ความคิดเห็นที่ 1 ๑.ทาน ๒.ศีล ๓. ภาวนา ๔.อปจายนะ (การประพฤติอ่อนน้อม) ๕.เวยยาวัจจะ (การขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น)  ๖. ปัตติทานะ (การอุทิศส่วนบุญ) ๗.ปัตตานุโมทนา (การอนุโมทนายินดีกับความดีของผู้อื่น) ๘.ธัมมัสสวนะ (การฟังธรรม) ๙. ธัมมเทสนา (การแสดงธรรม) ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม (การทำความเห็นให้ถูกต้องเหมาะสม) ชาวพุทธที่ชอบทำบุญ ได้ยินได้ฟังพระสวดอนุโมนทนา และให้พร กันอยู่บ่อย ๆ คือ พร ๗ ประการ ในบทว่า “อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก” วันนี้จะมาทำความเข้าใจเรื่องความหมาย และที่มาของพรทั้ง ๗ ประการกันค่ะ จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:42:08

ความคิดเห็นที่ 2 พรที่ ๑ อายุวัฑฒะโก แปลว่า...ขอให้เจริญด้วยอายุ คือ อย่ามีอายุสั้นพลันตาย ให้มีอายุ ยืน...ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีอายุยืน? ในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสตอบปัญหาของสุภมาณพบุตรของโตเทยพราหมณ์ข้อหนึ่งว่าคนที่จะมีอายุยืนได้นั้นเกี่ยวข้องกับกรรมปาณาติบาตของตน เช่น เคยฆ่าสัตว์อื่นหรือไม่ ถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์อื่นมามาก ในปัจจุบันชาติ กรรมก็อาจมาบันดาลตัดรอนให้อายุสั้นพลันตาย เป็นต้น จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:45:46

ความคิดเห็นที่ 3 พรที่ ๒ ธะนะวัฑฒะโก... เจริญด้วยทรัพย์ ทุกคนปรารถนาต้องการมีชีวิตดีๆ ด้วยกันไม่มีใครที่จะปรารถนาอยากจะลำบาก ไหว้พระกราบพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งใด ก็มักจะอธิษฐานปรารถนาแต่สิ่งที่ต้องการ หลักธรรม ควรแก่การดำเนินชีวิตเพื่อให้เจริญด้วยทรัพย์ คือ ๑. ขยันหมั่นเพียร ๒. รักษาดี ๓. มีกัลยาณมิตร ๔. เลี้ยงชีวิตเหมาะสม ขยันหานั้น คือ ขยันทำมาหากิน บางคนขยันกิน ไม่ขยันหาก็เลยเกิดปัญหา หามาได้แล้วต้องรู้จักรักษา นอกจากรักษาดีแล้วก็ต้องรู้จักใช้รู้จักขวนขวายสร้างบุญสร้างกุศล มีกัลยาณมิตร (มีเพื่อน) ที่ดี คือว่า เป็นผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม รู้จักควรแก่ความเหมาะสมแก่ฐานะของตน ก็จะทำให้เป็นผู้เจริญทรัพย์ จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:50:39

ความคิดเห็นที่ 4 พรที่ ๓ สิริวัฑฒะโก แปลว่า... เจริญด้วยสิริมงคล ทำอย่างไร จึงเจริญด้วยมงคล? ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่า "สิริมงคล" ก่อน ซึ่ง แปลว่า สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น งอกงามขึ้น เหมือนต้นไม้ได้ปุ๋ย คนที่มีสิริวัฑฒะโก ต้องเป็นคนที่คิดดี พูดดี ทำดี คนคิดดี พูดดี ทำดีเป็นสิริมงคลแก่ตนถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี สิริมงคลก็หาได้ยาก มีแต่อัปมงคล เมื่อสิริมงคลของตนเกิดแล้วก็จะเป็นที่รักใคร่ของบุคคลอื่นผู้พบเห็น จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:56:55

ความคิดเห็นที่ 5 พรที่ ๔ ยะสะวัฑฒะโก แปลว่า... ให้เจริญด้วยยศ ยศก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทุกคนปรารถนาไม่ว่าจะ รับราชการหรือไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ก็มีความปรารถนากันโดยส่วนมากเพราะคำว่า ยศ แปลว่า "ยิ่ง" แปลว่า "ใหญ่" ยศนั้นมีอยู่สองฝ่าย คือ ฝ่ายดี และชั่ว ยศฝ่ายดีมี สาม ๑. อิสสริยยศ ความเป็นใหญ่ยิ่ง ต้องเป็นการพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ ๒. เกียรติยศ เกียรติยศนี้สังคมเป็นผู้มอบให้ เกิดจากความดีที่เราได้ทำ เกิดจากประโยชน์ ที่เราได้สร้าง ๓. บริวารยศ อันนี้ผู้น้อยให้ มีมิตรมีบริวารมาก “บริวารมาเพราะน้ำใจมี บริวารหนีเพราะน้ำใจลด บริวารหมดเพราะน้ำใจแห้ง” มีอิสริยยศ ย่อมจะชนะอุปสรรค, มีเกียรติยศย่อมชนะภัย, มีบริวารยศ ย่อมชนะงาน จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:00:39

