PANTIP.COM : Y9629636 เจตนาของคุณเซนก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษ ตามท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9615237} []

เจตนาของคุณเซนก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษ ตามท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9615237}

ได้อ่านทิฏฐิของคุณ เซน (โชติ) ศิษย์เอกของท่านพุทธทาส ดูแล้วการกระทำไม่ต่างกันเลย

พยายามกล่าวตู่ พระพุทธโฆษาจารย์ ,พระอรรถกถาจารย์ และ พระโบราณาจารย์ ของนิกายเถรวาท เพื่อสร้างความไม่น่าเชื่อถือ แต่กลับไปนิยมลัทธินอกศาสนา มหานิกาย เช่น เซน, ฮวงโป, เวยหล่าง

แล้วมีการนำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท ให้กลายเป็น อุจเฉททวาท ในที่สุด

--------------------------------------------
จากทิฏฐิของท่านพุทธทาส ในหนังสือ ปฏิจจสมุปบาทธรรม ชุดลอยปทุม

เรื่องส่วนตัวพระพุทธโฆษาจารย์

ทีนี้จะวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของพระพุทธโฆษาจารย์กันบ้าง ไม่ใช่จ้วงจาบ ไม่ใช่นินทา ไม่ใช่ใส่ร้าย แต่เอามาเป็นเหตุผลสำหรับการอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทของท่าน(บางส่วนที่คร่อมภพชาติ ซึ่งท่านพุทธทาสถือว่าผิดจากหลักบาลี ) ซึ่งมันมีแง่ให้เราตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธโฆษาจารย์นั้น ท่านเป็นพราหมณ์โดยกำเนิดท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพราหมณ์ ท่านจบไตรเพทอย่างพราหมณ์คนหนึ่ง มีวิญญาณอย่างพราหมณ์ แล้วจึงมาบวชในพระพุทธศาสนานี้ แล้วได้รับการสมมุติกันในหมู่คนบางพวกว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เมื่อ พศ. ร่วมพันปี นักโบราณคดีถือว่าท่านเกิดที่อินเดียใต้ มิใช่ชาวมคธ บางพวกดึงท่านมาเป็นมอญก็มี ไม่เหมือนในอรรถกถา ที่ถือว่าท่านเป็นชาวมัธยมประเทศ ท่านเป็นพราหมณ์โดยเลือดเนื้อมาเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนานี้ แล้วถ้าเกิดไปอธิบายปฏิจจสมุปบาทของพุทธให้กลายเป็นพราหมณ์อย่างนี้ มันยิ่งสมเหตุสมผล คือท่านเผลอไปก็ได้ ถ้าท่านเผลอท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นแน่นอน ข้อนี้จะว่าอย่างไรก็ต้องพูดอย่างที่เรียกว่า ขอฝากไว้ให้ท่านผู้มีสติปัญญาพิจารณาดูเถิด

ทีนี้ของประหลาดๆในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์นั้นยังมีอีกบางเรื่องดังที่ผมพูดเมื่อตะกี้นี้ เรื่องปฏิจจสมุปบาทคร่อม ๓ ชาตินี้ก็เรื่องหนึ่งแล้ว เราพูดกันเข้าใจแล้ว ทีนี้ก็เรื่องที่ท่านอธิบายอะไรๆในพระพุทธศาสนากลับกลายไปเป็นพราหมณ์อย่างนี้มันมีอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นเรื่องโลก ,หรือโลกวิทู
เมื่อท่านอธิบายโลกวิทู ซึ่งเป็นพระพุทธคุณบทนี้ ท่านอธิบายโลกแบบโลกอย่างพราหมณ์ไปหมด ตามที่เขาพูดกันอยู่ ท่านไม่อธิบายโลกอย่างที่พระพุทธเจ้าอธิบายโลกอย่างพระพุทธเจ้าอธิบายนั้น ท่านอธิบายโลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ตถาคตได้บัญญัติไว้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่ยังเป็น ๆ ที่มีสัญญาและใจ

ข้อนี้หมายความว่าในร่างกายที่ยาววาหนึ่งเท่านั้น มีทั้งโลก มีทั้งเหตุให้เกิดโลก มีทั้งความดับสนิทแห่งโลกและทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก คือพรหมจรรย์ทั้งหมดมีอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่ง และเป็นร่างกายที่ยังเป็น ๆ อยู่ ตายแล้วไม่มี ในร่างกายที่มีชีวิตมีความรู้สึกปกตินี้ในนั้นมันมีครบ พระพุทธเจ้าท่านเป็น “โลกวิทู” เพราะท่านรู้โลกอันนี้ เพราะว่าโลกอันนี้คืออริยสัจจ์ทั้งสี่ โลก, เหตุให้เกิดโลก, ความดับสนิทของโลก, ทางให้ถึงความดับสนิทของโลก มันคือเรื่องอริยสัจจ์

ถึงทีจะอธิบายโลกวิทูให้พระพุทธเจ้าหรือถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธโฆษาจารย์ท่านไม่อธิบายโลกอย่างนี้ ที่ท่านอธิบายนั้นผมว่ามันไม่เป็นพุทธ คือท่านไปอธิบายโลกอย่างที่เป็นโอกาสโลกเหมือนที่เราได้ยินเรื่องปรัมปราในไตรภูมิพระร่วงอะไรทำนองนั้น มันมาจากความเชื่อปรัมปราของพวกพราหมณ์ว่าโลกกลมเท่าไร กว้างเท่าไร ลมหนาเท่าไร แผ่นดินหนาเท่าไร น้ำหนาเท่าไร ลมหนาเท่าไร เขาพระสุเมรุสูงเท่าไร เขาบริวารสูงเท่าไร หิมวันต์ใหญ่เท่าไร ต้นหว้าใหญ่เท่าไร ไม้ประจำโลก ๗ ต้นเป็นอย่างไร ดวงอาทิตย์ขนาดเท่าไร ดวงจันทร์ขนาดเท่าไร ทวีปอีก ๓ ทวีปใหญ่เท่าไร ฯลฯ นี่มันไม่ใช่เรื่องของพุทธเลย อธิบายโอกาสโลกอย่างนี้ เพื่ออธิบายคำว่าโลกวิทู ว่าพระพุทธเจ้ารู้เรื่องนี้อย่างนี้ นี่ผมไม่เชื่อเลย นี่ขอให้คิดดู อธิบายโอกาสโลก อย่างนี้มันเป็นพราหมณ์ เรื่องของฮินดูเก่าก่อนพุทธกาล

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 06:35:13

ความคิดเห็นที่ 1

อีกทิฏฐิหนึ่ง ที่คุณเซน ได้รับมรดกจากท่านพุทธทาส คือ พระอภิธรรมปิฏก และ พระอภิธัมมัตถสังคหะ เป็นส่วนเกิน เป็นผลเสียมาก ๆ หากไปศึกษา ( อ่านทิฏฐิของท่านพุทธทาสจาก หนังสือ อภิธรรมคืออะไร )

ท่านพุทธทาสจะเริ่มกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตั้งแต่ พุทธวิสัย ในเรื่องการไปแสดงพระอภิธรรม โปรดพุทธมารดาบนเทวโลก

อาศัยทิฏฐิส่วนตัวท่านพุทธทาสก็กล่าวตู่เลยว่า เป็นไปไม่ได้

------------------------------------------------
จากหนังสือ อภิธรรมคืออะไร ของท่านพุทธทาส

ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับอภิธรรมปิฏกที่สำคัญก็คือเรื่องว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วแสดงอภิธรรมที่นั่น โปรดเทวดาที่เคยเป็นพระมารดาของท่าน นี่คือพระมหาปาฏิหาริย์ แล้วก็มีปาฏิหาริย์ที่เนื่องกัน เช่นต้องแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อน แล้วขึ้นไปอย่างไร แล้วลงมาอย่างไร แต่เรื่องสำคัญมันว่าขึ้นไปบนเทวโลกแสดงอภิธรรม ซึ่งชาวบ้านหรือนักปราชญ์ในเมืองมนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไปแสดงแก่เทวดาให้รู้เรื่องได้ เทวดาซึ่งเอาแต่เล่นแต่กินแต่สบายนั้นน่ะ
เรื่องนี้ขอให้ทนฟังอาตมาเล่านิดหน่อย เรื่องว่า พระพุทธเจ้าขึ้นไปบนเทวโลกนั้นนะ มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีในพุทธศาสนาของเรา เพราะว่าในศาสนาอื่นๆหรือแม้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเป็นลัทธิอื่นนั้นเขาจะมีว่าศาสดาของเขา หรือบุคคลสำคัญของเขาต้องเคยขึ้นไปบนเทวโลกทั้งนั้น แล้วในฝ่ายพุทธศาสนาถ้าพูดว่าเราไม่มีมันก็แย่ เพราะฉะนั้นมันต้องมีกับเขาบ้างให้จนได้
ทีนี้มันจะมีได้โดยฝีมือของใคร นี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมี เพื่อสร้างสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นเราจะต้องพูดว่า พระพุทธเจ้าท่านมาเหยียบรอยพระบาทไว้ที่สระบุรี นั้น ถ้าไม่พูดว่าพระพุทธเจ้ามาเหยียบไว้แล้ว ไม่มีใครสนใจหรอก ทีนี้เราจะต้องมีอะไรที่ทำให้สนใจให้เป็นสถาบันเสียก่อน พอมันเป็นสถาบันแน่นแฟ้นในจิตใจของประชาชนแล้ว มันใช้ได้แล้ว มันจะจริงหรือไม่จริงก็ช่างมันเถอะ เพราะเขาต้องการสถาบันอันแน่นแฟ้นในจิตใจของประชาชน ที่ประเทศอินเดียครั้งกระโน้นก็เหมือนกัน ต้องการสถาบันอันนี้ให้เชื่อว่าพระพุทธเจ้าของเราเก่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกคนจะต้องระลึกถึงข้อที่ว่า เราสวดกันอยู่ทุกวันว่า “ สัตถา เทวะมะนุสสานัง” ถ้าเรื่องมันไม่จริงเราก็โกหกทุกวัน เราพูดว่า “ สัตถา เทวะมะนุสสานัง”, “อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง” ท่านเป็นครูทั้งของเทวดาและมนุษย์ ไม่ขึ้นไปบนเทวโลกแล้วจะเป็นครูของเทวดาได้อย่างไร เราก็สวดอยู่ทุกวัน ฉะนั้นเรื่องมันต้องเป็นไปได้ ต้องเข้ารูปกันได้ ฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในสมัยนั้น จะเป็นพระมหาเถระที่เป็นประธานสงฆ์ทั้งหมดในเวลานั้นก็ดี หรือจะเป็นพระมหาจักรพรรดิที่รับผิดชอบ เป็นองค์อุปถัมภ์ของพุทธศาสนาในเวลานั้นก็ดี จะต้องช่วยกันรับผิดชอบให้มันเกิดสถาบันอันนี้ให้แน่นแฟ้นลงไปในจิตใจของคนทั้งปวง ว่าพระพุทธเจ้ามีอะไรครบพร้อมหมดทุกอย่าง ทุกเรื่อง แม้กระทั่งขึ้นไปบนสวรรค์
ทีนี้ดูหินสลักที่จำลองมาไว้ที่นี่ หินสลักสมัยสาญจีนี้มัน พศ. ๔๐๐ – ๕๐๐ เท่านั้นเอง เมื่อ พศ. ๔๐๐ – ๕๐๐ มีความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นสวรรค์เสร็จแล้ว ไปดูเถอะ เขาสลักบันไดขึ้นสวรรค์ลงสวรรค์ของพระพุทธเจ้าในหินสลักนั้น ฉะนั้นแสดงว่าประชาชนเชื่อกันหมดแล้ว โดยอำนาจของพระราชามหาจักรพรรดิให้สลักเหล่านี้ ประชาชนต้องเชื่อ ในยุคที่มันพ้องกันกันไม่เชื่ออยู่สักครึ่งอายุคน พอตายหมด ยุคหลังมันเชื่อหมดว่าพระพุทธเจ้าขึ้นไปบนดาวดึงส์ นี่ พศ. ๔- ๕๐๐ นี้เป็นอันว่าประชาชนเชื่อแน่นแฟ้นแล้ว มีหินสลักเหล่านี้เป็นพยาน แล้วหนังสือคัมภีร์เรื่องพุทธประวัตินั้นเขียนทีหลังหินสลัก คัมภีร์ลลิตวิตตะหรือว่าพระพุทธจริตะอะไรก็ตาม เรื่องพุทธประวัติมันเขียนทีหลัง เมื่อประมาณ พศ. ๙๐๐ - ๑๐๐๐ เพราะฉะนั้นหนังสือที่เขาเขียนตามหินสลัก หินสลักเขาสลักในสมัยที่ไม่ได้ใช้หนังสือ ทีนี้หินสลักนี้ พศ. ๔-๕๐๐ ถ้าก่อนหินสลัก พศ. ๔ – ๕๐๐ นี้ขึ้นไปอีก มันก็ถึงสมัยพระเจ้าอโศกเท่านั้น
หน้า ๗๙ “ พศ. ๔-๕๐๐ มีการสลักภาพหราไปหมด พศ. ๙๐๐- ๑๐๐๐ ก็เขียนหนังสือ เป็นคัมภีร์พุทธประวัติ อย่างปฐมสมโพธิ ที่เราเรียกในเมืองไทยว่า ปฐมสมโพธิ ในอินเดียก็มีคือคัมภีร์ลลิตวิตตะระ คัมภีร์พุทธจริตะ มันก็มีเรื่องดางดึงส์ ฉะนั้นเรื่องขึ้นดาวดึงส์ต้องมี จริงไม่จริงก็ตามใจ มันต้องให้ฝังอยู่ในจิตใจของประชาชน ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัตถาเทวมนุสสานัง สอนทั้งในเทวโลก มนุษย์โลก นี้เราเห็นใจยอมรับว่าจะต้องมี แต่ที่จะให้เราถือว่าเป็นความจริงนั้นมันไม่ได้ นี้เราไม่งมงายเราถือตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าดีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าดีจริง โดยไม่ต้องขึ้นไปบนเทวโลกหรอก ยิ่งไม่ขึ้นไปบนเทวโลกเสียอีกพระพุทธเจ้าจะเก่งกว่า สำหรับเรามันเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งมีแต่ความเชื่อนั้น มันต้องเป็นอย่างโน้น เดี๋ยวนี้เราจะอยู่ในลักษณะที่มันถูกต้องหรือพอดี เราจึงกล้าวิจารณ์เรื่องปาฏิหาริย์ไปบนเทวโลก ว่ามันไม่สมเหตุผลอยู่ในตัวมันเอง
ในเรื่องราวนี้มันจะมองกันในแง่วิจารณ์อย่างอิสระ ข้อแรกจะมองตามความ วิตถารที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าขึ้นไปบนดาวดึงส์เพื่อเทศน์แก่พวกเทวดานั้น จะขอเล่าเพื่อคนบางคนที่ยังไม่รู้เรื่อง คนที่รู้เรื่องแล้วทนเอาหน่อย พระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปจำพรรษาบนดาวดึงส์ ๓ เดือน เพื่อจะเทศน์โปรดบุคคลที่เคยเป็นพุทธมารดา เป็นประธานในเทวดาทั้งหลาย ทีนี้ท่านทำอย่างไร ท่านเป็นคนอย่างเราๆท่านต้องฉันข้าว แล้วจะอยู่บนนั้น ๓ เดือนได้อย่างไร เช้าขึ้นท่านต้องบิณฑบาต ในเมืองมนุษย์ข้อความเล่าว่า กลับไม่ลงมาสู่บ้านที่ท่านเคยอยู่คือชมพูทวีปนี้ แต่ก็ไปบิณฑบาตเสียที่อุตตรกุรุทวีปคือจะเป็นหลังภูเขาหิมาลัยไปทางประเทศรัสเซียโน้น ไปบิณฑบาตทางโน้น แล้วก็มาฉันที่ตีนเขาหิมาลัย ที่สระอโนดาดเพื่อให้พระสารีบุตรไปเฝ้าที่นั่นทุกวัน แล้วก็แสดงแก่พระสารีบุตรว่าวันนี้ได้เทศน์อะไรที่บนดาวดึงส์ พระสารีบุตรก็จำเอามา แล้วก็มาบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ รูปช่วยจำเอาไว้ ทุกวันทำอย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านต้องลงมาบิณฑบาตในเมืองมนุษย์ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในเมืองมนุษย์ เพราะมันทำบนเทวโลกไม่ได้ ทำอย่างนี้จนครบ ๓ เดือน หรือพรรษาหนึ่ง
ทีนี้ถามว่า เมื่อท่านลงมาบิณฑบาตและฉันอาหารนี้พวกเทวดาไม่คอยแย่หรือ ? ก็มีเรื่องว่าท่านเนรมิตพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง ให้แสดงธรรมแทนอยู่เหมือนที่ท่านแสดง พวกเทวดามันก็ไม่รู้ -- มันโง่ ทีนี้ ๓ เดือนในประเทศไทย ๑ พรรษา ๓ เดือนในประเทศไทย มันเท่ากับ ๒- ๓ ชั่วโมงในเทวโลก มันก็ยิ่งไม่รู้ซิ คุณเคยรู้เรื่องเปรียบเทียบเวลาเกี่ยวกับอย่างนี้หรือเปล่า : ๑ วัน ในเทวโลกเท่ากับกี่ร้อยปีในเมืองมนุษย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ๓ เดือน พรรษาหนึ่งอย่างมนุษย์นี้เท่ากับ ๒-๓ ชม. ในเมืองเทวดา แล้วเวลาระหว่างนั้นพระพุทธเจ้าต้องลงมาบิณฑบาตที่นี่ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะที่นี่ตั้ง ๙๐ ครั้ง ๒-๓ ชม. ในเมืองเทวดานั่น เอาละเป็นอันว่าท่านทำได้อย่างนั้น นี้เราก็สงสัยว่าทำไมต้องไปบิณฑบาตฝ่ายอุตตกุรุซ่อนตัวอย่างนี้ทำไม มาบิณฑบาตกับพวกเราตามเคยไม่ได้หรือ นี้มันส่อพิรุธอย่างนี้ แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าลงมาบิณฑบาตฉันอยู่ทางนี้ พระพุทธนิมิตทางโน้นพูดว่าอะไร รู้ได้อย่างไร หรือท่านยังบันดาลให้ท่านพูดอยู่ แล้วท่านฉันข้าวไปพลางอย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องที่ชวนให้วิจารณ์อย่างนี้เรื่อยไป
ทีนี้เรื่องทั่วไปในพระไตรปิฏกมีว่า เทวดาก็ลงมาในเมืองมนุษย์เฝ้าพระพุทธเจ้าหรืออะไรบ่อยๆ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เรียกเทวดาลงมาประชุมกันที่เมืองมนุษย์ล่ะ เรียกเทวดาทั้งหลายลงมาประชุมกันเสียที่เมืองมนุษย์ มันคงทำไม่ได้อีกแหละ ๒-๓ ชม. ของพวกโน้นมันเท่ากับ ๓ เดือนของพวกนี้ มันทำไม่ได้อย่างนี้
ทีนี้ถ้าว่าเราดูเรื่องที่พูด โผล่ขึ้นมาก็กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมานี้ เทวดาฟังไม่รู้เรื่องแน่ โผล่ขึ้นมาถึงก็พูดอย่างนี้ เทวดาฟังไม่รู้เรื่องแน่ แล้วยิ่งแจกขันธ์แจกธาตุแจกอายตนะซับซ้อนลึกซึ้งออกไป ก็ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้พูดถึงเรื่องบุคคลอย่างบุคคลาธิษฐานที่มีความทุกข์ ต้องการจะดับทุกข์อย่างนี้ ท่านไม่เคยพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องที่แสดงแก่พุทธมารดานั้นมันไม่อยู่ในวิสัยที่ท่านจะฟังถูก ให้คุณไปเปิดดูอย่างที่ขอร้องเมื่อตะกี้ว่าอุตส่าห์ไปซื้ออภิธรรมปิฏกมาอ่านดู คุณจะรู้สึกตัวเองว่าเทวดาฟังไม่ถูก นี่มันมีข้อที่วิจารณ์อย่างนี้
ทีนี้ดูสำนวนที่มันอยู่ในบาลีอภิธรรมปิฎกนั้น มันเป็นสำนวนอีกชนิดหนึ่งไม่เหมือนกับสำนวนในสุตตันตปิฏก แล้วมันส่อว่าเป็นสำนวนรุ่นหลัง สำนวนทีหลังซึ่งเลวลงมาและอีกทีหนึ่งก็เป็นสำนวนสอนเด็กในโรงเรียน ตามวิธีหนังสือที่ทำมันให้ชัดเจนรัดกุมตายตัว เหมือนกับหนังสือสำนวนสอนเด็กในโรงเรียนอย่างนั้น คือสำนวนที่ใช้สอนในโรงเรียน ว่าอย่างนั้นก็ได้ แม้ไม่ใช่เด็ก แม้ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นสำนวนสอนในโรงเรียน อภิธรรมปิฏกเป็นอย่างนี้ ส่วนสุตตันตปิฏกนั้นเป็นสำนวนพูดกับชาวบ้าน พูดกับมนุษย์ตามปกติเลย แล้วแต่เรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้น ไม่ใช่สำนวนในโรงเรียน อภิธรรมปิฏกสำนวนในโรงเรียนสอนตรรกวิทยา จิตวิทยา , ส่วนสุตตันตปิฏก นี้เป็นสำนวนพูดกันธรรมดาในเรื่องความดับทุกข์ นี้มันเป็นข้อที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมพระอาจารย์ผู้เขียนอรรถกถาสมันตปาสาทิกานี้อาจารย์ผู้นี้เคร่งครัดอย่างยิ่ง conservative อย่างยิ่ง คือพระพุทธโฆษาจารย์ เขียนว่า อภิธรรมปิฏกนี้มันรวมอยู่ในขุททกนิกาย ลองคิดดู

-----------------------------------------------------

ศึกษาประวัติพระอภิธรรม ได้ที่

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14797

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 06:52:50

ความคิดเห็นที่ 2

จากกระทู้ เซน VS เซน --เป็นพุทธบูชา

คุณโชติครับ เปลี่ยนชื่อกระทู้นี้ จาก พุทธบูชา เป็น เชิดชูทิฏฐิของท่านพุทธทาส ดีกว่าครับ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 06:59:23

ความคิดเห็นที่ 3

เสนอให้ ท่านสมาชิก พิจารณา

ผมจะส่งกระทู้นี้ ไปให้คุณวรพจน์ พิจารณาว่า คุณเฉลิมศักดิ์1 เจตนา หาเรื่องผม ตาม หัวข้อกระทู้

พร้อมหลักฐาน ตามที่ คุณเฉลิมศักดิ์ มีต่อ ท่านพุทธทาส ตามหลักฐานต่อไปนี้
(๑)
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/10/Y8481423/Y8481423.html

(๒)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=28397&start=0&st=0&sk=t&sd=a

(๓)
กระทู้ Y 9410435
ตามสำเนาภาพ ต่อไปนี้
ภาพที่ ๑

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:25:21

ความคิดเห็นที่ 4

ใครไม่เชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนน่าจะไปตั้งลัทธิใหม่ซะดีกว่ามาอาศัยบารมีของพระพุทธองค์ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ขอข้าวชาวบ้านกินนะครับ อย่างนี้เขาเรียกกินบนเรือนท่านแล้วขี้รดบนหลังคาท่านอีก

จากคุณ : คนรักน้ำมัน

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:25:50

ความคิดเห็นที่ 5

ภาพที่ 2

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:26:04

ความคิดเห็นที่ 6

ภาพที่ 3

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:26:26

ความคิดเห็นที่ 7

ภาพที่ 4

จากคุณ : เ (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:26:50

ความคิดเห็นที่ 8

ภาพที่ 5

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:27:20

ความคิดเห็นที่ 9

กระทู้ Y 9410435

เนื่องกับ กระทู้ ที่คุณเฉลิมศักดิ์ 1 เสนอ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html#13

ดู กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html#13 ประกอบ

ถ้า ไม่มีในคลังกระทู้เก่า (ผมดูแล้ว หาไม่พบในคลังกระทู้เก่า)
ทั้ง Y 9410435 และ Y 9411909

ผมมี ก๊อปปี้ไว้

แล้วจะส่งไปให้คุณวรพจน์ พิจารณา "ตามข้อมูล" ที่มี

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "งานเข้า" นะครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:35:40

ความคิดเห็นที่ 10

ขอบคุณครับที่เอามาให้อ่าน
ตามจริงผมไม่เคยอ่านข้อความของคุณเซนเถรวาทรู้เรื่องเลยครับ

ที่ยกมาเป็นเรื่องที่พระอรหันต์ พระเถระที่จะวิจารณ์ได้ ผมก็ได้แต่รับฟังครับ แต่ก็ไปได้ดีกับความคิดของผมครับ

จากคุณ : Narin-nar (Narin-nar)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:36:59

ความคิดเห็นที่ 11

(๑) ที่ผม ก๊อปปี้ไว้

เฉลิมศักดิ์ 1
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html#13

ทารกอยู่ในครรภ์เป็น พระอรหันต์ เมื่อใช้หลักจิตเดิมท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9410453}

กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก Y9410453
ตามอัตตโนมิตของท่านพุทธทาส ทารกที่อยู่ในครรภ์ จิตบริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีอวิชชา

ซึ่งจิตที่ ไม่มีอวิชชานั้น เกิดกับพระอรหันต์

แบบนี้ ใครเลี้ยงทารกแบบดี ๆ หน่อย ก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรมให้ยุ่งยาก เป็นอรหันต์ตั้งแต่ยังเด็กแน่ ๆ

คุณ เซนเถรวาท ช่วนแนะนำวิธีเลี้ยงเด็กให้มี จิตว่าง จิตบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยนิ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 53 06:02:46

ถูกใจ : bigjinbook

________________________________________
bookmark
เก็บเข้าคลังกระทู้
ส่งต่อกระทู้
พิมพ์
หน้าหลัก
กระทู้ก่อนหน้า
กระทู้ถัดไป

************************************************

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- มี อะไร แก้ ตัวไหมครับ ?

ให้โอกาส แก้ ตัว ---- ถ้า ยังไม่สำเนียก --- ผมจะ แจ้งให้คุณวรพจน์ พิจารณา

ใน กรอบ --- เพื่อสังคมออนไลน์คุณภาพ"
เพราะ วิธีการที่คุณเฉลิมศักดิื 1 เสนอ ตาม หลักฐานนี้ --- ไม่ สมควรที่จะให้ เกิด ขึ้นอีก ในสังคมออนไลน์ แห่งนี้ "ซ้ำๆ ซาก เพราะ อะไรๆ ของคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ที่มี ต่อ ท่านพุทธทาส และ ผม "ที่ไม่ใช่ศิษย์ท่านพุทธทาส"

แจ้งให้ทราบนะครับ คุณเฉลิมศักดิ์ 1

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:40:31

ความคิดเห็นที่ 12

ข้อความที่ผมเสนอไว้

ความคิดเห็นที่ 13

คุณ เฉลิมศักดิ์1

ต้อง อ้าง หลักฐาน ชัดๆ ว่า

ท่าน พุทธทาส สอน หรือกล่าวไว้ ใน หนังสือ เทป หรือ ฯลฯ ว่า

--- จิตที่พระบรมศาสดา ตรัสว่า เป็น)ประภัสสร ของทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา เป็น (จิตของ) พระอรหันต์ ---

จึงจะตรงกัีบ ข้อความ ที่คุณ เฉลิมศักดิ์ 1 ตั้ง ขึ้นว่า --- ทารกอยู่ในครรภ์เป็นพระอรหันต์ เมื่อใช้หลักจิตเดิมท่านพุทธทาส

รีบ หามา นะครับ
ไม่เช่นนั้น ผม จะแจ้ง ให้ พันทิป รับทราบ กระทู้นี้

กล่าว หาคุณเฉลิมศักดิ์1 เจตนา จงใจ ป้ายร้าย ท่านพุทธทาส ด้วย ข้อความว่า ---ทารกอยู่ในครรภ์เป็นพระอรหันต์ เมื่อใช้หลักจิตเดิมท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9410453} --- นั้น เป็นเท็จ

เพราะ
(๑) คุณ เฉลิมศักดิื 1 ไม่มีหลักฐาน มา ยืนยันว่า ท่านพุทธทาส สอน หรือกล่าวว่า "--- จิตที่พระบรมศาสดา ตรัสว่า เป็น)ประภัสสร ของทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา เป็น (จิตของ) พระอรหันต์ ---

ซึ่ง น่าจะตรงกับ ข้อความที่คุณ เฉลิมศักดิ์ 1 เสนอหัวกระทู้นี้ ว่า --- ทารกอยู่ในครรภ์เป็นพระอรหันต์ เมื่อใช้หลักจิตเดิมท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9410453}

รีบหา หลักฐานมา เร็วๆ คุณเฉลิมศักดิ์ 1

หมายเหตุ
ผม ก้อกปี้ กระทู้นี้แล้ว
จาก คุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 53 07:42:09

************************************************

กระทู้นั้น คุณเฉลิมศักดิ์ 1 นิ่งไม่ตอบ ผม

ตอบ กระทู้นี้ นะครับ

จะได้ "ทีเดียวจบ"

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:44:36

ความคิดเห็นที่ 13

คคห 10
คุณ Narin-nar (Narin-nar) คุณ รีบ ถูกใจ สิ่งที่คุรเฉลิมศักดิ์ 12 เสนอ เพียงเพราะ อะไรแน่ ผมไม่มีเจโต ฯ รู้ตามที่เป็นจริงได้

แต่ เมื่อ แสดง ถูกใจแล้ว ต้องยอมรับ ผล นั้น นะครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

สรุปว่า -- ผมไม่ได้ เสนออะไรๆ ให้คุณ Narin-nar (Narin-nar) อ่าน

ถ้าคุณ Narin-nar (Narin-nar) อ่านเอง ในสิ่งที่ผมเสนอ ในกาลข้างหน้า --- อย่าได้ มีวาทะกรรม ว่า ---ตามจริงผมไม่เคยอ่านข้อความของคุณเซนเถรวาทรู้เรื่องเลยครับ อีก นะครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

คุณ Narin-nar (Narin-nar) จงอ่าน ที่ รู้เรื่อง จากบุคคลอื่นๆ นะครับ
ขอแสดงความนับถือ ครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:50:24

ความคิดเห็นที่ 14

ผมจะ อีเมล์แจ้งคุณวรพจน์ ให้ กู้กระทู้เก่า
ทั้ง Y 9410435 และ Y 9411909
อีกทางหนึ่งด้วย

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:51:52

ความคิดเห็นที่ 15

นายเซน มีทิฏฐิมั่วซั่ว จับหลักไม่ถูกว่าอะไรคือธรรมที่แท้ ดังนั้นข้อความที่ปล่อยออกมา จึงมั่วซัวตามแนวคิดของเจ้าตัว จึงอ่านกันไม่รู้เเรื่อง ..ฉะนี้แล

จากคุณ : ศิษย์พระป่า

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 09:04:08

ความคิดเห็นที่ 16

พูดเรื่องคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวที่พูดนั้นแหละมันไม่ดี

มันคึกมันคะนองอยู่ในหัวใจ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเอาเรื่องคนนั้นมาพูดคนนี้มาพูด

ไปนั่งที่ไหนปากแม็บๆๆ ปากเปราะ นี่เป็นนิสัยไม่ดี

ให้รีบแก้ไข การได้ยินได้ฟังอะไรอย่าด่วนโต้ด่วนตอบกัน

เก็บไว้พินิจพิจารณาทุกอย่าง อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะเคยต่อนิสัย แล้วไม่มาแก้นิสัยตัวเองจะไปแก้อะไร

-หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน-

จากคุณ : big_ong2000

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 09:26:14

ความคิดเห็นที่ 17

ให้กีฟคุณbig_ong2000 ในข้อความ --- เก็บไว้พินิจพิจารณาทุกอย่าง อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะเคยต่อนิสัย แล้วไม่มาแก้นิสัยตัวเองจะไปแก้อะไร---

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 09:37:10

ความคิดเห็นที่ 18

ความคิดเห็นที่ 13

คคห 10
คุณ Narin-nar (Narin-nar) คุณ รีบ ถูกใจ สิ่งที่คุรเฉลิมศักดิ์ 12 เสนอ เพียงเพราะ อะไรแน่ ผมไม่มีเจโต ฯ รู้ตามที่เป็นจริงได้

แต่ เมื่อ แสดง ถูกใจแล้ว ต้องยอมรับ ผล นั้น นะครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

สรุปว่า -- ผมไม่ได้ เสนออะไรๆ ให้คุณ Narin-nar (Narin-nar) อ่าน

ถ้าคุณ Narin-nar (Narin-nar) อ่านเอง ในสิ่งที่ผมเสนอ ในกาลข้างหน้า --- อย่าได้ มีวาทะกรรม ว่า ---ตามจริงผมไม่เคยอ่านข้อความของคุณเซนเถรวาทรู้เรื่องเลยครับ อีก นะครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

คุณ Narin-nar (Narin-nar) จงอ่าน ที่ รู้เรื่อง จากบุคคลอื่นๆ นะครับ
ขอแสดงความนับถือ ครับคุณ Narin-nar (Narin-nar)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)
เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 08:50:24

..............................

ที่ผมให้กี๊ฟคุณเฉลิมศักดิ์ เพราะถูกใจบทความที่เอามาให้อ่านครับ ผมไม่ได้ถูกใจที่ตัวคุณเฉลิมศักดิ์
ผมพึ่งเห็นชื่อล็อคอินนี้ครับ
ผมไม่ได้หมายความว่าบทความนี้ถูกหรือผิด แล้วให้กี๊ปนะครับ
แต่อ่านแล้วถูกใจ โดนใจเลยให้กี๊ป

ผมยังยืนยันว่าผมอ่านที่คุณเซ็นเขียนไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องครับ ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านเขียนไม่ดีนะครับ
ผมคิดตามไม่ทัน หรือคิดตามไม่เป็นต่างหาก

ก็ยังจะอ่านอยู่ดีแหละครับ จนกว่าจะอ่านเข้าใจ

จากคุณ : Narin-nar (Narin-nar)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 10:43:38

ความคิดเห็นที่ 19

เหตุ
กล่าวให้ร้ายพระพุทธโฆษาจารย์
บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในพระอภิธรรม พระไตรปิฎกและอรรถกถา

ผล
มรณภาพไปแล้ว แม้คุณความดีมีมาก ชาวโลกก็ยังติเตียน

_______________________________________________

เหตุ
เผยแพร่ทิฏฐิที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวมานานนับสิบปี
กล่าวให้ร้ายพระพุทธโฆษาจารย์
บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในพระอภิธรรม พระไตรปิฎกและอรรถกถา

ผล
ทิฏฐิตัวเองยิ่งนานยิ่งดิ่งลึกบิดเบี้ยว
แม้จะพอมีคุณความดีอยู่บ้าง ชาวโลกก็ติเตียน

จากคุณ : บักหัมน่อยตุหรัดตุเหร่

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:31:06

ความคิดเห็นที่ 20

ท่าน พุทธทาส ให้เหตุผล น่าฟัง ครับ

ถ้าไม่จริง ก็อยากให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน พุทธทาส
มาอธิบาย ให้มัน มี เหตุ มี ผล

ไม่ใช่ ว่า ต้อง ยกไว้ ในฐานะ "พระพุทธเจ้า" ครับ

เพราะตาม ทิฐิ ผมนั้น คำสอน เรื่องต่างๆ ของ พุทธองค์ นั้น เป็น สัจจะธรรม
ไม่มีข้อยกเว้น แม้ พระองค์เอง ก็อยู่ ใน สัจจะธรรม ที่พระองค์ แสดงไว้ด้วย

เช่น เทวดา ไม่มี ขันธ์5 แล้ว จะสอนเรื่อง ขันธ์5 ให้ เทวดาฟัง
ดูจะไม่ถูกเรื่องนะครับ หรือเป็น อย่างอื่นครับ

ไม่่ได้เห็นชอบ กับ คุณ เซน นะครับ เพราะนี่ เป็น ความเห็น ของท่าน พุทธทาส
ผมคงเห็นด้วย กับ ท่าน พุทธทาส ครับ ใน ตอนนี้

ปล. ผม เป็นคนเชื่อคนง่ายครับ ถ้ามี เหตุผล ครับ

ขออภัย ถ้าข้อความไม่สุภาพ และ ไม่ ต้อง กับ ทิฐิ ของท่านใด

จากคุณ : ฟ/-ถ (a235)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:54:30

ความคิดเห็นที่ 21

กระทู้ทะเลาะกันของพวกไร้สมองมาอีกแระ ศาสนาเป็นเรื่องนามธรรมฉะนั้นจะให้เห็นชัดพิสูจน์ได้เหมือนวิทยาศาสตร์มันก็เลยเป็นไปได้ยาก ผมไม่อยากให้เชื่อใคร ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธทาส หรือพระสำนักไหนๆ ผมอยากให้พวกคุณเชื่อตัวเองครับ สมองพวกคุณไม่มีกันหรือไงครับ ธรรมชาติไม่ให้สมองมาหรือไงครับ ธรรมชาติห้ามคุณคิดคุณพิจรณาไตร่ตรองหรือไงครับ พวกคุณชอบดูถูกตนเองว่าคุณโง่ คิดไม่เป็น คุณก็เอาแต่ไปเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธทาส หรือพระสำนักอื่นๆ เอาหล่ะแต่ถ้าพวกคุณประหยัดเวลาไม่อยากคิดเองว่าความจริงของธรรมชาติเป็นอย่างไร ก็ลองใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธทาส หรือพระสำนักอื่นๆดู หรืออาจจะรวมลัทธิหรือศาสนาอื่นก็ได้นะครับ มาเป็นแนวทางแล้วลองปฏิบัติดูแล้วคุณก็ใช้สมองของคุณที่ธรรมชาติให้มา ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าคุณจะเชื่อคำสอนไหน คุณอาจจะไม่เชื่อใครเลยก็ได้ถ้าคุณลองปฏิบัติแล้วมันไม่OK มันไม่ช่วยให้คุณพ้นทุกข์หรือมีความสุขมากขึ้น

เลิกเถียงกันเรื่องนามธรรมเรื่องความเชื่อเถอะครับมันไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ เชื่อตัวเองดีที่สุดครับ อย่าดูถูกตัวเองลองคิดลองปฏิบัติดู สุดท้ายตัดสินใจด้วยตัวเอง อุตส่าเกิดเป็นมนุษย์ทั้งทียังไม่ยอมคิดเอง เอาจะเชื่อ เชื่อแล้วก็เชื่อคนอื่น ตายไปจะอายหมามันนะครับ อิอิ

ปล. ถ้าปฏิบัติตามคำสอนแล้วยังสงสัย ไม่แน่ใจ แล้วมาแชร์กัน อย่างนี้ดูสร้างสรรดีครับ

จากคุณ : ไข่เจียวหน้าหนาว

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:42:28

ความคิดเห็นที่ 22

เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้เสมอๆ คือ คุณเฉลิมศักดิ์1 ปีๆ ชาติๆ ก็แทบไม่มาโพสต์อะไรในห้องศาสนา
แต่เมื่อไหร่มีช่องจะตำหนิติเตียนท่านพุทธทาสได้ คุณเฉลิมศักดิ์1 ก็จะปรากฎกายออกมา เพื่อการนี้อย่างเดียว
เสมือนว่านั่งเฝ้าอ่านที่นี่อยู่ตลอด แต่จะออกมาก็ต่อเมื่อมีประเด็นจะติเตียนท่านพุทธทาสได้เท่านั้น
และก็วนเวียนอยู่แต่ประเด็นเดิมๆ เท่าที่ทันเห็นก็ประมาณ 5 ปีแล้ว

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:45:44

ความคิดเห็นที่ 23

ผมเห็น นักคัมภีร์ 2 ท่าน ถกกันในทฤษฏีที่ตนถือ
และมี บ่าวช่างยุ คอยหนุนให้รวน

ทิฏฐิ (บาลี) = ทฏษฏี (สันสกฤต)

หากเป็นไปเพื่อการลงตัวใน บทสรุปที่สร้างสรรค์ อย่างพวกนักวิทย์ทำกัน
ก็ดีนะครับ เพื่อมีหลักการใหม่ๆ ให้คนทั่วไปได้ ยึดถือกัน ใน ทฤษฏีร่วม

ไม่ว่าจะ ทิฏฐิของท่านพุทธทาส ทิฏฐิของโบราณจารย์
ซึ่งดูจะเป็น ทิฏฐิของท่านเฉลิมศักดิ์ และ ทิฏฐิของท่านเซนเถรฯ ที่นำมา

ผมยอมรับทั้ง 2 ทฏษฏีที่ท่านนำมากล่าว และยกตัวอย่างจากบุคลาจารย์นะครับ
เพราะผมมองว่า เป็นเรื่อง ทฏษฏี อันมี ไตรลักษณ์กำกับได้เช่นกัน

แต่การถกกัน ในทิฏฐิ(หรือ ทฤษฏี) นี้ ผมว่า ไม่ค่อยเกี่ยวกับข พุทธภาวะ
ที่ท่านๆและพุทธศาสนิกชน ต้องเข้าใจ เลยนะครับ
คงจะได้แต่ พุทธทิฏฐิ ที่เป็น อีก ทฏษฎีนึง ให้คนทั่วไปยอมรับ
และรอวันถูกยกมาถกกันอีกเรื่อยๆ ในอีกรุ่น และ อีกรุ่น

เพราะว่า ทฏษฎี ที่ท่านทั้งสองกล่าวยกมา เป็นเรื่อง ปัจจตัง
ต่างคนต่างรู้ เหมือนต้นไม้ที่มีผลเต็มต้น คนยืนซ้ายก็นับ คนยืนขวาก็นับ
แล้วดันเอามาเถียงกัน

แต่ยอมรับครับว่า เหตุการณ์แบบนี้ เป็นที่ชื่นชอบและ น่าสนใจของคนไฝ่รู้

จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 13:26:44

ความคิดเห็นที่ 24

คคห #20

เทวดา ไม่มี ขันธ์5 !!
แล้ว จะสอนเรื่อง ขันธ์5 ให้ เทวดาฟัง ?!

