|
ความคิดเห็นที่ 58 |
ความเข้าใจเรื่องพระอภิธรรม (๒) พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
... ๕. กถาวัตถุ คำว่า วัตถุ แปลว่า ที่ตั้ง แปลว่า เรื่อง กถาวัตถุ ก็แปลว่า ที่ตั้งของถ้อยคำ เรื่องของถ้อยคำ ในคัมภีร์นี้ได้แสดงที่ตั้งของถ้อยคำซึ่งกล่าวโต้กันอยู่สองฝ่าย คือ ฝ่ายสกวาทะ ๕๐๐ สูตร ฝ่ายปรวาทะ ๕๐๐ สูตร รวมเป็นพันสูตร คือว่าพันเรื่อง แต่ไม่ใช่เป็นคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคัมภีร์ที่ว่าพระโมคคัลลีบุตรติสสะเภระ แสดงในสมัยสังคายนาครั้งที่สาม เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๒๐๐ ปีเศษ แต่ท่านก็ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงนัยหรือว่าตั้งมาติกาคือแม่บทไว้ให้แล้ว พระเถระได้แสดงไปตามแม่บทนั้น ที่ท่านนับว่าเป็นพุทธสุภาษิตด้วย ก่อนแต่นั้นจึงมีเพียง ๖ คัมภีร์. โดยเฉพาะคัมภีร์นี้เองก็ถูกค้านเหมือนกันว่าไม่ควรใส่เข้ามา ถ้าต้องการจะให้ครบ ๗ ก็ให้ใส่ คัมภีร์ธัมมหทัย หรือว่า คัมภีร์มหาธาตุกถา แต่ว่าฝ่ายที่ยืนยันให้ใส่คัมภีร์นี้เข้ามาก็อ้างว่า สองคัมภีร์นั้นไม่เหมาะสม คัมภีร์นี้เหมาะสมกว่า ก็คงจะเป็นว่า ความเห็นส่วนมากในที่ประชุม ต้องการให้ใส่คัมภีร์นี้เข้ามาให้ครบ ๗ ทำไมจึงต้องมีเกณฑ์ ๗ อันนี้ไม่ทราบ อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าเหมาะก็ได้ จึงได้ใส่เข้ามา เมื่อใส่เข้ามาก็รวมเป็น ๗.
ในกถาวัตถุนี้มีเรื่องที่โต้กันอยู่มาก เกี่ยวกับลัทธิต่างๆที่แตกแยกกันออกไป เกี่ยวกับความเห็นต่างๆ เป็นต้นว่า มติหนึ่งว่า พระอรหันต์เมื่อบรรลุพระอรหันต์นั้นไม่รู้เอง ต้องมีผู้อื่นมาบอกให้ แต่อีกมติหนึ่งว่ารู้ได้เอง ไม่ต้องมีผู้อื่นมาบอก มติหนึ่งว่าจิตเป็นธรรมชาติที่ดำรงอยู่ ทำนองจิตอมตะนั่นแหละ แต่อีกมติหนึ่งคัดค้าน ดั่งนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น คัมภีร์กถาวัตถุจึงเท่ากับว่าเป็นที่รวมของปัญหาโต้แย้งต่างๆที่เกิดมีมาโดยลำดับ
จนถึงในสมัยที่รวบรวมเรียบเรียงคัมภีร์นี้ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารู้น่าเห็นอยู่มาก และเมื่อได้อ่านคัมภีร์นี้ก็จะทราบว่า ได้มีความเห็นแตกแยกกันในพระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง เมื่อท่านแสดงถึงข้อที่แตกแยกโต้เถียงกันแล้ว ในที่สุดท่านก็ตัดสินเป็นข้อๆ ไปว่าอย่างไหนถูก ก็เข้าเรื่องที่เล่าว่าพระเจ้าอโศกใช้ราชานุภาพไปสอบสวนภิกษุในคราวนั้น ปรากฏว่ามีพวกเดียรถีย์เข้ามาปลอมบวชเป็นอันมาก ได้ตั้งปัญหาขึ้นถาม โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นผู้คอยฟังวินิจฉัย เมื่อคำตอบนั้นส่องว่าเป็นลัทธิภายนอกไม่ใช่เป็นพระพุทธศาสนาก็ให้สึกไป เหลือไว้แต่ผู้ที่ตอบถูกต้องตามแนวของพระพุทธศาสนา เสร็จแล้วก็ทำสังคายนาครั้งที่สาม ... ... ๓. คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ
อภิธรรม คัมภีร์นี้ ถ้าจะเรียนกันโดยลำดับให้ครบถ้วนก็จะต้องใช้เวลานาน เพราะมีข้อความที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก ฉะนั้น ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป อยู่ในขนาดพันปี ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อท่าน อนุรุทธะ ได้ประมวลเนื้อความของอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ มาแต่งไว้โดยย่นย่อ เรียกว่า คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ (๑) แปลว่า สงเคราะห์ คือ สรุปความแห่งอภิธรรม ยกหัวข้อเป็นสี่คือ ๑. จิต ๒. เจตสิก (แปลว่าธรรมะที่มีในใจ ) ๓. รูป ๔. นิพพาน ท่านแต่งเป็นคาถาสลับร้อยแก้วแบ่งออกเป็น ๙ ปริจเฉท คือ ๙ ตอน เป็นหนังสือเล่มเล็กๆไม่โตมาก คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนี้เป็นที่นิยมกันมาก มื่อเรียนตามคัมภีร์นี้แล้วไปจับดูอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็จะเข้าใจได้โดยง่ายโดยตลอด เป็นการเรียนลัด.