ความคิดเห็นที่ 6 พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงเหตุของยศไว้ว่า คนจะมียศได้ต้องมีคุณธรรมสำคัญ ๗ ประการ คือ ๑.อุฏฐานะวะโต คือเป็นผู้แข็งขันขยันในการงาน ๒. สะตีมะโต ทำงานด้วยความระมัดระวังคือเป็นผู้มีสติ ๓. สุจิกัมมัสสะ เป็นผู้มีการงานบริสุทธิ์สะอาด จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:02:49

ความคิดเห็นที่ 7 ๔.นิสัมมะการิโน ใคร่ครวญตรวจสอบก่อนแล้วจึงทำ ๕. สัญญะตัสสะ จะ เป็นผู้มีปกติสำรวม จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:05:06

ความคิดเห็นที่ 8 ๖. ธัมมะชีวิโน ประพฤติตนตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมโดยปรกติ ๗ .อัปปะมัตตัสสะ เป็นผู้ไม่ประมาท จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:07:06

ความคิดเห็นที่ 9 ยะโสภิวัฑฒะติ นี่แหละ ยศจะเจริญยิ่ง !!!!! จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:11:21

ความคิดเห็นที่ 10 พรที่ ๕ พะละวัฑฒะโกแปลว่า... ให้เจริญด้วยพละกำลัง ทุกคนปรารถนาให้ตนมีกำลังกาย และกำลังใจที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไรก็ตามเมื่อคราวอายุมากขึ้นความไม่เที่ยงของสังขาร (อนิจจัง)ก็เกิดขึ้น จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เป็นสภาพธรรมโดยแน่แท้ จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:13:59

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 21:16:51 จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:16:16

ความคิดเห็นที่ 12 พรที่ ๖ วัณณะวัฑฒะโก... ให้เจริญด้วยวรรณะ คำว่า “วรรณะ” หมายเอาผิวพรรณก็ใช่ คำกล่าวสรรเสริญก็ด้วย จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:19:44

ความคิดเห็นที่ 13 พรที่ ๗ สุขะวัฑฒะโก แปลว่า... ให้เจริญด้วยความสุข อุดมด้วยความสุข ทุกคนปรารถนาก็คือความสุขกาย และสุขใจ สุขกาย ต้องการมีความเป็นอยู่ที่ดีๆ ของอิริยาบถต่างๆทุกขณะ และ ความไม่มีโรคภัยเบียดเบียน และสุขใจ เพราะปราศจากกิเลสเบียดเบียน เป็นต้น จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:23:36

ความคิดเห็นที่ 14 นี้คือความหมายของพรทั้ง ๗ ประการที่พระท่านให้ พร ทั้ง ๗ นั้นต้องมีมูลเหตุมาจากการกระทำของตนทางกาย วาจา ใจ ที่ประกอบด้วยกุศลเท่านั้น การทำบุญก็เพื่อให้บุญนั้นชำระกิเลสอกุศลมลทินโทษที่มีอยู่ในใจ เมื่อกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ ก็ย่อมเป็นที่มาของความเจริญและความสุข ทั้งหลาย ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า “การสั่งสมบุญนำสุขมาให้” จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:25:55

ความคิดเห็นที่ 15 เนื้อหาเรียบเรียงโดย : น้อมเศียรเกล้า ภาพวัดในจังหวัดอ่างทอง โดย : น้อมเศียรเกล้า จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:27:20

ความคิดเห็นที่ 16 สาธุครับ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 00:29:22

ความคิดเห็นที่ 17 ขอนุโมทนาด้วยครับ .......... จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 08:33:44