ดูจะไม่ถูกเรื่องนะครับ หรือเป็น อย่างอื่นครับ

..ผมคงเห็นด้วย กับ ท่าน พุทธทาส ครับ ใน ตอนนี้

- - - - - - - -

ได้เวลาเผาพระไตรปิฎกทิ้งแล้วครับ อย่าเอาไว้เลย !

มีแต่เรื่องไม่ถูกเรื่องทั้งนั้น

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 13:42:47

ความคิดเห็นที่ 25

ที่ชอบใจความเห็นที่ 21 โดยคุณไข่เจียวหน้าหนาว นั้นก็ด้วยสาระธรรมที่ว่า "ไม่เชื่อใครง่ายจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตนเอง" แต่ขออนุญาตไม่รวมสำนวนที่ก้าวล่วงท่านอื่นในความเห็นนั้นค่ะ

จากคุณ : มดละเอียด

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 13:52:10

ความคิดเห็นที่ 26

คหที่ 24 คุณระนาดเอก ผมเข้าใจว่าพูดประชด แต่อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ เป็นบาปกรรมเปล่าๆ

คหที่ 20 เทวดาส่วนใหญ่ มีขันธ 5 นะครับ แต่รูปขันธ ละเอียดกว่า ไม่เหมือนของเราเท่าั้นั้น

จากคุณ : กายใจ

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:21:58

ความคิดเห็นที่ 27

เช่น เทวดา ไม่มี ขันธ์5 แล้ว จะสอนเรื่อง ขันธ์5 ให้ เทวดาฟัง
ดูจะไม่ถูกเรื่องนะครับ หรือเป็น อย่างอื่นครับ

----------------- ถ้าเทวดา ท่านฟังธรรมไปพร้อมกับมนุษย์ที่มีขันธ์5 ท่านก็คงฟังไป ท่านมีขันธ์ 4 แต่ จะขันธ์5 ขันธ์ 4 ขันธ์ 1 ก็เป็นธรรมดาที่ไม่เที่ย่งทั้งนั้น เป็นเหตุให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จากคุณ : วงกลม

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:33:40

ความคิดเห็นที่ 28

พระพุทธวจนะ หนึ่ง -- ท่านพุทธทาสแปลไว้ใน ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ -- หาอ่านเอง นะครับ

ตรัสว่า --- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท

สำนวนแปล ที่ท่านพุทธทาสแปลนี้ "ใครไม่ถูกใจ" เพราะ ? --ก้ สอบทานกัย สำนวนแปลอื่นๆ "เอง" นะครับ

ทีนี้

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ว่า "วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะท่าน ฯลฯ -- ดูตามหลักฐาน ภาพ นะครับ (หน้า ๙๖ ในหนังสือ รู้จักพระไตรปิฎก เพื่อเป้นชาวพุทธที่แท้)

ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท ตามที่ปรากฎในวิสุทธิมัคค์ จึง เท่ากับ
(๑) ไม่ สอดคล้องกับ พระพุทธวจนะ "ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท"
(๒) สดคล้องกับที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ว่า "วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะท่าน ฯลฯ (ดู ตามตัวหนังสือ ตามภาพ)

คุณเฉลิมศักดิื 1 --ไม่ทราบว่า "ไม่ยอมรับ ทั้ง ๒ ข้อ" หรือ ไม่อย่างไร? ยกไว้นะครับ
รวมทั้ง อื่นจาก คุณเฉลิมศักดิื 1 ด้วย -----ไม่ทราบว่า "ไม่ยอมรับ ทั้ง ๒ ข้อ" ก้ยกไว้

เมื่อ ผม เสนอตามหลักฐานเช่นนี้ -- แล้ว คุณเฉลิมศักดิ์ 1 อาสัย อะไร จึง สรุป แล้วเสนอว่า --- เจตนาของคุณเซนก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษ ตามท่านพุทธทาส

3 บรรทัดบน ผมไม่ได้ถามคุณเฉลิมศักดิื์ 1

ผม เสนอ เพื่อให้ "คุณวรพจน์" หรือ " "ผู้ที่เกี่ยวข้อง" ในการ พิจารณา การตั้งกระทู้นี้ ของคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่า --- สอดคล้อง เหมาะสม กับ สโลแกน -- เพื่อสังคมออนไลน์คุณภาพ ของพันทิพย์ดอทคอม หรือไม่?

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:39:27

ความคิดเห็นที่ 29

กลับมาอ่าน ว่าจะเพิ่ม ความเห็น ที่แย้ง กับท่าน พุทธทาส ซะหน่อย
ก็โดน ซะแล้วสิครับ

--------------------
ผมได้ เงื่อน ที่น่าจ่ะเป็นเงื่อน ที่ ผมคิดว่า คน มอง ข้ามไปนะครับ
คือ เงื่อนไข เวลา นะครับ

จาก ที่คน คิดว่า

1วัน สวรรค์ = 100 ปี โลกมนุษย์

แล้วคนก็คิดว่า เหมา คิดกันว่า

1 ชั่วโมง สวรรค์ = 36500 ชั่วโมง โลกมนุษย์

ถ้า คิดใหม่ หละครับ

คือแบบว่า คนโบราณ ไม่รู้จัก ชั่งโมง หรือ การแบ่งวัน อย่างละเอียด

แต่ จะแบ่ง ออก ตาม อาการของดวงอาทิตย์ หละครับ
อย่าง พระอาทิตย์ ขึ้น - เช้า
พระอาทิตย์ ตรงหัว - เที่ยง
พระอาทิตย์ ตก - เย็น
พระอาทิตย์ ไม่มี - กลางคืน

แล้วพอมี พระอาทิตย์ ขึ้น อีกครั้งก็เป็น 1 วัน

แล้ว ถ้า บนสวรรค์ นั้น มีอาการอย่างนี้ นะครับ
แต่ ระยะไม่ใช่อย่างที่คิดกัน คือมันมี 867000 ชั่วโมงละครับ
แลัว จะได้ว่า
1ชั่วโมง สวรรค์ = 1 ชั่วโมง โลกมนุษย์

อธิบายให้เห็นภาพ นะครับ

คนเรา อายุ ไม่น่าเกิน 100 ปี
ถ้า เราเอา มนุษย์โลก ไปไว้ ที่สวรรค์ ตั่งแต่ ทารกแรกเกิด
เด็กคนนี้ อาจจะไม่มีโอกาส เห็น วันใหม่ บน สวรรค์ ก็ได้ครับ เพราะ แก่ตาย
เสียก่อน

ถ้า เปลื่ยน เวลาเป็นแบบนี้ เหตุการณ์ อย่าง อื่นๆ ก็น่าฟังขึ้น นะครับ

ขอ อภัย ถ้าไม่ตรง กับ ทิฏฐิ ใคร นะครับ

จากคุณ : ฟ/-ถ (a235)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:44:42

ความคิดเห็นที่ 30

ผมว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่อง นรก,สวรรค์,เทวดา เลยครับ มันไม่ทำให้ชีวิตพวกคุณดีขึ้นหรอก มันเป็นแค่ความเชื่อ เอาเป็นว่าลองเอาธรรมมะต่างๆ ไปลองไปปฏิบัติดู แล้วตัดสินใจด้วยตัวคุณเองดีกว่า ว่าOKหรือเปล่า เหมาะกับคุณหรือเปล่า ทำให้คุณพ้นทุกข์หรือเปล่า ท่านเจ้าของกระทู้ที่พูดหรืออ้างอิงเรื่อง นรก,สวรรค์,เทวดา เป็นเรื่องเป็นราวเนี่ย นัดมาเจอกับผมหน่อยได้มั๊ย ผมให้เงินคุณ 500,000 บาทเลย ให้เวลา7วัน พิสูจน์ให้ผมเห็นให้ได้ว่า นรก,สวรรค์,เทวดา มันมีอยู่จริง มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ ถ้าทำไม่ได้หรือพิสูจน์ไม่ได้ อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดหรืออ้างอิงดีกว่าครับ มันไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร
มันบ่งบอกระดับของปัญญาคุณด้วย

จากคุณ : ไข่เจียวหน้าหนาว

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 18:14:26

ความคิดเห็นที่ 31

ใครบอกว่าเด็กเกิดใหม่ไม่มีกิเลส
ต่อให้พึ่งปฏิสนธิ อยู่ในท้อง ก็มีกิเลส
ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่ได้มาเกิดครับ
หรือปฏิจสมุปบาทสายเกิด มันไม่เกิด เลยมาเกิด เอ๊ะ ดูขัดกันชอบกล

คำว่าอุปกิเลส คือกิเลสอย่างกลาง จิตประภัทสร แต่โง่ เพราะยังมีอนุสัย
แม้ไม่มีอุปกิเลสจรมา แต่เชื้อมันมี อนุสัยมันมี ใครบอกว่าเด็กเกิดใหม่เป็นพระอรหันต์ คิดไปได้ยังไง
ใครสอนแบบนี้?

กรรมนำส่งให้เกิดมา เรียกว่ากรรมชรูป มีบาุปบุญจากอดีตชาติ มีอวิชชา จึงต้องเกิด
เพราะยังโง่อยู่ ยังปรุงแต่งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ยังมีมโนสัญยเจตนาอยู่ โอ้ย อย่าให้ปากเปียกปากแฉะเถอะ

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 18:31:45

ความคิดเห็นที่ 32

คุณไข่เจียวหน้าหนาว คหห. 21

ผมไม่เห็นด้วยครับ

จริงอยู่ บางคนอาจเอาแต่หยิบยกตำราขึ้นมาฟาดฟันกัน จนละเลยการนำเอาไปปฏิบัติ ละเลยการรักษาใจของตน แต่มันก็เป็นคนละประเด็น

เพราะการตั้งทิฏฐิให้ถูกตรง มีสัมมาทิฏฐิในระดับโลกียะ
เรียกง่ายๆคือมีความเห็นพื้นฐานที่ถูกต้องเสียก่อนในระดับความคิด

มันสำคัญมากนะครับ

นี่เหมือนการตั้งเข็มทิศชี้เป้าหมายเลยทีเดียว เริ่มแรกดูเหมือนคุณแค่ชี้เบนเข็มทิศผิดไปนิดเดียว แต่พอยิ่งเดินทางไปนานวันเข้า คุณก็จะยิ่งออกห่างจากเป้าหมายไปมากขึ้นๆเรื่อยๆ เผลอๆอาจจะตลอดกาล

เพราะฉะนั้นต้องแยกประเด็นกันก่อนครับ ว่าตอนนี้เรากำลังพูดกันในเรื่องทิฏฐิที่คลาดเคลื่อน ที่มีความอันตรายมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้น จึงควรต้องมีการชี้แจงแถลงไขให้กระจ่างกัน

ส่วนใครจะพอใจอยู่กับแค่การถกเถียงทางตำรา ไม่นำเอาไปปฏิบัติ ผลเสียก็ย่อมจะเกิดแก่เขาเอง ก็อาจมีการตักเตือนกันไปตามควร

แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่า ทิฏฐิที่มีความคลาดเคลื่อน ที่ยังมีความเข้าใจไม่ต้องตรงกัน เป็นเรื่องที่สามารถปล่อยๆไปได้นะครับ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ ทำไมพระอรหันต์สาวกท่านถึงยังให้ความสำคัญ มาทำการสังคายนา แยกทิฏฐิที่ผิดออกจากพระสัทธรรมได้ ทั้งๆที่ท่านก็ล้วนเป็นพระอรหันต์สิ้นซึ่งความอยากแล้ว ถ้าพูดแบบโลกๆก็ต้องบอกว่าท่านไม่ได้จะมีส่วนได้เสียอะไรสักหน่อย

เพราะพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของพุทธบริษัท ๔ (ที่ตอนนี้เหลือแค่ ๓) ช่วยกันรักษานี่แหละครับ

"เลิกเถียงกันเรื่องนามธรรมเรื่องความเชื่อเถอะครับมันไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ เชื่อตัวเองดีที่สุดครับ..."
ผมจึงไม่เห็นด้วยครับ การสนทนาลักษณะนี้อาจจะดูไม่สงบ แต่มันไม่ใช่แค่การถกเถียงในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร
กลับกันนี่เป็นการสะสางกันทางความเข้าใจกัน ในระดับสัมมา-มิจฉาทิฏฐิเลยทีเดียวนะครับ ไม่ใช่แค่ในรายละเอียดที่จะผ่านๆไปก็ได้

หากเชื่อตัวเอง แล้วลงมือคลำทางเลย ผมว่ามันอันตรายไม่ใช่น้อยเลยนะครับ

เพราะปัญญานั้นต้องเป็นไปตามลำดับขั้น กระทำควบคู่ไปเป็นลำดับทั้งปริยัติ+ปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เองถึงที่มาแห่งปัญญา ท่านฟังให้มาก โยนิโสมนสิการพิจารณาให้มาก สนทนาถามไถ่ท่านผู้รู้กันให้มาก ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด มีจินตมยปัญญาก่อน จึงจะเป็นปัจจัยให้เกิด ภาวนามยปัญญาที่ถูกตรงได้

แล้วก็ต้องแยกประเด็นกัน ระหว่างการปล่อยวาง กับ การปล่อยปละ ที่ไม่พึงนำมาสับสนกัน เป็นปัญหากันมากในสังคมขณะนี้

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 19:01:16

ความคิดเห็นที่ 33

"นิคคณเห นิคคหารหิ ปคคณุเห ปคคหารหิ
พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม"

ควรติคนอื่นหรือไม่

ปัญหา คนบางคนถืออุเบกขา ไม่ยุ่งกับคนอื่น ไม่สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญโดยกาลอันควร
ไม่ติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร
เฉย ๆ เสียสบายดีเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไรในคนประเภทนี้ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร ตามความเป็นจริง
(แต่) ไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

ผู้กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร
(แต่) ไม่ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ๑

ผู้ไม่กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
ทั้งไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
ทั้งกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

“ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้
บุคคลผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้
เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

โปตลิยสูตร

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 19:05:14

ความคิดเห็นที่ 34

อักษร ทำ พิษ

จากคุณ : เมืองโบราณ

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:38:03

ความคิดเห็นที่ 35

“ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้
บุคคลผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้
เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

โปตลิยสูตร

อนุโมทนา ที่คุณ EvaAngelion ยกเสนอ ข้างบน นี้

สมควรเป็น แผนที่ หรือ กระจกส่อง
เมื่อ ฯลฯ

คคห 31
อุปกิเลส -- ดู พระบาลี จูฒทุกขักขันธสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย
มีกล่าวคำว่า

โลโภ จิตตสฺส อุปกฺกิเลโส
โทโส จิตตสฺส อุปกฺกิเลโส
โมโห จิตตสฺส อุปกฺกิเลโส

โลภะ โทสะ โมหะ เป็น อุปกิเลของจิต

พระสูตรไหนครับ ที่ตรัสว่า --- คำว่า อุปกิเลส คือกิเลสอย่างกลาง (อะไร กิเลสอย่างต้น อะไรคือกิเลสอย่างปลาย?)
เรียนถามทุกๆ ท่าน ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:41:18

ความคิดเห็นที่ 36

จากความจำ
อีกพระสูตร
อุปกิเลสสูตร ตรัสถึง นิวรณ์ทั้ง ๕

อีกพระสูตร ตรัสว่า อวิชชา มี นิวรณ์เป็น อาหาร (อาหาโร -เหตุ)

ยังหาไม่พบ ทีตรัสว่า -- อุปกิเลส คือกิเลสอย่างกลาง

ท่านใด ทราบ กรุณา แจ้งด้วย ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:43:05

ความคิดเห็นที่ 37

อยู่ในส่วนที่คุณพี่โชติไม่เคยเห็นหนะครับ

คุณพี่โชติเห็นแม้ในสิ่งที่ไม่มีในพระไตรปิฏก หรือแม้กระทั่งสรุปเอาว่าเป็นไปดังใจตน
หากใครเสนอพระอภิธรรมปิฏกขึ้นแสดง พี่โชติจะไม่ยอมรับ เราทราบกันเกินครึ่งว่าเป็นเช่นนั้น

แล้วอย่างนี้ พี่จะถามหาอะไรไปทำไมครับ?

แม้กระทั่งในที่หลายแห่ง กล่าวถึงเรื่อง ๓ ภพ แม้ในพระสูตรเองก็มากมาย
พี่โชติเคยได้เห็นหรือไม่ครับ

แล้วพี่โชติจะขออ้างอิงทำกะปิน้ำปลาหวานอะไรครับ?

เรียนถามกลับไปยังท่านที่คิดว่าพี่โชติไม่ได้ปฏิเสธพระอภิธรรมและอรรถกถานะครับ ว่ายังเชื่ออย่างนั้นหรือครับ?

บทว่า มชฺฌิมเกปิ กิเลเส กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือกิเลสอย่างกลางระหว่างกิเลสอย่างหยาบและอย่างละเอียด มีกามวิตกเป็นต้น.
บทว่า สุขุมเกปิ กิเลสอย่างละเอียด คือกิเลสอย่างละเอียดยิ่งมีวิตกถึงญาติเป็นต้น.
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิยา มิจฺฉาทิฏฺฐึ ธมติ กำจัดมิจฉาทิฏฐิ ด้วยสัมมาทิฏฐิ คือนำออกซึ่งมิจฉาทิฏฐิอันวิปริตด้วยสัมมาทิฏฐิ ที่สัมปยุตด้วยมรรคพร้อมกับวิปัสสนา. แม้ในสัมมาสังกัปปะเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ ๑๖. สาริปุตตสุตตนิทเทส
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=29&i=881&p=1

หรือ

อนึ่ง การละกิเลสอย่างหยาบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวินัยปิฎก เพราะศีลเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างหยาบ. การละกิเลสอย่างกลางตรัสไว้ในสุตตันตปิฎก เพราะสมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างกลาง. การละกิเลสอย่างละเอียด ตรัสไว้ในอภิธรรมปิฎก เพราะปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างละเอียด. อนึ่ง การละกิเลสชั่วคราว ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละกิเลสด้วยข่มไว้ และการละกิเลสเด็ดขาด ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้. การละสังกิเลสคือทุจริต ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละสังกิเลสคือตัณหาและทิฏฐิ ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้.
ในปิฎก ๓ นี้ พึงทราบว่าแต่ละปิฎกมีคัมภีรภาวะทั้ง ๔ คือความลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนาและโดยปฏิเวธ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=29&i=881&p=1

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:50:34

ความคิดเห็นที่ 38

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

สังฆสูตร

ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล อุปกิเลสอย่างหยาบ คือ กายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต ของภิกษุผู้ประกอบอธิจิต ยังมีอยู่ ภิกษุผู้มีสัญชาติเป็นคนฉลาด
ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างหยาบของใจตนนั้นเสีย ทำให้สิ้นไป ให้
หมดไป เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นไปแล้ว ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตยังคง
มีอุปกิเลสอย่างกลาง คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ภิกษุผู้มีสัญชาติ
เป็นคนฉลาด ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างกลางของใจตนนั้นเสีย ทำให้
สิ้นไป ให้หมดไป เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นสุดแล้ว ภิกษุผู้
ประกอบอธิจิตยังคงมีอุปกิเลสอย่างละเอียด คือ ความวิตกถึงชาติ ความวิตก
ถึงชนบท และวิตกอันปฏิสังยุตด้วยความไม่ดูหมิ่น ภิกษุผู้มีสัญชาติเป็นคน
ฉลาด ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างละเอียดของใจตนนั้นเสียทำให้สิ้นไป
ให้หมดไป

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=20&item=541&items=1&preline=1

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:53:19

ความคิดเห็นที่ 39

ขอบคุณคุณกายใจที่ทักเตือน
เรื่อง "เผาพระไตรปิฎกทิ้ง" นี่ไม่ใช่ประชดนะ

เขาจะทำกันจริงๆ นะ คุณไม่เคยได้ยินเหรอ
ให้เอาพระอภิธรรมปิฎกไปทิ้งทะเลให้หมดเลย
บาปมั้ย คุณว่า

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:09:40

ความคิดเห็นที่ 40

มีใครจะเอาหลักฐานเรื่องโกยพระไตรปิฏกทิ้ง บอกผมนะพี่ระนาด
เดี๋ยวจัดหนัก

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:12:01

ความคิดเห็นที่ 41

สำหรับ คคห#30 คุณไข่เจียวฯ บอกว่า

"ผมว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่อง นรก,สวรรค์,เทวดา เลยครับ มันไม่ทำให้ชีวิตพวกคุณดีขึ้นหรอก มันเป็นแค่ความเชื่อ"

ฟังดูก็เหมือนจะมีความคิดหรอกนะ
แต่การประกาศหาคนพิสูจน์ความจริงให้คุณด้วยเงิน 5 แสนเนี่ย

ตกลงว่า พุทธศาสนาในทัศนะของคุณก็พิสูจน์อย่างเร่งรัดภายใน 7 วัน ด้วย "เงิน" นี่เอง

ต่อไปก็คงจ้างให้คนมาพิสูจน์ญาณปัญญาให้คุณด้วย ว่างั้น

เรียกว่าอยากพิสูจน์อะไร ไม่ต้องปฏิบัติเอง
ไม่ต้องเปิดใจศึกษาเอง
ไม่ต้องทำอะไรเลย รอให้คนโทรมา
เสร็จแล้วก็ไปนั่งๆ รอๆ ภายใน 7 วัน คุณก็จะได้เห็นนรกสวรรค์ ได้บรรลุธรรม
แล้วก็ควักกระเป๋าจ่ายไป 5 แสน
เดินยิ้มย่องหิ้วสัจจธรรมกลับบ้านไป

ภาษิตจีนว่า มีเงินจ้างผีมาโม่แป้งให้ก็ยังได้
แหม ทุนนิยมนี่ดีจังเลย

จ่าย 5 แสนก็ไปทัวร์นรกสวรรค์ได้แล้วโว้ย!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:23:13

ความคิดเห็นที่ 42

ถ้าไม่สำคัญ พระพุทธองค์ท่านไม่สอนไว้นะครับคุณไข่
ผมเชื่อเรื่องภพอื่น ๆ เรื่องตายแล้วกรรมดีกรรมชั่วติดตามไป
เรื่องการสั่งสมบารมี ๒๐ อสงขัยเศษแสนกัปป์ ของพระพุทธองค์
อย่างไม่มีข้อสงสัยเลย ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องภพอื่น
เราจะมาปฏิบัติทำไม การบรรลุธรรมก็ไม่มีผลสิ
ถ้าตายสูญ จะเกิดมาได้ยังไง มันไม่ใช่แค่โวหาร หรืออุบายที่ต้องเอออวย
แต่มันเ็ป็นความจริง ผมมิบังอาจให้ใครไปตายเพื่อพิสูจน์
มีอีกหลายเรื่องที่ไม่เห็นต้องพิสูจน์เดี๋ยวนี้
เอาว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ ก็เลือกเอาครับ ถ้าปัญญายังไม่ถึง เราก็ภาวนาไปก่อน
ถึงเวลาพร้อมเื่มื่อไหร่ก็รู้เองเน๊อะ

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:31:04

ความคิดเห็นที่ 43

โอ้โฮ ทั้ง 2 กระทู้นี่คุณโชติแก "เล็ง" โพส คคห ให้เป็นหมายเลข #28 เดียวกันเลย

ผมก็ต้องยก คคห#34 จากกระทู้เดิมมาฉายซ้ำ - http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#34

คุณโชติก็เป็นเสียอย่างนี้ ซ้ำซาก
สิ่งที่คุณทำนั้น เป็น "ความจริงครึ่งเดียว"

ซึ่งผมขอประณามว่าเป็นวิธีที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการบิดเบือนความจริงทั้งหมดเสียอีก!

ก่อนอื่น ผมขอให้ท่านทั้งหลายไปทัศนาเนื้อความที่เรียบเรียงขึ้นโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ซึ่งคุณปล่อย นำมาแสดงไว้ที่ คคห#18 - #19 ในกระทู้ "ควรเห็นคุณค่าของอรรถกถา ที่ค้ำชูอยู่เคียงข้างพระไตรปิฎก"

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9614626/Y9614626.html

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวถึงความสำคัญของอรรถกถา และท่านแสดงเรื่องพระพุทธโฆษาจารย์ไว้อย่างไร
จะได้เห็นว่าท่านพระพุทธโฆส คือใคร
ท่านสร้างคุณูปการไว้อย่างไร
ท่านทำงานด้วยความสุจริตอย่างไร
ผลงานของท่านมีมากมาย และทรงคุณค่าต่อการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างไร

พระพรหมคุณาภรณ์ได้เล่าเหตุการณ์ที่พระพุทธโฆสแต่งคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ขึ้นมา ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นอรรถกถาเพื่ออธิบายพระไตรปิฎก

ในหนังสือที่คุณโชติอ้างถึงนั้น พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวถึงคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไว้ว่า ..

ในยุคอรรถกถา คัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ของพระพุทธโฆสะผู้เป็นพระอรรถกถาจารย์องค์สำคัญ แม้จะถือกันว่าเป็นปกรณ์พิเศษ ไม่ใช่เป็นอรรถกถา เพราะท่านเรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องที่ท่านตั้งเอง ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ได้รับความนับถือมากเหมือนเป็นอรรถกถา เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์ระดับอรรถกถา ประเทศพุทธศาสนาเถรวาทต่างให้ความสำคัญ ถือเป็นแบบแผนในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนา

แต่คุณโชติกลับยกข้อความมากล่าวเพียงสั้นๆ ให้เป็นเลศงำ เพียงแค่..
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ว่า "วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ .."

เจตนาของคุณโชติก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษและคัมภีร์วิสุทธิมรรค!

โดยจงใจเลือกหยิบเฉพาะประโยค "..ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ.." เอามาลงไว้ห้วนๆ สั้นๆ เพื่อให้ผิดความหมาย
ทำให้คนอ่านที่อาจไม่ได้สนใจไปดูข้อความดั้งเดิมของพระพรหมคุณาภรณ์ เกิดความเข้าใจผิดต่อ คัมภีร์วิสุทธิมรรค และพระพุทธโฆส !!

ทั้งๆ ที่ข้อความเดิมนั้น พระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวยกย่องคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ต่างหาก
ว่าขนาดเป็นเพียงปกรณ์พิเศษ ไม่ได้เป็นอรรถกถาที่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่กระนั้น คัมภีร์วิสุทธิมรรคก็ยังยิ่งใหญ่มาก ได้รับความนับถือมากเหลือเกิน เสมือนหนึ่งเป็นอรรถกถา เรียกได้ว่าคัมภีร์วิสุทธิมัคค์เป็นคัมภีร์ระดับอรรถกถา ประเทศพุทธศาสนาเถรวาทต่างให้ความสำคัญ ถือเป็นแบบแผนในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนา

ความเดิมเป็นเช่นนี้! แต่คุณโชติจงใจบิดเบือนโดยเลือกยกเนื้อความมาแสดงไม่ครบ ทำให้สับสน!

นี่คือ พฤติกรรมยอดแย่ ที่เกิดจากความอคติของคน!

คุณโชติแกต้องกลายเป็นคนที่น่าตำหนิเช่นนี้ - เพราะใคร ?

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:42:39

ความคิดเห็นที่ 44

อ้าวพี่โชติแกล้งตายซะงั้น
ถามให้คนตอบ เขาก็ตอบ หาพระคัมภีร์อ้างอิง บางจังหวะก็ครั่นไคล้ให้ตอบอยู่นั่นหละ

พอคนเขาถามบ้าง พี่แกล้งเนียนเงียบ พี่เอาไงเนี่ย สังคมออนไลคุณภาพป่าวเนี่ย
จะกี่ปีผ่านไป พี่ไม่มีพัฒนาเลย บอกว่า ๓ ภพไม่มี เขาก็เอามาให้ดูว่ามี
บอกว่าปฏิจสมุปบาทแบบ คร่อม ๓ ภพไม่มี มีสิ เอาไงอีก
เรื่องเทวดา นางฟ้า นรกสวรรค์ ก็มีเพียบ
คือว่าจะให้ตายสูญกันหมดอะนะ
พยายามเหลือเกิน ที่จะจำเอาเฉพาะที่ตนพอจะตีความเข้าข้างตัวเองและอาจารย์ของตนได้
สักพักก็อ้างกาลามสูตร พี่เข้าใจเรื่องกาลามสูตรว่าไง เข้าใจคำว่าธรรมสัจจะ ไม่สาธารณะว่าไง
แล้วสัจธรรม ที่สาธารณะ พี่เข้าใจว่าไง ไม่ใช่ยกมั่วไปหมด
พอทำทีจะแย่ ยกกาลามสูตรซะงั้น
สักพักบอกว่าถ้าไม่ใช่พุทธพจน์ไม่เอา แหมหมั่นใส้ ก็มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ
มีไม่มากที่มาจากพระสารีบุตร หรือดูถูกรึไง เอะอะก็ว่าสาวก ๆ ก็รู้แล้วไงว่าสาวก
ทางใต้นั่นไม่สาวกเหรอ สาวกที่โจมตีท่านพุทธโฆษะหนะ ไม่ใช่สาวกเหรอ
สาวกชั้นเทพ กล้าบอกว่าเป็นทาส ผมดูเรื่องอมิตตาส ทาสในเรือลำนั้นยังเหตุผลดีกว่าพระทางใต้อีก
สาวกอะไรกล้าลามปามว่าพระพุทธเจ้าโกหกโลก
สุดยอดเลย อย่ามานับถือกันเลยดีกว่า กราบไหว้ทำไมคนโกหกโลกหนะ
แหม พูดออกมาได้ เราเป็นศิษย์เขาใช่มั๊ย อะไรผิด เรากล้าแย้งสิ
ตามเก็บให้หมดเลยหนังสือหนะ ไม่งั้นผลิตเดียร์ถีเต็มบ้านเต็มเมืองนะพี่
ทำลายยิ่งกว่าจานบินนะเนี่ย ฝังลึกไปเรื่อย เอาไงพี่
หรือชาตินี้เอาแค่นี้ มันตายสูญหนิเน๊อะ มันไม่ได้ดูเป็นนักปราชราชบัณฑิตอะไรเลยพี่
มันมั่ว พอหยุด! STOP
เลิกสร้างกรรมสร้างเวร หยุดทำลายพระศาสนาได้แล้วครับ

ปล ถ้าจะคุยให้ผมรู้เรื่อง ใ้ช้คำง่าย ๆนะ

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 23:09:20

ความคิดเห็นที่ 45

พี่โชติ
จิตประภัสสร หมายเอาขณะที่ไม่มีอุปกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลางพี่
แต่อย่างละเอียดมองไม่เห็น ยังมี

อันที่จริงมีอะไรฮา ๆ เยอะเลย จากทางใต้
(ผมยกให้พี่เป็นสายใต้ใหม่อะนะ)
เช่น

สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน

นิพพานในชีวิตประจำวัน

เง้อ บอกว่าท่านพุทธโฆษะเป็นพราหมณ์ แต่ตนเองเอาคติเรื่องพราหมณ์มาใช้เฉยเลย
คำว่านิพพาน ในคำเดิมทางพราหมณ์ เขาหมายถึงเย็น
มันก็คนละอันกัน หรือแม้แต่ไกลวัลย์ หรือชื่ออื่น ๆ ที่เหมือนจะเป็นนิพพาน
ก็คนละเรื่องกัน
ตกลงใครพรามหณ์กันแน่???

ก็ไม่ใช่ปัญหา ใครจะกำเนิดยังไงหรือเชื่อแบบไหนไม่มีปัญหา
แต่ดันเอานิพพานคือเย็น มาใช้กับคำสอนในทางพุทธ มันจะไม่มั่วเหรอท่าน
มาดูเรื่องนิโรธ ๕ ขอโทษเถอะ ตัวนิพพาน ก็ไม่ใช่นิโรธดังกล่าว เอาเฉพาะ ข้อ ๕
ไม่ใช่ข้อ ๑
ซึ่งว่ากันเชิงลึกแล้ว นิโรธ ๕ ก็ไม่ใช่นิพพานด้วย
นี่ลุ้นใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ไม่ใช่อีกแล้ว

ฉะนั้น นิพพานสัตว์ดังกล่าว เง้อ สอนไปได้ ข้อนี้ต้องแย้งนะครับ ว่าสอนผิดจริง ๆ
ข้ออื่นยังมีอีก

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 23:23:42

ความคิดเห็นที่ 46

มาดูข้อนี้ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก

พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก การฆ่าสัตว์ตัวนั้นตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน

เอากันเข้าไป

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 23:27:23

ความคิดเห็นที่ 47

ผมว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่อง นรก,สวรรค์,เทวดา เลยครับ มันไม่ทำให้ชีวิตพวกคุณดีขึ้นหรอก มันเป็นแค่ความเชื่อ?

จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง

เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 23:33:29

ความคิดเห็นที่ 48

ข้อที่คุณ TheAcT ยกมาใน คห.46

นี่ไม่ไหวจริงๆ
บอกว่าบัญญัติกลายเป็นเหนือกว่าปรมัตถ์ไปเสียแล้ว...
แนวคิดอย่างกับพวกปรัชญาตะวันตกบางสำนัก

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 00:06:53

ความคิดเห็นที่ 49

ก็เขาเป็นนักคิดหนะคุณ EvaAngelion มันก็ออกมาอย่างนี้อย่างนี้

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 00:49:26

ความคิดเห็นที่ 50

ขอฝากให้กระทุ้นี้ให้ทุกท่านได้พิจารณาประกอบ เรื่องความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิสุดโต่งสองทาง ที่เกิดขึ้นได้จากการภาวนา

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9632528/Y9632528.html

ขอบคุณครับ

จากคุณ : Gurebu

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 05:00:48

ความคิดเห็นที่ 51

สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน

นิพพานในชีวิตประจำวัน
-----------------------------
พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก การฆ่าสัตว์ตัวนั้นตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน
-------------------------------------------------------

จากข้อความที่คุณ TheAct ยกมา คงเป็นทิฏฐิของท่านพุทธทาส

ผมเดาว่า บางประเทศให้รางวัล ให้รางวัลท่านเพราะท่านนำพระพุทธศาสนาไปอธิบายให้เข้ากับศาสนาอื่น ๆ ได้ ให้เป็นแบบง่าย ๆ

ซึ่งดูเผิน ๆ แล้วก็ดี แต่ผมว่านั้นคือการปฏิรูปพระสัทธรรม นำทองคำปลอมมาปนกับทองคำจริง ทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายเร็วขึ้น

-----------------------------------------------------
๑๓. สัทธรรมปฏิรูปกสูตร
[๕๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นพระมหากัสสปนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย
และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีมาก และอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้บัดนี้
สิกขาบทมีมาก และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีน้อย ฯ
[๕๓๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกัสสป ข้อนั้นเป็นอย่างนี้คือ
เมื่อหมู่สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป สิกขาบทจึงมีมากขึ้น ภิกษุที่
ตั้งอยู่ในพระอรหัตผลจึงน้อยเข้า สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด
ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป และสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อ
ใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลก ตราบใด
ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรม-
*ชาติจึงหายไป ฉันใด พระสัทธรรมก็ฉันนั้น สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลก
ตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้น
เมื่อใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ฯ
[๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษใน
โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไปด้วยประการฉะนี้ ฯ
[๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อม
เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ
ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
๑ เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อ
ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ
[๕๓๕] ดูกรกัสสป เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อ
ความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุ ๕ ประการเป็น
ไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพ
ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
๑ เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ
จบสูตรที่ ๑๓
จบกัสสปสังยุตต์ที่ ๔

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๕๘๔๖ - ๕๘๘๘. หน้าที่ ๒๔๖ - ๒๔๗.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=5846&Z=5888&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=531

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 05:25:10

ความคิดเห็นที่ 52

http://pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html ที่หายไปจากคลังกระทู้เก่า ฯ
กู้มาได้ ตามลิงค์นี้
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:IHGiXDI1RIYJ:pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html+y9411909&cd=1&hl=en&ct=clnk&gl=th

ขอขอบคุณคุณวรพจน์และทีมงานพันทิพย์ดอทคอม ที่ช่วยกู้หลักฐาน ข้างบนให้
***********************************************

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 ยังไม่ได้ ตอบ กระทู้นี้ นะครับ
คุณเฉลอมศักดิ์ 1 เสนอไว้เมื่อ
จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1
เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 53 06:02:46

กระทู้นี้ ก็มาใน ทิศทางเดียวกันอีก

ขอให้ ท่านสมาชิกห้องศาสนานี้ ดูพฤติกรรมคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่า "อย่างไร?"
ผมจะ save กระทู้นี้ไว้อีกเช่นกัน

สรุป
ตอบ กระทู้ http://pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html

ตามลิงค์นี้ เสีย คุณเฉลิมศักดิ์ 1
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:IHGiXDI1RIYJ:pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html+y9411909&cd=1&hl=en&ct=clnk&gl=th

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 เลิก การกระทำเช่นที่ทำแล้ว คือ
http://pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html
และ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9629636/Y9629636.html

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 08:53:43

ความคิดเห็นที่ 53

คุณโชติ

ลูกผู้ชายด้วยกัน ให้มันรู้จักมี "สปิริต" บ้างเถอะครับ

อย่าให้มัน "ทุเรศ" ถึงขนาดนี้เลย !!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 11:56:26

ความคิดเห็นที่ 54

จากกระทู้ ทารกอยู่ในครรภ์เป็นพระอรหันต์ เมื่อใช้หลักจิตเดิมท่านพุทธทาส
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:IHGiXDI1RIYJ:pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html+y9411909&cd=1&hl=en&ct=clnk&gl=th

ในกระทู้นั้น มีหลักธรรมที่น่าคิดจาก ภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฏก ได้กล่าวว่า

ก็คำที่ว่า "จิตปภัสสร หรือ จิตผ่องใส" ในที่นี้ ท่านหมายถึงจิตที่เป็นภวังค์ ซึ่งจะเกิดได้ทีหลังปฏิสนธิ(จิต) ต้นวิถีหรือท้ายวิถีจิต หรือขณะที่นอนหลับสนิทๆ โดยไม่ได้มีการฝันเลบแม้แต่น้อย นั่นแหละจิตดวงนั้นแหละท่านจัดเป็นจิต "ปภัสสร" ในพุทธภาษิตนี้ไม่ใช่จิตดวงเดิม หรือจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด(อนุสัยกิเลส) เพราะถ้าเป็นจิตที่หมดจดจากกิเลสทั้งปวงจริงๆแล้ว มรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ที่ผู้ปฏิบัติทำให้เกิดขึ้น ก็กลายเป็นโมฆะไปเปล่าๆ เพราะในวิภาวินีฏีกาปริเฉทที่ ๗ พระสุมังคลสามีเถราจารย์ ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องอนุสัยไว้ว่า "ตราบใดที่มรรค ๔ มรรคใดยังไม่เกิดขึ้น อนุสัยกิเลสชนิดละเอียด ซึ่งเป็นเสมือนรากเหง้าของกิเลสอย่างกลาง และอย่างหยาบ จะขาดเองโดยพลการไม่ได้ " ดังนั้นจึงเป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้แล้วว่า คำว่า "จิตผ่องใส" ในที่นี้ก็หมายถึง ยังไม่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่กิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัย ก็ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์
ส่วนคำว่า "จรมา " นั้น ท่านแปลไปตามศัพท์ของคำว่า " อาคันตุกะ" เฉยๆเท่านั้น เพราะกิเลสมิใช่มีที่อยู่ที่เอกเทศส่วนหนึ่งต่างหาก ที่จริงก็อยู่ในจิตของมนุษย์และสัตว์ทุกดวงนั่นเอง เว้นไว้แต่จิตของพระขีณาสพและโลกุตตรจิตเท่านั้น กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในจิตทุกดวงดังว่านั้น เมื่อได้รับปัจจัยภายนอกมีอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นต้น มากระทบเข้าก็ทำให้จิตขึ้นวิถี กลายเป็นจิตรัก จิตชัง ที่เราเรียกว่า กิเลสอย่างกลางนั่นเอง แต่ความรัก และความชังที่เป็นกิเลสอย่างกลางนั้น มันเกิดขึ้นสัมปยุตกับจิตในบางครั้งเท่านั้น ท่านจึงเปรียบเหมือนกับแขกที่จรมา เพียงเท่านี้ ก็พอจะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว
ตามที่ได้ยกข้อความ จากอาคตสถานมาแสดงเปรียบเคียงให้เห็นดังนี้แล้ว ผู้อ่านก็พอจะทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ขอให้ทัศนะไว้นิดหนึ่งว่า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ บางครั้งถึงกับอุทิศเพศมาบวชเป็นเวลานานก็มี ขอร้องให้พากันเชื่อพระบาลีและอรรถกถาอันเป็นหลักปริยัติฝ่ายเถรวาทเถิด เพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิด ทิฏฐิวิสุทธิ คือความเห็นที่ถูกต้องในส่วนของพระปริยัติศาสนาขึ้นได้ แม้จะเกิดศรัทธาลงมือปฏิบัติ ก็เชื่อเหลือเกินว่าต้องไม่ผิดแน่ เพราะเมื่อปริยัติถูกก็เป็นเหตุให้เกิดปฏิบัติถูก อันเสมือนเงาตามตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ยอมเชื่อโดยยกตัวเสมอกับอรรถกถาเสียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

----------------------------------------

คุณโชติ หรือ เซน ฯ ควรน้อมมาพิจารณาให้ดีด้วยนะครับ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 12:12:16

ความคิดเห็นที่ 55

คุณเซน เขียน
กระทู้นี้ ก็มาใน ทิศทางเดียวกันอีก

ขอให้ ท่านสมาชิกห้องศาสนานี้ ดูพฤติกรรมคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่า "อย่างไร?"
ผมจะ save กระทู้นี้ไว้อีกเช่นกัน

-------------------------------

ตราบใดที่คุณยังกล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยอาศัยทิฏฐิที่คุณได้รับมาจากท่านพุทธทาส

ผมก็ยังคงมีกระทู้แนวนี้สำหรับคุณเซนเสมอ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 12:15:05

ความคิดเห็นที่ 56

เห็น คคห #52 - ไอ้เราก็หลงดีใจว่า จะได้อ่านคำชี้แจงอะไรดีๆ จากท่านปรมาจารย์โชติ

ไอ้ที่ไปอ้างพระธรรมปิฎก โดยตัดเอาคำท่านหน่อยนึง มาดิสเครดิตคัมภีร์วิสุทธิมรรค ทั้งๆ ที่พระธรรมปิฎกท่านสรรเสริญวิสุทธิมัคค์..
ดูซิว่าจะชี้แจงยังไง
ก็ไม่มี!

หรือเรื่องที่คุณเฉลิมศักดิ์ ยกถ้อยคำของท่านพุทธทาสกล่าวเอง ว่าพระพุทธโฆสอธิบาย "โลกวิทู" อย่างพราหมณ์ว่า ..
"..มันมาจากความเชื่อปรัมปราของพวกพราหมณ์ว่าโลกกลมเท่าไร กว้างเท่าไร ลมหนาเท่าไร แผ่นดินหนาเท่าไร น้ำหนาเท่าไร ลมหนาเท่าไร เขาพระสุเมรุสูงเท่าไร เขาบริวารสูงเท่าไร หิมวันต์ใหญ่เท่าไร ต้นหว้าใหญ่เท่าไร ไม้ประจำโลก ๗ ต้นเป็นอย่างไร ดวงอาทิตย์ขนาดเท่าไร ดวงจันทร์ขนาดเท่าไร ทวีปอีก ๓ ทวีปใหญ่เท่าไร ฯลฯ นี่มันไม่ใช่เรื่องของพุทธเลย.."

คุณโชติไปกล่าวหาว่าคุณเฉลิมศักดิ์ "ให้ร้าย" พุทธทาส..

แต่ในพระไตรปิฎกกลับมี พระพุทธพจน์ "จากพระโอษฐ์" ตรัสเอง เรื่องโลก แผ่นดินแผ่นน้ำ ทวีปอีก ๓ ทวีปใหญ่ อุตตรกุรุ ปุพพวิเทหะ อปรโคยานะ ฯ เรื่องจักรวาล เรื่องเขาสิเนรุ ฯลฯ

เพียบเลย!

ย้ำ! พระพุทธเจ้าตรัสเองทั้งสิ้น!!

คุณโชติจะว่าอย่างไร ทำไมไม่ชี้แจง?

ที่ว่านี้คือ "ประเด็นกระทู้" ชัดๆ

ตอบไม่ได้ แบ๊ะๆ ก็เลย "เจาะยาง" ถึงกับจะฟ้อง WM อย่างนั้นเลยหรือ

นี่น่ะรึ วิญญูชนแห่ง "สังคมออนไลน์คุณภาพ" ?!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 12:23:57

ความคิดเห็นที่ 57

อีกอย่างหนึ่ง กระทู้นี้ทำให้หูตาสว่าง - เกิดมาก็เพิ่งเคยได้เห็น #46 นี่แหละ!

ตายหา !!!

ฉบหาย !!!

บรรลัยแล้ว !!!

ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้!!

เรื่อง บุญ-บาป นี้แหละ คือ "หลักการใหญ่" ของพระพุทธศาสนา !!

ขอวานคุณ TheAct ช่วยโพสหลักฐานให้ด้วย เอาให้ชัดๆ

ถ้ามัน "ชัด" !

ต่อไปจะได้เลิกเรียกท่านว่า "ท่าน" เสียที

ถึงว่าสิ ทำไมครูบาอาจารย์ถึงได้เรียกท่านว่า "เดียรถีย์" !!

สมัยนั้นก็ยังคิดว่าครูบาอาจารย์ว่าท่านแรงไปรึปล่าว ?

ไอ้เราก็มัวหลงนับถืออยู่ตั้งนาน ไม่รู้เรื่องเลย บรมงมโข่งแท้ๆ

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 12:33:02

ความคิดเห็นที่ 58

เรียนคุณระนาดเอก

ผมสื่่อสารกับคุณเฉฃิมศักดิื 1 "เท่านั้น" โปรด ทราบ ตามข้อความนี้ ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 13:46:34

ความคิดเห็นที่ 59

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- พิจารณา ข้อความที่เสนอ นะครับ

ข้อความคือ -- ตราบใดที่คุณยังกล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยอาศัยทิฏฐิที่คุณได้รับมาจากท่านพุทธทาส

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "ดำรงฐานะอะไรครับ? เทียบกับ "พระพรหมคุณาภรณ์" นะครับ

สิ่งที่คุณเฉลิมศักดิื 1 เสนอ -- ตามหลักฐาน ที่ผมอ้างอิง

คือ
http://pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html
และ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9629636/Y9629636.html

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "มีความรู้ความสามารถ" เทียบเท่า
(๑) ท่านพุทธทาส ไหม?
(๒) "พระพรหมคุณาภรณ์" ไหม?

เชิญครับ --มีอะไรๆ ที่คุณเฉลิมศักดิื 1 ยัง ไม่ แสดง เสนอ ออกมา
เชิญ แสดง เสนอครับ

ที่สำคัญ -- อย่าลืม ตอบ กระทู้ ที่ผมถาม -- ตามกระทู้ที่กู้คืนมาฯ

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:IHGiXDI1RIYJ:pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html+y9411909&cd=1&hl=en&ct=clnk&gl=th

นะครับ

เพิ่มเติม
--หลังจากเข้ามาอ่าน เห็นกระทู้ข้างล่าง
พิจารณา ตามหลักฐาน นะครับ
เอา ธรรม ที่แสดง วินัยที่บัญญัติ เป็นที่ตั้ง

แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 53 20:44:17

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 13:53:16

ความคิดเห็นที่ 60

เบาๆๆ

ท่าทางจะเกินร้อย

.

.

ที่ไม่มีความขัดแย้งไม่มี

แค่อยากให้เปลี่ยนความคิดเห็นกัน แบบสวยงาม

จากคุณ : ผมชื่อต้อง

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 19:20:42

ความคิดเห็นที่ 61

ท่านพุทธทาสมรณภาพไปแล้ว จะพูดกันทำไมมากมาย
ขอเห็นด้วยกับฮิมาวาริซซัง ท่านเป็นพระภิกษุ ถือศีลสูงกว่า รวมทั้งปฏิบัติตัวดีเยี่ยมด้วย ข้อคิดข้อเขียนของท่านที่บกพร่องไปบ้างก็ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ของท่านจะคล้อยตามไปทั้งหมด การว่าร้ายกันบ่อยๆถือว่าสร้างความแตกแยก ทางที่ถูกแล้วการแก้ต่างเป็นคราวๆน่าจะดีและได้ประโยชน์ที่สุด

อีกอย่าง งานของท่านทำให้พุทธศาสนาเป็นที่สนใจกว้างขวาง การโจมตีหรือต่อต้านมีแต่เสียกับเสีย คนโจมตีก็เสียที่ไม่มีธรรม(คงบางข้อ) ท่านพุทธทาสซึ่งเป็นพระในพุทธศาสนาก็เสีย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น(ท่านคงไม่ฟื้นมาแก้ไข) โดยสรุป ศาสนาของเรามีแต่เสียกับเสีย

จากคุณ : กัป'

เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 22:38:01

ความคิดเห็นที่ 62

เรียน คุณเซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

ผมสื่อสารกับคุณโชติ "เท่านั้น" โปรด ทราบ ตามข้อความนี้ ครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เคยหวังว่าคุณโชติจะเป็นลูกผู้ชายพอ

แต่ตอนนี้ สิ้นหวัง

คุณเซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

มาเดือดร้อนอะไรที่ผมสื่อสารกับคุณโชติด้วยครับ??

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 01:03:36

ความคิดเห็นที่ 63

^
^
ฮ่าฮ่าฮ่า
เด็ดจริงๆท่าน

วานท่าน TheAct ด้วยคน อยากรู้เหมือนกันว่าอยู่ในเล่มไหน หน้าใด
เห็นกันจะจะ ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว

------------------------
สนทนากับท่าน กัป' สักเล็กน้อย และหลายๆท่านที่อาจจะคิดเช่นนี้
เพราะเวลาพูดประเด็นนี้กันเมื่อไร ก็มักจะพบความเห็นทำนองนี้อยู่เสมอ

ข้อคิดข้อเขียนของท่านที่บกพร่องไปบ้าง...

ผมว่าดูตามหลักฐานนี้ไม่ "บ้าง" แล้วล่ะครับ ถึงระดับเป็นมิจฉาทิฏฐิได้เลยทีเดียว มีทั้งเรื่องตายแล้วสูญ ปฏิเสธภพภูมิ ปฏิเสธเวียนว่ายตายเกิด แล้วจะเรียกพุทธศาสนาได้อย่างไร ต้องยอมรับว่ามีคำสอนที่เป็นปัญหา(มาก)อยู่จริงๆ
แต่อย่างว่า ต้องดูและยอมรับว่ากันไปตามหลักฐานอย่างเป็นกลางนะครับ

ทางที่ถูกแล้วการแก้ต่างเป็นคราวๆน่าจะดีและได้ประโยชน์ที่สุด...

ไม่ดีหรอกครับ แล้วเมื่อไหร่ชาวพุทธจะมีหลักความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันเสียที ควรจะไขข้อสงสัย แล้วชี้แจงให้กระจ่างชัดเจนเป็นที่ทราบโดยทั่วกันต่างหาก

ถูกว่าตามถูกผิดว่าตามผิด ส่วนดีก็สรรเสริญไป ส่วนเสียก็ต้องแก้ให้ชัดสิ
ไม่ใช่มัวแต่ปล่อยคาไว้ ความนับถือชื่อเสียงมากลบไปหมด

แล้วเวลาชาวพุทธรุ่นใหม่ๆมาศึกษาที ก็ต้องมานั่งถกเรื่องนี้กันที
เป็นคราวๆอย่างที่คุณว่า เป็นปัญหาคาราคาซังซ้ำซากอยู่นั่นล่ะ

งานของท่านทำให้พุทธศาสนาเป็นที่สนใจกว้างขวาง...
ก็นี่ล่ะครับที่เป็นปัญหามากประการหนึ่ง ลองนึกดูว่าถ้ามีจุดที่ผิดพลาดอยู่-แถมสำคัญเสียด้วย แล้วแพร่หลายไปกว้างขวางเสียแล้ว ผลเสียมันก็ย่อมเกิดกว้างขวางตามไปด้วย จริงมั้ย?

ชาวพุทธต้องการความเป็นที่รู้จักกว้างขวางเผยแผ่ได้มาก จนละเลยความถูกต้องกันหรือครับ?

ไม่พึงเข้าใจว่าเวลามีการ debate กัน แปลว่าต้องเป็นการทะเลาะถกเถียง มุ่งล้มล้าง หาความสงบไม่ได้นะครับ
อย่างที่ว่า คุณความดีมีมากใครๆก็พร้อมสรรเสริญกันถ้วนหน้า แต่ต้องแยกแยะ
ข้อผิดพลาดก็ต้องมีการแก้ไขกันให้ชัดเจนเสียที ไม่งั้นก็เป็นปัญหาอยู่ร่ำไป

หวังดีต่อพระศาสนา ท่านพุทธทาสเองก็คงอยากเห็นศิษย์รู้จักแยกแยะศึกษาพิจารณาด้วยตนเองเช่นกัน ไม่ใช่ให้ยึดตามแต่ความเห็นของท่าน จริงไหม
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 03:00:58
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 02:44:48

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 02:20:11

ความคิดเห็นที่ 64

จากคุณ : กัป'

ท่านพุทธทาสมรณภาพไปแล้ว จะพูดกันทำไมมากมาย
ขอเห็นด้วยกับฮิมาวาริซซัง ท่านเป็นพระภิกษุ ถือศีลสูงกว่า รวมทั้งปฏิบัติตัวดีเยี่ยมด้วย ข้อคิดข้อเขียนของท่านที่บกพร่องไปบ้างก็ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ของท่านจะคล้อยตามไปทั้งหมด การว่าร้ายกันบ่อยๆถือว่าสร้างความแตกแยก ทางที่ถูกแล้วการแก้ต่างเป็นคราวๆน่าจะดีและได้ประโยชน์ที่สุด

อีกอย่าง งานของท่านทำให้พุทธศาสนาเป็นที่สนใจกว้างขวาง การโจมตีหรือต่อต้านมีแต่เสียกับเสีย คนโจมตีก็เสียที่ไม่มีธรรม(คงบางข้อ) ท่านพุทธทาสซึ่งเป็นพระในพุทธศาสนาก็เสีย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น(ท่านคงไม่ฟื้นมาแก้ไข) โดยสรุป ศาสนาของเรามีแต่เสียกับเสีย
----------------------------------------

คุณกัปครับ แต่ทิฏฐิของท่านยังอยู่ครับ สิ่งไหนที่เป็นการกล่าวตู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามาช่วยกันชี้แจง

แม้ผู้นั้นจะอ้างว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ก็ตาม

ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/

ผู้กล่าวตู่พระตถาคต

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๒ ประเภทเหล่านี้ ย่อมกล่าวตู่ (หาความ) ตถาคต คือบุคคลผู้คิดประทุษร้าย มีโทสะในภายใน ๑ ผู้มีศรัทธา กล่าวตู่ ด้วยถือเอาความหมายผิด (๑๐) ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๒ ประเภทเหล่านี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต."

ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๗๖

------------------------------------------------------

อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้."

พรหมชาลสูตร ๙/๓

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:48:57

ความคิดเห็นที่ 65

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "มีความรู้ความสามารถ" เทียบเท่า
(๑) ท่านพุทธทาส ไหม?
(๒) "พระพรหมคุณาภรณ์" ไหม?

--- ตอบ ไหมครับ ------

เพราะ เนื่องกับ กระทู้ ที่คุณเฉลิมศักดิ์ 1 ตั้ง เสนอ นะครับ
ได้แก่
-- ตามหลักฐาน ที่ผมอ้างอิง

คือ
http://pantip.com/cafe/religious/topic/Y9411909/Y9411909.html
และ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9629636/Y9629636.html

ยังไง คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- แสดงความ รับชอบ ด้วย นะครับ

ตกลงคุณเฉลิมศักดิ์ 1 เปลี่ยนประเด็น กระทู้ แล้วใช่ไหมครับ

ได้อ่านทิฏฐิของคุณ เซน (โชติ) ศิษย์เอกของท่านพุทธทาส ดูแล้วการกระทำไม่ต่างกันเลย

ผมบอกหลายครั้งแล้วว่า
(๑) ผม ไม่เคยไปขอให้ ท่านพุทธทาสรับผมเป็นศิษย์
(๒) ท่านพุทธทาส ก้ไม่เคยรับเป้นอาจารย์ผม

คุณเฉลิมศักดิ์ มีปัญหา ด้านไหนครับ จึง ยัง กำหนดว่า "ศิษย์เอกของท่านพุทธทาส "

กระทู้นี้ เจตนา พาดพิงถึงผมโดยตรง ใช่ไหมครับคุณเฉลิมศักดิ์ 1
ท่านใด ที่ เข้ามา แจมด้วย -- ผมไม่สนใจ สื่อสารด้วย นะครับ --- แปลว่า ? คิดเออกนะครับ

ตกลง
การที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ท่าน ชี้ว่า -- วิสุทธิมัคค์ไม่ใช่ อธิบายพระไตรปืฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ
--ตามภาพ นะครับคุณเฉลิมศักดิ์ 1

อ่าน หลายๆ เที่ยวนะครับคุณเฉลิมศักดิ์ 1

พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) -- มีฐานะ พุทธบุตร ใช่ไหมครับ
แล้ว
ท่านพุทธทาส ก้ มีฐานะ พุทธบุตรใช่ไหมครับ
รวมทั้ง พระพุทธโฆษาจารย์ ก็ ในฐานะ พุทธบุตร ด้วย เช่นกันใช่ไหมครับ

เรียนตาม พรรษา ก็ต้อง -พระพุทธโฆษาจารย์ ตามด้วย พุทธทาสภิกขุ ตามด้วย พระธรรมปิฎก

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --ฐานะต่ำกว่า ท่านทั้ง ๓ ใช่ไหมครับ (ผมด้วยแหละ)
คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "มีความรู้ความสามารถ" เทียบเท่า
(๑) ท่านพุทธทาส ไหม?
(๒) "พระพรหมคุณาภรณ์" ไหม?

--- ตอบ ไหมครับ ------

ทีนี้ -- อ่าน พระพุทธวจนะ ต่อไปนี้ หลายยยย ครั้ง นะครับคุณเฉลิมศักดิ์ 1

-- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท---
-- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท---
-- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท---
-- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท---
-- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท---

ตรัสไว้เล่มไหน หน้าไหน ข้อใด คุณเฉลิมศักดิ์ 1 หา เอง เจอไหมครับ

หาไม่เจอ ถาม ผมไหมครับ

แล้ว ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท ตาม วิสุทธิมัคค์ -- สอดคล้อง ตรงตาม " -- ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท--- ------------- ไหมครับ ------------------

ในเมื่อ -- วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่ อธิบายความตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ --- ตามภาพ ข้างล่าง --- ชี้ โดย พุทธบุตร คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 "มีความรู้ความสามารถ" เทียบเท่า
(๑) ท่านพุทธทาส ไหม?
(๒) "พระพรหมคุณาภรณ์" ไหม?

--- ตอบ ไหมครับ ------
ว่า --- ที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ ว่า "วิสุทธิมัคค์ไม่ใช่อธิบายความตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ" -- ตาม ความรู้ของคุณเฉลิมศักดิ์ 1 " ไม่ถูกต้อง"

-- ตอบไหมครับ ----

กระทู้นี้ คุณ กล่าวหาผม ว่า

ได้อ่านทิฏฐิของคุณ เซน (โชติ) ศิษย์เอกของท่านพุทธทาส ดูแล้วการกระทำไม่ต่างกันเลย

พยายามกล่าวตู่ พระพุทธโฆษาจารย์ ,พระอรรถกถาจารย์ และ พระโบราณาจารย์ ของนิกายเถรวาท เพื่อสร้างความไม่น่าเชื่อถือ แต่กลับไปนิยมลัทธินอกศาสนา มหานิกาย เช่น เซน, ฮวงโป, เวยหล่าง

แล้วมีการนำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท ให้กลายเป็น อุจเฉททวาท ในที่สุด

แล้ว คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ

ตอบ ที่ผมถาม ไหมครับ คุณเฉลิมศักดิ 1

ข้อนี้ก่อน นะครับ

แล้ว คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 08:52:51

ความคิดเห็นที่ 66

ตอบ ที่ผมถาม ไหมครับ คุณเฉลิมศักดิ 1

ข้อนี้ก่อน นะครับ

แล้ว คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 08:53:39

ความคิดเห็นที่ 67

คุณ : TheAcT ขอทราบหน่อยว่า ข้อความที่อ้างใน คห. 46 กระทู้นี้นี้มีที่มาจากไหน

_{พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก การฆ่าสัตว์ตัวนั้นตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน}

-------------------------

และ คห.19 จากกระทู้

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

_{พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้}

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

-----------------------------

ขอทราบทั้ง 2 ความเห็นนี้

- ถ้าคุณ TheAct ได้อ่านมาเองโดยตรงจากหนังสือ ช่วยบอกชื่อหนังสือ และหน้าด้วย
- ถ้าเอามาจากเว็บไซต์ ขอลิ้งค์ด้วย
- หรืออื่นๆ ก็ช่วยบอกที่มาด้วย

ที่จริงการอ้างอิงเช่นนี้ คุณ TheAct ควรอ้างอิงที่มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพื่อที่ว่าคนที่สงสัย
จะได้ไปตรวจสอบข้อมูลต้นฉบับก่อน

ใน คห.46 ของกระทู้นี้ เคยได้อ่านผ่านตา ว่าท่านกล่าวเช่นนี้ แต่ต้องการดูบริบทแวดล้อมประกอบด้วย

ส่วน ใน คห.19 ของอีกกระทู้หนึ่ง ไม่เคยผ่านตา (เคยอ่านเจอแต่เรื่องเอออวย)

จึงขอความอนุเคราะห์ด้วย

เพื่อที่จะไม่เป็นกรณีว่า "ตัดแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งมา" เหมือนที่คุณระนาดเอกกล่าวถึงท่านเซนฯ อยู่ในกระทู้นี้

-------------------------------

ปล. ความคิดเห็นเกี่ยวกับกระทู้นี้ คือ ท่านเซนฯ ต้องการสะสางข้อกล่าวหาของคุณเฉลิมศักดิ์โดยเฉพาะ
ท่านอื่นๆ ที่มีประเด็นเกี่ยวเนื่อง ก็น่าจะแตกประเด็นไปตั้งกระทู้ใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ ???

อ่านแล้วปวดหัว มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:05:48

ความคิดเห็นที่ 68

และการฟ้องต่อเว็บมาสเตอร์ มันก็ไม่ได้ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่แย่มากอะไรนี่
เพราะเว็บมาสเตอร์ เขาไม่ได้ว่า ใครโดนฟ้องคนนั้นต้องโดนยึดเสียเมื่อไหร่
เว็บมาสเตอร์ท่านก็มีวิจารณญาณของท่าน

ก็ถ้าท่านเซนฯ ท่านเห็นว่า ตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมในเว็บนี้ แล้วจะให้ท่านทำอย่างไร ถ้าไม่เสนอต่อเว็บมาสเตอร์

คนอื่นจะฟ้องท่านเซนฯ ในข้อหา ดูหมิ่นท่านพระพุทธโฆษาจารย์ หรือ ข้อหาอื่นๆ ท่านก็มีสิทธิ์ทำได้เช่นเดียวกันนี่นะ
ก็เสนอหลักฐานฟ้องไปให้เว็บมาสเตอร์ท่านพิจารณา

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:18:30

ความคิดเห็นที่ 69

(๑)
กระทู้นี้ ผมถูก คุณเฉลิมศักดิื 1 แต่เพียงผู้เดียว" กล่าวหา ใช่ไหมครับ ท่านสมาชิก

ตามหัวกระทู้ -- เจตนาของคุณเซนก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษ ตามท่านพุทธทาส{แตกประเด็นจาก Y9615237}

(๒)
ผม ย่อมมีสิทธิ์ แสดง ความ จริง ให้ปรากฎ ตาม สโลกแกน "เพื่อสังคมออนไลน์คุณภาพ" และ "ตาม หลักฐาน ข้อมูล" ใช่ไหมครัย

(๓) ความจริงหนึ่ง ที่มีหลักฐาน ที่ผม มีอยู่ คือ "สิ่งที่คุณเฉลิมศักดิ์ 1" "ได้ กระทำให้ปรากฎแล้ว" "เกี่ยวกับ หลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา" และ "ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง คือ พุทธบริษัทของพระบรมศาสดา

คือ กระทู้ ต่างๆ "ตามกรณีนี้"

(๔) เมื่อผม กลับเข้าไปที่คลังกระทู้เก่า "หาไม่พบ" ตาม หลักฐานที่ผม "ทำสำเนาไว้"

(๕) ผม ต้องการ หลักฐานนั้น -- ผมก็ต้อง อาศัย ผู้ดูแลเวปนี้ ฯ ผม ก็ร้องขอไป

--- ทำไม ท่านสมาชิกอื่นจากท่านสมาชิกคือ คุณเฉลิมศักดิ์ 1 ต้อง เดือดร้อน ด้วยเล่า?" ----

ขอบคุณ คุณชาล้นถ้วย ที่ วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ครับ

สรุป
คุณเฉลิมศักดิื 1 --- รีบเข้ามา
ตอบ คำถามที่ผมถามไว้ว่า
-- คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ ----

ส่วน ข้ออื่นๆ ค่อย ว่ากันทีละ ข้อ นะครับ

คำถามแรก --- ที่ผมถาม เพื่อ ใช้สิทธิ ในการ ทำความจริง ของผมให้ปรากฎ เพราะ การถูกกล่าวหา ตามหัวกระทู้นี้

ผมเรียนถามคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่า --- --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ ----

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:34:10

ความคิดเห็นที่ 70

พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวถึงคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไว้ว่า ..

ในยุคอรรถกถา คัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ของพระพุทธโฆสะผู้เป็นพระอรรถกถาจารย์องค์สำคัญ แม้จะถือกันว่าเป็นปกรณ์พิเศษ ไม่ใช่เป็นอรรถกถา เพราะท่านเรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องที่ท่านตั้งเอง ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ได้รับความนับถือมากเหมือนเป็นอรรถกถา เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์ระดับอรรถกถา ประเทศพุทธศาสนาเถรวาทต่างให้ความสำคัญ ถือเป็นแบบแผนในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนา

แต่คุณโชติกลับยกข้อความมากล่าวเพียงสั้นๆ ให้เป็นเลศงำ เพียงแค่..
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ว่า "วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ .."

เจตนาของคุณโชติก็คือ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์เพื่อดูหมิ่นพระพุทธโฆษและคัมภีร์วิสุทธิมรรค!

โดยจงใจเลือกหยิบเฉพาะประโยค "..ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ.." เอามาลงไว้ห้วนๆ สั้นๆ เพื่อให้ผิดความหมาย
ทำให้คนอ่านที่อาจไม่ได้สนใจไปดูข้อความดั้งเดิมของพระพรหมคุณาภรณ์ เกิดความเข้าใจผิดต่อ คัมภีร์วิสุทธิมรรค และพระพุทธโฆส !!

ทั้งๆ ที่ข้อความเดิมนั้น พระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวยกย่องคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ต่างหาก ว่า ขนาดเป็นเพียงปกรณ์พิเศษ ไม่ได้เป็นอรรถกถาที่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่กระนั้น คัมภีร์วิสุทธิมรรคก็ยังยิ่งใหญ่มาก ได้รับความนับถือมากเหลือเกิน เสมือนหนึ่งเป็นอรรถกถา เรียกได้ว่าคัมภีร์วิสุทธิมัคค์เป็นคัมภีร์ระดับอรรถกถา ประเทศพุทธศาสนาเถรวาทต่างให้ความสำคัญ ถือเป็นแบบแผนในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนา

ความเดิมเป็นเช่นนี้! แต่คุณโชติจงใจบิดเบือนโดยเลือกยกเนื้อความมาแสดงไม่ครบ ทำให้สับสน!

คุณเฉลิมศักดิ์1 และทุกๆ ท่าน เห็นด้วยไหมครับ

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 13:01:38

ความคิดเห็นที่ 71

ผมขอขัดค้านเจ้าของกระทู้อย่างรุนแรง เพราะ
F=9d ไม่ใช่ศิษย์เอกนะครับศิษย์หางแถวยังลังเลเลยว่าใช่หรือเปล่า
พูดแบบนี้ท่านพุทธทาสเสียเชื่อนะครับ

โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับข้อเขียนของท่านพุทธทาสหลายเรื่อง
แต่เรื่องคนเอาไปอ่านแล้วตีความเข้าข้างตัวเอง ขนาดอ่านพระไตรปิฏก
ยังทำได้เลยประสาอะไรกับการอ่านคัมภีร์ชั้นหลังๆ ดังนั้นผมไม่เห็น
ด้วยที่ จะเอาการกระทำของคนๆ หนึ่งมาตัดสินท่านพุทธทาสนะครับ

จากคุณ : Pongkm (Pongkm)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 13:10:04

ความคิดเห็นที่ 72

ก็ร้องอยู่ปาวๆ ว่า "สังคมออนไลน์คุณภาพ"
ฟ้อง WM ไป ท่านก็ชี้แจงเมล์กลับมาว่า "คงต้องให้สังคมตัดสิน"
การที่ใครเห็นว่า ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม จะให้ทำอย่างไร
ก็ชี้แจงให้ "สังคมออนไลน์คุณภาพ" ตัดสินเอง
ให้สังคมพิจารณาว่า การกระทำอย่างทุเรศๆ ไร้จริยธรรม คืออ้างถ้อยคำของพระธรรมปิฎก จงใจตัดเอามาบางส่วน เอามาทำเล่ห์ให้คนเข้าใจผิด คิดว่าพระธรรมปิฎกดิสเครดิตคัมภีร์วิสุทธมัคค์..

มันเป็นธรรมมั้ย ยุติธรรมมั้ย

มิใยจะยกข้อความทั้งหมด และบริบทแวดล้อม ที่พระธรรมปิฎก อธิบายเรื่องประวัติความเป็นมาของพระพุทธโฆส และการกำเนิดคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ไว้ชัดเจนแล้ว
และยกข้อความเต็มๆ ที่ถูกตัดตอนเอามาอ้าง มาให้ดูกันอย่างชัดเจนแล้ว

ก็ยังไม่หยุดทำทุเรศๆ

พฤติกรรมยอดแย่ อย่างนี้ต่างหาก ที่สมควรแจ้งฟ้อง WM
เพราะพระธรรมปิฎก ท่านอยู่นอกกระทู้ และท่านไม่ได้พูดในความหมาย อย่างที่ "คนทุเรศ" กระทำต่อท่าน
แต่ที่นี่ "สังคมออนไลน์คุณภาพ" ก็ให้สังคมพิจารณากันเองได้
ไม่เห็นจำเป็นต้องไปฟ้อง WM

ต่างจากกรณีพุทธทาส ซึ่ง มีหลักฐานจาก
หนังสือ ปฏิจจสมุปบาทธรรม ชุดลอยปทุม
จากหนังสือ อภิธรรมคืออะไร

นั่น พุทธทาส พูดเอง และไม่ได้ยกถ้อยคำมาห้วนๆ สั้นๆ อมความ แฝงเลศ อย่างที่ "คนทุเรศ" ทำไว้

อีกทั้งกระทู้นี้ แตกประเด็นมาจากกระทู้ที่ "โชติ" อ้างถ้อยคำพระธรรมปิฎก

จขกท. จึงว่า มีการกระทำไม่ต่างจากพุทธทาส และก็ยกหลักฐานอ้างอิงชื่อหนังสือท่านพุทธทาส มาให้ดู

จขกท. อ้างกระทู้เดิมว่า พระธรรมปิฎก ท่านว่าไว้อย่างหนึ่ง ก็เอาคำท่านมาพูดสั้นๆ ทำเลศ ให้เข้าใจไปอย่างหนึ่ง
พระพุทธโฆส ท่านแต่งวิสุทธิมัคค์ ไว้เรื่องโลกวิทู ตรงตามสอดคล้อง กับที่พุทธพจน์ตรัสไว้ (เรื่องทวีป อีก ๓ ทวีปเป็นต้น) ก็ถูกแล้ว
แต่พุทธทาส ไปอ้าง "เฉพาะ" ที่ว่า ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่ยังเป็น ๆ ฯลฯ - เพื่อเอามาโจมตี พระพุทธโฆส !!

การกระทำของ "โชติ" จึงไม่ต่างกันเลยกับพุทธทาส

นี่คือ "ความเห็น" ของ จขกท. ซึ่งแสดงความเห็นอย่างมีหลักฐานด้วย - ผิดตรงไหน??

แต่ "คนทุเรศ" ทำสะดิ้งจะฟ้อง WM ว่ากล่าวหาตนอย่างไม่เป็นธรรม

ทำไมไม่เคลียร์ไปทีละเรื่อง
1. เรื่องอ้างพระธรรมปิฎก มาดิสเครดิต วิสุทธิมัคค์
2. เรื่องพุทธทาส กล่าวตู่ พระพุทธโฆษาจารย์, นำทิฏฐิตนเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท ให้กลายเป็น อุจเฉททวาท
ว่ามันไม่จริงอย่างไร ไม่ถูกต้องอย่างไร

ถ้าเคลียร์อย่างกระจ่าง โดยยันด้วยหลักฐานกันแล้ว จขกท. ยังดื้อด้าน
ผมจะช่วยแจ้ง WM จัดการให้

แล้วมันเป็นอย่างนั้นไหม?

จขกท. ตั้ง "ประเด็นกระทู้" ว่า - มีการนำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท ให้กลายเป็น อุจเฉททวาท ในที่สุด
จากนั้น สมาชิกท่านอื่น มีคุณ TheAct ก็นำถ้อยคำที่พุทธทาส นำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท มาให้ดู
คุณชาล้นถ้วยยังยอมรับว่า เคยเห็นผ่านตาจริงๆ

แต่คุณ ชาล้นถ้วย กลับบอกว่า
ความคิดเห็นเกี่ยวกับกระทู้นี้ คือ ท่านเซนฯ ต้องการสะสางข้อกล่าวหาของคุณเฉลิมศักดิ์โดยเฉพาะ
ท่านอื่นๆ ที่มีประเด็นเกี่ยวเนื่อง ก็น่าจะแตกประเด็นไปตั้งกระทู้ใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ ???

ตกลงได้สะสางตามประเด็นกระทู้ไหม?

มีแต่แถเรื่องออกไปว่า จขกท. มี "ภูมิ" เทียบเท่าพุทธทาสไหม
แล้วก็ไปยก Link เก่าอะไรๆ มาถามกลับ จขกท.
แทนที่จะ "สะสางข้อกล่าวหาของคุณเฉลิมศักดิ์โดยเฉพาะ" ?!

ตกลงว่า ใครกันแน่ ที่มั่นคงอยู่ในประเด็นกระทู้ ?
ใครกันแน่ ที่ควรจะแตกประเด็นไปตั้งกระทู้ใหม่ ?
ใครกันแน่ ที่ทำให้กระทู้ "อ่านแล้วปวดหัว มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด" ?

ประเด็นกระทู้ มีอยู่ - ก็ไม่เคลียร์กันด้วยเหตุผลหลักฐาน
โต้ไม่ได้ แย้งไม่ออก ก็แถไปยกเรื่องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นกระทู้ เอามามั่วซั่วเละเทะไปหมด
ไม่เคลียร์ตัวเอง แต่ใช้วิธีเจาะยาง เบี่ยงเบนเรื่อง ไปฟ้อง WM

ไม่มีใครบอกหรือแสดงความเห็นว่า การฟ้อง WM เป็นพฤติกรรมที่แย่มาก

เรื่องพฤติกรรมแย่ๆ มีแต่บอกว่า การอ้างคำของพระธรรมปิฎก ตัดทอนเอามาสั้นๆ ห้วนๆ เอามาดิสเครดิตวิสุทธิมัคค์ พลอยทำให้คนอ่านเข้าใจถ้อยคำของพระธรรมปิฎกไปผิดๆ

นี่คือพฤติกรรมยอดแย่

เรื่องการจะฟ้อง WM นั้น
ถามว่า จะว่าอย่างไร ทำไมไม่ชี้แจง "ประเด็นกระทู้" ?
ตอบไม่ได้ ก็เลยถึงกับจะฟ้อง WM อย่างนั้นเลย

มันไม่ใช่แค่พฤติกรรมแย่ๆ - แต่มันทุเรศ!

