผิด ตอนแรก ... แต่เป็น กรณีความผิดที่เขาใส่ร้ายพาดพิง บุคคลอื่น ( คือ หญิงอีกคน )  โดยที่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้  ( ซึ่งก็คือ พยาน 4 คน ) (จาก บทความของท่าน kheedes) นี่คือตัวอย่างหนึ่งนะครับ และไม่ใช่ตัวอย่างเดียว ด้วย การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจึงไม่ได้มาจากลิงแต่อย่างใด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:48:35

ความคิดเห็นที่ 5 ที่สำคัญ มันน่าประหลาดใจไหมล่ะครับ ที่บอกว่า การขว้างด้วยก้อนหินเป็นประเพณีอาหรับ ไม่ควรทำตาม แต่การละหมาด 5 เวลา ดันอ้างบรรพบุรุษ แล้วทำไมไม่บอกบ้่างว่า นี่เป็นประเพณีอาหรับ ถือศีลอดด้วย ฮัจญ์ด้วย??????????? เห็นชัดๆ ครับว่า ตรรกะพวกปฏิเสธฮะดีษมันมั่วแค่ไหน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:50:29

ความคิดเห็นที่ 6 เสียใจด้วยกับถ้อยคำนี้ที่ท่าน Carroth พิมพ์มาครับ "แต่ก็ยังมี login หน้าด้าน ไร้สมองบางตัว พยายามบิดเบือนอิสลาม" จากคุณ : Chinra12 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 21:05:26

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็เสียใจครับ ที่มันเกิดขึ้นแ้ล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่กุรอ่านบอกไว้แบบนี้ 4:164. และมีบรรดาร่อซูล ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว(*1*) และมีบรรดาร่อซูลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขาและอัลลอฮฺได้ตรัส แก่มูซาจริงๆ 004.164 YUSUFALI: Of some messengers We have already told thee the story; of others We have not;- and to Moses Allah spoke direct;- PICKTHAL: And messengers We have mentioned unto thee before and messengers We have not mentioned unto thee; and Allah spake directly unto Moses; SHAKIR: And (We sent) messengers We have mentioned to you before and messengers we have not mentioned to you; and to Musa, Allah addressed His Word, speaking (to him): وَكَلَّمَ اللهُ مُوْسَى تَكْلِيْمًا อัล ลอฮฺทรงเคยตรัสกับท่านนบีมูซาโดยตรง login หน้าด้านไร้สมองตัวนั้นมันดันโกหกว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 21:36:58

ความคิดเห็นที่ 8 ดูถ้ามีคน ควบคุมตัวเองไม่อยู่ซะแล้ว ^^   คืนนี้เปลี่ยนแผนเป็นนั่งจิบชา ดูคนดิ้นดีกว่า จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 22:31:54

ความคิดเห็นที่ 9 แตกประเด็นให้ ซะหน่อย จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 13:24:59

ความคิดเห็นที่ 10 แตกประเด็นให้ ซะหน่อย จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 13:25:00

ความคิดเห็นที่ 11 สั้นๆ ครับ ว่า ถ้าเป็นมุสลิม ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แบบอย่างของท่านนบีครับ อัล ลอฮฺตรัสว่า وَمَن لَّمْ يَحْكُم بِمَا أَنزَلَ اللّهُ فَأُوْلَـئِكَ هُمُ الْكَافِرُونَ “ ...และผู้ใดที่ มิได้ ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้วชนเหล่านั้นแหละคือผู้ปฏิเสธ การศรัทธา” (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 44) وَمَن لَّمْ يَحْكُم بِمَا أنزَلَ اللّهُ فَأُوْلَـئِكَ هُمُ الظَّالِمُونَ “...และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้วชนเหล่า นั้นแหละคือผู้อธรรม” (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 45) وَمَن لَّمْ يَحْكُم بِمَا أَنزَلَ اللّهُ فَأُوْلَـئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ “ ...และ ผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้วชนเหล่านั้นแหละ คือผู้ที่ละเมิด” (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 47) وَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّنِ افْتَرَى عَلَى اللّهِ كَذِباً أُوْلَـئِكَ يُعْرَضُونَ عَلَى رَبِّهِمْ وَيَقُولُ الأَشْهَادُ هَـؤُلاء الَّذِينَ كَذَبُواْ عَلَى رَبِّهِمْ أَلاَ لَعْنَةُ اللّهِ عَلَى الظَّالِمِينَ “ ...และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่ง ไปกว่าผู้ที่อุปโลกสน์ความเท็จ ต่ออัลลอฮฺ ชนเหล่านั้นจะถูกนำมาเสนอต่อพระเจ้าของพวกเขา และบรรดาพยานจะกล่าวว่า พวกเหล่านั้นคือบรรดาผู้กล่าวเท็จต่อพระเจ้าของพวกเขา พึงรู้เถิดการสาปแช่งของอัลลอฮฺ จะตกแก่บรรดาผู้อธรรม"(ฮูด 5 : 18) และ "ดัง ที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน"  (กุรอาน 2:151) 2 : 32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธ 3 : 53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลาย ด้วยเถิด 3 : 132. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา 4 : 13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้อง ล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอัน ยิ่งใหญ่ 4 : 14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา) 4 : 59. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย  แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล  หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป  ที่สวยยิ่ง 4 : 61. และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  และยังร่อซูลเถิด  เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง ๆ 4 : 64. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติ ของอัลลอฮฺเท่านั้น และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง ได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ 4 : 80. ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่ 5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น 5 : 104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่ร่อซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ? 8 : 20. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่” 8 : 46. “และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จำทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” 24 : 52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮ์และยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ 24 : 54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล  หากพวกเขาผินหลังให้  แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย  และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน  และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลร่อซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง 24 : 56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา 33 : 36. ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา  และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง 47 : 33. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ.และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซูลคนนี้เถิดและอย่า ทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ 49 : 14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน  และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ 64 : 12. และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัรร่อซูล หากพวกเจ้าผินหลังกลับ (ไม่เชื่อฟัง) ดังนั้นหน้าที่ของร่อซูลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง ถ้าคิดว่า ผมอ้างกุรอ่านผิด ก็บอกมาได้ครับ อย่ามาพูดลอยๆ ว่า ยกมาสนองอารมณ์ตัวเองแต่บอกไม่ได้ว่าผิดอย่างไร เพราะมันเป็นเพียงแค่้คำพูดพล่อยๆ เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 53 17:22:29 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 17:22:18

ความคิดเห็นที่ 12 6:116. และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอาเอง และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น   อิสลาม ไม่ใช่ศาสนาแห่งการนึกคิดเอาเองครับ กุรอ่านบอกว่า ท่านนบีไม่ได้สอนกุรอ่านอย่างเดียว แต่ยังสอนการปฏิบัติอื่นๆ และกุรอ่านก็สั่งหลายครั้งแล้วว่า ให้ตามนบี และทางเดียวที่ตามนบีได้อย่างถูกต้อง ในเรื่องข้อปฏิบัติดังกล่าวคือฮะดีษครับ ไม่ใช่ยึดเอาบรรพบุรุษ หรือนึกคิดเอาเอง เลือกเอาว่าจะปฏิเสธคำสั่งกุรอ่านโดยยึดเอาความคิดตัวเองที่มีแต่อารมณ์ฝ่ายต่ำ หรือจะทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 17:29:34