ความคิดเห็นที่ 18 อนุโมทนาด้วยค่า... เรื่องทำบุญนี้สำคัญ เป็นเรื่องที่ต้องให้การศึกษา คุยกันแล้วคุยกันอีก จำได้ว่าตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ท่านได้รับเลือกจากประชาชนชาวจีนให้เป็นหนึ่งในร้อยของมิตรประเทศ และอยู่ในอันดับทอปเทน ท่านก็ตรัสชมว่าชาวจีนนั้นให้การศึกษาคนของเขาเป็นอย่างดี เพราะว่าบุคคลที่โหวตส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอายุน้อย เกิดไม่ทันปูชนียบุคคลที่พวกเขาโหวตให้ แต่ทำไมจึงรู้เรื่องและตัดสินใจโหวตได้ นั่นแสดงว่าการศึกษาของเขาดีมากพอจะทำให้คนรุ่นหลังมีความเข้าใจในงานของบุคคลสำคัญเหล่านี้และมีปัญญาแยกแยะความแตกต่างและมองเห็นคุณค่าของปูชนียบุคคลได้ ในขณะที่ประเทศเรา การให้การศึกษาล้มเหลวขนาดว่าไม่สามารถทรงรักษาไว้ซึ่งคุณค่าและศรัทธาต่อสถาบันสำคัญทางสังคม (ไม่ต้องพักพูดถึงตัวบุคคล) คือเรียกว่าเสื่อมศรัทธาและการให้คุณค่าในระดับสถาบัน ตัวดิฉันเอง หากมองย้อนไปสัก 5 ปี เป็นถึงครูบาอาจารย์ ก็ยังไม่รู้เรื่องการทำบุญที่ถูกต้องเลยค่ะ.. ตอนเด็กๆ ก็เคยสุดโต่งมาแล้ว พอโตขึ้นมามันก็ค่อยๆ อ่อนลง ควักเงินทำบุญเพราะมีศรัทธามากขึ้น แต่ก็ยังขาดปัญญา จนเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาจริงๆ ก็แค่สองสามปีมานี้เอง ที่เรียกได้ว่า "ทำบุญเป็น"  อย่างแท้จริง  ก็ต้องอ่าน ต้องฟัง ต้องศึกษาและต้องพิสูจน์มากมาย..  กว่าจะกลายเป็นคนที่ทำบุญทำทานทุกวัน   และมีบทพิสูจน์ว่า "ทำบุญทำทาน"แล้วชีวิตดีขึ้นจริง เจริญขึ้นจริง เสมือนว่าได้รับพรทั้ง 7 จริงๆ นี่วัดจากตัวเองนะคะ  ยังคิดเลยว่า ถ้าในโรงเรียนใช้หนังสือวิธีสร้างบุญบารมีของสมเด็จพระสังฆราช เป็นหนังสือเรียนพุทธศาสนา เราคงไม่โง่อยู่เกือบ 30 ปี เราคงได้สร้างบุญบารมีเร็วกว่านี้มาก น่าเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาอยู่มิใช่น้อย ประเทศไทยของเรา หากประชาชนมีความเข้าใจเรื่องการทำบุญ ทำทาน และเข้าใจความหมายทางจิตวิญญาณและนัยทางสังคม ที่ซ่อนอยู่หลังประเพณีวัฒนธรรมในการทำบุญของคนไทย  ก็จะทำให้ประเทศเจริญขึ้นได้อีกมาก..   จะลดปัญหาทัศนะสุดโต่งสองทัศนะ (binary of position) ในการทำบุญ คือทัศนะที่ทำบุญโดยหวังในบุญมากเกินไป จนกลายเป็นโลภะ บางวัดเน้นสร้างความเจริญทางวัตถุมากเกินไป เน้นศรัทธาเกินไป จนขาดการพัฒนาทางปัญญา  กลายเป็นว่าทำบุญแล้วเกิดปัญหา  และทัศนะคู่ตรงข้ามที่ไม่เชื่อในการทำบุญ ไม่เชื่อในการอธิษฐาน ไม่เห็นประโยชน์ของการทำบุญทำทานอย่างสุดขั้ว ไม่เห็นด้วยกับการสร้างศาสนสถานอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น ทำไมคนโบราณ ถ้าเป็นเศรษฐีจะต้องสร้างวัด ทำไมต้องมีวัดทุกหมู่บ้าน.. วัดมีบทบาทอย่างไรต่อชุมชน  คนสร้างวัด คนทำบุญทำทาน วัดเอื้อประโยชน์คืนกลับมาสู่ชุมชน เป็นการพึ่งพิงอิงอาศัยกันอย่างไร สรุปเป็นคำถามว่า "ทำไมต้องทำบุญ"  "ทำบุญแล้วได้อะไร" "ทำอย่างไรจะเรียกว่าทำบุญ" ว่างๆ วันหลังคุณน้อมมาชวนคุยกันเรื่องนี้ดีไหมคะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 09:33:44

ความคิดเห็นที่ 19 เหมือนคุณchaosy ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ ื เพราะได้ฟัง  ได้อ่าน มามากเลยเริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมาก จะว่าโดยส่วนใหญ่ก็ได้ที่ยังไม่รู้  ไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าไปทำบุญเพื่อจะขอ  ไม่ใช่เพื่ออธิษฐาน ใครทำมากย่อมขอได้มาก  เลยขาดปัญญา ทำบุญขอให้รวย  แต่ไม่ขยัน  โอกาสจะรวยก็น้อย ทำบุญขอให้อายุยืน  แต่ปล่อยตัว ไม่รักษาสุขภาพ โอกาสจะป่วยก็มาก อย่างนี้เป็นต้น ................. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:23:45

ความคิดเห็นที่ 20 งานดีครับ ^^ อนุโมทนาครับ จากคุณ : OII เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 22:00:53