วิญญูชนแห่ง "สังคมออนไลน์คุณภาพ" เขาไม่ทำกันอย่างนี้!!
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 14:12:01

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 13:45:40

ความคิดเห็นที่ 73

เรื่องของคุณเฉลิมศักดิ์ก็ว่ากันไป มีที่มา ว่าเอามาจาก ปฏิจจสมุปบาทชุดลอยปทุม

แต่ที่ข้าพเจ้าถาม ใน คห.46 ของคุณ TheAct ล่ะ เอามาจากไหน ไม่เห็นอ้างที่มาไว้
หรือว่าคุณระนาดเอกเห็น ว่าคุณ TheAct อ้างที่มาไว้ใน คห.ไหน ก็ชี้ให้ดูหน่อย จะได้กลับไปดู
เมื่อรู้ที่มาที่ชัด จะได้ไปดูต้นฉบับ ว่ามีข้อความอื่นๆ อีกมั้ย (ว่าไม่ได้ยกมาสั้นๆ)

คุณระนาดเอกรับรองได้หรือเปล่า ว่าข้อความใน คห.46 นี้ก็ไม่ได้ตัดมาสั้นๆ
เหมือนกรณีที่คุณระนาดเอกกล่าวว่าท่านเซนฯ ตัดข้อความของท่านพระพรหมคุณาภรณ์มาสั้นๆ

ทีนี้ดูอีก คห.หนึ่ง อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ยกมาให้ดูอีกรอบ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

ความคิดเห็นที่ 19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

จากคุณ : TheAcT
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:42
ถูกใจ : EvaAngelion

---------------------------

คุณระนาดเอกลองพิจารณา คห.นี้อีกทีสิ คุณTheAct ยกมา (โดยไม่บอกที่มา) แล้วเขียนต่อว่า "ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ"
ลองดูตรงที่ขีดเส้นใต้ซิ ไม่ผิดสังเกตบ้างหรือว่า การใช้คำว่า ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด

มันน่าจะเป็นสำนวนของบุคคลที่สาม ท่านพุทธทาสท่านจะพูดถึงตัวเองหรือว่า "ต้องคิดแบบท่านซะก่อน" ถึงได้ถามหาที่มาไง
เพื่อจะได้รู้ว่า นี่มันเป็นคำพูดของท่านพุทธทาสแท้ๆ หรือเป็นการตีความของบุคคลที่สาม

แล้วถ้าเป็นการตีความของบุคคลที่สาม ท่านพุทธทาสก็ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมด้วยคำพูดนั้นไปแล้ว
เพราะ คห. ต่อๆ มา ล้วนตำหนิท่านพุทธทาสว่ากล่าวหาว่าพระพุทธเจ้าโกหก

ข้าพเจ้าขอความชัดเจนในข้อนี้ก่อน จึงจะกล่าวอย่างอื่นต่อไป
ในเมื่อคุณ TheAct ยังไม่มาบอกที่มาของข้อความก็ต้องรอ (อย่าทำเป็นแกล้งไม่เห็นละกัน)

เพราะถ้ายืนยันได้ว่า คำกล่าวนี้เป็นของท่านพุทธทาสจริง มันก็เป็นหลักฐานมัดตัวท่านพุทธทาส
แต่ถ้าไม่ได้เป็นคำกล่าวของท่านพุทธทาส แล้วมันจะหมายความว่าอะไรได้บ้าง ???

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 14:51:54

ความคิดเห็นที่ 74

กระทู้เก่า เรื่อง การพูดเอออวย
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums2/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5091351/Y5091351.html

ลองเปรียบเทียบกันดูซิ กับหลักฐานที่มีที่มาที่ไป
(แต่ตอนนี้ลิ้งค์มันเข้าไม่ได้ รวมทั้งเว็บ http://www.buddhadasa.com ก็เข้าไม่ได้)
-------------------------------

พระพุทธเจ้าจำเป็นต้องพูด เอออวย หรือสวมรอย ความเชื่อของคนอินเดียสมัยนั้นเหรอครับ....

ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา; แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ ที่ต้องการให้เขา หลงใหลในสวรรค์ ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้. ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมี ปาฏิหาริย์มาก ถึงกับ บังคับจิตผู้คน หรือ กลุ่มประชาชน ให้เห็นนรก เห็นสวรรค์ ด้วยอำนาจจิต ได้อย่างแท้จริง; ซึ่งสวรรค์ และนรก จะจริง ไม่จริง ไม่ทราบ; แต่ว่า สามารถบังคับ ด้วยปาฏิหาริย์ ให้พากันเห็นชัดเจน แท้จริง จนมีความเชื่อ อย่างนี้ก็ทำได้; พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น; กลับเอออวย ไปในบางส่วน ว่าให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทาง ให้ได้สวรรค์ แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ ให้เห็นว่า สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร แล้วจึง ทรงแสดง โทษของสวรรค์ ผู้นั้นก็พร้อม ที่จะรู้เรื่อง โลกุตตระ เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์, สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.

อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า พระพุทธเจ้า ท่านฉลาด ในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับ ให้ทำได้ เพียงเท่านั้น จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;

ที่มา:
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 50 23:14:30

แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 50 23:08:49

แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 50 23:07:17

จากคุณ : idolmania - [ 29 ม.ค. 50 23:05:14 ]

----------------------

กับของคุณ TheAct (ซึ่งไม่บอกที่มา) ทุกท่านลองเปรียบเทียบดู

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

ความคิดเห็นที่ 19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

จากคุณ : TheAcT
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:42
ถูกใจ : EvaAngelion

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 15:23:07

ความคิดเห็นที่ 75

ลัทธินอกศาสนาที่คุณว่า อย่างเช่น เซน (เรากำลังศึกษาอยู่ เพราะเข้ากับจริตของเราที่ไม่ชอบท่องภาษาพระยาวๆ ยากๆ มากๆ)

ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว อะไรคือแก่นของธรรมชาติที่ "คน" ควรปฏิบัติ ทุกคนอยากไปสู่การหลุดพ้น การดับไม่เหลือทั้งนั้น แต่ก็มีหนทางหลากหลายเท่าที่ชาตินี้ได้พบได้เห็น ไม่รู้ว่าจะดับจริง ไม่จริงอย่างไร แต่รู้ว่าตราบที่เป็นปัจจุบันต้องใช้หลายศาสตร์บูรณาการให้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ทั้งกับตัวเราเองและผู้ที่เราเกี่ยวข้อง

เราเองก็ได้ศึกษางานของท่านพุทธทาสมาพอสมควร แต่ไม่ได้ลึกล้ำขนาดหลายๆท่านในนี้ที่มาวิวาทะกัน แต่รู้อยู่ว่าการพูด การสอน ของท่าน ฟังด้วยหู หรืออ่านด้วยตาเนื้อคงไม่เข้าใจเป็นแน่แท้ เพราะเป็นปรัชญา เป็นเรื่องที่ต้องนิ่งและใช้ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญามาก่อนก็ต้องพยายามอ่าน ฝึกฝน จะได้ยกระดับจิตและความถ่องแท้ขึ้นมาบ้าง

ถกเถียงวิวาทะเป็นเรื่องดีถ้าทำให้เกิดการพัฒนา และอยากเห็นข้อสรุปว่าต้องการอะไรกันในท้ายที่สุดหรือ?
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 19:25:23

จากคุณ : english muffin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 19:23:06

ความคิดเห็นที่ 76

หึ หึ ในที่สุดก็เจอ ต้องให้เราเหนื่อยออกแรง

แต่ก็ถือว่าคุ้มจริงๆ จะได้เห็นๆ กัน ว่าอะไรมันเป็นอะไร

ให้โอกาสคุณ TheAct แสดงสปิริตก่อน หลังไมคไปตามมาแระ จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าไม่เห็น

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 20:18:20

ความคิดเห็นที่ 77

คุณโชติก็เป็นเสียแบบนี้ประจำ
พอจนด้วยหลักฐานก็หาทางจำกัดวง ปิดกระทู้

แต่พอเจอกระทู้ใหม่ๆที่มีคนมาพูดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เทวดา โอปปาติกะ
ทีไร ก็เห็นเข้าไปเปิดประเด็นเรื่องเดิมๆจู่โจมใส่เขาทุกที(ควรพิจารณา..ตามที่ตรัส...อย่างงู้นอย่างงี้ ธาตุ๔ ธาตุ ๖ แต่ที่จริงก็แนวเดิมๆ) จะไปเสนอทิฏฐิให้คนใหม่ๆเขารับเอาไปอย่างนั้นหรือ?

ส่วนตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะเป็นการนอกประเด็นกระทู้อย่างไร คราวนี้ไปเสนอโจมตีคัมภีร์วิสุทธิมัคเอาไว้ ไปตั้งเรื่องไว้เอง ก็ต้องแก้เองให้ได้ด้วยสิครับ คุณโชติจะหลบไปแบบเดิมอีกแล้วหรือ?

------------------------

ที่คุณชาล้นถ้วยพูดถึงข้อความนั้นว่า

"การใช้คำว่า ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด

มันน่าจะเป็นสำนวนของบุคคลที่สาม ท่านพุทธทาสท่านจะพูดถึงตัวเองหรือว่า "ต้องคิดแบบท่านซะก่อน" "

คงไม่ใช่แล้วครับ นี่ไง ถ้อยคำนั้นกล่าวว่า

- ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ก็ต้องคิดให้ได้แบบ(พระพุทธเจ้า)ท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด (เพราะในพระไตรปิฎกมันมีการเอออวยปนอยู่ด้วย) -

"ท่าน"ในที่นี้ ผู้พูดกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวผู้พูดเอง
อ่านดูตามปกติแล้วก็ไม่ได้เป็นสำนวนบุคคลที่สามแต่อย่างใด บริบทก็ปกติ

หนังสือใหม่ๆที่ศิษย์แก้เอาออกไปก็มีหรอกครับ หลักฐานเดิมจริงๆไปดูตามหอสมุดก็ยังมี

เฉพาะเท่าที่ผมเคยเห็น เวลาอ่านบริบทก็ตามนั้นแหละ อย่างเรื่องเอออวยก็เขียนไว้อ่านแล้วเข้าใจอย่างนั้นจริงตามที่เห็นนี่แหละ เห็นทั้งหน้าทั้ง paragraph
หรืออย่างอันที่บอกว่านรกสวรรค์พราหมณ์บันทึกใส่ปะปนมาภายหลัง
ไม่ใช่ว่ายกมาขาดๆแค่บางส่วนเพื่อเอามาโจมตี แม้แต่เวอร์ชั่นที่คุณชาล้นถ้วยแสดงมาก็เรียกว่ามีปัญหาแล้วครับ การบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านมีการเอออวย เรียกว่าสวมรอยก็ได้ เนี่ย

การใช้วิธีแก้กลบๆไปแบบนี้ แทนที่จะมีการยอมรับหรือชี้แจงกันเป็นเรื่องเป็นราวให้ชัดเจนเป็นการซื่อตรงต่อพระธรรมหน่อย
ผลมันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น เป็นปัญหาอยู่เรื่อยๆนี่ไง คนรุ่นหลังอ่านของใหม่ของเก่าบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็มานั่งถามหาความจริงกันแบบงงๆ เพราะมันมีเหตุ มีปัญหาทิ้งค้างคาไว้อย่างนี้ไง
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 20:58:50

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 20:52:45

ความคิดเห็นที่ 78

คุณ : EvaAngelion โปรดกลับไปอ่าน คห.76 ใหม่ หึ หึ พรุ่งนี้จะมาแถลง ให้โอกาสคุณ TheAct แถลงก่อนซิ

อันไหนหลักฐานจริง ถ้าจะถกก็ค่อยมาถกกัน

แต่ถ้ามีคนใช้หลักฐานเท็จคุณจะว่าไง ในฐานะที่คุณก็ด่วนให้ ถูกใจให้กิฟ คห.19 อันนี้

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

ความคิดเห็นที่ 19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

จากคุณ : TheAcT
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:42
ถูกใจ : EvaAngelion

----------------------------------

ขอไปนอนรอคุณแอ็คก่อน

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 21:24:02

ความคิดเห็นที่ 79

เอ้า ถ้าหลักฐานมันบอกว่าเท็จมันก็เท็จครับ ก็ยอมรับตามนั้นแหละ กิฟท์ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะกิฟท์ไม่ได้ให้เพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันอะไร

ถ้ามีถ้อยคำดังว่านั้นจริงในหนังสือใด นี่เป็นตำราที่ไม่ควรเชื่ออย่างแน่นอน
ถูกใจนี่แหละ

ส่วนประเด็นหลักก็ไม่อะไร เพราะหลักฐานอื่นที่ล้วนเป็นไปในทางเดียวกันจำนวนมาก มันก็มีอยู่จริงๆอยู่ดี มันก็มีอยู่ตำตา หลายๆคนที่ไปศึกษามาแล้วกลายเป็นมีปัญหา นี่ก็มีอยู่ตำตา ก็ต้องยอมรับตามหลักฐานเหมือนกัน ก็ค่อยว่ากันไป แต่ถ้าตอนนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ คห.19 นั้นก่อน ตอนนี้จะยกไว้ก่อนก็ได้

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 23:22:52

ความคิดเห็นที่ 80

จากคุณ : english muffin
ลัทธินอกศาสนาที่คุณว่า อย่างเช่น เซน (เรากำลังศึกษาอยู่ เพราะเข้ากับจริตของเราที่ไม่ชอบท่องภาษาพระยาวๆ ยากๆ มากๆ)

ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว อะไรคือแก่นของธรรมชาติที่ "คน" ควรปฏิบัติ ทุกคนอยากไปสู่การหลุดพ้น การดับไม่เหลือทั้งนั้น แต่ก็มีหนทางหลากหลายเท่าที่ชาตินี้ได้พบได้เห็น ไม่รู้ว่าจะดับจริง ไม่จริงอย่างไร แต่รู้ว่าตราบที่เป็นปัจจุบันต้องใช้หลายศาสตร์บูรณาการให้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ทั้งกับตัวเราเองและผู้ที่เราเกี่ยวข้อง

เราเองก็ได้ศึกษางานของท่านพุทธทาสมาพอสมควร แต่ไม่ได้ลึกล้ำขนาดหลายๆท่านในนี้ที่มาวิวาทะกัน แต่รู้อยู่ว่าการพูด การสอน ของท่าน ฟังด้วยหู หรืออ่านด้วยตาเนื้อคงไม่เข้าใจเป็นแน่แท้ เพราะเป็นปรัชญา เป็นเรื่องที่ต้องนิ่งและใช้ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญามาก่อนก็ต้องพยายามอ่าน ฝึกฝน จะได้ยกระดับจิตและความถ่องแท้ขึ้นมาบ้าง

ถกเถียงวิวาทะเป็นเรื่องดีถ้าทำให้เกิดการพัฒนา และอยากเห็นข้อสรุปว่าต้องการอะไรกันในท้ายที่สุดหรือ?

------------------------------------

คุณ english muffin เป็นการยากนะครับที่ศึกษา อัตตโนมติของท่านพุทธทาส แล้วจะเกิดความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา คือ ศรัทธา

ต้องการเพียงผู้ที่ยังไม่เชื่อในทิฏฐิของท่านพุทธทาส มากเกินไป ได้หันกลับมาเป็น อุบาสก อุบาสิกา ที่ดีครับ

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สัทธา

สัทธา ความเชื่อ;
ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดีไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก
ท่านแสดงสืบๆ กันมาว่า ๔ อย่างคือ
๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม
๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต;

----------------------------------------------------------------------

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๕. จัณฑาลสูตร
[๑๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม ๕ ประการเป็นไฉนคือ อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ เป็นผู้ทุศีล ๑ เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา ๑ ทำการสนับสนุนในที่นอกศาสนานั้น ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แลเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นอุบาสกแก้ว อุบาสกปทุม อุบาสกบุณฑริก ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ อุบาสกย่อมเป็นผู้มีศรัทธา ๑ เป็นผู้มีศีล ๑ เป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรมไม่เชื่อมงคล ๑ ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา ๑ ทำการสนับสนุนในศาสนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกแก้ว อุบาสกปทุม อุบาสกบุณฑริก ฯ
จบสูตรที่ ๕

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๔๗๙๘ - ๔๘๑๑. หน้าที่ ๒๐๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4798&Z=4811&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=175

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 06:18:11

ความคิดเห็นที่ 81

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
กระทู้นี้ คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กล่าวหาผม "ใช่ไหม"

ผม ไม่เคย กระทำเช่นที่คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กระทำต่อ ผม ด้วยการกล่าวหา ว่า " คุณเฉลิมศักดิ์ 1 เห็น พระพุทธโฆษาจารย์ เหนือกว่า พระบรมศาสดา" ใช่ไหมครับ

2 บรรทัดบน -- ไม่ใช่ ข้อกล่าวหาคุณเฉลิมศักดิื 1 นะครับ

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กล่าวหา ท่านพุทธทาส หลายวาระใช่ไหม ดังกระทู้ที่ ผมอ้างฯ

คุณเฉลิมศักดิื 1 ไม่ กล้า กล่าวหา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ใช่ไหม ตามที่ ท่าน ชี้ว่า -- วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่ อธิบาย พระไตรปิฎก ตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ

ตกลง
คุณเฉลิมศักดิื์ 1 เห็น วิสุทธิมััค์ เหนือ พระไตรปิฎก ใช่ไหมครับ

สรุป
คุณเฉลิมศักดิื 1
ตอบ คำถามที่ผมถามไว้ว่า
-- คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ ----

ส่วน ข้ออื่นๆ ค่อย ว่ากันทีละ ข้อ นะครับ

คำถามแรก --- ที่ผมถาม เพื่อ ใช้สิทธิ ในการ ทำความจริง ของผมให้ปรากฎ เพราะ การถูกกล่าวหา ตามหัวกระทู้นี้

ผมเรียนถามคุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่า --- --- ไม่กล่าวสนับสนุน พระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า "ศาสดา และสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท"--- หรือ ครับ ---

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- ตอบ ได้ แล้ว ครับ
ผมเดาว่า คุณเฉลิมศักดิื 1 รู้จัก ความหมายของคำว่า "วิญญูชนชาวพุทธ" นะครับ

รออ่าน คำตอบ คุณเฉลิมศักดิ์ 1 ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 08:16:58

ความคิดเห็นที่ 82

ระหว่างที่รอคุณแอ็ค ขอถามคุณแอ็คเพิ่มเติมก่อนว่า ใน คห.19 นี้
ที่คุณแอ็คทำลูกศรชี้ว่า "ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ"
ตำรานี้ชื่ออะไร และเป็นตำราของใคร

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

ความคิดเห็นที่ 19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

จากคุณ : TheAcT
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:42
ถูกใจ : EvaAngelion

----------------------------------

ถามคุณ EvaAngelion ด้วยว่า คุณอ่านข้อความนี้แล้ว คุณเชื่อว่า หรือคิดว่า เป็นคำพูดของท่านพุทธทาส ใช่หรือไม่
คุณ Eva จะไม่ตอบก็ได้นะ เป็นสิทธิของคุณ

แต่คุณแอ็คควรจะตอบมาให้ชัดๆ ว่า "ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ" นี้ เป็นตำราอะไร และของใคร

เมื่อทราบคำตอบของคุณแอ็คแล้ว ข้าพเจ้าจะเสนอหลักฐานที่ไปค้นหามาเองให้พิจารณากัน

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 11:25:47

ความคิดเห็นที่ 83

เพื่อความเป็นธรรมต่อท่านพุทธทาส
ข้อความที่มีปัญหาอยู่ใน หนังสือธรรมานุกรม ธรรมโฆษ ซึ่ง ไม่ได้จัดทำโดยท่ายพุทธทาสเอง แต่จัดทำโดยท่านอื่น โดยย่อจากข้อความของท่านพุทธทาสอีกที

http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/introcollect.html

คำนำของผู้รวบรวม

หนังสือธรรมานุกรม ธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม นี้ ได้เกิด
ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ของท่าน
อาจารย์พุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม มันมีมาก ยากที่จะอ่าน
ให้ทั่วถึงได้หรือว่ามีเงินไม่มากพอที่จะซื้อให้หมดทุกเรื่องได้หรือ
ว่าเป็นเพราะหนังสือมีจำหน่ายไม่ครบ จึงไม่สามารถที่จะหาซื้อได้
ครบหมดทุกเรื่องได้ หรือว่า เป็นเพราะสติปัญญามันสมอง ไม่เอื้อ
อำนวยให้ จึงไม่สามารถที่จะอ่านให้ทั่วถึง ได้หมดทุกเรื่องได้ หรือ
อีกอย่างหนึ่งก็คิดจะทำให้เป็นคล้ายๆ กับสมุดโน้ตช่วยความจำคือ
การเลือกจดโน้ตเอาไว้ในตอนที่ชอบใจ หรือว่าเมื่ออ่านพบ ตอนที่
ชอบใจ ก็จดโน้ตเอาไว้ สำหรับจะได้เอาออกมาอ่านทบทวนบ่อยๆ
เพราะฉะนั้น จึงได้คิดแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ด้วยวิธีคิดทำหนังสือ
ชุดธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ชุดนี้ขึ้น หากท่านผู้ใด มีปัญหาอย่าง
ที่ว่านี้ หนังสือ ชุดธรรมานุกรม ธรรมโฆษณ์ นี้ ก็เหมาะเป็นพิเศษ
กับท่านเหล่านั้น.

หนังสือชุดธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรมนี้ ได้เลือก
คัดเอาข้อธรรมต่างๆ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ ของท่านอาจารย์
พุทธทาสภิกขุ มารวบรวมขึ้นเป็นเล่ม ได้คัดเอาข้อธรรมต่างๆ เท่า
ที่เห็นว่า มีเนื้อหาสาระอันควรแก่การสนใจ อย่างรีบด่วนก่อน (ตาม
ความรู้สึกของข้าพเจ้า) เป็นข้อความสั้นๆ กระทัดรัด เป็นคำง่ายๆ
สั้นๆ แต่ได้อมความไว้มาก เป็นธรรมชั้นลึกระดับแก่นระดับหัวใจ
หัวกระทิ ระดับปัญญาชน แต่ท่านได้ใช้คำอธิบาย ด้วยภาษาพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ทุกคนสามารถ อ่านเข้าใจได้ ท่านได้เก็บเเอาเนื้อ
ความทุกแง่ทุกมุม มาอธิบายหมด อย่างละเอียด แต่เป็นคำพูด
ที่รัดกุมสั้นๆ อมความเอาไว้หมดสิ้นเชิง เมื่อผู้อ่านได้อ่านอย่าง
ใคร่ครวญ จนเข้าใจได้แล้ว ก็จะหายคลุมเครือ ต่อข้อธรรมนั้นๆ.

หนังสือ ธรรมานุกรม ธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรมนี้ ทีแรก
ตั้งใจ จะทำเป็นเล่มเดียว แต่เมื่อได้ค้นคว้าเข้าจริง เรื่องที่น่ารู้
น่าสนใจมีมาก แม้เท่าที่ค้นมานี้ ก็มีมาก ขนาดที่ทำเป็นเล่มละ
๖๐๐ หน้า ได้ถึงสามเล่ม (เรื่องที่น่าสนใจในหนังสือธรรมโฆษณ์
แต่ละเล่มนั้น ยังมีมากกว่านี้อีกมาก) ถ้าจะตัดออกไม่เอาก็เสียดาย
จึงเอาทั้งหมด แล้วแบ่งทำเป็น ๓ เล่ม เล่มละ ๖๐๐ หน้า แล้วจะ
ได้หนังสือที่มีความหนาพอดีด้วย.

บางเรื่องมีความยาวมาก ก็ได้ตัดเอาเฉพาะตอนที่เห็นว่า เป็น
ระดับแก่น ระดับหัวใจ หัวกระทิ ให้เหลือความยาวไว้ แต่พอ
เหมาะพอดี หากผู้สนใจอยากจะทราบให้ละเอียด ให้ตลอดเรื่อง
ก็สามารถหาอ่านได้จาก หนังสือนั้น ตามที่ได้บอกที่มา ไว้ในตอน
ท้ายขอเรื่องนั้น บางเรื่องก็เป็นแก่นเป็นสาระ ทั้งนั้น ถ้าตัดออก
จะเสียเนื้อความ ก็เอาหมด ทั้งยาวอย่างนั้น จึงบางเรื่องก็ยาว
บางเรื่องก็พอดี บางเรื่องก็สั้นไป มันแล้วแต่เนื้อความของเรื่อง
นั้นๆ

หนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ฉบับประมวลธรรมนี้ ได้ถือเอา
ตัวอักษรนำหน้า ของชื่อของเรื่องนั้น มาเรียบเรียงขึ้น เป็นแบบ
ปทานุกรม ผู้ค้นหาเรื่องจะต้องดูให้ดีว่า ตัวอักษรตัวนำหน้า ของ
ชื่อเรื่องนั้นว่า เป็นตัวอักษรอะไร แล้วก็ไปค้นหา ในหมวดของตัว
อักษรนั้น ก็จะพบได้โดยง่าย เป็นการประหยัดเวลา ทั้งช่วยให้
เพลิน ไม่รู้สึกเบื่อต่อการค้นหา.

หนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ฉบับประมวลธรรมนี้ เนื้อเรื่อง
เป็นเอกเทศ คือจบในตัว ไม่เกี่ยวโยง ติดต่อกันกับเรื่องอื่น เพราะ
ฉะนั้น จะเลือกอ่านเรื่องใดก่อนก็ได้ ไม่จำเป็น จะต้องอ่านไปตาม
ลำดับ.

หนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ฉบับประมวลธรรมนี้ เพื่อให้เป็น
หนังสือชุด จึงได้พิมพ์ขนาดเดียวกันกับ หนังสือธรรมานุกรมธรรม
โฆษณ์ (ฉบับประมวลศัพท์) ใช้ปกขนาดเดียวกัน เปลี่ยนแต่รูป
ภาพหน้าปก และหลังปก ให้ต่างกัน พอเป็นที่สังเกตให้รู้ว่า เป็น
คนละเรื่องกัน ชุดหนึ่ง มี ๔ เล่ม คือ ฉบับประมวลศัพท์ ๑ เล่ม
ฉบับประมวลธรรม ๓ เล่ม

หนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์นี้ เหมาะแก่นักศึกษานักปฏิบัติ
นักเผยแพร่ นักเทศน์ นักบรรยายธรรม ตามสถานที่ต่างๆ ตลอด
ถึงครูบาอาจารย์และผู้สนใจธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะสหายธรรม
โฆษณ์ นั้นเหมาะเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ จึงได้จัด
พิมพ์ขึ้น ในรูปของฉบับกระเป๋า เพื่อสะดวกแก่การพกพาติดตัว
ไปตามสถานที่ต่างๆ.

จะซื้ออ่านเอง หรือ ซื้อถวายพระ หรือ ถวายตามวัดต่างๆ ตาม
โรงเรียน ตามห้องสมุดต่างๆ ก็เหมาะมาก เพราะเป็นหนังสือ
ธรรมะ ที่มีสาระแก่นสาร ที่สามารถจะช่วยชีวิต ให้พบกับ ความ
สงบเย็นได้ ราคาก็ถูกเป็นพิเศษ แล้วก็ซื้อเพียง ๑ ชุด (๔ เล่ม)
ก็เท่ากับได้แก่น ได้หัวใจ หัวกะทิ ของหนังสือชุดธรรมโฆษณ์
ของท่านอาจารย์ พุทธทาสภิกขุ ถึง ๖๑ เล่ม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ซื้อ
หนังสือชุดธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ชุดนี้ จะต้องไม่ผิดหวังแน่นอน.

พินิจ รักทองหล่อ

สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา
จ.สุราษฏร์ธานี ๘๔๑๑๐
๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๘
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 18:00:26

จากคุณ : กายใจ

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 17:52:25

ความคิดเห็นที่ 84

ตอบท่านชาล้นถ้วย

ตอบตามตรง ขณะตอนอ่าน ผมไม่ได้คำนึงอย่างเจาะจงเลยว่า ถ้อยความนั้น ต้องออกมาจากปากใคร จะเป็นตำราชั้นเดิม ชั้นหลังที่ mix มา หรือที่ศิษย์เขียนก็ตาม

แต่มองในภาพรวมว่ามันมีปัญหาที่มาจากสำนักท่านพุทธทาสอยู่จริง
ยิ่งถ้าเกิดจากศิษย์ ก็ยิ่งควรต้องแก้ไข ว่าศึกษากันยังไงทำไมถึงพากันมีทิฏฐิไปอย่างนั้นเป็นจำนวนมาก

ประเด็นในกระทู้ตอนนั้น กำลังกล่าวถึงคุณโชติที่เสนอทิฏฐิมีปัญหา
เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาที่มาจากสำนักท่านพุทธทาส โดยไม่จำต้องเจาะจงตัวบุคคลแต่อย่างใดเลย
ปัญหามีอยู่จริง ผมมองแต่ปัญหา ผมก็เห็นด้วยๆมาเป็นลำดับ ตามนั้น ไม่ได้คิดเจาะจงอะไรนัก จะเรียกว่าด่วนกด ก็คงได้
เพราะผมไม่ได้เป็นศิษย์ใครโดยตรง และผมไม่สนใจตัวบุคคลเท่าไร
คำสอนท่านพุทธทาสประทับใจก็มีอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน เช่น ตัวกู-ของกู ที่ตรงบาดใจดี จนนิยมใช้เรียกกันทุกวันนี้

แต่ผมก็สนใจ"ปัญหา" ที่มันมีเรื้อรังอยู่ ที่เป็นประเด็นหลัก
เรื่องปลีกย่อยตรงไหนใช่ไม่ใช่ ก็แฟร์ตามนั้นครับ

แต่ต้องไม่ลืมประเด็นหลักนะครับ ว่าปัญหามันมีจริงไหม แล้วทำไมมันจึงมีอยู่
ต้นตอมันมาจากไหน แล้วเราควรพิจารณาอย่างไร เผชิญหน้ากับมันเสียที ในเมื่อทุกคนล้วนหวังดีต่อพระศาสนาทั้งนั้น(ตามที่ผมอนุมาน ไม่นับพวกจงใจทุจริต)
หรือเราทำได้แค่แก้ต่างกันไปเล็กๆน้อยๆเป็นคราวๆ ตรงนี้ไม่ใช่ ตรงนี้ไม่เกี่ยวนะ อย่างทุกวันนี้หรือ?
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 18:41:39
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 18:37:28

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 18:31:45

ความคิดเห็นที่ 85

             ถึง คุณชาล้นถ้วย 1 ก.ย. 53 11:25:47 ความคิดเห็นที่ 82
             ข้อความที่คุณชาล้นถ้วยถามคุณ EvaAngelion
ในความคิดเห็นที่ 82 นั้น
             ผมขอถามเพื่อหาจุดร่วมกันก่อนทั้งคุณชาล้นถ้วยและ
คุณ EvaAngelion ดังนี้ว่า
             ผู้ที่กล่าวข้อความนั้นก็ตาม ผู้ที่กล่าวตาม [อนุวาทะ] ข้อความนั้น
ก็ตาม ผู้นั้นควรถูกตำหนิหรือไม่?
             นี้เป็นการถามเบื้องต้น ขอให้ตอบชัดเจน เพื่อเข้าใจร่วมกัน.

แนะนำ :-
             อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม
             อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง
             พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
             สารบัญประเภทธรรม
http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?

             หมวดหนังสือธรรมะ
http://84000.org/tipitaka/book/
             เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
             เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘)
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html
             เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html
เรื่อง
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ
มหาทาน
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒
กาลทาน ๕ อย่าง
ให้ทานในที่ใดมีผลมาก
ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท
สังฆทาน ๗ ประเภท
ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน
ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน
เรื่องเศรษฐีเท้าแมว
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔
อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง
ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

จากคุณ : ฐานาฐานะ

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 18:58:29

ความคิดเห็นที่ 86

ใน คคห#72 ผมชี้ให้เห็นว่า จขกท. ตั้งกระทู้ด้วยประเด็นอะไร เริ่มมาจากพฤติกรรมยอดแย่ของ "โชติ" และประเด็นกระทู้เกี่ยวเนื่องกับ "มีการนำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท ให้กลายเป็น อุจเฉททวาท ในที่สุด"
ซึ่งชี้ไปที่การที่พุทธทาสกล่าวถึงกล่าวถึง วิสุทธิมัคค์ โลกวิทู พระพุทธโฆส ฯลฯ

ผมพูดว่า ".. สมาชิกท่านอื่น มีคุณ TheAct ก็นำถ้อยคำที่พุทธทาส นำ ทิฏฐิเข้ามาปลอมปนในนิกายเถรวาท มาให้ดู"
ไม่ได้อ้างอิง คคห ใดอย่างเจาะจง

ใน คคห #67 คุณชาล้นถ้วยขอหลักฐานจาก คคห 46
แต่ตัวก็ยอมรับเองว่า เคยได้อ่านผ่านตา ว่าท่านกล่าวเช่นนี้

ที่คุณชาล้นถ้วยกล่าวว่า
..ข้าพเจ้าถาม ใน คห.46 ของคุณ TheAct ล่ะ เอามาจากไหน ไม่เห็นอ้างที่มาไว้
..คุณระนาดเอกรับรองได้หรือเปล่า ว่าข้อความใน คห.46 นี้ก็ไม่ได้ตัดมาสั้นๆ

การที่คุณ TheAct อาจไม่ได้นำต้นฉบับมาแสดงได้ทันด่วนต่อกรณี หรือการที่ระนาดเอก ยังไม่มารับรองหรือมาตอบอะไร
ไม่ได้แปลว่า เขาทั้งหลาย "ทำเป็นแกล้งไม่เห็น" หรืออะไรอื่น
มันไม่สำคัญเลย เพราะมันมีเหตุผลตั้งมากมาย ที่ผู้คนไม่ได้หวนกลับมาที่กระทู้
อย่างกรณีคุณ TheAct ที่แจ้งมาเมื่อกลางวันนี้ ก็คืองานติดพันจริงๆ จึงไม่ได้เข้ามากระทู้ไหนๆ เลย

ผมเองไม่เคยเห็นข้อความตาม คคห #46
แต่คุณชาล้นถ้วยนี่แหละ ที่ยังเคยเห็นผ่านตามาบ้าง
ทั้งๆ ที่ตนเองก็เคยเห็นกับตามาแล้ว บริบทจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวค่อยไปดูกัน
แต่อย่างน้อย คุณชาล้นถ้วยก็เป็นพยานได้ว่า ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้

แก่นสารใน คคห #46 นั้น ถ้าว่ากันตามหลักการของพุทธแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่า ใช้ไม่ได้เลย!

ถ้าท่านพุทธทาสพูดไว้จริง ข้อความนี้ก็เป็นความเสียหายถึงตัวท่านพุทธทาสโดยตรง
ผมก็แปลกใจว่า ทำไมคุณชาล้นถ้วยจึงไม่รีบทำความจริงให้ปรากฏ
ยิ่งหากมีใจเอนเอียงไปในทางเคารพนับถือท่านพุทธทาส มีท่าทีที่จะช่วยปกป้องท่าน
ก็ต้องรีบหาทางแก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบา

ต้องเร่งหาเหตุผลข้ออ้าง จำพวกบริบทอะไรนั่น ต้องรีบนำมาแสดง

ถ้าคุณชาล้นถ้วยหรือเหล่าพุทธทาสนิยม มีจุดยืนว่า มันน่าจะมี "อะไร" สักอย่าง ในคำพูดของท่านพุทธทาส
คือ "ไม่เชื่อไว้ก่อน" ว่าท่านพุทธทาสจะพูดอะไร "ที่ใช้ไม่ได้" อย่างนี้
มั่นใจว่าท่านพุทธทาสต้องพูดด้วยเจตนาดีอะไรสักอย่าง หรือมีความคลาดเคลื่อนอะไรก็ตาม ที่ทำให้คนเข้าใจผิด
ก็ต้องรีบเร่ง ทำความจริงให้ปรากฏ
จะมัวไปเกี่ยงเรียกร้องให้คุณ TheAct นำต้นฉบับ #46 มาแสดงไปทำไม
เพราะยิ่งนานวันไปเท่าไร คนที่ผ่านเข้ามาเห็น #46 ก็มีแต่จะ "ชยันโต" ท่านพุทธทาสไปซะเท่านั้นเอง
เมื่อผมเห็นว่าคุณชาล้นถ้วย สารภาพว่าเคยเห็นข้อความนี้กับตาตนเองมาแล้ว
ผมจึงตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเช่นนั้น มันก็น่าจะปรากฏอยู่ในสารบบอินเตอร์เน็ตเรานี่แหละ
ดังนั้น เพียงแค่ป้อน "พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน" ลงใน Google - ก็ได้เรื่อง..

ก็ไปดูเรื่อง "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" เอาเอง!

http://www.buddhadasa.com/FAQ/FAQ_1.html

ยังมีบริบทอะไรที่จะอ้างไว้เลี่ยงบาลีได้อีกไหม?

ผมจะรอดูแต่ละคน
บางที อาจจะได้เห็นอย่างที่ TheAct ว่าไว้

"ผมเริ่มสังเกตุเห็นคนที่เพี้ยน ๆ พวกมิจฉาทิฏฐิ ว่าเขาศึกษาอะไรกันว้า ก็มาลงที่สายใต้นี่หละครับ ไม่มีพลาด"

ผมว่า เดี๋ยวๆ มันก็ไม่มีพลาดอีกน่ะแหละ

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:10:52

ความคิดเห็นที่ 87

รอคุณแอ็คอีกคืนละกัน

สำหรับคุณ Eva ข้าพเจ้าไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอก แต่ที่ถามย้ำ เพื่อจะเช็คอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

ปัญหานี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณกายใจว่าไว้ด้วย (คือ ไม่ได้เป็นเพราะคนรวบรวม)
เอาเป็นว่าถ้าพรุ่งนี้ค่ำๆ คุณแอ็คยังไม่เข้ามา ข้าพเจ้าก็จะแสดงหลักฐานที่ไปพบมาให้ดูละกัน
ให้คุณแอ็คมาอ่านเอาเองทีหลัง

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:13:58

ความคิดเห็นที่ 88

อ้าว เพิ่งเห็นท่านฐานาฐานะกับคุณระนาดเอก

ท่านฐานาฐานะถามว่า

ถึง คุณชาล้นถ้วย 1 ก.ย. 53 11:25:47 ความคิดเห็นที่ 82
ข้อความที่คุณชาล้นถ้วยถามคุณ EvaAngelion
ในความคิดเห็นที่ 82 นั้น
ผมขอถามเพื่อหาจุดร่วมกันก่อนทั้งคุณชาล้นถ้วยและ
คุณ EvaAngelion ดังนี้ว่า
ผู้ที่กล่าวข้อความนั้นก็ตาม ผู้ที่กล่าวตาม [อนุวาทะ] ข้อความนั้น
ก็ตาม ผู้นั้นควรถูกตำหนิหรือไม่?
นี้เป็นการถามเบื้องต้น ขอให้ตอบชัดเจน เพื่อเข้าใจร่วมกัน.