พิจารณาดูตามหัวข้อที่ท่านว่าไว้เป็นสี่นี้ ตามความเข้าใจ จิตนี้เป็นตัวยืน
โดยปรกติจิตก็มีดวงเดียว จิตจะเป็นต่างๆก็เพราะมีเจตสิก แปลว่าธรรมะที่มีในใจ มีเจตสิกเป็นอย่างไรจิตก็เป็นอย่างนั้น เจตสิกจึงเป็นสิ่งที่มีผสมอยู่ในจิต เทียบเหมือนดั่งว่าน้ำกับสีที่ผสมอยู่ในน้ำ น้ำโดยปรกติก็เป็นอย่างเดียว แต่เมื่อใส่สีลงไปน้ำจึงเป็นน้ำสีนั้น น้ำสีนี้ ฉะนั้น ในอภิธรรมที่แจกจิตไว้ถึง ๘๙ ดวง ก็ด้วยอำนาจของเจตสิกนี้เอง ยกเจตสิกออกแล้ว จิตก็เป็นอันเดียวเท่านั้น แจกออกไปเป็นอย่างไรมิได้ แต่ว่าทั้งจิตและเจตสิกนี้ก็อาศัยอยู่กับรูป รูปที่อาศัยของจิตและเจตสิก ถ้าจะเทียบก็เหมือนอย่างว่าน้ำ เหมือนอย่างว่าขวดน้ำแตก น้ำก็หมดที่อาศัย และนิพพานนั้นก็เป็นกามาวจรจิต จิตที่ท่องเที่ยวไปหรือหยั่งลงในกามเป็นรูปาวจรจิต จิตที่หยั่งลงในรูปคือรูปฌาน อรูปาวจรจิต จิตที่หยั่งลงไปในอรูปฌาน โลกุตตรจิต จิตที่เป็นโลกุตตระคือมรรคผล ก็บรรลุนิพพานเป็นที่สุด เพราะฉะนั้น จึงประมวลหัวข้อเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็จัดธรรมะในอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั้น ใส่เข้าในหัวข้อทั้งสิ้น.
ทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เราเรียกย่อกันว่า สัง, วิ, ธา, ปุ, กะ, ยะ, ปะ คือเอาอักษรต้นเรียกว่าเป็น หัวใจอภิธรรม เหมือนอย่าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียกว่า จิ, เจ, รุ, นิ หรือ อริยสัจ ก็เรียกว่า ทุ, สุ, นิ, ม, คือเอาอักษรแรก ความจริงนั้นเพื่อกำหนดง่าย เมื่อจำได้เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่าเพียงพอ แต่ก็มาเรียกกันว่า หัวใจ เราก็ใช้เขียนลงในเหรียญในเครื่องรางต่างๆ วัตถุประสงค์ในทีแรกก็เพื่อจะเป็นเครื่องกำหนดง่ายเท่านั้น. คัมภีร์อภิธรรมตลอดจนถึงอภิธัมมัตถสังคหะ ตกมาถึงเมืองไทยก็มาใช้เกี่ยวแก่การศพเป็นพื้น เช่นว่า สวดศพตอนกลางคืนก็สวดอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เอง แต่ว่าตัดเอามาแต่ข้างต้น คัมภีร์ละเล็กละน้อย และเมื่อเวลาที่จะบังสุกุล หรือจะสดับปกรณ์มีสวดมาติกา ก็คือว่ายกเอา มาติกา คือ แม่บท จากคัมภีร์ที่หนึ่งมาสวดตอนหนึ่ง ขึ้นต้นว่า กุสลา ธมมา เป็นต้น และคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนั้น ท่านแต่งเป็นคาถา ก็นำมาสวดเป็นสรภัญญะในการศพอีกเหมือนกัน คือ ถ้าไม่สวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็สวดอภิธัมมัตถสังคหะ เป็นสรภัญญะ ครั้นมาในตอนหลังนี้ได้มีผู้สนใจศึกษาอภิธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน. -------------------------------------------------- (๑) คัมภีร์นี้ มหามกุฏราชวิทยาลัยได้แปลเป็นไทย พร้อมด้วยฎีกา พิมพ์ออกเผยแพร่โดยเรียกชื่อว่า อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ทั้งสามหัวข้อที่คัดมา เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชื่อเรื่อง ความเข้าใจเรื่องพระอภิธรรม พระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โดยเนื้อหาเต็มจะมี ๒๖ หัวข้อ (นับจากสารบัญ) เนื้อหาที่คัดลอกมา น่าจะเป็นพื้นฐานแก่ผู้เริ่มสนใจศึกษาอภิธรรมได้บ้าง ไม่มากก็น้อย เจริญในธรรมค่ะ : ) __________________________________________________
^ จาก http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/somdej-preach-index-page.htm
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 53 10:34:06
จากคุณ |
:
JitZungkabuai
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ย. 53 10:24:15
|
|
|
|
|