ขอตอบท่านฐานาฐานะว่า ผู้ที่กล่าวข้อความใน คห.82 นั้น สมควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง

(แต่ผู้ที่กล่าวตาม (อนุวาทะ) หมายความว่าอย่างไร ไม่ค่อยเข้าใจ ขอท่านท่านฐานาฐานะช่วยอธิบายคำว่า กล่าวตาม (อนุวาทะ) สักหน่อย

-----------------------------------

ตอบคุณระนาดเอก ที่ถามหาหลักฐานใน คห.46 นั้น เพราะว่าเคยอ่านเจอในหนังสือ
ไม่ใช่จากเน็ต แต่จำไม่ได้ว่าหนังสืออะไร เพราะอ่านไปหลายเล่ม ก็เลยต้องการแหล่งที่มา
เพื่อจะไปหาว่า ข้อความที่มากกว่านี้มันมีว่าอย่างไรบ้าง และก็ยังไม่ได้ค้นเน็ต
เพราะว่าสนใจ ข้อความใน คห.19 ของกระทู้ที่แตกมามากกว่า เพราะข้อความมันสร้างความเสื่อมเสียต่อท่านพุทธทาสมากกว่า
และก็ไม่เคยเห็นผ่านตาด้วย อีกทั้งอ่านสำนวน แล้วข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะเป็นสำนวนของบุคคลที่สามกล่าว
มากกว่าจะเป็นคำกล่าวของท่านพุทธทาส จึงลงมือค้นหาข้อมูลอันนี้ และก็ไปเจอต้นฉบับมา

เอาละ ในเมื่อมากันก็หลายคน ขาดแต่คุณแอ็ค งั้นเดี๋ยวเอาหลักฐานให้ดูกันเลยดีกว่า
จะได้จบไปข้อกล่าวหาหนึ่งก่อน มีท่านฐานาฐานะมาเป็นพยานด้วยก็ยิ่งดี

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:32:44

ความคิดเห็นที่ 89

ดีนะ คุณชาล้นถ้วยมาชี้แจงซะก่อน
ผมเกือบจะโพสไปคนละเรื่องเดียวกันซะแล้ว

รอดูอะไรเด็ดๆ จากคุณชาล้นถ้วย ดีกว่า
ว่ามันมีอะไรผิดฝาผิดตัวกับ "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" นั่นไหม
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

(แต่ท่าจะไม่ใช่เรื่อง คคห#46 แล้วซี)
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 19:43:13

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:41:12

ความคิดเห็นที่ 90

ว่ากันเรื่องหลักฐานใน คห.82 กระทู้นี้เลยดีกว่า

คือ ข้าพเจ้าไปค้นพบว่า ข้อความที่คุณแอ็คนำมาแสดงนี้มันเป็น หลักฐานเท็จ

เท็จอย่างไร เท็จเพราะว่า คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำกล่าวของท่านพุทธทาส แต่เป็นคำกล่าวของบุคคลที่สาม
แล้วก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือ "ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์" ด้วย จึงไม่ใช่ประเด็นว่า เป็นของผู้รวบรวมหนังสือนี้กล่าวขึ้นเอง

แต่เป็นคำกล่าวของคนเล่นกระทู้ในลานธรรมคนหนึ่ง ที่ได้อ่านข้อความของท่านพุทธทาส
เกี่ยวกับเรื่องเทวดา ที่คัดมาจากหนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ แล้วสรุปความคิดเห็นนี้ออกมา

แล้วมีคนเอาไปแปลงสาร (ใครทำเป็นคนแรกก็ไม่รู้ได้) กลายเป็นว่า เป็นคำกล่าวของท่านพุทธทาสไปเสียนี่
แถมอ้างว่ามาจากหนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ (เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือกระมัง)

ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเค้นคอถามคุณแอ็คอยู่นี่ล่ะ ว่า คุณแอ็ค ไปเอามาจากไหน
ได้อ่านมาจากหนังสือโดยตรงหรือเอามาจากเน็ตหรือที่อื่นใด
แต่เท่าที่ค้นมา ก็คาดว่า คงจะไปก้อปปี้มาจากเน็ต เพราะข้าพเจ้าค้นหาดูแล้ว
เรื่องนี้กลายเป็นข้อกล่าวหา-ร้องเรียน ท่านพุทธทาส ไปทั่วตามเว็บบอร์ดต่างๆ ทั้งๆ ที่เป็นข้อมูลเท็จ

ฉะนั้น การที่คุณแอ็คไปเอาข้อมูลนี้มากล่าวหาท่านพุทธทาสอีกทีโดยไม่เช็คที่มาที่ไปควรถูกตำหนิหรือไม่

--------------------------
กระทู้ที่มาของหลักฐานในลานธรรม (คห.37)
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008121.htm

ลองเปรียบเทียบกันดู ให้เห็นชัดๆ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

ความคิดเห็นที่ 19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

จากคุณ : TheAcT
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:42
ถูกใจ : EvaAngelion
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 19:54:15

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:51:39

ความคิดเห็นที่ 91

ขอตอบท่านฐานาฐานะเช่นกันว่า
ผู้ที่กล่าวข้อความใน คห.82 นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้กล่าวเอง หรือผู้ที่กล่าวเห็นด้วยตามนั้น ล้วนสมควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง

เอาล่ะ ทีนี้ก็น่าจะชัดเจนกันแล้วอย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง อย่างแรงเสียด้วย

"ปาณาติบาตที่ไม่บาป" ที่แสดงชัดแจ้งอยู่ในเว็บต้นสังกัดเอง ทั้งยังตามหนังสือที่แจกจ่ายไปต่างๆ

บริบทอะไรก็ไม่ต้องคิดแทนให้ปวดหัวแล้ว เห็นๆกันอยู่อย่างนี้
บอกว่าบาปมีข้อยกเว้นได้ด้วยการบัญญัติอย่างนี้
นี่เรียกได้ว่าผิดหลักธรรมร้ายแรงไหม?

ถึงเวลาที่ชาวพุทธ โดยเฉพาะศิษย์หรือผู้ศรัทธาในท่านพุทธทาสเองจะเผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆได้หรือยัง? ผิดแล้วยอมรับเองว่ามีผิดจริง ยังจะมีสปิริตกว่ากันเยอะ (หรือว่าทางสำนักหรือเหล่าศิษย์เอง เขายังไม่รู้สึกตัวว่ามันผิดตรงไหน...)

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:58:31

ความคิดเห็นที่ 92

ตัวอย่างการนำหลักฐานเท็จนี้ไปกล่าวหาท่านพุทธทาสตามเว็บบอร์ดต่างๆ มีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 มาเรื่อยๆ

อันนี้ที่เว็บพลังจิต

แต่ไม่รู้คุณแอ็คแกไปก้อปมาจากไหน ชื่อหนังสืออ้างอิง (เท็จ) ถึงหลุดหายไป
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 20:30:18

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 20:06:44

ความคิดเห็นที่ 93

ทีนี้ถ้าคุณแอ็คเข้ามา ก็ขอความรับผิดชอบต่อกรณีนี้ (ที่พันทิป ที่อื่นก็ไม่เกี่ยวกับคุณแอ็ค) ต่อท่านพุทธทาสด้วย

ส่วนกรณี "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" ก็คงต้องให้ทุกท่านถกกันไปก่อน เพราะว่า
ข้าพเจ้าเองนั้นไม่ใช่ศิษย์ท่านพุทธทาสหรือสวนโมกข์ แต่ได้ศึกษาคำสอนของท่านตามที่สนใจเท่านั้น

และการติเตียนท่านพุทธทาสนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอยากจะมาอ่านเลย เพราะอ่านแล้วมีแต่อกุศลจิตเกิด
ในสองกระทู้นี้ก็เข้ามาอ่านแรกๆ แล้วก็เลิกอ่าน แต่มีเพื่อนท่านหนึ่งได้สอบถามความเห็นเรื่องความขัดแย้งในบอร์ดนี้
แมเรื่องท่านพุทธทาสอยู่ด้วย ก็เลยจำใจต้องเข้ามาอ่านอีก

เมื่อพบหลักฐานบางอย่างที่มันไม่ชอบมาพากล จึงได้ลงมือค้นหา

ตอบแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเอาตัวรอด ให้ลองค้นดูได้ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าไปร่วมในวิวาทะแบบลึกๆ เกี่ยวกับกรณีท่านพุทธทาส
และในส่วนตัวก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแสดงความเห็นของท่านพุทธทาสไปหมดทุกเรื่อง
แต่เลือกศึกษาเฉพาะสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติ เช่น อานาปานสติ ปฏิจจสมุปบาท

แต่ถ้าท่านๆ จะถกวิเคราะห์กัน ก็อาจจะเข้ามาร่วมแสดงความเห็นด้วยบ้าง

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 20:26:20

ความคิดเห็นที่ 94

ขอตัวไปทำประโยชน์ตนก่อนเน้อ หมดเวลาเล่นเน็ตประจำวันแล้ว

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 20:29:18

ความคิดเห็นที่ 95

             ขอขอบคุณคุณชาล้นถ้วย ความคิดเห็นที่ 88 1 ก.ย. 53 19:32:44
และคุณ EvaAngelion ความคิดเห็นที่ 91 1 ก.ย. 53 19:58:31
             ที่ตอบได้ตรงชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่ปิดปังซ่อนเร้น.
             เป็นอันว่า ทั้งคุณชาล้นถ้วยและคุณ EvaAngelion เห็นตรงกันว่า
                  ผู้ที่กล่าวข้อความใน คห.82 สมควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง.

             คำถามว่า
                  แต่ผู้ที่กล่าวตาม (อนุวาทะ) หมายความว่าอย่างไร ไม่ค่อยเข้าใจ
             ตอบว่า คำว่า ผู้กล่าวตาม แปลตรงตัว
             เช่นว่า บุคคลหนึ่งกล่าวข้อความหนึ่ง
             อีกบุคคลหนึ่งได้ฟังข้อความนั้นเฉพาะหน้าผู้พูดก็ตาม หรือได้ฟังตามๆ กันมาก็ตาม
             เมื่อฟังแล้วชอบใจเพราะเห็นด้วยตามนั้นก็ตาม แล้วกล่าวข้อความนั้น
             หรือฟังแล้วชอบใจด้วยความเห็นว่า ข้อความนั้นประกอบด้วยถ้อยคำวิจิตรดี
สละสลวยดีก็ตาม แล้วกล่าวข้อความนั้น
             เหล่านี้ เรียกว่า กล่าวตาม หรืออนุวาทะ.
             ที่ถามให้ครอบคลุมทั้งผู้กล่าวและผู้กล่าวตาม เพื่อให้คำถามชัดเจน
ไม่คลุมเครือ ไม่ให้มีข้อหลุดรั่วได้ว่า เป็นเพียงผู้กล่าวตาม.

             ตัวอย่างนัยของคำว่า กล่าวตาม ในพระไตรปิฎก
             กินติสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=14&A=793&w=การกล่าวตาม
             ชัปปสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=4227&Z=4284

แนะนำ :-
             อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม
             อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง
             พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
             สารบัญประเภทธรรม
http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?

             หมวดหนังสือธรรมะ
http://84000.org/tipitaka/book/
             เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
             เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘)
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html
             เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html
เรื่อง
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ
มหาทาน
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒
กาลทาน ๕ อย่าง
ให้ทานในที่ใดมีผลมาก
ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท
สังฆทาน ๗ ประเภท
ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน
ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน
เรื่องเศรษฐีเท้าแมว
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔
อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง
ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

จากคุณ : ฐานาฐานะ

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 21:12:55

ความคิดเห็นที่ 96

คำสอนของท่านพุทธทาส

หลายเรื่องน่าอ่าน
บางเรื่องมีปัญหา

ที่มีปัญหา
บางเรื่อง คนอ่านพอหาแง่ตีความให้เข้ากับหลักธรรมได้
บางเรื่อง ก็ไม่รู้จะตีความไปทางไหน

แม้บางเรื่อง ภายหลังปรากฏว่าท่านสอนใหม่ต่างจากอันเดิมที่มีปัญหา
แต่เพราะชื่อดัง ที่เคยสอนก็แพร่ไปทางสื่อพิมพ์สื่อเสียงต่างๆ

คำสอนที่ตัวท่านอาจ(?)เลิกสอนเลิกเห็นอย่างนั้นไปแล้ว
แต่มีสื่อพิมพ์ และศิษยฺ์(?)บางคนที่เชื่อแบบเก่า
ยังทำหน้าที่เผยแพร่อยู่โดยอิสระ

คำสอนต่างยุคแห่งวัยที่ต่างมุมมอง ที่ไม่เหมือนกัน ก็เลยปะปนกันเกลื่อนกลาด

ส่วนที่ว่า ทำไมท่านไม่ออกมาประกาศว่า ของเดิมสอนผิดขอยกเลิกนะ
อันนี้ยังนึกไม่ออก.
-----------------------------------

นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมที่อ่านงานของท่านไม่มาก
ยังชอบข้อเขียนหลายเรื่องของท่าน แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับหลายจุดของท่าน

แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า มีวินิจฉัยพอแยกแยะได้
ว่าเรื่องไหนสอดคล้องกับตำราหลักก็รับเอา เรื่องไหนขัดแย้งก็ปฏิเสธไปก่อน
ถ้ามีอะไรใหม่ๆ น่ารับฟังค่อยว่ากันอีกที
--------------------------------

ส่วนตัวเห็นว่า

ถือตำราหลักของพุทธศาสนาเป็นหลัก
ถือครูบาอาจารย์ (จะรูปใดองค์ใดก็ตาม) เป็นเพียงที่ปรึกษา

ปลอดภัยสุด

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 23:41:44

ความคิดเห็นที่ 97

ขอบคุณท่านฐานาฐานะที่อธิบายคำว่า อนุวาทะ

เช่นนั้นขอตอบซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
ผู้ที่กล่าวข้อความ ใน คห.82 รวมทั้งผู้ที่กล่าวตาม [อนุวาทะ] ข้อความใน คห.82 นั้นก็ตาม ควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง

ท่านฐานนาฐานะ คงได้เห็นหลักฐานที่ข้าพเจ้านำมาแสดงใน คห.90 แล้วว่าเป็นหลักฐานเท็จที่นำมากล่าวหาท่านพุทธทาส

จึงขอเรียนถามท่านฐานาฐานะบ้างว่า คนที่นำหลักฐานเท็จมากล่าวหาผู้อื่น สมควรถูกตำหนิหรือไม่ และสมควรแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่

เรียนถามทุกๆ ท่าน ที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ด้วย
ทั้งนี้ประเด็นว่าไม่รู้ว่าเป็นหลักฐานเท็จจึงนำมาใช้นั้น เป็นคนละประเด็นกัน คือเป็นเรื่องของเจตนา

การที่นำหลักฐานใดๆ ที่ตนเองพอใจ ชอบใจ เพราะเข้ากับความเห็นตนเอง มาใช้โดยไม่มีการตรวจสอบ
นำมาใช้ติเตียนผู้อื่น ทำให้ผู้ถูกติเตียนนั้นถูกดูหมิ่นเกลียดชังมากยิ่งๆ ขึ้น
ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง

จึงขอวอนมาถึงท่านที่เห็นแต่แง่ไม่ดีของท่านพุทธทาสว่า ก่อนท่านจะนำหลักฐานใดๆ ที่ใช้ตามๆ กันมา
มากล่าวหาท่านพุทธทาส ก็ควรจะตรวจสอบที่มาที่ไปกันบ้าง ซึ่งก็เป็นการใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ส่วนหลักฐานใดที่เป็นจริง ก็ขอให้ยกหลักฐานมาแบบเต็มๆ ก่อน (รวมถึงแหล่งที่มา) แล้วจึงค่อยวิเคราะห์วิจารณ์กันเป็นเรื่องๆ ไป
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 07:34:45
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 07:28:44

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 07:28:18

ความคิดเห็นที่ 98

อนุโมทนาครับ

จึงขอวอนมาถึงท่านที่เห็นแต่แง่ไม่ดีของท่านพุทธทาสว่า ก่อนท่านจะนำหลักฐานใดๆ ที่ใช้ตามๆ กันมา
มากล่าวหาท่านพุทธทาส ก็ควรจะตรวจสอบที่มาที่ไปกันบ้าง ซึ่งก็เป็นการใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ส่วนหลักฐานใดที่เป็นจริง ก็ขอให้ยกหลักฐานมาแบบเต็มๆ ก่อน (รวมถึงแหล่งที่มา) แล้วจึงค่อยวิเคราะห์วิจารณ์กันเป็นเรื่องๆ ไป

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 13:05:40

ความคิดเห็นที่ 99

             ตอบ คุณ ชาล้นถ้วย ความคิดเห็นที่ 97 แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 07:34:45
             คำว่า
                 ท่านฐานนาฐานะ คงได้เห็นหลักฐานที่ข้าพเจ้านำมาแสดงใน คห.90
                 แล้วว่าเป็นหลักฐานเท็จที่นำมากล่าวหาท่านพุทธทาส
                 จึงขอเรียนถามท่านฐานาฐานะบ้างว่า คนที่นำหลักฐานเท็จมากล่าวหาผู้อื่น
                 สมควรถูกตำหนิหรือไม่ และสมควรแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
             ตอบว่า
             ผมได้เห็นแต่การกล่าวหา, การกล่าวแก้ และก็ยากที่จะเชื่อฝ่ายใดว่า กล่าวจริง
หรือยากที่จะให้เห็นพ้องกันร่วมกันว่า นั้นจริง นั้นเท็จ.
             ดังนั้น คำถามถัดไปจะตอบโดยไม่อิงกับสิ่งที่คุณเรียกว่าหลักฐาน ดังนี้ :-
             คำถามว่า
                 จึงขอเรียนถามท่านฐานาฐานะบ้างว่า คนที่นำหลักฐานเท็จมากล่าวหาผู้อื่น
                 สมควรถูกตำหนิหรือไม่ และสมควรแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
             ตอบว่า
             คำถามจึงไม่ควรมีคำว่า จึงขอเรียนถาม คือควรเป็นว่า ถาม เท่านั้น.
                 ถามคุณฐานาฐานะบ้างว่า คนที่นำหลักฐานเท็จมากล่าวหาผู้อื่น
                 สมควรถูกตำหนิหรือไม่ และสมควรแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
             ควรถูกตำหนิครับ และควรกล่าวคำขอโทษ ทั้งควรให้คำมั่นว่าจะไม่ทำอีก.
             นี้เป็นคำตอบที่ไม่เกี่ยวข้องกับ คห.90 ที่คุณเรียกว่า มีหลักฐาน.

แนะนำ :-
             อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม
             อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง
             พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
             สารบัญประเภทธรรม
http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?

             หมวดหนังสือธรรมะ
http://84000.org/tipitaka/book/
             เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
             เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘)
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html
             เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html
เรื่อง
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ
มหาทาน
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒
กาลทาน ๕ อย่าง
ให้ทานในที่ใดมีผลมาก
ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท
สังฆทาน ๗ ประเภท
ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน
ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน
เรื่องเศรษฐีเท้าแมว
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔
อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง
ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

จากคุณ : ฐานาฐานะ

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 14:55:32

ความคิดเห็นที่ 100

1. คำพูดทุกคำของท่านพุทธทาส มีความหมายทั้ง
1 ทางตรง
2 ทางอ้อม
3 ประชด เสียดสี ชวนให้คิด(ให้เป็นธรรม)
แต่ทั้งหมด ล้วนแต่มีเจตนาอันเป็นธรรมทั้งสิ้น
แต่ "คนโง่" และ "คนอคติ" จะไม่เข้าใจ
ถึงจะไม่เข้าใจ ก็อย่าพยายาม จาบจ้วง ปรามาส ท่านเลยครับ
ไม่มีประโยชน์หรอก บาปกรรมซะเปล่าๆ

2. คนบางคนในที่นี้ พยายามทำตัวเองเป็นเหมือนพระอรหันต์ธรรมกถึก
เร่ร่อนไปสอนความเห็นผิดๆ ไม่เคยยอมรับความเห็นคนอื่น
พยายามจะแอบอ้างว่า ตนเองมีความสนิทชิดเชื้อกับท่านพุทธทาส
สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง
เพื่อที่จะโอ้อวดว่า ตัวเองมีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซื้ง เกินมนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้
ผมอยากให้ท่านทั้งหลาย ลองดูๆพฤติกรรม วาทกรรม ของบุคคลคนนี้ดีๆ
เท่าที่ผมสังเกต คนๆนี้ ยกท่านพุทธทาสเป็นอาจารย์
แต่จาบจ้วง พระอาจารย์ท่านอื่นๆ ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็น - ท่านปยุต ปยุตโต (เคยตั้งกระทู้ ถามเรื่องผังธรรม ที่ท่านปยุต
ท่านเขียนเอง แล้วจับผิด หาว่า ไม่ตรงพุทธพจน์)
- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (ปรามาสแบบกลายๆ โดยจงใจแฝงจึงใช้คำว่า "ลิงอะไรนั่น")
- หลวงปู่มั่น (ปรามาสว่า ท่านพูดผิด ที่ท่านพูดว่า "จิตไม่ตายหรอก" ในกระทู้หนึ่ง)
นอกจากนี้ยังปรามาสเพื่อนสมาชิกคนอื่น โดย ดูเลขสมาชิก
หาว่า เลขสมาชิกเท่านี้ ห่างไกลจากตนเองเหลือเกิน ตนเองมีความเก่าแก่
ประเด็นนี้ แสดงถึงความปัญญาอ่อนของบุคคลคนนี้มาก
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 19:00:48

จากคุณ : ไก่ออน (ยี้ 501)

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 18:58:45

ความคิดเห็นที่ 101

ขอบคุณท่านฐานาฐานะที่ให้ความเห็น ถึงแม้ท่านฐานาฐานะจะยังมองไม่ออกว่าเป็นหลักฐานเท็จ
อาจเป็นเพราะท่านไม่ได้ติดตามเรื่องราวมาอย่างใกล้ชิดรวมทั้งไม่มีคำอธิบาย

เช่นนั้นข้าพเจ้าจะขออธิบายเพิ่ม ทั้งนี้เพื่อว่าคนที่ไม่ได้ติดตามอย่างกระชั้นชิดอาจมองไม่ออกเช่นกัน จะได้เข้าใจ

คือ ภาพใน คห.90 ที่นำมาจากกระทู้ในลานธรรมเสวนาเก่า ตามที่ให้ลิ้งค์กระทู้ไว้แล้ว คือ
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008121.htm

เป็นคำพูดของคุณที่ใช้ชื่อว่า 123 ซึ่งได้อ่านคำสอนของท่านพุทธทาส
แล้วมาแปลความเอาเองว่า ท่านพุทธทาสหมายความว่าอย่างนี้
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส

(จะก้อปเป็นข้อความมาให้ดูชัดๆ อีกทีหนึ่ง ดังนี้)

*************************************

_{ความคิดเห็นที่ 37 : (123)

จากข้อความของท่านพุทธทาส
แปลว่า....
พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น
ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...

เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า
ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ
เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น
ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...
เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน
เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น
ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก
ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....
เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้
ต้องตีความให้ดีก่อนเสมอจึงจะไม่หลงทาง....

-----------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ที่ท่านสมควรจะอยู่ด้วย กรรม
และความฉลาดในการตีความในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ผิดเพี้ยนไป
อันนี้แล้วละครับ....(ฟังเขามา)
ขอพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมุ่งมั่นเจริญสมาธิภาวนา
แล้วไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่าครับ
ว่าตอนนี้ท่านอยู่ไหน...

จากคุณ : 123 [ 2 มี.ค. 2546 / 00:02:45 น. ]
[ IP Address : 24.85.9.236 ]}

*************************************

ซึ่งในส่วนที่ขีดเส้นใต้ไว้ ต่อมา ได้ถูกนำไปกล่าวอ้างในเว็บบอร์ดต่างๆ
เพื่อร้องเรียนท่านพุทธทาส ตั้งแต่ช่วงปี 2550 เป็นต้นมา (ดังตัวอย่างภาพ ใน คห.91)
ว่าเป็นคำกล่าวของท่านพุทธทาส ที่มาจากหนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

ทั้งๆ ที่ หลักฐานต้นฉบับ (ปี 2546) ก็ชัดเจนว่าเป็นคำพูดสรุปของคุณ 123
โดยมีการตัดข้อความเริ่มต้น-ลงท้าย ออกไป ในหลักฐานที่ปรากฎตามเว็บบอร์ดต่างๆ
คือ ประโยคเริ่มต้น ว่า

_{จากข้อความของท่านพุทธทาส
แปลว่า....}

และประโยคข้อความลงท้าย ว่า

_{ต้องตีความให้ดีก่อนเสมอจึงจะไม่หลงทาง....}

เพราะถ้านำข้อความทั้งหมดมาใช้ คนอ่านก็จะทราบทันทีว่า ไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส

ข้อความในส่วนที่ขีดเส้นใต้นั้น ตรงกับข้อความที่คุณ TheAct ยกมาอ้างในกระทู้เดิม ก่อนที่จะแตกมาในกระทู้นี้ คือ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19
เมื่ออ้างแล้ว ก็ได้ใช้ลูกศรชี้ไปที่ข้อความดังกล่าว และพิมพ์คำพูดของตนเองลงไปว่า "ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ"

ซึ่งถึงแม้ว่า คุณ TheAct จะไม่ได้เขียนระบุชัดเจนว่า นั่นคือคำพูดของท่านพุทธทาส
แต่การแสดงความเห็นที่ต่อเนื่องของคุณ TheAct ในกระทู้นั้น ผู้อ่านทุกคนก็ย่อมที่จะเข้าใจได้ว่า หมายถึงท่านพุทธทาส

ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องรอคุณ TheAct เข้ามา ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ว่า ได้นำหลักฐานที่ไม่เป็นจริง (หลักฐานเท็จ) มาใช้กล่าวหาท่านพุทธทาส
แต่จะนำมาใช้เพราะความไม่รู้ จากการที่ไม่ได้ตรวจสอบที่มา หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม

อย่างไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมย่อมจะมีความซื่อตรง สิ่งใดทำผิดก็จะยอมรับผิด

แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงต้องให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน

ดูภาพเปรียบเทียบกันชัดๆ ว่าทั้ง 3 ข้อความ (ที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม) ตรงกัน
แต่อันแรกสุดแสดงชัดเจนว่าเป็นคำพูดของคุณ 123 ไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส

ถ้าท่านฐานาฐานะ ยังไม่เห็นว่า เป็นหลักฐานเท็จอีก
โปรดบอกจุดที่ทำไมจึงว่าไม่ใช่หลักฐานเท็จด้วย จะได้อธิบายต่อถูก
(หรือถ้าท่านไม่อยากแสดงความเห็นเพราะไม่อยากพาดพิงบุคคล จะได้ไม่ถามต่อ ให้ท่านอื่นๆ ดูกันเอง)

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 19:27:24

ความคิดเห็นที่ 102

ขออนุโมทนา คุณชาลันถ้วยอีกครั้ง และ สาธุ ด้วย

กับ คคห 101 --- ในกรอบ "นำหลักฐาน" "มา เสนอ ให้ ประจักษ์" "เห็นเห็น"

เพื่อให้ พิจารณาว่า " อะไรอะไร?"

หมายเหตุ
ผมรู้ข่าวมานานกว่า 10 ปีแล้วว่า ได้มีบุคคลและหรือกลุ่มบุคคล ที่ต้องการ จับผิด ท่านพุทธทาส ในทุกๆ กรณี "ให้ได้" ฯลฯ

หลักฐาน คือ ภาพใน คคห 101 -- 2 มี. ค. 2546
และ ภาพ ร้องเรียน ข้างล่าง

เป็น ครั้งแรก ที่ผม ได้เห็น ใน คืนนี้

ขอขอบคุณคุณชาล้นถ้วย อีกครั้ง ที่นำมาเสนอ

ผมขออนุญาต ก๊อกปี้ นะครับ

ผมเก็ยเข้าคลังกระทู้เก่าด้วย

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:36:10

ความคิดเห็นที่ 103

อนุโมทนากับคุณชาล้นถ้วย ชัดเจนมากค่ะ

จากคุณ : บุษยมาศ

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 23:37:53

ความคิดเห็นที่ 104

ไม่ต้องอธิบายมาก ฮา..

จากคุณ : บุษยมาศ

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 23:40:22

ความคิดเห็นที่ 105

คคห #46 เรื่อง "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" ยกมาจากเว็บ "พุทธทาส.คอม"

เป็นแหล่งเผยแพร่ชุมนุมคำสอนของท่านพุทธทาสเอง

จะไม่ "อ่าน" อะไรบ้างเลยรึ

รู้จักคำว่า บัญญัติ กับ ปรมัตถ์ กับเขามั้ยเนี่ย ว่ามันต่างกันยังไง มีความหมายอย่างไรต่อหลักการของพุทธ

ที่ว่าฆ่าสัตว์ นั้น บาปไม่บาป ตัดสินกันที่ปรมัตถ์ เป็นอย่างไร อย่างไหนเรียกว่า สัตว์ อย่างไหนไม่่ใช่ รู้จักกะเขามั้ย

ตกลงมีอะไรอยู่ในกะโหลกบ้าง นอกจากตะขาบลวงโลก!

เห็นคำว่า "เดียรถีย์" เข้าหน่อย

ต้องเป็นนังบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทุกทีไป

เพิ่งมุดหัวหนีกระทู้ที่สวนลุมไปควายๆ

โผล่ขึ้นมา นึกว่าจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง

ยังเป็น "อีง่าว" เหมือนเดิม

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 00:38:53

ความคิดเห็นที่ 106

คุณชาล้นถ้วย

ทีไอ้ที่ "เห็น" อยู่ทนโท่ว่าท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ว่า
“ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง. ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย

จาก "เทวดามีจริงหรือ" เว็บ "พุทธทาส.คอม"
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

อ้างอิง "หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ"

ข้างบนนั่น คคห#83 คุณกายใจ ก็อุตส่าห์นำ คำนำของ นายพินิจ รักทองหล่อ มาให้ดูกัน
ผู้รวบรวมเขาประกาศไว้ชัดๆ อย่างนี้
"หนังสือธรรมานุกรม ธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม นี้ ได้เกิด
ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ของท่าน
อาจารย์พุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม มันมีมาก ยากที่จะอ่าน
ให้ทั่วถึงได้หรือว่ามีเงินไม่มากพอที่จะซื้อให้หมดทุกเรื่องได้..

หนังสือชุดธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรมนี้ ได้เลือก
คัดเอาข้อธรรมต่างๆ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ ของท่านอาจารย์
พุทธทาสภิกขุ มารวบรวมขึ้นเป็นเล่ม ..

หนังสือธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ฉบับประมวลธรรมนี้ เนื้อเรื่อง
เป็นเอกเทศ คือจบในตัว ไม่เกี่ยวโยง ติดต่อกันกับเรื่องอื่น เพราะ
ฉะนั้น จะเลือกอ่านเรื่องใดก่อนก็ได้ ไม่จำเป็น จะต้องอ่านไปตาม
ลำดับ."

- - - - - - - - - - - - - - -
คุณชาล้นถ้วยเกิดจะคาดคั้นท่านฐานาฐานะ

เขาเพียงแต่ตอบคำถาม "โดยไม่อิงกับสิ่งที่คุณเรียกว่าหลักฐาน"
นั่นคือ ตอบในขอบเขตกว้างๆ ไม่จำกัดแต่เฉพาะสิ่งที่คุณอ้าง
เมื่อตอบแล้ว เขาก็ยังย้ำว่า

"นี้เป็นคำตอบที่ไม่เกี่ยวข้องกับ คห.90 ที่คุณเรียกว่า มีหลักฐาน."

คุณชาล้นถ้วยก็ยังจะเกณฑ์ให้ท่านฐานาฐานะ "เห็น" อย่างที่คุณคาดคั้นจะให้เห็นอย่างที่ตัวเห็น ให้ได้ !
ถ้าท่านฐานาฐานะ ยังไม่เห็นว่า เป็นหลักฐานเท็จอีก โปรดบอกจุดที่ทำไมจึงว่าไม่ใช่หลักฐานเท็จด้วย จะได้อธิบายต่อถูก

แต่หลักฐานว่าท่านพุทธทาสกล่าวว่า พระพุทธเจ้าตรัส "เอออวย" คาตาชัดๆ
อันนั้นแหละโคตรจะเป็น "หลักฐาน" เลย
คุณชาล้นถ้วย กลับมองไม่เห็นอะไรบ้างเลย?!

อะไรกัน?!

ไอ้ที่คุณชาล้นถ้วยเรียกว่าเป็นหลักฐานน่ะ
ไปดูให้ดีๆ ซิ มันมีสภาพเป็น "หลักฐาน" ตรงไหนกัน??
ภาพ "ความคิดเห็น 37" ที่คุณชาล้นถ้วย ยกเอามาโพสเป็นภาพประกอบ เขาว่า

จากข้อความของท่านพุทธทาส
แปลว่า....

อย่างนี้นี่มัน "ความคิดเห็น" !

ทำไมคุณชาล้นถ้วยไม่ยก "ข้อความของท่านพุทธทาส" มาดูกันล่ะว่าทำไม "123" จึงใช้คำว่า "แปลว่า"
อ้างหลักฐานก็ยังอ้างไม่เป็น แล้วจะไปให้คนอื่นเขาเรียกไอ้อย่างนี้ว่าเป็น "หลักฐาน" ได้ยังไง

ใครอ่าน "เทวดามีจริงหรือ โดย พุทธทาสภิกขุ" แล้วเกิด เห็นด้วยกับการแปลของ 123 เนี่ย

ต้องหมายความว่ามัน "โง่" มัน "อคติ" อย่างนั้นใช่ไหม
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 00:58:44

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 00:41:55

ความคิดเห็นที่ 108

คุณชาล้นถ้วย

ไหนๆ ก็มีผู้เสนอหน้าเข้ามาอนุโมทนากะคุณแล้วว่า "ชัดเจนมากค่ะ"

โดยยก คคห #46 ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ

คุณชาล้นถ้วยก็ช่วยเข้าไปวิเคราะ์ห์วิจัยถ้อยคำของท่านพุทธทาสใน "เทวดามีจริงหรือ" จากเว็บ พุทธทาส.คอม ตาม Link ข้างบน

ว่า "เอออวย" ของท่านพุทธทาสนั้น "ชัดเจนมากค่ะ" อย่างไร

เอาให้มันชัดๆ เลยนะครับ ผมจะรอชมวินิจฉัยของคุณชาล้นถ้วย

อย่าแกล้งทำเป็นไม่เห็นนะ ขอร้อง!

จะเรียกให้ "อีเสี้ยม" มาอธิบาย ก็จนใจ เพราะมันไม่มีปัญญา จะทำไงได้ ก็ต้องพึ่งพาคุณชาล้นถ้วยนี่แหละ

ช่วยเทไอ้ที่ล้นๆ ไปให้มันซักหน่อย นึกว่าโปรดสัตว์ก็แล้วกัน!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 00:56:04

ความคิดเห็นที่ 109

ประเด็นคือว่า

ถ้าจะวินิจฉัยคำสอนของใครสักคน
เราควรตัดสินจากคำสอนโดยตรงของคนๆ นั้น

เพราะการยกคำพูดบุคคลอื่นมาเป็นหลักฐานแทน
บุคคลอื่นที่ว่าอาจจะสรุปตรงหรือไม่ก็ได้

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 01:24:15

ความคิดเห็นที่ 110

อย่าเพิ่งหลงประเด็นกันไป

ถ้ามีการกล่าวให้ร้ายผู้ใดในข้อนั้นจริง เชื่อว่าทุกคนคงเห็นตรงกันว่า
ไม่สมควรเป็นแน่

แต่ลองมาดู"ปัญหา" ที่มีอยู่จริง กันดีไหม...
อย่าเพิ่งลืมหรือมองไม่เห็น มัวไปดูอะไรปลีกย่อยอยู่นั่น
แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา...แล้วชาวพุทธก็สับสนกันต่อไปเหมือนเดิม

อย่างคำสอนจาก "ต้นสังกัด" เองโดยตรงตั้งหลายข้อ(ไม่เฉพาะแค่นาย 123 นั่น)
มองความจริงอย่างที่เป็นอยู่

ปัญหามีจริงไหม.. แล้วมีอยู่อย่างไร.. ควรต้องพิจารณาไหม...
จุดเด่นประการแรกของศาสนาพุทธอยู่ที่การรู้จักพิจารณาไตร่ตรองมิใช่หรือ

เราต้องการปกป้องอะไรกันแน่
ความสบายใจแบบเลี่ยงที่จะมองข้ามปัญหา?
ความสงบแต่มีปัญหาแฝงลึกอยู่ หรือไงกัน?
เห็นแก่พระศาสนาเถิด
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 06:44:12

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 06:32:15

ความคิดเห็นที่ 111

ระหว่างรอ TheAct มาชี้แจงว่า อะไรเป็นอะไร

ขอท่านผู้มีปัญญา ไม่โง่ ไม่อคติ ช่วยพิสูจน์ทีซิว่า..

ต้นเรื่อง 123 แปลคำของท่านพุทธทาส อันได้แก่ "เทวดามีจริงหรือ" เป็นต้น

ถือเป็น "หลักฐาน" ให้ร้ายท่านพุทธทาสได้

หมายความว่าท่านพุทธทาสพูดไว้มีความหมายอย่างหนึ่ง ก็จงใจแปลให้มันผิดความหมายไปอย่างหนึ่ง ให้คนเข้าใจผิด

เพราะอ่านยังไง ก็เห็นว่า เอออวย มันก็คือ โกหก นั่นแหละ ความหมายมันมีปัญหาจริงๆ

รู้ทั้งรู้ว่าสวรรค์ เทวดา ฯลฯ มันไม่มี แต่เพราะความเชื่อนี้มันมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะไปหักล้าง ก็ไม่ไหว มันเสียเวลา พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ เสียเลย ?!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 07:34:23

ความคิดเห็นที่ 112

อีเก้อขยันเสี้ยมได้ใจเจงๆ
หลายกระทู้แล้วที่อีเก้อเพียรพยายาม แต่หน้าแตกเหี่ยวยับม้านกลับไปทุ๊กที
ต้องเสียหงอกให้หนุ่มรุ่นน้องรุ่นหลานถอนไปก็หลายเส้น
ประสบการณ์เสียแก่โชกโชนได้โล่ห์มั่กๆ
ก็เล่นไปหูหนาตาเล่อเสล่อๆ ในกระทู้ชาวบ้านเขานี่น้า
ตาม้าตาเรือไม่ดูละเพราะฝ้าฟาง ข้อมูลก็ไม่แน่น อ่านอะไรไม่เคยจับประเด็นได้
จิตมันร้อนฉ่าๆ จ้องแต่จะเสี้ยม มันก็ต้องพลาดเยอะแบบนี้แหละอีเก้อเอ๊ย

เป็นที่น่าสมเพชให้ใครหัวเราะยังไง อีเก้อมิเคยจะนำพา

จิตใจและหนังหน้าทำด้วยอะไรฟร๊ะ ??

หนอน

จากคุณ : Squires

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:24:45

ความคิดเห็นที่ 113

ประเด็นของข้าพเจ้า คือ ต้องการจะแสดงว่า ข้อความที่คุณแอ็คยกมาเพื่อตำหนิท่านพุทธทาสนั้น
มันมีอยู่ข้อความหนึ่ง ที่เป็นหลักฐานเท็จ ไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส
แต่เป็นคำวินิจฉัยของคนเล่นกระทู้คนหนึ่ง

ใครก็อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นนี้ หรือเอาประเด็นอื่นมากลบทำลายประเด็นเรื่องการนำหลักฐานเท็จมาใช้

ส่วนหลักฐานจริง เรื่อง "เทวดามีจริงหรือ" ที่นำมาสู่การสร้างหลักฐานเท็จเพื่อนำมาใส่ร้ายท่านพุทธทาสนั้น
ข้าพเจ้าอ่านมานานแล้ว อ่านหลายครั้งแล้ว

อ้อ ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวหาว่าคุณแอ็คสร้างหลักฐานเท็จนะ ใครสร้างนี่ไม่รู้ และมันปรากฎในเน็ตมาหลายปี
ต่อมาก็มีคนที่ไม่ชอบท่านพุทธทาสหยิบเอาหลักฐานเท็จนี้มาใช้ติเตียนท่านพุทธทาสต่อๆ กันมาเรื่อย
รวมทั้งคุณ TheAct ด้วย

โดยไม่มีใครคิดจะตรวจสอบที่มาที่ไป เพราะอะไรกันเล่า
เพราะว่าเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบ ใช่หรือไม่
เมื่อเห็นหลักฐานใดที่คิดว่าจะนำมาติเตียนคนที่ตนเองไม่ชอบได้อย่างเต็มเหนี่ยว
ก็จะรีบหยิบมาใช้ในทันที กรูเชื่อทันทีว่าจริง ยกมาใช้ แล้วก็ด่าเสียมันปาก

แล้วเมื่อมีคนนำหลักฐานมาให้ดู ว่าหลักฐานที่เอามาด่าท่านอย่างมันปากนั้น มันเป็นหลักฐานเท็จ
ทำไมท่านอีวา ยังกล้าพูดอีกว่า เป็นประเด็นปลีกย่อย
การนำหลักฐานเท็จมาใช้ว่ากล่าวผู้อื่นอย่างเมามัน มันไม่สำคัญกระนั้นหรือ

หรือเพราะว่าคนนำมาใช้เป็นเพื่อนของคุณอีวา คุณจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปลีกย่อย
ถ้าคนที่โดนด่าไม่ใช่ท่านพุทธทาส และคนนำเอาหลักฐานปลอมนั้นมาใช้ด่าไม่ใช่คุณแอ็คเพื่อนคุณอีว่า
คุณจะว่าเป็นประเด็นปลีกย่อยอีกหรือไม่

ก็กรณีท่านเซนฯ ตัดคำพูดของท่านพระพรหมคุณาภรณ์มาใช้สั้นๆ ท่านระนาดก็ไล่บี้ท่านเซนฯ อยู่ในกระทู้นี้

แล้วกรณี คุณแอ็คเอาหลักฐานเท็จมาใช้ด่าท่านพุทธทาส ข้าพเจ้าจะจี้ให้คุณแอ็คตอบบ้างทำไมจะไม่ได้เล่า

ประเด็นหลักของข้าพเจ้าคือเรื่องนี้ โปรดทราบไว้ด้วย

ในเมื่อคุณแอ็คยังไม่เข้ามาตอบ ข้าพเจ้าก็จะรอ และที่ข้าพเจ้าเข้ามาในกระทู้นี้ก็มิได้ปรารถนาที่จะมาถกประเด็นอื่นๆ

การที่ข้าพเจ้าจะไม่ถกประเด็นใดๆ กับใคร ก็ย่อมเป็นสิทธิของข้าพเจ้า
หรือท่านระนาดจะคาดคั้นให้ข้าพเจ้าถกด้วย เหมือนที่กล่าวหาว่าข้าพเจ้าคาดคั้นท่านฐานาฐานะกระนั้นหรือ

เรื่องท่านฐานาฐานะ ข้าพเจ้าสงสัยก็ถาม ส่วนท่านระนาดจะเห็นว่าเป็นการคาดคั้นมันก็เป็นเรื่องของคุณระนาด
และท่านฐานาฐานะท่านก็ตอบข้าพเจ้ามาแล้วทางหลังไมค สรุปได้ว่า
ท่านเข้ามาในกระทู้นี้เพื่อสอบถามความเห็นของข้าพเจ้าและคุณอีวาตาม คห.85 เท่านั้น ไม่ได้เข้ามาเพื่อจะแสวงหาหลักฐานใดๆ

ก็เป็นว่าข้าพเจ้าก็เข้าใจแล้ว ว่าท่านฐานาฐานะไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักฐานเท็จนี้ โอเคมั้ยท่านระนาด

ส่วนข้าพเจ้านั้นเข้ามาเพื่อจะขอดูหลักฐานต่างๆ ที่มันเป็นจริง ใน คห.46 คุณระนาดช่วยค้นมาให้ดูแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้อ่านแล้ว
ใน คห.19 ของอีกกระทู้หนึ่ง ข้าพเจ้าหาเจอเองแล้ว แล้วก็เจอว่ามันเป็นหลักฐานเท็จ จึงได้ถามต่อคุณแอ็ค

ส่วนหลักฐานจริง เรื่อง เทวดามีจริงหรือ นั่น ข้าพเจ้าอ่านมาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว
แต่ในเมื่อข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะถกกับใครๆ มันก็เรื่องของข้าพเจ้านี่หว่า ใครจะมาคาดคั้นให้ตอบ ก็ตามสะดวก

ระหว่างรอคุณแอ็ค ข้าพเจ้าก็จะไปทำมาหากินของข้าพเจ้า ยังไม่มีเวลาจะถกอะไรกะใคร โอเค๊

ก่อนไปขอร้องบ้าง

ฉิ_หาย !!!!!

ตายห้า แล้วเว้ย !!!!!

จากคำพูดของใครก็ไม่รู้

เอามายัดปากกลายเป็นคำพูดของท่านพุทธทาสไปได้

บรรลัยแล้ว !!!!!

อ้อ ส่วนใครจะมาอนุโมทนาอะไรกะข้าพเจ้า มันไม่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้านา

ปล. ความหมายของคำว่า "เอออวย" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณทิตฯ ไม่ได้แปลว่า "โกหก"
http://rirs3.royin.go.th/word43/word-43-a14.asp

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 10:38:51

ความคิดเห็นที่ 114

เอ้า ตอบอีกนิด เรื่อง "เอออวย" ไม่งั้นก็คงจะโดนคาดคั้นไม่เลิก

ว่าข้าพเจ้า "ไม่เห็นด้วย" กับการใช้คำว่า "เอออวย" หรือ "สวมรอย" ของท่านพุทธทาส
เพราะฟังแล้วมันให้ความหมายในแง่ลบ (โดยเฉพาะเมื่อนำมากล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า)

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ที่ใครๆ ไปแปลความหมายของการเอออวยว่า ท่านหาว่าพระพุทธเจ้าพูดโกหก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เข้าใจเช่นนั้น จนถึงกับนำไปทำเป็นหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อจะใช้กล่าวหาร้องเรียนท่าน
ไปตามเว็บบอร์ดต่างๆ นานเป็นปีๆ

ถ้าจะกล่าวหาอะไรท่าน ก็ต้องยกข้อความจริงๆ มา และควรยกมายาวๆ หน่อย ทั้งบทความเลยดีที่สุด

แล้วค่อยตัดย่อยๆ ออกมาว่ากล่าว และถ้าจะกล่าวว่า ท่านพุทธทาสกล่าวว่าพระพุทธเจ้าพูดโกหก
ก็ต้องพูดให้ชัดเจน ว่าเป็นความเห็นของตนเอง

อย่างคุณ 123 ในกระทู้ต้นฉบับนั้น ใครอ่าน ก็ย่อมทราบว่า เป็นความเห็นของคุณ 123 เอง

แต่ไม่ใช่เอามายัดปากท่านพุทธทาส ว่านี่คือคำพูดของท่าน (หรือทำให้คนอื่นเข้าใจว่านี่คือคำพูดท่าน)

"พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น
ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...

เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า
ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ
เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น
ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...
เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน
เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น
ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก
ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....
เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้"

ทีนี้ขออนุญาตยกตัวอย่างการใช้คำพูดว่า "เอออวย" ของสมาชิกห้องนี้ท่านหนึ่งมาให้ดู
ท่านๆ ลองอ่านดูแล้วลองตีความหมายซิว่า คำว่า "เอออวย" มันแปลว่า "โกหก" หรือไม่
ตามความเห็นของข้าพเจ้า ก็ไม่เห็นจะแปลว่า "โกหก" ไปได้เลย ความหมายมันก็ออกไปทางว่า
ไม่ขัดคอที่เขาพูดกันอยู่เท่านั้น

จากกระทู้นี้ (ยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัว จะตำหนิก็ขอรับไว้ ณ ที่นี้)
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9628915/Y9628915.html#7

ความคิดเห็นที่ 7

เราเคยทำมาแล้วนะ ตอนแรกไม่ชอบนินทา ก็เลยถูกนินทาเพราะไม่เข้าสมาคมกับเขา..

ต่อมาก็ลองดูบ้าง.. ก็ไม่ค่อยได้นินทาเขาหรอก แต่เอออวย ฟังเขาไป..เรียนรู้ไป..ผสมโรงบ้างถ้ามีเหตุเกี่ยวกัน..

ทำยังงั้นไปสักพักนึง..มันจะติด ถ้าไม่ได้ยกเรื่องไม่ดีของสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้มาคุยกัน เหมือนมันเหงาๆ ไม่รู้จะคิดอะไร (ตอนนั้นคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เอาเรื่องดีๆ มาคิดฟะ..จะมัวคิดเรื่องไม่ดีอยู่ทำไม)

จากการทดลอง ทำไปสักสามเดือนหกเดือน จิตจะเสื่อม.. ใจจะร้อนขึ้น จะฟุ้งซ่าน หาความสงบไม่ได้.. กรรมมันมีจริงๆ จ้ะ..

วิธีเลิก.. คือเลิกคบไปเลยอ่ะ.. ต้องใจแข็ง
กับเพื่อนคนนั้นกลุ่มนั้น พอไม่มีเรื่องไม่ดีของสิ่งนั้นสิ่งนี้มาคุยกัน มันไม่รู้จะคุยอะไร ก็เลยเลิกคุย..

พอเปลี่ยนมาคบกัลยาณมิตร เจอกันคุยแต่เรื่องกุศล ได้อนุโมทนาทั้งวัน..

ชีวิตดีจิตดี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ..

จะบอกเคล็ดลับด้วยว่า เพื่อนคุยเรื่องดีๆ น่ะ มาหาได้จากแถวห้องนี้แหละ..ทำบุญไปทำบุญมา เดี๋ยวนี้ก็เจอแถวบ้านแถวที่ทำงานอีกตรึมเลย..แบบว่าเจอเข้าแล้วสักคนสองคน ต่อมาจะเจออีกเป็นแถวเลย..

เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องมีเพื่อนชอบตั้งวงเหล้าแหละ.. จะไม่ทำตามได้เห็นทีจะต้องยอมให้เพื่อนเลิกคบ คือเลิกคบเพื่อนก๊วนนั้นไปก่อนสักพักน่ะ

จากคุณ : chaosy
เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 02:39:39

-------------------------------

จะไปทำงานทำการบ้างละ
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 11:21:07

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 11:09:23

ความคิดเห็นที่ 115

อีกหน่อยนึงเน้อ เดี๋ยวจะว่า ไหนว่าจะไปทำงาน ทำไมไม่ไปซะที ไหนๆ ก็ใกล้เที่ยงแล้ว อู้มันทั้งเช้าไปเลย
-------------------------

ใครอ่าน "เทวดามีจริงหรือ โดย พุทธทาสภิกขุ" แล้วเกิด เห็นด้วยกับการแปลของ 123 เนี่ย

ต้องหมายความว่ามัน "โง่" มัน "อคติ" อย่างนั้นใช่ไหม

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 00:58:44

จากคุณ : ระนาดเอก
เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 00:41:55

--------------------------

ใครจะเห็นด้วยกับการแปลของ 123 คงไม่ได้หมายความว่ามัน "โง่" มัน "อคติ" หรอก
แต่ต้องพูดให้ชัดว่า "กรูเห็นด้วยกับคำแปลของคุณ 123"

แต่ไม่ใช่ไปตัดคำพูดของ 123 มาแบบไม่ครบ ไม่บอกว่าเป็นคำพูดของ 123
แต่เอาไปยัดใส่ปากท่านพุทธทาส ว่าท่านพุทธทาสเป็นคนพูด

แล้วก็ด่าท่านพุทธทาสอย่างมันปาก

ถ้าแบบนี้ล่ะก็ ทั้ง "โง่" ทั้ง "อคติ" ทั้ง "มืดบอด" คำพูดแค่นี้ก็วิเคราะห์ไม่ออกว่า ว่ามันเป็นคำพูดของบุคคลที่สาม

รีบเอามาใช้แบบมักง่าย ไม่ดูตาม้าตาเรือเล๊ยยยยยยยยย

อีกอย่าง ใครอยากจะด่าท่านพุทธทาสจากเรื่อง เทวดามีจริงหรือ ก็ไปเรียกให้เขายกบทความนั้นมาเองซิ
มาวิเคราะห์ มาด่ากันเอา จะมาร้องเรียกให้คนที่เขาไม่ได้อยากด่าท่านพุทธทาส ให้ยกบทความนั้นมาทำเมี่ยงอะไรหรือ

ไม่ยกเว้ย เมื่อยมือ เก็บมือไว้ด่าคนโง่ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือดีกว่า เข้าใจนะท่าน
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 11:51:22

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 11:38:21

ความคิดเห็นที่ 116

ประเด็นใน คห.46 นั้น ขอตอบแบบสรุปว่า "ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของท่านพุทธทาส"

แต่จะให้ร่วมวงด่าหรือติเตียนท่านพุทธทาสอย่างรุนแรงนั้น ข้าพเจ้าทำไม่ได้
เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นผู้น้อย ไม่มีคุณธรรมเทียบเท่าท่าน

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพระผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ของท่าน ถึงจะกล้าตำหนิท่านได้
ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่น่าพูด หรือ ใช้คำอะไรที่ไม่เหมาะสม

แล้วไม่ได้ว่าประชดประชันใคร อย่าเอามาเป็นประเด็นละ ไปจริงๆ ล่ะ

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 13:52:14

ความคิดเห็นที่ 117

คุณชาล้นถ้วยคงเข้าใจผมผิดไปเสียกระมัง

ผมเคยบอกแล้วไงว่าถ้าตอนนี้ ถ้าท่านชาล้นถ้วย สนใจจะกล่าวถึงเฉพาะประเด็นหลักฐาน ตาม คห.19(ที่ TheAct ยกมาในทู้เดิม)นั้นก่อน ตอนนี้จะยกเรื่องอื่นไว้ก่อนก็ได้
และในข้อนี้ถ้ามีการกล่าวให้ร้ายผู้ใดในข้อนั้นจริง เชื่อว่าทุกคนคงเห็นตรงกันว่าไม่สมควรเป็นแน่

ผมเคยบอกตอนไหนว่า การนำหลักฐานเท็จมาใช้ว่ากล่าวผู้อื่นอย่างเมามัน มันไม่สำคัญ?... มีแต่จะบอกว่ามันไม่สมควรทำแน่ๆ

แต่ประเด็นหลักที่กระทู้ดำเนินมาถึงแล้ว คือมีคำสอนที่ผิดจริงหลายข้อตามที่มีคนเสนอมาจริงหรือไม่ เป็นปัญหาหรือไม่
ผมสื่อสารกับเพื่อนสมาชิกอย่างนี้

ถ้าหลักฐานส่วนใดส่วนหนึ่งในนั้นเป็นหลักฐานเท็จ มันก็ย่อมเป็นประเด็น"ย่อย"จริงมั้ย ประเด็นย่อยจะถูกหรือผิดจริงย่อมมีความสำคัญในตัวประเด็นนั้นเอง

คุณตีความยังไง ถึงเข้าใจที่ผมกล่าวคำว่า"ประเด็นย่อย"กลายเป็น เรื่องปลีกย่อยไม่มีความสำคัญไปได้

ขอโทษนะครับ อย่างในศาลเองเนี่ย แม้จะเรียกว่าประเด็นหลัก ประเด็นรอง
ประเด็นปัญหาในข้อ กม. หรือ ประเด็นในปัญหาข้อเท็จจริงปลีกย่อย
ศาลล้วนให้ความสำคัญกับความถูกผิดในประเด็นนั้นๆนะครับ ไม่ได้ลืม

ถ้าท่านชาล้นถ้วยไม่อยากจะสนทนาในประเด็นนี้ มันก็เป็นสิทธิของท่าน
เกี่ยวอะไรกับว่าผมต้องเป็นเพื่อนใคร? เพื่อนสมาชิกก็เป็นเพื่อนสมาชิก
นานทีปีหนผมถึงจะเห็นคุณ TheAct ที แถมยังไปแย้งคุณ TheAct อยู่หยกๆเรื่องขณะจิตในกระทู้ก่อน คุณชาล้นถ้วยเองผมยังรู้จักมักคุ้นมากกว่าคุณ TheAct เสียอีก

ประเด็นหนึ่งผมอาจเห็นด้วยกับใคร ประเด็นอื่นผมอาจไม่
ผมพอจะแยกแยะออกจากเรื่องที่กำลังศึกษาได้
ผมเป็นผู้ศึกษารุ่นหลัง ทำไมผมจะต้องไปมีอคติกับใครหนักหนา
คุณไป search ดูย้อนหลังก็ได้ เวลามีเรื่องนี้ผมเคยกล่าวไว้อย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกี่ยวเลยว่า
"คนนำมาใช้เป็นเพื่อนของคุณอีวา คุณจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปลีกย่อย
ถ้าคนที่โดนด่าไม่ใช่ท่านพุทธทาส..." ขอให้เข้าใจตรงกันก่อนนะครับ

และก็อย่างที่คิด ในประเด็นย่อยเรื่อง"เอออวย"เนี่ย พอลงได้ถกกัน ก็มักจะยาวสามวันจบเกือบทุกที มีใช้พจนานุกรมอะไรอย่างนี้กันเนี่ยแหละ

ผมจึงอยากจะชี้เสียหน่อย ว่าอย่าลืมประเด็นหลักด้วย! ใครไม่สนใจก็ไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 17:06:14
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 17:03:44

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 16:55:30

ความคิดเห็นที่ 118

ไม่จะให้ร่วมวงด่าหรือติเตียนใคร

เสนอให้ช่วยกันมองปัญหาต่างหาก

พระหลายๆท่านในสังคมก็ล้วนถือศีลคุณธรรมสูงกว่าเหมือนกัน
แล้วในเหล่านั้นจะไม่มีที่สอนผิดบ้างเลยหรือกระไรกัน

บางอย่างฆราวาสก็มองเห็นได้ พิจารณาให้ชัดเจนได้ ไม่ได้ต้องรอเป็นพระอรหันต์ก่อนเสียเมื่อไหร่ ไม่งั้นพระศาสนาคงเรียวแคบลงทุกวัน

การเผชิญกับปัญหา แปลว่า ต้องเป็นการด่า ตำหนิ โทสะ เท่านั้นหรือกระไรกัน?
ถ้าเป็นงั้นจริงคงทำอะไรกันไม่ได้เลย เริ่มคล้ายอาจาริยวาทเข้าไปทุกวัน

การติเตียนที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงว่าพึงทำได้มันคืออะไร? ขอเสนอว่ามันแยกแยะกันได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 18:02:43

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 17:56:14

ความคิดเห็นที่ 119

_{บางอย่างฆราวาสก็มองเห็นได้ พิจารณาให้ชัดเจนได้
ไม่ได้ต้องรอเป็นพระอรหันต์ก่อนเสียเมื่อไหร่ ไม่งั้นพระศาสนาคงเรียวแคบลงทุกวัน}
----------------------------------

อันนี้จริง ไม่คัดค้านใดๆ เลย

_{การเผชิญกับปัญหา แปลว่า ต้องเป็นการด่า ตำหนิ โทสะ เท่านั้นหรือกระไรกัน?
ถ้าเป็นงั้นจริงคงทำอะไรกันไม่ได้เลย เริ่มคล้ายอาจาริยวาทเข้าไปทุกวัน}

อันนี้เริ่มไม่จริงแล้ว เพราะมีบางคน พอคิดว่าได้หลักฐานแล้ว ก็เริ่มด่าตัวบุคคลแบบรุนแรง
ในฐานะคนที่นับถือท่านพุทธทาส ข้าพเจ้ารับไม่ได้

อย่างเช่น หลังจากคุณแอ็คยก คห.19 กระทู้โน้นมาแล้ว ก็ตามมาด้วยข้อความแบบนี้

"ศิษย์ใด อาจารย์ใด สอนว่าพระพุทธเจ้าโกหก "

"มายุคหลัง มีนี่หละ F=9b สืบทอดความอัปปิยะ"

"ก่อนอภิธรรมจะมีประโยชน์อย่างไร ต้องแสดงก่อนว่าในพระศาสนานี้มีโจรทางใต้ครับ
โจรที่ไม่ได้ตัดเสียนพระ <- ผมเขียนไม่เป็นคำนี้ แต่โจรที่เป็นมะเร็งเนื้อร้ายทำลายพระธรรม
กล้าประกาศต่อสังคมว่าพระพุทธเจ้าโกหก"

ด่ากันหนักขนาดนี้ มันไม่ใช่การวิเคราะห์วิจารณ์ธรรมหรือหลักการสอนแล้ว
อันนี้ไม่ใช่การกระทำของคุณอีวาหรอก ต้องขออภัยด้วยถ้าพูดเสมือนไปเหมารวมคุณอีวาเข้าไปด้วย

ข้าพเจ้าไม่เถียงหรอกว่า คำสอนของท่านพุทธทาสนั้นก่อให้เกิดปัญหามากมาย
แต่ก็อยากจะให้วิจารณ์ท่านแบบเอื้อเฟื้อต่อท่านบ้าง ไม่ใช่ทำกันแบบนี้

แต่การถกเถียงในบางเรื่องที่ท่านสอน อย่างกรณี "เอออวย" นั้น มันก็เถียงกันมาไม่รู้จะกี่ปีแล้ว
ก็วนอยู่อย่างเดิม ฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ว่า ต้องแปลว่าโกหก
อีกฝ่าย (รวมข้าพเจ้าด้วย) ก็แปลว่า มันไม่ได้แปลว่าโกหก แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะใช้คำนี้

เรื่องนิพพานของสัตว์เดรัจฉานอีก เรื่องสอนว่าตายแล้วสูญอีก ค้นดูเหอะในคลังกระทู้เก่า
ไม่ก็ใน http://www.atriumtech.com/ มันมีทั้งนั้นแหละ ต่างฝ่ายก็ยกหลักฐานของตัวเองมา
เพื่อสนับสนุนความเห็นของตนเอง ซึ่งก็ไม่มีใครยอมรับใคร
แล้วก็เปลี่ยนคู่เปลี่ยนยุค เถียงกันไปไม่รู้จบ

แล้วจะให้ทำยังไง จะให้มาถกเรื่องที่ไม่มีทางยุติได้แบบนี้หรือ

ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะเข้าสู่วัฏจักรนี้ ที่เข้ามาแก้ให้ท่าน ก็จะแก้เฉพาะประเด็นที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมจริงๆ
และมีหลักฐานชัดเจนหาข้อยุติได้เท่านั้น

ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาแก้ให้ท่านหมดทุกข้อ บางอย่างมันแก้ไม่ได้จริงๆ
ต้องยอมรับเลย แต่ก็ทำได้แค่บอกว่า "ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย"
จะให้มาหาวิธีแก้ปัญหา มันก็ไม่มีทางหรอก มันก็เถียงกันไปจนโลกแตกนั่นแหละ

จะให้ยุติว่าอันนี้สอนผิด ให้ทุกคนเห็นว่าท่านสอนผิด มันจะทำได้มั้ยเล่า
ไม่ว่าจะทำยังไง ก็จะยังมีคนนับถือท่านอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ
ถ้าจะมีลดลงไปบ้าง ก็คงไม่มีนัยยะสำคัญ
อีกทั้งก็มีคนเข้ามานับถือใหม่ๆ เพิ่มเช่นกัน

จุดยืนของข้าพเจ้านั้น ก็คงไม่เสื่อมความเคารพท่าน
ก็แยกแยะเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ได้เห็นด้วยหรือค้านไปหมด
คิดว่าตรงนี้ตัวเองพอมีปัญญาแยกแยะได้อ่ะ แต่ใครจะว่าโง่ ด้อยปัญญา ก็ไม่ว่ากระไร

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 19:22:44

ความคิดเห็นที่ 120

# 119 คุณชาล้นถ้วยกล่าวได้ดีนะคะ

เราเป็นคนหนึ่งค่ะที่เคารพท่านพุทธทาส
หนังสือเกี่ยวกับธรรมะเล่าแรกที่ควักตังค์ซื้ออ่าน ก็ของท่านพุทธทาสนี่แหละ

แต่ประเด็นกระทู้ที่เกี่ยวกับท่านพุทธทาสในช่วงนี้
เรากลับรู้สึกว่าเป็นลุงโชติที่กำลังสร้างปัญหาให้กับท่านพุทธทาส
คำสอนของท่านพุทธทาสมีปัญหาจริงๆ อันนี้คือสิ่งที่เราเปิดใจยอมรับ
ก็ไม่ทราบว่าลุงโชติกำลังพยายามจะทำอะไร และทำไปเพื่ออะไร เราไม่สามารถเข้าใจได้ ช่วงนี้ลุงโชติเริ่มนำท่านพระพรหมคุณาภรณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง หลายสิ่งที่ลุงโชติทำ เราไม่รู้สึกว่าเป็นการเคารพบูชาท่านพุทธทาส หากแต่เป็นการพยายามนำเสนอมุมมองของตัวลุงโชติเองโดยใช้ท่านพุทธทาสเป็น presenter เป็นตราประทับ

ต้องขออภัยลุงโชติด้วยนะคะ รู้สึกแบบนี้จริงๆ ค่ะ หากเคารพท่านพุทธทาสด้วยใจที่บริสุทธิ์ ก็หยุดเถอะค่ะ เราเหล่าพุทธบริษัทที่ดีล้วนเป็นทาสของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น มิใช่มีแต่เพียงท่านพุทธทาสองค์เดียวหรอกค่ะ

จากคุณ : Smiling-girl

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 00:22:17

ความคิดเห็นที่ 121

0.ถ้าคนอ่านเข้าใจว่า คำพูดของ 123 เป็นคำพูดของท่านพุทธทาส
คนอ่านก็จะเสียโอกาสที่จะคิดไปตรวจสอบคำพูดจริงๆ ของท่านพุทธทาส

ส่วนคนอ่านที่รู้ว่า นี่ยังไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส
แต่เป็นคำที่คนอื่นอ่านแล้วสรุปมา ก็อาจจะมีความคิดจะไปตรวจสอบต้นฉบับ

ตรวจสอบแล้ว

1.บางคนอาจเห็นว่า 123 สรุปได้ตรงแล้ว ได้ร้อยคะแนนเต็ม
2.บางคนอาจเห็นว่า 123 สรุปได้ตรงแล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วน ยังไม่สมใจ
3.บางคนอาจเห็นว่า 123 สรุปได้ไม่ตรง เพราะมีแง่โน้นแง่นี้ก็ว่ากันไป

กรณีนี้คิดว่า คุณแอ็คคงอยู่ในข้อ 0 ไม่งั้นก็ข้อ 1

เปรียบเทียบกับกระทู้ใกล้ๆ ตัว
ถ้าเกิดมีคนเข้าใจว่าวลี "ปัญญาเกิดจากถิรสัญญา สติเกิดจากเผลอ"
เป็นคำพูดที่ออกจากปากของลพ.ปราโมทย์ ไม่ใช่ออกจากปากท่านอื่น

คงไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียหายเท่าไร

ย้ำว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ 123 สรุปผิดหรือถูกนะครับ
------------------------------------------

ไงก็ตาม
อย่างที่คุณอีวาว่าไว้ นี่เป็นประเด็นรอง

ประเด็นยกหลักฐานผิดคน กับประเด็นท่านพุทธทาสสอนผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
แม้จะเนื่องกัน แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรอกันนี่นา

- ถึงจะยกหลักฐานผิดคนจะเป็นจริง
ก็ไม่ใช่แปลว่าประเด็นท่านพุทธทาสสอนผิดจะล่มไปเสียเมื่อไรนิ
ก็ยกมาใหม่ให้ตรงคนก็เท่านั้น

- ถึงประเด็นเรื่องยกหลักฐานผิดคนจะยังไม่จบ เพราะคุณแอ็คยังไม่มา
แต่อย่างที่ว่า เป็นคนละประเด็นกัน ไม่ต้องรอกันหรอก : )

ท่านใดจะวิพากษ์ประเด็นท่านพุทธทาสสอนผิดเรื่องนั้นนี้ต่อ
ก็ว่ากันไปต่อได้เลยนี่นา ใน http://www.buddhadasa.com นั่นไง
ถ้าจากเวบนี้+ลิงค์อ้างอิง รับรองไม่มีใครติว่าไม่ใช่หลักฐาน : )
แถมท่าทางได้หลายคดีด้วยนะ
------------------------------------------

อันนี้ตอบคุณอีวาคห.110 (พูดถึงผมหรือเปล่าไม่รู้ แต่ร้อนตัวน่ะ อิอิ )

การพูดเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการมาห้าม หรือมาก่อกวนไม่ให้วิจารณ์ท่านพุทธทาส
บางเรื่องที่วิจารณ์กัน ผมมาอ่าน ผมยังเห็นด้วยกะพวกคุณด้วยซ้ำ...

มันคนละประเด็นกันนะครับผม..

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 00:33:12

ความคิดเห็นที่ 122

ท่านใดจะวิพากษ์ประเด็นท่านพุทธทาสสอนผิดเรื่องนั้นนี้ต่อ
ก็ว่ากันไปต่อได้เลยนี่นา ใน http://www.buddhadasa.com นั่นไง
ถ้าจากเวบนี้+ลิงค์อ้างอิง รับรองไม่มีใครติว่าไม่ใช่หลักฐาน : )
แถมท่าทางได้หลายคดีด้วยนะ <<< อ้าววว ซะง้าน 555+++

จากคุณ : Smiling-girl

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 01:13:05

ความคิดเห็นที่ 123

คห.122

อ่ะ... ให้กิฟท์คืน : )
กะแนะเล่มนี้ให้เป็นการชดเชย ไม่รู้ว่าเคยอ่านไปยัง?

คนไทยใช่กบเฒ่า โดยพระพรหมคุณาภรณ์
http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/530

ราวๆ บทที่4 มีพูดประเด็นเกี่ยวกับที่ท่านพุทธทาสพูดเรื่องฉีกพระไตรปิฎก
กับเรื่องเอออวยอยู่นิดๆ

เป็น "มุมมองหนึ่ง" ที่อาจใช้ประกอบการพิจารณาได้ : )

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 01:35:31

ความคิดเห็นที่ 124

คุณชาล้นถ้วยยังอ้างว่า "ต้องดูบริบทก่อน"
แต่คุณกลับพิสูจน์ความหมายของคำว่า เอออวย ด้วยการอ้างคำพูดผู้อื่นที่ใช้คำเดียวกัน แต่พูดกันคนละเรื่อง โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวโยงถึงกันเลย ?

อุตส่าห์ยกตัวอย่างคำพูดของสมาชิกนั่น ..
องค์ประกอบเรื่องราวที่จะให้เปรียบเทียบกัน มันไม่มีเลย อย่าว่าแต่จะควานหาบริบท

มันเป็นวิธีคิดที่เขาเรียกว่า ตรรกะผิด

ผิดยังไง ก็เช่น - คนนี้พูดอย่างนี้ คำของคนนี้แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น คนนั้นพูดอย่างนั้น คำเดียวกันนั้นก็ต้องแปลได้อย่างคำของคนนี้ ?!

คำบางคำ มีความหมายไปคนละทาง
บางคำ พจนานุกรมก็ยังเก็บความหมายไม่ครบทุกด้าน
บางคำก็ใช้ในความหมายไม่ตรงกับพจนานุกรม แต่ก็สื่อสารรู้เรื่อง ไม่ผิดความประสงค์ของผู้สื่อ

แล้วจะพิสูจน์ความหมายของ "ความ" โดยไปอ้าง "คำแปล" ของ "คำ" ในพจนานุกรม ได้ยังไงกัน?!
เอาอะไรคิด?

ถ้ามีคนพูดว่า
"ไอ้ชั่วที่อ้างถ้อยคำของพระธรรมปิฎก มาไม่ครบ มันจงใจใช้เป็นเลศ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจพระธรรมปิฎกท่านไปผิดๆ ไอ้คนพรรค์นี้มันพวกกเฬวรากกากเดน"

คนที่ไม่รู้ความหมายหรือคำแปลแท้ๆ ของคำว่า กเฬวราก ก็เข้าใจ "ความ"
กระทั่งผู้พูดเอง บางทีก็ยังไม่รู้คำแปลแท้ๆ ของคำ กเฬวราก ที่ตนใช้สื่อสารด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยเปิดพจนานุกรม
แต่ก็เข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังต้องการจะสื่อ ว่าหมายความถึงอะไร

นั่นคือ ทั้งคนพูดและคนฟัง เข้าใจว่า ผู้พูดกำลังตำหนิ "ไอ้คนที่อ้างถ้อยคำของพระธรรมปิฎกให้คนเข้าใจผิด" ว่าเป็น "คนเลว"

แต่แล้ว มีคนบอกว่า ผิด!
แล้วแก้ว่า คนที่อ้างพระธรรมปิฎกนั้นๆ ไม่ใช่คนเลว
เหตุผลก็คือ พจนานุกรมบอกว่า กเฬวราก แปลว่า ซากศพ

จากนั้น ยกตัวอย่างคำพูดของใครก็ไม่รู้ พูดว่า
"วันหนึ่ง ลัลลัลล้า ฉันเดินไป ฉันเห็นสัตว์ทั้งหลายตายเป็นเบือ ลัลล้า ซากเศษชิ้นส่วนกระจัดพลัดพราย โอ้ อนิจจา กเฬวรากกากเดน!"

แล้วก็เย้เย้ ว่า เห็นมั้ย เห็นมั้ย

โดยไม่ยอมดู "ไอ้ชั่วที่อ้างถ้อยคำของพระธรรมปิฎก มาไม่ครบ มันจงใจใช้เป็นเลศ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจพระธรรมปิฎกท่านไปผิดๆ"
ว่าหมายความว่าอะไร

- - - - - - - - - - - - -
แม้จะบอกว่า ไม่คิดร่วมวงอภิปราย แต่มาแก้ให้ท่าน ฯลฯ กรณีที่ไม่เป็นธรรม
แต่วิธีการอ้างตรรกะแบบเซ่อๆ อย่างนี้แหละ ที่ทำให้ปัญหาเรื้อรังบานปลาย
ก็เพราะไม่ยอมหันหน้ามองปัญหาตรงๆ ว่าเป็นปัญหา
บอกปัดๆ ว่า ก็รู้แหละ ว่ามีปัญหา แต่กูจะนับถือของกูอ้ะ มีไรมั้ย

เออ นั่นแหละ ไม่แปลกใจหรอก
ลองถ้าโต้กันด้วยไอ้อะไร ประเภท..

ทำไมยังมีหน้ามาพูดว่า เป็นประเด็นปลีกย่อย
เพราะเป็นเพื่อนกันจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปลีกย่อย
ถ้าคนที่โดนด่าไม่ใช่ท่านพุทธทาส
ถ้าคนนำเอาหลักฐานปลอมมาใช้ด่า ไม่ใช่เพื่อนคุณ
คุณจะว่าเป็นประเด็นปลีกย่อยอีกมั้ย
ฯลฯ

โบราณเขาถึงบอกว่า คำพูด มันฟ้องถึงสติปัญญา!!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 02:26:25

ความคิดเห็นที่ 125

TheAct ฝากบอกว่า
ยังเข้ามาไม่ได้ เพราะเหตุจำเป็นจริงๆ เดี๋ยวเขากลับมา จะมาแถลงเอง

แต่เขารู้เรื่องแล้ว
เขาได้เผย "เบื้องหลัง" คคห #19 ที่ไม่เอ่ยชื่อใคร

เป็นอย่างที่ผมสังสัยอยู่แล้วว่าต้องมี "อะไร" บางอย่างแน่ๆ เขาจึงไม่เอ่ยชื่อ

TheAct งุนงงมาก
เขาไม่ได้เอามาจากไอ้ 123 หรืออนุวาทะของ 123 ใดๆ ที่เว็บไหนๆ เลย

เขามี source ของเขา

อะไรที่มันมีต้นฉบับ มันก็มาจากต้นฉบับ

เอาเป็นว่า ตอนนี้ "รู้เรื่อง" แล้ว
ในความทรงจำอันยาวนาน มันมีที่มาอย่างนี้นี่เอง
ที่เหลือก็แค่ ไปดูให้เห็นกับตา
ถ้าผมไปเก็บ "หลักฐาน" มาได้ก่อน TheAct
ก็ไม่ต้องรอเขา

เตือนก็แล้ว ให้พิสูจน์ก็แล้ว ว่ามันเป็น "หลักฐาน" ได้ยังไงกัน ก็ไม่ฟังกันเลย

เห็นมั่นใจกันนัก กะอีแค่ค้นๆ เอาตามเว็บ ก็ทำลิงโลด
ไชโย เจอแล้วๆ นี่ไงๆ หลักฐานเท็จๆๆๆ เอาคำที่ไม่ใช่ของพุทธทาส มายัดปากพุทธทาส

ไม่ควรเลย
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 02:52:11

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 02:50:28

ความคิดเห็นที่ 126

กล่าวถึงเฉพาะประเด็นเรื่อง "เอออวย" นี้ เอาแค่เบื้องต้นก่อน

ความเห็นของผมคือ... (ขอรีรันที่ตัวเองพูดไว้ข้างบน คห 77 ละกัน)

เวลาอ่านบริบทก็ตามนั้นแหละ อย่างเรื่องเอออวยก็เขียนไว้อ่านแล้วเข้าใจอย่างนั้นจริงตามที่เห็นนี่แหละ เห็นทั้งหน้าทั้ง paragraph
หรืออย่างอันที่บอกว่านรกสวรรค์พราหมณ์บันทึกใส่ปะปนมาภายหลัง
ไม่ใช่ว่ายกมาขาดๆแค่บางส่วนเพื่อเอามาโจมตี

แต่ถ้าจะให้ลงลึกอีกหน่อย ก็...

"ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร."

ก็มีกล่าวไว้อย่างนี้ ทีนี้ลองมาดู...

- "หักล้าง"
ไม่น่าต้องตีความมาก แปลว่าที่มีอยู่มันไม่ตรง มันใช้ไม่ได้ จึงต้องหักล้าง
แต่ด้วยมันเสียเวลา? พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงไป "หักล้าง"
แต่จำต้อง"เอออวย" กับสิ่งที่มันไม่ตรง ใช้ไม่ได้นั้น
แล้วบริบทของคำว่า เอออวย นี้ มันจะเป็นอะไรไปได้?

- "สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น"

เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาโดยมีอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมาย่อมต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ (ในพระสูตรพระพุทธเจ้ายังย้ำด้วยซ้ำว่า ...ที่กล่าวมานี้ เราเห็นเอง ไม่ได้กล่าวตามสมณพราหมณ์ที่ไหน...)

การที่จู่ๆก็อ้างว่าคำสอนเหล่านี้ เป็นคำสอนของพวกพราหมณ์ที่มีอย่าง"สมบูรณ์ชัดเจน"อยู่ก่อน โดยที่ไม่ไปสำรวจตรวจดูว่าในคำสอนของพราหมณ์ (แม้กระทั่งศาสนาพราหมณ์ฮินดูในยุคหลัง) เขามีคำสอนเรื่องนรกสวรรค์ที่ชัดเจนเช่นนี้หรือไม่ เพราะถ้าได้ไปสำรวจตรวจดูจริงๆแล้ว คงไม่อาจอ้างเหตุผลเช่นนี้ได้เป็นแน่ เนื่องจากจะได้พบว่า คำสอนเรื่องนรกสวรรค์ เทวดา ในคำสอนของศาสนาพราหมณ์นั้นคลุมเครือและแทบจะไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ซึ่งแสดงว่าผู้สอนนั้นหรือผู้พูดถึงนรกสวรรค์นั้นไม่รู้จริง จึงไม่กล้าให้รายละเอียดอะไรไว้(อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบันลือสีหนาท ประกาศแจกแจงรายละเอียดไว้มีชัดเจน)

แค่นี้ก็ปัญหาหนักแล้ว...

หา!? มี source เดิมที่ยิ่งกว่านี้อีกด้วยหรือ!
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 04:42:40

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 04:35:12

ความคิดเห็นที่ 127

จากทิฏฐิท่านพุทธทาส

เทวดามีจริงหรือไม่ ?

http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;

พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ

อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;

------------------------------

คุณชาล้นถ้วย ครับ บริบทหนึ่งที่ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า คือคำว่า สวมรอย

ช่วยไปค้นหาข้อแก้ตัวให้อาจารย์ด้วยนะครับ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 05:22:29

ความคิดเห็นที่ 128

พุทธประวัติ
http://84000.org/tipitaka/picture/f65.html

ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน

วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษยโลก และยมโลก

เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลกก็คือโลกมนุษย์ และยมโลกซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก

พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า

"ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"

พุทธภูมิ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า

------------------------------------------------------------

จากทิฏฐิท่านพุทธทาส

เทวดามีจริงหรือไม่ ?

http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;

พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
--------------------------------------------

เสียดายแทนท่านพุทธทาส ที่เกิดไม่ทันในยุคพุทธกาล ที่พระพุทธองค์ทรงเปิดโลกทั้ง ๓

ด้วยวิบากกรรมที่ กล่าวตู่ พระรัตนตรัย คงอีกนาน กว่าที่จะได้มาพบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์

สำหรับปาฏิหาริย์หนึ่งที่ยังหลงเหลือ ให้เห็นทุกวันนี้ ในวันออกพรรษา คือ

การแสดงปาฏิหาริย์ของ เทวดานาค ที่บูชาพระพุทธเจ้า ด้วยดวงไฟสีต่าง ๆ ที่แม่น้ำโขง ครับ

จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 05:32:10

ความคิดเห็นที่ 129

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 --- ไม่ ตะขึดตะขวง อะไรเลยหรือครับ

ตอบ ที่ผม ถาม แล้วยังครับ

ผม ถามไว้ว่า
ความคิดเห็นที่ 81 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
กระทู้นี้ คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กล่าวหาผม "ใช่ไหม"

ผม ไม่เคย กระทำเช่นที่คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กระทำต่อ ผม ด้วยการกล่าวหา ว่า " คุณเฉลิมศักดิ์ 1 เห็น พระพุทธโฆษาจารย์ เหนือกว่า พระบรมศาสดา" ใช่ไหมครับ

2 บรรทัดบน -- ไม่ใช่ ข้อกล่าวหาคุณเฉลิมศักดิื 1 นะครับ

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ
คุณเฉลิมศักดิ์ 1 -- รับผิดชอบ หน่อยครับ

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กล่าวหา ท่านพุทธทาส หลายวาระใช่ไหม ดังกระทู้ที่ ผมอ้างฯ

คุณ เฉลิมศักดิื 1 ไม่ กล้า กล่าวหา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ใช่ไหม ตามที่ ท่าน ชี้ว่า -- วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่ อธิบาย พระไตรปิฎก ตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ

ตกลง
คุณเฉลิมศักดิื์ 1 เห็น วิสุทธิมััค์ เหนือ พระไตรปิฎก ใช่ไหมครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 08:39:39

ความคิดเห็นที่ 130

ที่เรื่องมันวุ่นวายก็เพราะมีคนอื่นมาวุ่นวายกับประเด็นของข้าพเจ้า เพราะตั้งแต่แรกใน คห.67
ข้าพเจ้าก็แค่ถามหาที่มาจากคุณ TheAct เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครอื่นเลย
เพราะเห็นการอ้างข้อความแบบไม่ระบุที่มา ก็ถามว่าเอามาจากไหน
ถ้าเป็นหนังสือ ก็จะได้พยายามไปหาดูต้นฉบับว่ามันมีจริงหรือไม่ โดยเฉพาะ คห.19 กระทู้โน้นที่ไม่เคยผ่านตา

และก็ลงมือค้นหาเองไปด้วย เมื่อเจอหลักฐานที่มา ที่มันตรงกันทุกคำพูด
การที่ข้าพเจ้าจะสันนิษฐานว่าคุณแอ็คก้อปข้อมูลมาจากเน็ตที่ใช้ต่อๆ กันมา
ก็ต้องถือว่ายังอยู่ในขอบเขตที่จะสันนิษฐานได้

ก็ถ้าคุณแอ็คยืนยันว่าไม่ได้เอามาจากเน็ตและมีหลักฐานที่เป็นตำราจริงๆ ก็นำมาแสดงกัน
ถ้าข้าพเจ้ากล่าวหาผิดคนก็ย่อมจะยอมขอโทษแต่โดยดี

แต่ที่เถียงกันมาจนเละเทะนี่ ก็เพราะมีคนไม่ยอมรอคุณแอ็ค แล้วก็มาคาดคั้นกันว่าทำไมไม่ถกเรื่องนั้นเรื่องนี้ บลาๆๆ

ใน คห.67 เริ่มต้นนั่น ดูอีกทีซิว่า ข้าพเจ้าคิดจะไปเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่
แค่เพียงเสนอเพิ่มว่า ใครมีประเด็นเกี่ยวเนื่องน่าจะแตกประเด็นไปถกกัน
ตรงไหนละที่ข้าพเจ้าเสนอตัวจะเข้ามาถกกับใคร ถามหน่อย

**************************************

ความคิดเห็นที่ 67

คุณ : TheAcT ขอทราบหน่อยว่า ข้อความที่อ้างใน คห. 46 กระทู้นี้นี้มีที่มาจากไหน

พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก การฆ่าสัตว์ตัวนั้นตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป

ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน

-------------------------

และ คห.19 จากกระทู้

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9615237/Y9615237.html#19

พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

ู^
^
^
ตัวอย่างตำราที่ไม่ควรเชื่อ

-----------------------------

ขอทราบทั้ง 2 ความเห็นนี้

- ถ้าคุณ TheAct ได้อ่านมาเองโดยตรงจากหนังสือ ช่วยบอกชื่อหนังสือ และหน้าด้วย
- ถ้าเอามาจากเว็บไซต์ ขอลิ้งค์ด้วย
- หรืออื่นๆ ก็ช่วยบอกที่มาด้วย

ที่จริงการอ้างอิงเช่นนี้ คุณ TheAct ควรอ้างอิงที่มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพื่อที่ว่าคนที่สงสัย
จะได้ไปตรวจสอบข้อมูลต้นฉบับก่อน

ใน คห.46 ของกระทู้นี้ เคยได้อ่านผ่านตา ว่าท่านกล่าวเช่นนี้ แต่ต้องการดูบริบทแวดล้อมประกอบด้วย

ส่วน ใน คห.19 ของอีกกระทู้หนึ่ง ไม่เคยผ่านตา (เคยอ่านเจอแต่เรื่องเอออวย)

จึงขอความอนุเคราะห์ด้วย

เพื่อที่จะไม่เป็นกรณีว่า "ตัดแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งมา" เหมือนที่คุณระนาดเอกกล่าวถึงท่านเซนฯ อยู่ในกระทู้นี้

-------------------------------

ปล. ความคิดเห็นเกี่ยวกับกระทู้นี้ คือ ท่านเซนฯ ต้องการสะสางข้อกล่าวหาของคุณเฉลิมศักดิ์โดยเฉพาะ
ท่านอื่นๆ ที่มีประเด็นเกี่ยวเนื่อง ก็น่าจะแตกประเด็นไปตั้งกระทู้ใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ ???

อ่านแล้วปวดหัว มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด

จากคุณ : ชาล้นถ้วย
เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:05:48

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 11:17:48

ความคิดเห็นที่ 131

แล้วก็ท่านระนาดก็อย่ามาทำเป็นข่มกันนักเล๊ยย ถ้าคิดว่าตอนนี้ตัวเองเป็นต่อ ก็เชิญตามสบาย
ตอนที่เห็นหลักฐานจาก 123 ทีแรกนั่น คิดอะไรอยู่ในใจล่ะ อย่าโกหกตัวเองก็แล้วกัน
ถ้ามั่นใจว่าดิแอ็คไม่ได้เอามาจากแหล่งนี้หรือแหล่งที่ก้อปตามๆ กันมาแน่ๆ คงร้องปาวๆ ไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่พึ่งมาข่มกันในนาทีนี้หรอก
ไอ้ที่ไม่กล้าร้อง ก็คงเพราะกลัวตัวเองจะหน้าแหก แล้วจะเสียเครดิตนั่นแหละว๊า หรือมิใช่ ????

ส่วนข้าพเจ้ามันไม่ใช่คนมีหน้ามีตา มีเครดิตอะไรในเว็บนี้ ถ้าผิดก็ยอมรับผิดและขอโทษก็เท่านั้น
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 11:44:51

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 11:40:52

ความคิดเห็นที่ 132

คุณชาล้นถ้วย โปรดวางอารมณ์และตัวตนไว้ก่อนนะคะ

ท่านระนาดเอกกว่าจะเข้ามาก็ดึกโข เราๆ คงไปนอนกันแล้ว
เผอิญสิ่งที่คุณชากล่าวข้างบนเราเกี่ยวด้วยอยู่นิดหน่อย จึงขออนุญาตตอบค่ะ

เราตามเกือบกระทู้ที่เกี่ยวกับท่านพุทธทาสในช่วงนี้ (เริ่มไม่เข้าใจลุงโชติ)
แต่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เพราะไม่มีปัญญา ไปไม่ถึง

กระทู้ก็เช่นกัน เราก็ตามอ่านอยู่ จนถึงประเด็น คคห. 123 ที่คุณชานำมาโพสต์
เราก็อยากรู้เช่นกันว่าจริงๆ มันเป็นยังไง เพราะคุณ TheAct ก็ไ่ม่ได้เข้ามา
ก็ถามกับท่านระนาดเอกนี่แหละ ถามวันเดียวกับที่คุณโพสต์ขึ้นมาเลยค่ะ
คำตอบจากท่านระนาดเอก ก็คือ "ต้องรอให้คุณแอ็คมาตอบ แต่พี่เชื่อว่าแกมีเหตุผลทีดี ไม่มักง่าย แต่ต้องรอให้เจ้าตัวเขามาตอบเอง"

โอเคนะคะ

จากคุณ : Smiling-girl

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 12:38:12

ความคิดเห็นที่ 133

การที่เขาถกหลักฐานทั้งหมดนี้ ไม่ว่า จขกท. หรือสมาชิกอื่น TheAct Eva ระนาดเอก
จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ เขาไม่ได้ต้องการให้คนอย่างคุณชาล้นถ้วย เลิกนับถือท่านพุทธทาส
และก็ไม่มีใครเรียกร้องชักชวนให้ใครมาร่วมวงด่าท่านพุทธทาสด้วย
คุณชาล้นถ้วยนั่นแหละ บ้า! คิดเองเออเอง
เหมือนกับที่คิดว่า เพราะเป็นเพื่อนกัน เกลียดพุทธทาสเหมือนกัน จึงว่าประเด็นหลักฐานเท็จเป็นปลีกย่อย ฯลฯ

แต่ที่เขาต้องถกกัน ก็เพราะความวิปริตบิดเบือน มันปรากฏคงทนเป็นตำรับตำรา
และก็จะมีคนอย่างคุณชาล้นถ้วย เข้ามาเป็นคนอย่างคุณชาล้นถ้วย
คือยิ่งนานยิ่งไร้เหตุผล
อันตรายนะครับ ถ้าพุทธศาสนิกชน เป็นคนไม่มีเหตุผล ไม่หันหน้าเข้าหา "ความจริง"

คุณอ้างว่า คุณมีสิทธิจะสันนิษฐานว่า TheAct ก้อปข้อมูลมาจากเน็ตที่ใช้ต่อๆ กันมา เพราะเพียงได้เห็นไอ้โพส 123 แค่นั้น
อยู่ในขอบเขตจะสันนิษฐานได้ ?!

เรื่องโง่หรือด้อยปัญญา ที่คุณรีบประทับตราให้ตัวเองไว้ก่อน นั่นก็เรื่องหนึ่งล่ะ ไม่อยากจะซ้ำ ว่ามันใช่
แต่ยกหางตัวเองว่า สันนิษฐาน นี่มัน ผมว่ามัน "หนา" เกินไปนะ

จะบอกให้ว่า สันนิษฐาน เขาจะมีแค่อย่างที่ Smiling-girl เอาหลังกระทู้มาขยายภายนอกนั่นแหละ
คือสันนิษฐานว่า "เชื่อว่าเขามีเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่มักง่าย .."
แล้วก็จบแค่นั้น
ผมยังไม่เคยเพิ่มเติมจินตนาการที่บรรเจิดอะไรลงไปหลังจากสันนิษฐานแล้วอีกเลย
เพราะผมไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็ไม่พูด
แต่เมื่อหลายคนร้องให้ตามตัว TheAct ได้แล้ว ผมก็ต้องติดต่อเขาเป็นครั้งที่ 2
ครั้งแรก ผมไม่บอกอะไรเลย ไม่พูดอะไรถึงกระทู้ไหนเลย เพราะผมไม่ต้องการ "ไบอัส" TheAct แม้แต่นิดเดียว
ครั้งที่ 2 คราวนี้เขาถามว่ากระทู้ไหน ผมถึงต้องบอก และเขาก็ขยายให้ฟังอย่างที่บอกน่ะแหละ

แต่การสันนิษฐาน ของคุณชาล้นถ้วย เป็นอย่างนี้..

ข้อความที่คุณแอ็คยกมาเพื่อตำหนิท่านพุทธทาสนั้น
มันมีอยู่ข้อความหนึ่ง ที่เป็นหลักฐานเท็จ ไม่ใช่คำพูดของท่านพุทธทาส
นี่เหรอ สันนิษฐาน?!
..
มีคนที่ไม่ชอบท่านพุทธทาสหยิบเอาหลักฐานเท็จนี้มาใช้ติเตียนท่านพุทธทาส .. รวมทั้งคุณ TheAct ด้วย
โดยไม่คิดจะตรวจสอบที่มาที่ไป .. เพราะว่าเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบ
เมื่อเห็นหลักฐานใดที่คิดว่าจะนำมาติเตียนคนที่ตนเองไม่ชอบได้อย่างเต็มเหนี่ยว ก็จะรีบหยิบมาใช้ในทันที กูเชื่อทันทีว่าจริง ยกมาใช้ แล้วก็ด่าเสียมันปาก
นี่น่ะนะ สันนิษฐาน?!
..

..ไม่ใช่ไปตัดคำพูดของ 123 มาแบบไม่ครบ ไม่บอกว่าเป็นคำพูดของ 123
แต่เอาไปยัดใส่ปากท่านพุทธทาส ว่าท่านพุทธทาสเป็นคนพูด แล้วก็ด่าท่านพุทธทาสอย่างมันปาก
รีบเอามาใช้แบบมักง่าย ไม่ดูตาม้าตาเรือเล๊ยยยยยยยยย

แบบนี้ทั้ง "โง่" ทั้ง "อคติ" ทั้ง "มืดบอด" คำพูดแค่นี้ก็วิเคราะห์ไม่ออกว่า ว่ามันเป็นคำพูดของบุคคลที่สาม

อีกอย่าง ใครอยากจะด่าท่านพุทธทาสจากเรื่อง เทวดามีจริงหรือ ก็ไปเรียกให้เขายกบทความนั้นมาเองซิ
มาวิเคราะห์ มาด่ากันเอา จะมาร้องเรียกให้คนที่เขาไม่ได้อยากด่าท่านพุทธทาส ให้ยกบทความนั้นมาทำเมี่ยงอะไรหรือ

ไม่ยกเว้ย เมื่อยมือ เก็บมือไว้ด่าคนโง่ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือดีกว่า

นี่ไง นักสันนิษฐาน?!

ไอ้การใส่ๆๆ แล้วจบท้ายว่า ใช่หรือไม่ เพราะอะไรกันเล่า ฯลฯ
ก็เพื่อป้องตัวเอง คือด่าเขา แต่จะให้เป็นแค่ "การตั้งคำถาม ไม่ใช่การกล่าวหา"
คนจำพวกนี้ มีมากมายตามกระทู้โง่ๆ พวกสาวกสำนักชั่วนั่นเยอะเลย ไม่ได้มีแต่เฉพาะคุณชาล้นถ้วย

คุณจะไปยกไอ้เรื่อง ข่ม เป็นต่อ ฯลฯ ขึ้นมาหาอะไร ไปทำไม
ตัวคุณเองก็สารภาพว่า ตัวเองไม่ใช่คนมีหน้ามีตา มีเครดิตอะไรในเว็บนี้
อ้อ.. ถ้าเป็นคนไม่มีหน้าตา ไม่มีเครดิต อยากจะพูดหมาๆ อะไรก็ได้ อย่างนั้นรึ
ก็ถ้าคิดจะแยกชนชั้นศักดินาอย่างนี้
แล้วมันจะมีเหตุมีผลมีประโยชน์อะไรที่ "คนมีหน้ามีตา มีเครดิต" จะต้องไปตอแย ไปเอาชนะ ไปข่ม คนอย่างคุณ ?

ผมว่าคุณยังสำคัญตนเองผิดไป ประเมินค่าตัวเองสูงเกินไปมั้ง

คุณชาล้นถ้วยบอกว่า..
ที่เรื่องมันวุ่นวายก็เพราะมีคนอื่นมาวุ่นวายกับประเด็นของข้าพเจ้า เพราะตั้งแต่แรกใน คห.67
ข้าพเจ้าก็แค่ถามหาที่มาจากคุณ TheAct เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครอื่นเลย

ก็ถ้าคุณแอ็คยืนยันว่าไม่ได้เอามาจากเน็ตและมีหลักฐานที่เป็นตำราจริงๆ ก็นำมาแสดงกัน
ถ้าข้าพเจ้ากล่าวหาผิดคนก็ย่อมจะยอมขอโทษแต่โดยดี

แต่ที่เถียงกันมาจนเละเทะนี่ ก็เพราะมีคนไม่ยอมรอคุณแอ็ค แล้วก็มาคาดคั้นกันว่าทำไมไม่ถกเรื่องนั้นเรื่องนี้ บลาๆๆ

ไอ้ที่คุณไปบอกว่า เขาเป็นไอ้ "โง่" ไอ้ "อคติ" ไอ้ "มืดบอด" เพราะ
ไปตัดคำพูดของ 123 มาแบบไม่ครบ ไม่บอกว่าเป็นคำพูดของ 123
แต่เอาไปยัดใส่ปากท่านพุทธทาส ว่าท่านพุทธทาสเป็นคนพูด
แล้วก็ด่าท่านพุทธทาสอย่างมันปาก
รีบเอามาใช้แบบมักง่าย ไม่ดูตาม้าตาเรือเล๊ยยยยยยยยย

นี่คือการ "รอ" ของคุณชาล้นถ้วย งั้นเหรอ?
อย่าบอกนะ ว่า "กูไม่ได้ระบุชื่อ TheAct แล้วใครจะทำไม"

แล้วที่บอกว่า แค่ถามหาที่มาจากคุณ TheAct เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครอื่นเลย

อ๋อ เหรอ?!

ไอ้ที่กระทืบเท้าขัดใจว่า ฐานาฐานะทำไมมองไม่ออกว่าเป็นหลักฐานเท็จอีกวะ
หรือจิ้มหน้าผาก Eva ว่า ก็เมิงเป็นเพื่อนกัน พวกเมิงไม่ชอบท่านพุทธทาสเหมือนกัน
เมิงก็ว่า "หลักฐานเท็จ" ที่กูฟันธง เอ๊ย สันนิษฐาน ..เป็นแค่ประเด็นปลีกย่อย แหงสิ
หรือที่ฟัน TheAct ว่า ไปตัดคำพูดของไอ้ 123 มาแบบไม่ครบ ไม่บอกว่าเป็นคำพูดของ 123
รีบเอามาใช้แบบมักง่าย ไม่ดูตาม้าตาเรือเล๊ยยยยยยยยย
แต่เอาไปยัดใส่ปากท่านพุทธทาส แล้วด่าท่านพุทธทาสอย่างมันปาก

เป็นแค่ การถามหาที่มาจากคุณ TheAct เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครอื่นเลย ?!?

คงจะจริงน่ะนะ ไม่หาเรื่องใครเลย ไม่เกี่ยวกับใครเลย
ก็ไม่มีใน #67 เลยนี่หว่า ฮ่าฮ่าฮ่า

คนสมัยนี้ เขาเล่นกระทู้กันอย่างสง่าผ่าเผยอย่างงี้เอง ชิมิ!
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 14:33:48

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 14:28:22

ความคิดเห็นที่ 134

คห.๑๙ ของคุณแอ็คที่อ้างกัน จะเอามาจากหนังสือหรือจากไหนก็เหอะ
ปัจจุบันนี้ ผมยังมั่นใจว่า

ข้อความนั้น ไม่ใช่คำพูดโดยตรงของท่านพุทธทาส
แต่เป็นการสรุปของบุคคลอื่นอีกที
....................................

ปล.ตกลงที่ว่ามีคนเสี้ยมนี่... ไม่สำคัญแล้วแฮะ
เครื่องติดกันเรียบร้อยทั้งคู่ : )

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 14:56:33

ความคิดเห็นที่ 135

ก็เพราะกระทู้ลักษณะนี้ ชอบบอกกันว่า
"อ่านแล้วปวดหัว มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด" อย่างนี้นี่แหละ

มักมีการนำพาให้ลงประเด็นย่อยกัน แล้วก็.........

ผมถึงได้ย้ำไงครับ ว่าอย่าลืมประเด็นหลักล่ะ!
(บางคนชอบแกล้งลืม พอได้จังหวะ ก็มาทำอนุโมทนาสาธุแล้วก็.......)

เผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆเสียที ได้ดีกันถ้วนทั่ว

ส่วนในแต่ละประเด็นนั้น คุยกันได้ มีเหตุผลจะให้คุยอีกเพียบ :)
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 18:11:22
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 15:15:09

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 15:12:36

ความคิดเห็นที่ 136

เอ. แล้วประเด็นหัวข้อกระทู้เนี่ย

มีใครเห็นท่านเซน เขียนว่าท่านเข้าใจหรือยังคะว่าท่านยกข้อตวามจากคัมภีร์วิสุทธิมรรคสั้นไป

ผิดเจตนาของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ที่เขียนข้อความเพื่ิอสรรเสริญยกย่องคัมภีร์วิสุทธิมรรค ว่าเป็นหลักในการศึกษาธรรมในหลายประเทศ

เอ ท่านเซ็นเขียนไว้ที่ไหนหรือยังคะ หรือข้าพเจ้าหาไม่เจอ
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 18:20:07

จากคุณ : เอิงเอย

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 18:12:01

ความคิดเห็นที่ 137

http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=2147.0

๒๔๓. ตโต มลา มลตรํ
อวิชฺชา ปรมํ มลํ
เอตํ มลํ ปหตฺวาน
นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๔๓ ฯ

มลทินที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือความโง่เขลา
ความโง่เขลา นับเป็นมลทินชั้นยอด
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงละมลทินชนิดนี้
เป็นผู้ปราศจากมลทินเถิด

A greater taint than these is ignorance,
The worst taint of all.
Rid yourselves of ignorance, monks,
And be without taint.

๒๓๙. อนุปุพฺเพน เมธาวี
โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว
นิทฺธเม มลมตฺตโน ฯ ๒๓๙ ฯ

คนมีปัญญา
ควรขจัดมลทินของตน
ทีละน้อยๆ
ทุกๆ ขณะ
โดยลำดับ
เหมือนนายช่างทอง
ปัดเป่าสนิมแร่

By gradual practice,
From moment to moment,
And little by little,
Let the wise man blow out
His own impurities,
Just as a smith removes
The dross of ore.

๒๔๔. สุชีวฺ อหิริเกน
กากสูเรน ธํสินา
ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน
สงฺกิลิฏฺเฐน ชีวิตํ ฯ ๒๔๔ ฯ

คนไร้ยางอาย กล้าเหมือนกา
ชอบทำลายผู้อื่นลับหลัง ชอบเอาหน้า
อวดดี มีพฤติกรรมสกปรก
คนเช่นนี้ เป็นอยู่ง่าย

Easy is the life of a shameless one
Who is as bold as a crow,
A back-biting, a forward,
An arrogant and a corrupted one.

๒๔๕. หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ
นิจฺจํ สุจิคเวสินา
อลีเนนปฺปคพฺเภน
สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ฯ ๒๔๕ ฯ

ส่วนคนที่มีหิริ ใฝ่ความบริสุทธิ์เป็นนิตย์
ไม่เกียจคร้าน อ่อนน้อมถ่อมตน
มีความเป็นอยู่บริสุทธิ์ มีปัญญา
คนเช่นนี้เป็นอยู่ลำบาก

Hard is the life of a modest one
Who ever seeks after purity,
Who is strenous, humble,
Cleanly of life, and discerning.

๒๕๓. ปรวชฺชนุปสฺสิสฺส
นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ
อารา โส อาสวกฺขยา ฯ ๒๕๓ ฯ

ผู้ที่เพ่งแต่โทษคนอื่น
คอยจับผิดอยู่ตลอดเวลา
เขาย่อมหนาด้วยกิเลสอาสวะ
ไม่มีทางเลิกละมันได้

He who sees others' faults
And is ever censorious-
Defilements of such :-) grow
Far is he from destroying them.

๒๕๔. อากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปญฺจาภิรตา ปชา
นิปฺปปญฺจา ตถาคตา ฯ ๒๕๔ ฯ

ไม่มีรอยเท้าในอากาศ
ไม่มีสมณะภายนอกศาสนานี้
สัตว์พากันยินดีในกิเลสที่กีดขวางนิพพาน
พระตถาคตทั้งหลาย หมดกิเลสชนิดนั้นแล้ว

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
In obstacles mankind delights.
The Tathagatas leave them behind.

๒๕๕. กากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ
นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิตํ ฯ ๒๕๕ ฯ

ไม่มี รอยเท้าในอากาศ
ไม่มี สมณะนอกศาสนานี้
ไม่มี สังขารที่เที่ยงแท้
ไม่มี ความหวั่นไหวสำหรับพระพุทธเจ้า

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
No etenal compounded thing.
No instability is there in the Buddhas.

พระพุทธวจนะ

---- ศาสดาและ สาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท----

ถึงคุณเฉลิมศักดิื 1 --เจ้าของกระทู้
ย้ำอีกครั้ง

คุณเฉลิมศักดิ์ 1 กล่าวหา ท่านพุทธทาส หลายวาระใช่ไหม ดังกระทู้ที่ ผมอ้างฯ

คุณ เฉลิมศักดิื 1 ไม่ กล้า กล่าวหา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ใช่ไหม ตามที่ ท่าน ชี้ว่า -- วิสุทธิมัคค์ ไม่ใช่ อธิบาย พระไตรปิฎก ตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ

ตกลง
คุณเฉลิมศักดิื์ 1 เห็น วิสุทธิมััค์ เหนือ พระไตรปิฎก ใช่ไหมครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 08:39:39 [แก้ไข]

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 19:56:48

ความคิดเห็นที่ 138

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9648489/Y9648489.html

ชวนให้นึกถึงคำอธิบายในหนังสือ “พุทธธรรม” ของพระพรหมคุณาภรณ์
(ประยุทธ ปยุตฺโต) ว่าคนเราทนไม่ได้หรอกที่จะแน่อยู่แก่ใจว่า “ตัวเรานั้น
ไม่มี” ใจจึงดิ้นรนไปว่าต่อให้ตกตายไป เราก็ยังมีวิญญาณไปเกิดแล้วเกิด
เล่าเท่าเดิมไม่มีที่สิ้นสุด แม้เมื่อตรองด้วยญาณ(ความรู้)จนเห็นแล้วว่าทุก
ชีวิตจะหาเนื้อตัวให้จับต้องได้นั้นไม่มี แม้ชีวิตในภพหน้าก็จะไม่มี แม้บำเพ็ญ
ฌานจนเห็นกายทิพย์ กายทิพย์นั้นก็ไม่ใช่ตัวตน ที่สุดมนุษย์ก็จะไปจับเอา
สภาวะหนึ่งว่าเป็นนิรันดร์นั้นเป็นตัวตนอันสูงยิ่ง (ปรม) ดำรงในจักรวาล
ซึ่งนับว่ายังดิ้นรนที่จะมีตัวตนอยู่นั่นเอง

หลักฐาน ข้อมูล ความเห็น
ความคิดเห็นที่ 42

ล็อนด็อน (ข่าวร็อยเต้อร์) - “พระผู้เป็นเจ้ามิใช่ผู้รังสรรค์เอกภพนี้ขึ้นมาดอก
การแตกระเบิดอุกฤษฎ์หรือบิ๊กแบ็งครั้งกระโน้นก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเองตามเหตุ
ที่มีอยู่แล้วของมันตามกฏทางฟิสิกส์อย่างยากจะหลีกเลี่ยง” นั่นคือเหตุผลเบื้อง
ใต้แนวคิดของสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์ทฤษฎีสังเคราะห์ชาวอังกฤษผู้เรืองนาม
แห่งยุค
หนังสือพิมพ์ไทมส์รายงานบทสรุปเมื่อวันพฤหัสบดี ๒ ก.ย.ว่า ในหนังสือเล่มใหม่
“ปฐมรังสรรค์” ที่เขาเขียนร่วมกับเลนหนาร์ด มโลดีนาว นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน เขา
เอ่ยอ้างชุดของทฤษฎีชุดหนึ่งบรรยายถึงผู้รังสรรค์เอกภพอันมีพฤติกรรมซ้ำเวียนนี้

“…..
เพราะว่ามีกฏธรรมชาติอย่างเช่นแรงโน้มถ่วง เอกภพจึงมีศักยภาพในตัวเองที่จะ
รังสรรค์ตัวเองขึ้นมาจากสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่ว่าสิ่งใดที่จะรังสรรค์ตัวเองขึ้นมาได้
ย่อมแสดงว่ามีบางสิ่งอยู่ในตัวมันมาก่อน อะไรทำให้มีเอกภพขึ้น อะไรที่ทำให้เรา
มีขึ้นดังที่เห็น
.......” ฮอว์กิ้งเขียนไว้

มันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีใครสักคนสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้ร่างพิมพ์เขียว
ขึ้นมาแล้วรังสรรค์โลกไปตามที่ออกแบบไว้

ฮอว์กิ้งในวัย ๖๘ กลายเป็นผู้ถูกโลกจับตาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ จากหนังสือของเขา
ชื่อ “ความเป็นมาโดยย่อของกาลเวลา” ซึ่งสังเคราะห์คำอธิบายถึงต้นกำเนิด
ของเอกภพดังเป็นพลุขึ้นมาจากบรรดางานเขียนของเขาเกี่ยวกับหลุมดำ จักรวาล
วิทยากับแรงโน้มถ่วงเชิงมวล

ตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ มาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้ประสานทฤษฎีหลักของฟิสิกส์ยุค
ใหม่สองทฤษฎีเข้าด้วยกัน คือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ว่าด้วยแรงโน้มถ่วงและปรากฏการณ์มหภาค -กับ- ทฤษฎีคว็อนตั้มที่ว่าด้วย
อนุภาคย่อยลงไปกว่าปรมาณู

ความเห็นล่าสุดของเขาชวนให้คิดว่าเขาก้าวออกมาจากทัศนะเดิมๆของเขา
เรื่องศาสนา ก่อนๆนี้เขาเขียนว่าเหตุจากกฏทางฟิสิกส์ที่มีอยู่ จึงไม่มีเหตุอะไร
ที่จะต้องเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีส่วนอยู่กับบิ๊กแบ็ง

ในเรื่อง “ความเป็นมาโดยย่อ...” เขากลับเขียนว่า “เมื่อไหร่ที่เราค้นพบทฤษฎี
ที่สมบูรณ์ มันจะเป็นธงชัยสุดท้ายของกระบวนการใช้เหตุผลของมนุษย์ เพราะ
ว่าตรงจุดนั้นเราจะได้เล็งเห็นถึง(ยืนที่ตำแหน่ง)เจตน์จำนงของพระผู้เป็นเจ้า

ในงานเล่มล่าสุดนี้ เขากล่าวว่าการค้นพบเมื่อปี ๒๕๓๕ ว่ายังมีดาวเคราะห์อื่น
ที่โคจรไปรอบดาวดวงอื่นที่ไม่มีเพียงดวงอาทิตย์เท่านั้น ได้ลบล้างทัศนะของ
บิดาแห่งฟิสิกส์ ไอแซ็ค นิวตั้น ลงไป ทัศนะที่ว่าไม่มีทางที่เอกภพจะมีขึ้นมา
ได้จากความอลหม่านไร้ระเบียบ แต่มีขึ้นจากการรังสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

นั่นมันมีผลทำให้ความเชื่อเรื่องความสอดสมดุลในสภาวะของดาวเคราะห์
–ว่ามีดวงอาทิตย์หนึ่งเดียว ความลงตัวของระยะห่างโลกกับดวงอาทิตย์กับ
มวลของดวงอาทิตย์ - นั้นคลายมนต์ขลังลงไปมาก มันลดทอนความศักดิ์สิทธิ์
ของความเชื่อในหลักว่าโลกใบนี้เป็นผลงานที่มาจากการใคร่ครวญอย่าง
พิถีพิถันเพื่อให้เป็นของกำนัลแก่มวลมนุษยชาติ ... ฮอว์กิ้งเขียนไว้ในเล่มล่านี้

ฮอว์กิ้งประสบกับความผิดปกติของประสาทกล้ามเนื้อมาเป็นปีๆแล้ว มันลุกลาม
จนถึงขั้นอัมพาต เขาต้องสื่อสารด้วยการพิมพ์ข้อความลงในเครื่องสังเคราะห์เสียง
ให้มันพูดเป็นคำออกมาจากข้อความที่เขาป้อน

เขาเผชิญกับอาการนี้มาตั้งแต่อายุยังไม่ ๓๐ แต่ก็สามารถสร้างสมตัวเองจนเป็น
บุคลากรทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก และยังเป็นผู้แสดงรับเชิญในภาพยนตร์
เรื่องสตาร์เถร็ค และภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Futurama และ The Simpsons

ปีที่แล้ว เขาได้ประกาศลงจากตำแหน่งสำคัญในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่
ไอแซ็ค นิวตั้นเคยดำรงอยู่ เขาเองดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๒

หนังสือ “ปฐมรังสรรค์” “The Grand Design” บรรณาธิการโดย สตี๊ฟ แอ๊ดดิซั่น
มีกำหนดออกจำหน่ายในสัปดาห์หน้า

หมายเหตุ จขบ. –

๑. ความเชื่อเรื่อง ความสอดสมดุลย์ของสภาวะดาวเคราะห์ จขบ.ยังเคย
อ่านพบในหนังสือแบบเรียนสำหรับโรงเรียนในเครือคาทอลิค ในชื่อเล่มว่า
ศีลธรรมสากล เมื่อปี ๒๕๑๒ – ๒๕๑๔ จึงพิจารณาเอาว่าแนวคิดนี้ในสมัย
ของไอแซ็ค นิวตั้น สอดคล้องกับศาสนจักร ซึ่งมีบทบาทมากในสังคมตะวันตก
ยุคหนึ่ง ในการ “บริหารองค์ความรู้ของชาติ”

๒. ข้อความนี้
[“เพราะว่ามีกฏธรรมชาติอย่างเช่นแรงโน้มถ่วง เอกภพจึงมีศักยภาพในตัวเอง
ที่จะรังสรรค์ตัวเองขึ้นมาจากสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่ว่าสิ่งใดที่จะรังสรรค์ตัวเอง
ขึ้นมาได้ย่อมแสดงว่ามีบางสิ่งอยู่ในตัวมันมาก่อน อะไรทำให้มีเอกภพขึ้น
อะไรที่ทำให้เรามีขึ้นดังที่เห็น” ฮอว์กิ้งเขียนไว้ ]

ชวนให้นึกถึงคำอธิบายในหนังสือ “พุทธธรรม” ของพระพรหมคุณาภรณ์
(ประยุทธ ปยุตฺโต) ว่าคนเราทนไม่ได้หรอกที่จะแน่อยู่แก่ใจว่า “ตัวเรานั้น
ไม่มี” ใจจึงดิ้นรนไปว่าต่อให้ตกตายไป เราก็ยังมีวิญญาณไปเกิดแล้วเกิด
เล่าเท่าเดิมไม่มีที่สิ้นสุด แม้เมื่อตรองด้วยญาณ(ความรู้)จนเห็นแล้วว่าทุก
ชีวิตจะหาเนื้อตัวให้จับต้องได้นั้นไม่มี แม้ชีวิตในภพหน้าก็จะไม่มี แม้บำเพ็ญ
ฌานจนเห็นกายทิพย์ กายทิพย์นั้นก็ไม่ใช่ตัวตน ที่สุดมนุษย์ก็จะไปจับเอา
สภาวะหนึ่งว่าเป็นนิรันดร์นั้นเป็นตัวตนอันสูงยิ่ง (ปรม) ดำรงในจักรวาล
ซึ่งนับว่ายังดิ้นรนที่จะมีตัวตนอยู่นั่นเอง
(จขบ.เก็บความจากความจำ ไม่ได้ค้นหาตัวหนังสือจริงมา)

พึงเปรียบเทียบแนวคิดของบุคลากรชั้นแนวหน้าผู้นี้ กับปรัชญาพุทธ เถรวาท กันดู

http://www.oknation.net/blog/SecondaryReader/2010/09/03/entry-1

จากคุณ : Winter Tear
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 13:57:28

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 21:47:27

ความคิดเห็นที่ 139

เอิงเอยอย่าไปเสียเวลาถามเลย

ไอ้กระบือนี่มันยิ่งกว่าดื้อด้าน
มันเข้าขั้นโรคจิตเต็มที่แล้ว
จะด่ายังไงมันก็ไม่รู้สึกหรอก

มันยกถ้อยคำพระเดชพระคุณท่านมากล่าวสั้นๆ เป็นเลศให้คนเข้าใจท่านผิด
แต่ทุกคนเขาเข้าใจท่านถูกต้อง ว่าท่านสรรเสริญวิสุทธิมัคค์ ต่างหาก

ท่านไม่ได้ดูหมิ่นวิสุทธิมัคค์อย่างที่ไอ้บ้านี่มันจงใจให้เป็น

คนทั้งหลายเขาเข้าใจ เขาก็ต้องมีแต่สรรเสริญพระเดชพระคุณท่าน

แต่มันยังเสือกพูดหน้าตาเฉยว่า "ไม่ กล้า กล่าวหา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ใช่ไหม?"

โธ่! จะให้ด่ามันยังไง
ให้ด่าว่า ไอ้หมา ไอ้คนใจหมา
ยังด่าไม่ได้เลย

มันไม่ยุติธรรมกับหมา

ปล่อยเป็นกรรมของสัตว์ไปก็แล้วกัน

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 23:33:46

ความคิดเห็นที่ 140

เฮียโชติทำอะไรอ่ะ ยาวเฟื้อยปวดตาไปหมด
ทบทวนคติธรรมประจำใจกับทฤษฎีกำเนิดจักรวาลอยู่เหรอ?

ปล.ขอผัดผักบุ้งหนึ่งจาน ไม่เอาน้ำ

จากคุณ : EvaAngelion

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 01:14:50

ความคิดเห็นที่ 141

ถึงคุณเฉลิมศักดิ์ 1 "โดย เฉพาะ"

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9654851/Y9654851.html
ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 08:33:15

ความคิดเห็นที่ 142

ระนาดเอกเลิกพล่ามถึงเรื่องท่านฐานาฐานะได้แล้ว ก็บอกไปแล้วว่าสงสัยก็ถาม
ก็สงสัยว่าท่านฐานะท่านอ่านแล้วท่านไม่เห็นหรือว่ามันเป็นคำพูดของ 123 ไม่ใช่ของท่านพุทธทาส
เมื่อท่านตอบมาทางหลังไมค ก็เข้าใจแล้วว่าท่านไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ก็หยุด
แต่คนที่ไม่ได้ถูกถามดันเอามาพล่ามไม่หยุด เหอๆๆ จิตปกติดีหรือเปล่าเนี่ย

ส่วนเรื่องด่าคุณแอ็คน่ะด่าจริง เพราะว่าคนมันก็เริ่มมีอารมณ์กันแล้ว
ก็บอกไปตั้งหลาย คห. แล้วว่า จะรอคุณแอ็ค
แต่มันก็มีคนมาพล่ามยั่วโทสะไม่หยุด เช่น ใน คห.106

"คุณชาล้นถ้วย
ทีไอ้ที่ "เห็น" อยู่ทนโท่ว่าท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ว่า....(บลาๆๆ)

หรือตอนท้ายของ #106 แบบนี้

ใครอ่าน "เทวดามีจริงหรือ โดย พุทธทาสภิกขุ" แล้วเกิด เห็นด้วยกับการแปลของ 123 เนี่ย

ต้องหมายความว่ามัน "โง่" มัน "อคติ" อย่างนั้นใช่ไหม

------------------------

ใน คห.106 น่ะ ลองกลับไปอ่านของตัวเองบ้าง ว่าไม่น่ารำคาญขนาดไหน

ก่อนหน้า คห.นี้ ถึงจะเริ่มฟันธงไปบ้างแล้วว่าคุณแอ็คน่าจะเอามาจากเน็ต
แต่ก็ยังไม่ได้ด่าใคร ก็บอกแต่ว่าจะรอคำแถลงจากคุณแอ็คก่อน

ก็หลังจาก 106 นี่แหละ โมโหนักก็ด่ามันซะเท่านั้น
ยอมรับว่าด่า ไม่ป้องกันตัวเองอะไรหรอก
แต่ระนาดเอกก็กลับไปอ่าน 106 ของตัวเองบ้างเหอะ ว่ามันมีส่วนยั่วยุให้เกิดอารมณ์กันขึ้นมาอย่างไร
หรือไม่เห็นความผิดอะไรของตัวเองเลยก็ตามใจ

หึ หึ หึ

ส่วนคุณ Smiling-girl ก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงอะไรข้าพเจ้าหรอกนะ
โพสต์แล้วก็ไปทำอย่างอื่น ไม่ได้มาเฝ้ากระท้งกระทู้อะไรหรอก
มีเวลาวันนี้ก็แวะมาดู ถ้าไม่มีเวลาก็จะหายหัวไปก่อน ก็เท่านั้น

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เห็นเหมือนคุณปล่อยแหละว่า

_{คห.๑๙ ของคุณแอ็คที่อ้างกัน จะเอามาจากหนังสือหรือจากไหนก็เหอะ
ปัจจุบันนี้ ผมยังมั่นใจว่า

ข้อความนั้น ไม่ใช่คำพูดโดยตรงของท่านพุทธทาส
แต่เป็นการสรุปของบุคคลอื่นอีกที

จากคุณ : ปล่อย
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 14:56:33}

ก็คงต้องรอหลักฐานอย่างเป็นชิ้นเป็นอันจากคุณแอ็คกันต่อไปว่ามันจะออกมาทิศทางไหน

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 14:40:52

ความคิดเห็นที่ 143

สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่ตรงกับหัวกระทู้เท่าไหร่นัก แต่ต่อเนื่องกับที่สนทนากันข้างบน

ก็ขออนุญาตรบกวนท่านฐานาฐานะได้โปรดอธิบายเพื่อข้าพเจ้าได้เพิ่มพูนปัญญาและมีทิฏฐิที่ถูกต้อง

รบกวนถามว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะจาก อาจารย์ อาจเป็นท่านพุทธทาส หรือท่านใดก็ตาม แล้วข้าพเจ้าก็เชื่อถือศรัทธาอย่างแรงกล้า และก็ได้เผยแพร่้ธรรมนั้นออกไป ด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ทราบว่า เป็นคำสอนที่ผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ และผลการปฏิบัติ ก็ยังไม่ก้าวหน้าขนาด เห็นธรรมในระดับสูงๆ หรือมีอำนาจจิตพิเศษใดๆ

การที่ข้าพเจ้ากล่าวตามคำสอนที่ผิดนั้้น เป็นความผิดร้ายแรงเพียงใด บาปกรรมหนักหนาเพียงไร

พอดีว่า อ่านที่สนทนากันข้างบนแล้วรู้สึกตระหนัก และหวาดหวั่นต่อวิบากกรรมขึ้นมา

เดินไปเปิดดูหนังสือธรรมะ ที่วางขายมากมาย ก็ชักไม่มั่นใจ ว่าจะเป็นการต่อยอดสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิกันแน่

นักศึกษาธรรมะควรมีท่าทีที่ถูกต้องอย่างไรคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

ท่านอื่นจะกรุณาช่วยตอบ ก็ขอบพระคุณมากค่ะ

จากคุณ : เอิงเอย

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 16:08:17

ความคิดเห็นที่ 144

อืมมม พี่เอิงปุฉาได้น่าคิดมากๆ เลยค่ะ
น่าจะแตกประเด็นนะคะพี่ เอาเฉพาะเรื่องนี้ล้วนๆ

จากคุณ : Smiling-girl

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 16:18:49

ความคิดเห็นที่ 145

ให้ท่านฐานาฐานะพิจารณาว่าจะแตกประเด็นไหม ถ้า เยอะยาวก็น่าจะแตก แต่ถ้าอธิบายสั้นๆ ก็ขอแทรกในกระทู้นี้ก็แล้วกัน :)

จากคุณ : เอิงเอย

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 17:17:26

ความคิดเห็นที่ 146

คำถามในคห.143 คุณเอิงเอยเข้าใจถามถูกคนมากๆ : )

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:44:48

ความคิดเห็นที่ 148

อรรถกถา = เครื่องบอกความหมาย ถ้อยคำบอกแจ้งชี้แจงอรรถ คำอธิบายอัตถะ คือความหมายของพระบาลี
http://detectivejojo.blogspot.com/2009/10/blog-post_23.html

พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์
ชำระ-เพิ่มเติม พิมพ์เมื่อ ก.ค.2551

โดย พระพรหมคุณาภรณ์

พระพุทธโฆสได้เดินทางไปยังลังกาทวีปในรัชกาลของพระเจ้ามหานาม (พ.ศ.๙๕๓-๙๗๕; ปีที่ท่านไป หลักฐานบางแห่งว่า พ.ศ.๙๕๖ แต่บางแห่งว่า พ.ศ.๙๖๕) พระพุทธโฆสพำนักในมหาวิหาร เมืองอนุราธปุระ ได้สดับอรรถกถภาษาสังหฬครบทั้ง มหาอฏฺฐกถา มหาปจฺจรี (มหาปจฺจริยา ก็เรียก) และกุรุนฺที (อรรถกถาเก่าก่อนเหล่านี้ รวมทั้งสงฺเขปฏฐกถาซึ่งเป็นความย่อของมหาปัจจรี และอนฺธกฏฐกถาที่พระพุทธโฆสได้คุ้นมาก่อนนั้นแล้ว จัดเป็นโปราณัฏฐกถา) เมื่อจบแล้ว ท่านก็ได้ขอแปลอรรถกถาภาษาสิงหฬ เป็นภาษามคธ

แต่สังฆะแห่งมหาวิหารได้มอบคาถาพุทธพจน์ให้ท่านไปเขียนอธิบายก่อน เป็นการทดสอบความสามารถ พระพุทธโฆสได้เขียนขยายความคาถานั้น

โดยประมวลความในพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถามาเรียบเรียงตามหลักไตรสิกขา สำเร็จเป็นคัมภีร์วิสุทธิมัคค์

ครั้นเห็นความสามารถแล้ว สังฆะแห่งมหาวิหารจึงได้มอบคัมภีร์แก่ท่าน พระพุทธโฆสเริ่มงานแปลใน พ.ศ.๙๗๓ ตั้งต้นที่อรรถกถาแห่งพระวินัยปิฎก (คือสมันตปาสาทิกา, คำนวนปีจากวนย.อ.๓/๖๓๕) เมื่อทำงานแปลเสร็จพอควรแล้ว ก็เดินทางกลับไปยังชมพูทวีป

ปล...ลองไปอ่านเนื้อหาเต็มๆ ตามลิงค์ที่ให้ไปนะครับ ว่าท่านพระพรหมคุณาภรณ์อธิบายเรื่องอรรถกถาจารย์โดยเฉพาะท่านพระพุทธโฆษะอย่างไร อย่าลืมสังเกตคำว่า "โดยประมวลความในพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถามาเรียบเรียงตามหลักไตรสิกขา สำเร็จเป็นคัมภีร์วิสุทธิมัคค์"

จากคุณ : สมถะ

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:35:42

ความคิดเห็นที่ 149

ที่จริง ผมไม่ค่อยชอบยกเอาประเด็นกระทู้ ที่คุยกันนอกกระทู้ มาพูดในกระทู้
แต่จากการคุยนอกกระทู้นั้น TheAct ได้ชักนำให้รู้จักกับสมาชิกท่านหนึ่งของห้องศาสนา แต่เขาไม่เข้ามานานแล้ว
คนผู้นี้ยืนยันกับผมว่าได้เคยเห็น "ต้นฉบับ" กับตาตนเอง ที่เป็นต้นเหตุของข้อความที่คุณชาล้นถ้วย ไปค้นพบมา (123)
เขาระบุชื่อหนังสือ โดยท่านพุทธทาส ที่พิมพ์ขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
เขายังเล่าว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้รวมคณะ ๕ คน ไปสัมภาษณ์ท่านพุทธทาส เรื่องที่เป็นปัญหากันอยู่นี้แหละ
การสัมภาษณ์สดนั้น "เด็ด" ยิ่งกว่าที่เห็นๆ เป็นประเด็นร้อนกันนี่ซะอีก
วันเวลาผ่านไป ๕ คนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ๓

แต่นั่นไม่เป็นหลักฐานอะไรที่จะเอามาพูดกัน

เรื่องยังมีต่อไปว่า "หนังสือ" เล่มนั้น เมื่อออกเผยแพร่แล้ว
หนังสือพิมพ์สมัยนั้นหลายฉบับ มี "สยามรัฐ" เป็นต้น ลงเป็นข่าวใหญ่..
ทำให้ผมย้อนนึกเรื่องหนึ่งว่า คึกฤทธิ์ ปราโมช เคย "โต้" ท่านพุทธทาส
ถ้า สยามรัฐ ลงข่าว "หนังสือพุทธทาส" เป็นเรื่องจริง
ผมก็เห็นว่า ประเด็น #19 น่าจะมีที่มาที่ไป ที่ไม่ใช่ "เทวดามีจริงหรือ" ฉบับของนายพินิจฯ
เพราะผมไม่คิดว่า "เทวดามีจริงหรือ" มีความแรงเพียงพอที่หนังสือพิมพ์จะไปลงข่าวร้อน ใน พ.ศ. นั้น

วันนี้ ผมไปสืบหาหนังสือดูบ้างแล้ว แต่คว้าน้ำเหลว ..
พบแต่หนังสือที่พิมพ์ขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่พบหนังสือ รุ่นที่จัดพิมพ์ในยุคที่เป็นข่าวนั้น

ถ้าพบ "หนังสือ" นั้นเมื่อไร เราก็จะได้เห็นความจริงกันเสียที

และไม่ใครก็ใคร ก็จะได้ "บทเรียน" ที่มีราคาใช้ได้เลยทีเดียว!

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:54:00

ความคิดเห็นที่ 150

สวัสดีครับทุกท่าน
ผมกลับมาแล้ว เนื่องด้วยงานมีมากเหลือเกินจึงไม่อาจปลีกตัวมาที่บอร์ดแห่งนี้
แม้ได้ยินข่าวคราวจากสหายธรรม เกี่ยวกับเรื่องกระทู้บ้าง
ก็ยังมิได้มีโอกาสได้มาโพส ผมก็พึ่งกลับมาเดี๋ยวนี้ จึงไ่ม่ได้อ่านทั้งหมด

จะขอให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจดังนี้
๑ ไม่มีการเอ่ยชื่อของท่านใดเป็นพิเศษ จึงไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีท่านใดเลย
๒ ชื่อที่ผมกล่าว คือชื่อของคนที่สนทนาด้วยเป็นสำคัญ แม้กระทั่งใครที่เป็นประเด็น ผมก็เลี่ยงไว้หมด
ด้วยการกระทำดังนี้ ขอได้โปรดอย่างคิดเอาเอง อย่าคิดแทน อย่าหาความผม
โดยการเข้าใจว่าสิ่งที่ผมนำเรียนไว้นั้น จะเป็นการปรามาสใครมิได้

เอาหละ พูดง่าย ๆ คือ ผมได้ยกตัวอย่างคำสอนอัปปิยะ สิ่งที่ทำลายพระศาสนา
ทำลายมากกว่าจานบิน ทำลายชนิดที่จะทำให้แก่นของพระศาสนาเสียไป
นั่นก็คือคำสอนที่จาบจ้วง ดูหมิ่นพระพุทธองค์
ผมไ่ม่ได้บอกว่ามันผู้นั้นคือใคร ผมไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ใดขึ้น คงใช้นามแฝงเรียกว่าทางใต้
อาจเป็นเชียงใหม่ ที่อยู่ใต้ประเทศอื่น หรืออาจเป็นดินแดนทางใต้ของจีน ของอินเดีย ของลาว
เป็นไปได้มากมาย หรืออาจจะขั้วโลกใต้ ไปกันเรื่อยสำหรับจินตนาการ
ผมบอกใครว่าผมหมายถึงอะไรเสียที่ไหน ขึ้นศาลก็โดนผมฟ้องกลับเท่านั้น

ทีนี้มาดูสิ่งที่ผมชี้ ผมชี้ว่าคำสอนอัปปิยะนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่เอ่ยขึ้น เราไม่พูดกัน
ผมชี้ว่าเจ้าคำสอนแบบบนี้ไม่ดี ไม่เจริญ ไม่น่ารัก

อ้าว ไหงเป็นประเด็นใหญ่ไปได้ อ๋อ ก็เพราะไปใกล้เคียงกับบางท่าน
บางท่านก็สืบค้น google แล้วก็ไปตรงกัน ผมไม่แคร์ว่าใครที่ใดจะเขียน
รู้แต่คำอย่างนี้ ๆ เป็นคำสอนที่ไม่ดี เป็นคำกล่าวที่ไม่ดี ท่านจะเห็นด้วยกับกระผมหรือไม่ ผมก็ไม่สนใจเท่าใดดอก

๓ ผมอยากเรียนไปถึงใครก็ตาม ที่บังอาจคิดแทนกระผม ว่าจงกล่าวถอนคำเสีย
หากท่านยังคงเป็นผู้มีสำนึก คงตระหนักว่าไม่ควรคิดแทนกระผม อันจะยังให้เกิดผลเสียแก่กระผมเองได้

เรื่องก็มีเท่านี้ครับ ทีนี้ใครจะถามอะไรต่อก็เชิญ

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 00:17:11

ความคิดเห็นที่ 151

หลังจากอ่านหลังไมค์ ของคุณชาล้นถ้วย ขอตอบดังนี้

ตอบคำถามคุณชาล้นถ้วย
เนื้อความที่มา มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งกระผมไม่ได้ยกชื่อหนังสือ หรือตัวบุคคลผู้เขียน
จึงไม่ต้องการให้กระทู้เป็นไปลักษณะโจมตีตัวบุคคล
แต่เป็นการสื่อถึงความเห็นผิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่จาบจ้วงพระพุทธองค์เท่านั้น
ส่วนใครจะหยิบจับว่าเป็นของท่านใด ก็เป็นเรื่องของท่าน ที่ไปผูกเรื่องกันเอาเอง

เรียนอีกครั้งนะครับสำหรับคุณชาล้นถ้วย
ผมกล่าวถึงความเห็นอย่างนี้ ว่าเป็นความเห็นผิด คุณควรทำความเข้าใจ
ผมมิได้จงใจจะเล่นงานใคร
ฉะนั้น ข้อความดังกล่าว จะมาจากหนังสือเล่มใดหรือใครอัปปิยะเหลือเกินที่ทำอย่างนี้ ก็ขอให้ยกไว้

ประกาศเลยแล้วกันนะครับ
สำหรับทุกคน ที่เอ่ยชื่อท่านพุททาส สวนโมกข์ ผมไม่รู้ว่าท่านทั้งหลายคิดอย่างไร
หรือมีจุดประสงค์อย่างไร ท่านก็มรณะภาพไปเสียแล้ว ติดต่อท่านคงไม่ได้
ป่านนี้ไปเกิดเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ อย่างนี้แล้วก็ยังจะเอ่ยชื่อท่านทำไม
ถ้าท่านสอนอัปปิยะแบบนั้นจริง(สมมติว่าจริง) เราก็ไปตามแงะคนที่เห็นผิดดังนั้นไม่ได้
คนลงใจว่าจะเชื่อบ้า ๆ บอ ๆ ก็ต้องปล่อยไป ใครจะอ่านงานของท่านก็แล้วแต่ใครจะอ่าน
ใครตีความว่าตายแล้วสูญ ก็เป็นเรื่องของคน ๆ นั้นเอง
ใครว่าชาติหน้าไม่มีจริง ชาติก่อนไม่มีจริง ก็เรื่องของคน ๆ นั้นเอง
หากถามว่าผมเชื่อท่านพุททาสหรือไม่ ไม่มีทาง (ถ้าท่านจะแมนพอที่เอ่ยไว้ในแห่งใดว่าตายสูญนะ) ผมก็จะตอบว่าไม่เชื่อตามท่าน
ขอเชื่อพระพุทธองค์เท่านั้น เพราะผมไม่เคยเชื่อแม้แต่น้อย ว่าท่านพุททาสจะเป็นพระอริยะอะไรเลย
อีกทั้งพระพุทธองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์ไว้ ฉะนั้น ศิษย์ใดที่เชื่ออย่างนี้เราไม่ว่ากัน
ก็มันแค่ความเชื่อของคน ๆ นั้น อย่าเอ่ยออกทีวีหรือสื่อแล้วกัน จะพากันชิ๊ปหายวายป่วง
หากเป็นสงฆ์รบกวนดูเรื่องศีล หากเป็นคฤหัสรบกวนตรองดูก็แล้วกัน

ส่วนความคิดเห็นของผม ว่าท่านพุททาสสวนโมกข์ทำไมไม่เป็นพระอริยะ
ผมก็ให้ความเห็นตามหลักฐานที่ว่า ตามปรกติธรรมดาผู้ที่บรรลุตามพระคัมภีร์เรากล่าวเอาไว้
ว่าจะละเสียซึ่งการลบหลู่คุณท่าน แต่ท่านพุททาส ได้ลบหลู่พระพุทธโฆษาจารย์
ไว้อย่างน่าประหลาด ซึ่งอันนี้ ผมเห็นว่าไม่ควรกระทำ
หากยังทำสิ่งที่เรียกว่าลบหลู่คุณความดีของผู้อื่น ก็ชื่อว่ามิได้เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันหมายถึงพระอริยบุคคล(ตามสำนวนของผม)
ทั้งนี้ ก็เป็นการคาดเดาของกระผมเอง ซึ่งใช้หลักของพระธรรมเป็นเครื่องชี้
กระผมมิบังอาจล้มครูใหญ่ ด้วยวาทะของครูน้อย(ผมไม่ได้นับท่านพุททาสเป็นครู)
ผมไม่สามารถลบล้างคำสอนของครูใหญ่ด้วยความเห็นของตน
ฉะนั้น ผมจึงใช้พระธรรมเป็นสิ่งเทียบทานในกรณีที่จะคิดเห็นใด ๆ ออกไป

จุดนี้ ใครจะโกรธเคือง ว่าทำไมผมไม่เชื่อท่านพุททาส ก็แล้วแต่ท่านผู้นั้นเถิด
หากแต่ผมจะเชื่อพระธรรม อันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ใครสอนตรงตามพระพุทธเจ้า ผมจึงลงใจได้
และหากใครผู้ใดไม่มีความเห็นที่ตรงตามพระธรรม ก็ขอได้โปรดเลี่ยงไปเสีย

เราทั้งหลายก็ต่างเป็นปุถุชน เป็นกิเลสชนทั้งนั้นแม้ความเห็นจะไม่ตรงกันบ้าง
ขอให้มีความเห็นตามพระธรรมเถิดขอรับท่านทั้งหลาย
งานผมก็มีมาก สนใจใส่ใจพระธรรมก็เพื่อความเจริญ ท่านเองก็ควรทำเช่นกัน
ต่อให้รื้อฟ้า ขุดนรกขึ้นมาพิสูจน์ต่อเรื่องชาติหน้าได้ ก็ไม่ทำให้กิเลสท่านลดลง
หรือต่อให้ท่านพุททาสเชื่อว่านรกสวรรค์ไม่มี (สมมติว่าท่านเชื่ออย่างนั้นจริง)
มันก็ขึ้นกับคุณเองแล้วหละที่จะเชื่อตามหรือปฏิเสธ

วันนี้ผมทำผิดความตั้งใจเรื่องหนึ่ง คือได้เอ่ยชื่อของบุคคลอื่น
แต่ทั้งนี้ มิได้เพื่อโจมตี เพียงยกให้เห็นเปรียบเทียบ ต่อข้อความเห็นของกระผมเอง
ว่าเหตุใดผมจึงไม่ได้มองว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น

สุดท้ายนี้
กรรมอันน่าติเตียนใด ที่จะจงใจหรือไม่จงใจก็ดี หากมีส่วนให้ผู้อ่านเกิดอกุศลจิต
ผมก็ขอขมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

TheAcT

ปล สำหรับเรื่องหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี ๒๕๑๑ ใครสนใจก็จับกลุ่มกันไว้ แล้วหาต้นฉบับมาให้ได้ก็จะเป็นการดี
แม้กระนั้นเอง หากเรื่องตีแผ่ออกไป (มันเคยเกิดขึ้นแล้ว) ก็ขอให้ทำใจไว้ด้วย
ว่าอาจจะไม่ทำให้ทิฏฐิหรือความงมงายของสาวกสั่นคลอน
แต่อยากให้ย้อนกลับไปถามตัวท่านเองมากกว่า ว่าคุณเชื่อเรื่อง ๓ ภพหรือไม่?
ผมขอแค่นี้หละครับ คำตอบอยู่ที่คุณเอง

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:06:59

ความคิดเห็นที่ 152

คคห 148--

ชาวพุทธที่แท้ ช่วยกันดู

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9654851/Y9654851.html

คคห 19 + 20 ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 09:33:13

ความคิดเห็นที่ 153

อ่านคำตอบของคุณแอ็คแล้วก็น่าผิดหวังจริงๆ คิดว่าจะมีหลักฐานอะไรมายืนยันเป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่คิด (จริงๆ นะ) ว่าจะออกมาในแนวที่ว่า "ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร"

แต่ก็เอาเถอะ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ตอนนี้ก็พักกันไปก่อน

ข้าพเจ้าก็ขอโทษคุณแอ็คไว้ก่อนเรื่องหนึ่ง คือการใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าคุณแอ็ค

ถ้าไม่คิดว่า การปะคารมกันครั้งนี้ จะเห็นกันเป็นศัตรูไป
ใครก็ได้ ขอชื่อหนังสือที่พิมพ์ปี 2511 ทางหลังไมคด้วย
ข้าพเจ้าก็อยากจะหาดูเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าจะหาเพื่อจะมาถกเถียงเอาชนะกัน

แต่ถ้ามันมีจริง หาเจอจริง ก็จะหาไปเรื่อยๆ อีก ว่าที่มาที่ไปมันคืออะไร
เพราะจนถึงขณะนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีทางจะเชื่อไปได้ว่า คำพูดนั้นจะเป็นของท่าน

ส่วนเรื่องการเชื่อถือท่านพุทธทาสนั้น ไม่อยากให้เหมารวม
คนที่ศึกษางานของท่าน ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นพวกอุจเฉท ปฏิเสธนรก-สวรรค์
แต่คนที่เป็นเช่นนี้มันก็มี (อาจจะเยอะด้วย) เพราะว่า ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจคำสอนทางศาสนาที่ดีพอ
อยู่ๆ ก็โดดไปอ่านงานของท่านพุทธทาส แล้วก็ตีความไปตามสิ่งที่ตัวเองมีแนวโน้มจะเชื่ออยู่ มันก็อลเวงสิ

งานของท่านพุทธทาสไม่เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนา
แต่ถ้าอยากอ่านจริงๆ ควรอ่านหนังสือที่ท่านสอนคนธรรมดา เช่น คู่มือมนุษย์

สำหรับกระทู้นี้คำพูดใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินต่อท่านใดก็ตาม ก็ขออโหสิกรรมไว้ ณ ตรงนี้ด้วย

ขอลาจากกระทู้นี้แต่เพียงเท่านี้
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 16:16:47

จากคุณ : ชาล้นถ้วย

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 16:07:47

ความคิดเห็นที่ 154

             ตอบ คุณเอิงเอย ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อ 5 ก.ย. 53 16:08:17
และความคิดเห็นที่ 145 เมื่อ 5 ก.ย. 53 17:17:26
             ข้อกังวลก็ตามหรือสิ่งที่ประสงค์จะถามก็ตาม ในความคิดเห็นที่ 143
มีประเด็นสมบูรณ์ดี เป็นการถามถึงท่าทีหรือแนวทางการปฏิบัติต่อสถานการณ์
เป็นคำถามที่มีประโยชน์มาก สามารถและสมควรนำไปตั้งกระทู้ใหม่ได้.
             ขอรบกวนคุณเอิงเอย ในฐานะต้นคิดและแสดงความกังวล
เป็นผู้ตั้งกระทู้ใหม่
             อีกประการหนึ่ง หากประสงค์จะนำผู้สนทนาในกระทู้นี้ เข้าสู่กระทู้ใหม่
ควรทำลิงค์แนะนำไป เมื่อตั้งกระทู้เรียบร้อยแล้ว.

             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
             อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
             สัทธรรมสัมโมสสูตรที่ ๒
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4129&Z=4224#155top
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=154
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=156

แนะนำ :-
             อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม
             อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง
             พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
             สารบัญประเภทธรรม
http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?

             หมวดหนังสือธรรมะ
http://84000.org/tipitaka/book/
             เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
             เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘)
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html
             เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html
เรื่อง
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ
มหาทาน
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑
ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒
กาลทาน ๕ อย่าง
ให้ทานในที่ใดมีผลมาก
ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท
สังฆทาน ๗ ประเภท
ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน
ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน
เรื่องเศรษฐีเท้าแมว
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔
อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง
ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

จากคุณ : ฐานาฐานะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 19:12:13

ความคิดเห็นที่ 155

ไม่ทราบว่าคุณชาล้นถ้วยตั้งความหวังอะไรไว้ครับ?

อ่านแล้วอดสงสัยไม่ได้ ว่ามาหวังอะไร หรือหวังให้มีการโจมตีใส่ร้ายกันรึปล่าว
คุณชา คุณจะมาหาหลักฐานอะไรของคุณ!
ผมนี่งงไปหมด ผมไปใส่ร้ายหมาแมวที่ไหน ถึงกับต้องมาขอหลักฐานจากผม
คุณเพี้ยนไปรึป่าว ผมไม่อยู่หลายวัน แม่บุญธรรมของแฟนผมตาย
ผมต้องเดินทางไกล วันพฤหัสฯนี้ก็ต้องไปอีก

กลับมาเจอเรื่องบ้า ๆบอๆ เรื่องที่คุณด่าผม ผมไม่ได้อ่านหรอก ไม่รู้ด้วยว่าคุณด่า
ก็ไม่รู้มาด่าผมหาสวรรค์วิมานอะไรผมไม่แน่ชัดได้

แต่ที่แน่ ๆ ความเข้าใจของคุณมันผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ผมสื่อ
มาวันนี้ ดันมาบ่นว่าผิดหวัง คุณประสาทอะไรของคุณที่มาผิดหวัง ผมไปรับปากอะไรกับคุณครับ
เออ ถ้าผมบอกว่าผมจะหาหนังสือชื่อนั้นชื่อนี้อะไรมาให้ ก็ว่าไปสิ
งานผมก็มีเยอะแยะ ใครมันว่าพระพุทธเจ้าเราไม่ได้โจมตีมัน
เราพูดถึงอกุศลจิตและมิจฉาทิฏฐิแบบนั้น ว่าเราไม่ควรเชื่อแบบนั้นหรือไม่ควรเป็นแบบนั้น
นี่คุณฟังผมรู้เรื่องรึป่าววะ!
หรือคุณผิดใจอะไรกับท่านพุททาส หรือยังไง? ไม่เข้าใจ นี่คุณต้องการอะไรของคุณ

คุณไม่เืชื่อว่าเป็นท่านพุททาสที่กล่าวจาบจ้วง
ก็เออไง ผมไม่ได้บอกว่าท่านกล่าวหนิ
มาแบบนี้ดันมาผิดหวัง หรือคาดหวังให้ผมมีปัญหากับคุณ พูดมาอย่าได้เกรงใจ

เรื่องหนังสือนั่น เอาจริง ๆ ก็มีคนเคยเห็นแล้ว เขามีปัญหากันมาแล้ว
ทีนี้มันก็ต้องโดนทำลายอยู่แล้ว ใครจะเก็บเรื่องอัปปลีไว้แบบนั้นอยากรู้
ผมเกิดไม่ทันหรอกหนังสือหนะ แต่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่คุณกับผมเขาเคยเห็น
เชื่อไม่เชื่อมันไม่เป็นปัญหาหนิ เพราะเราไม่ได้ล้มสวนโมก
สวนโมกก็อยู่สวนโมกไป ใครเชื่อตายสูญก็ช่างเขา ใครเชื่อว่าโอปปาติกะไม่มีจริง
ก็เรื่องของเขา

ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้กล่าวในเรื่องที่คุณด่าผมนะ ผมไม่ได้สนใจ
แต่ผมติดใจจริง ๆขอบอก กับคำที่คุณมาบอกว่าผิดหวัง แม่มันงงจริงจิงเลย
นั่งพิมพ์ยังนั่งงงอยู่นะเนี่ย บ้ารึดีวะเนี่ย มาบ่นว่าผิดหวัง

จากคุณ : TheAcT

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 19:48:19

ความคิดเห็นที่ 156

เป็นอันว่า ประเด็นที่คุณชาฯ มาตั้งข้อสังเกตไว้
ก็ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนดี อย่างน้อยก็สำหรับผม : )

เรื่องหนังสือ2511 ถ้ามีให้เห็นค่อยว่ากันใหม่
ส่วนตัวตอนนี้เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักให้เชื่อครับ..
----------------------------------------------

กระทู้นี้ก็คงจบไปพร้อมๆ กับการจบของ "ประเด็นรอง" เช่นกัน
เพราะช่วงท้าย คนในกระทู้หันมาสนใจประเด็นรองกันหมด
อย่างที่คุณอีวาเป็นห่วงแหละ : )

ตอนแรกไม่ทันคิด ก็เลยสงสัยว่าใครๆ จะมารอประเด็นรองทำไม
แทนที่จะคุยประเด็นหลักที่อยากจะคุยกันไปเลย เพราะเป็นคนละส่วนอยู่แล้ว

เพิ่งได้คิดว่า กระทู้ใดๆ จะยาวได้ก็เพราะการถามมาตอบไป (หรือไม่ก็ถกเถียง)
ถ้ากระทู้ใดมีแต่คนถาม ไม่มีคนตอบ มีแต่ฝ่ายเสนอ ไม่มีฝ่ายค้าน
กระทู้ก็ไปต่อไม่ได้

กระทู้ลักษณะนี้เป็นกระทู้ที่ต้องการคนมาแย้ง ถึงจะเกิดการถกเถียง
ถึงจะยืดยาวไปต่อได้

แต่ประเด็นหลักของกระทู้ (ไม่ว่าเรื่องคุณโชติหรือคำสอนท่านพุทธทาส)
ไม่มีคนมาแย้งแล้ว ทำนองอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ว่ากันไป ไม่ได้จะขัดคอนี่..
กลายเป็นว่า เพราะไม่มีคนมาขัดคอนี่แหละ
คนที่คอยจะถกประเด็นนี้ ก็เลยไม่รู้จะถกจะแย้งกับใคร เวทีร้างว่างั้น : )

กลับเป็นประเด็นรองที่มีคนมาถกมาแย้ง
คนที่กำลังอยากถกเลยพากันมา คนกำลังมุงเลยพากันมา

ถึงมีบางท่านเช่นคุณอีวา พยายามเรียกให้กลับไปสนใจประเด็นหลัก
แต่เรื่องก็ตันว่า ไม่มีคนอยากไปแย้งประเด็นหลัก
ฝ่ายเสนอก็เลยไม่รู้จะเถึยงกับใคร...

ธรรมชาติกระทู้ก็เป็นอย่างนี้แหละ ต้องเรียกร้องให้มีฝ่ายค้าน ไม่งั้นตลาดวาย
อันนี้เป็นข้อสังเกตอย่างหนึ่ง
-------------------------------------------------

ขอจบจากกระทู้นี้ด้วยคนครับ
ตอนนี้รอโหวตกระทู้ที่คุณเอิงเอยกำลังจะตั้ง : )

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 22:01:49

ความคิดเห็นที่ 157

ระหว่างรอการค้นหา "หลักฐาน" ผมมีข้อสังเกตว่า

1. โชติ รู้จักหนังสือของท่านพุทธทาสไม่น้อยกว่าใครๆ หากจำไม่ผิด เขาเคยประกาศว่าอ่านหนังสือพุทธทาสมามากกว่า 200 เล่ม

2. หากเป็นดังที่ทราบกันว่า โชติ มีอายุมากแล้ว ก็น่าเชื่อว่าเขาน่าจะเคยสัมผัสหนังสือรุ่นที่ตีพิมพ์ในปี 2511

3. ผู้ที่แสดงความมั่นใจว่าท่านพุทธทาสไม่น่าจะเป็นผู้กล่าว #19 ของ TheAct (ซึ่งมีข้อความเหมือนกับ 123) กลับเป็น "คุณปล่อย" และ "คุณชาล้นถ้วย" - ไม่ใช่โชติ

4. ตั้งแต่มีประเด็น #19 หรือ 123 - โชติ ไม่เคยประกาศความเชื่อมั่นอย่าง 2 คนนั้น (รวมทั้งท่านอื่นที่อาจเพียงเชื่อมั่นในใจ)..
ที่กล้ายืนยันความเชื่อมั่นของตนว่า ท่านพุทธทาสไม่ใช่ผู้กล่าว #19 อย่างแน่นอน

5. TheAct ทิ้งปมไว้ว่า "หากเรื่องตีแผ่ออกไป (มันเคยเกิดขึ้นแล้ว)"
เบื้องหลังคือ บุคคลใน #149 เล่าว่า "หนังสือ 2511" นั้น เคยมีอยู่ในเว็บ พุทธทาส.คอม
แต่เมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว เกิดกรณี "มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว" มีผลให้ พุทธทาส.คอม ดึงหลักฐานนั้นออกไป
อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกบางท่านในห้องศาสนา (ปัจจุบันหายสาบสูญไป หรืออาจถูกแบนไปแล้ว - ผมทราบแต่ชื่อ) เขาผู้นั้น มีไฟล์ต้นฉบับหนังสือนั้น

6. บุคคลใน #149 เคยรบกับ โชติ มาอย่างโชกโชน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงกรณีหลักฐานจาก "หนังสือ 2511" นั้นด้วย
จึงน่าเชื่อว่า ในช่วงที่โรมรันพันตูกันนั้น โชติ น่าจะเคยได้เห็น "อะไร" เต็มตา
ซึ่งข้อสังเกตข้อนี้ (ที่จริงคือข้อสันนิษฐาน) เป็นคำอธิบายของข้อ 4
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 53 01:19:25

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 00:24:07

ความคิดเห็นที่ 158

ประเด็นหลัก ไม่มีใครใส่ใจใยดี..

เพราะมีแต่ผู้ประกาศว่า นับถือท่านพุทธทาส จึงหลีกเลี่ยงที่จะเสวนาเรื่องประเภท "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" เป็นต้น

โดยกล่าวเพียงสั้นๆ แต่พอตัวว่า "ไม่เห็นด้วยกับท่านพุทธทาสไปเสียทั้งหมด"

เท่านี้ก็เบาตัว และไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระพุทธศาสนาอีกเลย

เมื่อท่านพุทธทาสเผยแพร่คำสอนประเภท "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" นั้น..

ผู้ที่นับถือท่านพุทธทาส ได้ร่วมใจกันคนละไม้ละมือ ช่วยกันรักษาคำสอนจำพวก "ปาณาติบาตที่ไม่บาป" ให้คงอยู่ไปตราบนาน โดยปริยาย

ก็ด้วยการ ไม่เสวนาเรื่อง "ปาณาติบาตที่ไม่บาป"

พลังแห่งความร่วมแรงร่วมใจของ "ผู้ที่ไม่ขอรับรู้ ปาณาติบาตที่ไม่บาป ฯลฯ" นี้เอง ..
ที่มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้สังคมพุทธไทยสามารถดำรงรักษาสืบทอด "อนุวาทะที่น่าหวาดหวั่นของเอิงเอย" ให้ดำรงอยู่ต่อไปจนชั่วฟ้าดินสลาย

จากคุณ : ระนาดเอก

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 01:17:02

ความคิดเห็นที่ 159

บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งกระทู้ใหม่ตามความเห็น 154 แล้ว

ขอเรียนเชิญท่านฐานาฐานะด้วยความเคารพค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9661744/Y9661744.html

ขอเชิญทุกท่านร่วมเสนอ สนทนา แลกเปลี่ยนด้วยกันนะคะ

จากคุณ : เอิงเอย

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 01:51:59

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป