Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดูจิตกันยังไง? เห็นไปได้ว่าจิตเกิดดับ  

เป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วว่า ทุกวันนี้มีการสอนให้ดูจิตที่เกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งถ้าเราฟังโดยไม่เพ่งพิจารณาให้ดีแล้วเราอาจจะถูกชักจูงให้เห็นด้วย หรือคล้อยตาม และเชื่อไปตามนั้นได้โดยง่ายๆ ทั้งๆสิ่งที่เราฟังมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลยและเป็นการขาดเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่ใช่เกิดจากการรู้เห็นตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเลย

โดยความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เห็นอาการของจิต(จิตสังขาร)ที่เกิด-ดับนั้น จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจิตของตน หรือจิตของเรา ใช่มั้ยครับ???

เมื่อถูกถามว่าเราในที่นี่คือใคร???
คำตอบที่ได้นั้น มักเป็นคำตอบที่หาเหตุผลไม่ได้เลย เช่น เราก็คือเรา เราคือผู้รู้ ถึงผู้รู้หรือเรา ก็ไม่เที่ยง สุดท้ายจิตผู้รู้หรือเราก็ต้องถูกทำลายทิ้งอยู่ดี ...ฯลฯ...

เป็นคำตอบที่ขาดเหตุผลอย่างยิ่ง พาให้ออกห่างจากความเป็นจริงไปอีกไกลโข ถ้าจิตผู้รู้หรือเรา ถูกทำลายทิ้ง เมื่อบรรลุมรรคผลที่เกิดขึ้นกับตน จะรู้ได้อย่างไร??? ขัดกับพระพุทธวจนะที่กล่าวไว้ว่า “จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา”

ด้วยมีการสอนว่าอารมณ์เกิด จิตจึงจะเกิด เมื่ออารมณ์ดับ จิตก็ดับตามไปด้วย ถ้าเราพิจารณาด้วยจิตใจที่เป็นธรรมไม่เอนเอียง และเทียบเคียงกับพระพุทธพจน์แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการขาดหลักเหตุผลตามความเป็นจริงเอามากๆ นั่นเอง เพราะการถ่ายทอดกรรมหรือการบันทึกกรรมนั้นจะมีขึ้นไม่ได้ถ้าจิตเกิดดับ

ในเมื่อจิตคือธาตุรู้ มีธรรมชาติ รู้ รับ จำ คิดนึก ย่อมต้องยืนตัวรู้ในเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต

เมื่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอบ่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นที่จิต จิตก็รู้ ดับไปจากจิต จิตก็รู้ หมายความว่าอารมณ์รู้สึกนึกคิดเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ และจิตยึดถืออารมณ์เหล่านั้นเข้ามา ปรุงแต่งจิตให้เสียคุณภาพไปใช่มั้ย? ...ใช่

เมื่ออารมณ์เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้เสียคุณภาพไปตามอารมณ์นั้นๆ แสดงว่าจะต้องมีจิตยืนตัวรู้อยู่ก่อนแล้วใช่มั้ย? ...ใช่

เปรียบจิตคือบ้าน มีช่องทางในการรับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด อยู่ ๖ ช่องทาง อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายที่เข้ามาในช่องทางเหล่านั้น คือสิ่งที่มาปรุงแต่งบ้าน(จิต) เมื่อไม่มีบ้านและช่องทางรับอารมณ์อยู่ก่อนแล้ว จะมีเครื่องปรุงแต่งบ้านเกิดขึ้นได้อย่างไร???

ฉะนั้นพอสรุปได้ว่า...จะต้องมีจิตยืนตัวรู้อยู่ก่อนจึงจะมีเจตสิกเกิดขึ้นมาในภายหลัง ดังมีพระพุทธวจนะ...(พระบาลีมหาสติปัฏฐานสูตร)....กล่าวไว้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ......(ราคะเกิด)
หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ .....(ราคะดับ)
จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ....(โทสะเกิด)
หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ....(โทสะดับ)
จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ....(โมหะเกิด)
หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ….(โมหะดับ)
^
^
ตามพระพุทธวจนะดังกล่าว ก็เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า
อารมณ์หรือเจตสิก...เกิดขึ้นที่จิต จิตก็รู้...
และอารมณ์หรือเจตสิก...ดับไปจากจิต จิตก็รู้…
จิตมีราคะ โทสะ โมหะ จิตก็รู้
จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ จิตก็รู้อีกเช่นกัน
เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า “ก็รู้”

ถ้าจิตเกิด-ดับตามที่สอนให้เชื่อตามๆกันมานั้น เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้อย่างไรเล่า? เมื่อกำลังฝึกฝนอบรมชำระจิตขณะภาวนาอยู่ และจิตยังเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เราไม่มีทางที่จะชำระให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้หรอกครับ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดเหตุผลเอาอย่างมากๆ

ยังมีการสอนอีกว่าระหว่างที่จิตเกิด-ดับอยู่นั้น มีการถ่ายทอดกรรมให้แก่กันอีกด้วย ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ ขณะที่จิตดวงใหม่เกิดขึ้นนั้น จิตดวงเก่าได้ดับไปแล้ว ขณะจิตดวงเก่าที่กำลังจะดับไป จิตดวงใหม่ก็ยังไม่อาจเกิดขึ้นมาเลย เพราะจิตดวงใหม่จะเกิดขึ้นมาได้นั้น ต่อเมื่อจิตดวงเก่าต้องดับไป จะมีจิตสองดวงเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกันไม่ได้ ฉะนั้นเอาช่วงเวลาตรงไหนมาถ่ายทอดกรรมให้กันหละครับ

ความหมายคำว่า “เกิด” นั้นหมายถึงว่า สิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่ก่อน แล้ว “เกิด” มีขึ้นมา เราจึงเรียกว่าสิ่งนั้น “เกิด” ส่วนความหมายคำว่า “ดับ” นั้นหมายถึงว่า สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดับหายไป


ยังมีพระพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ ในมหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวไว้ชัดๆ ว่า จิตไม่ได้เกิดดับ ที่เกิดและดับไปนั้น คือนิวรณ์ทั้งหลาย ดังนี้

[๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือนิวรณ์ ๕
ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือนิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจ วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจ วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ ณ ภายใน
จิตย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจ วิจิกิจฉา ที่ยังไม่เกิด
จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจ วิจิกิจฉา ที่เกิดขึ้นแล้ว
จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจ วิจิกิจฉา ที่ละได้แล้ว
จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
^
^
พระพุทธวจนะกล่าวไว้ชัดๆ โดยไม่ต้องตีความให้เกิดความเสียหายแด่พระพุทธวจนะเลย
อะไรที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ ณ.ภายในจิต จิตก็รู้ชัดๆว่า เกิดขึ้นหรือมีอยู่
อะไรที่ดับไปหรือไม่มีอยู่ ณ.ภายในจิต จิตก็รู้ชัดๆว่า ดับไปหรือไม่มีอยู่
อะไรที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ณ.ภายในจิต จิตย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
อะไรที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ณ.ภายในจิต จิตย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
อะไรที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ณ.ภายในจิต ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

การที่จะเชื่ออะไรตามๆ กันมานั้น ควรพิจารณาให้รอบคอบตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ.ภายในจิตของตน โดยเฉพาะผู้ที่คุยอวดว่าตนเองเป็นนักปฏิบัติกรรมฐานภาวนามาด้วยแล้ว และยังเห็นว่าจิตเกิดดับ ซึ่งเป็นการกล่าวขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ ที่มีมาในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือว่าได้ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาจริง เพราะขณะที่ลงมือปฏิบัติภาวนาอยู่นั้น จิตย่อมรู้อยู่เห็นอยู่ตลอดสายของการปฏิบัติภาวนาอยู่ว่า นิวรณ์ใดบ้างที่เกิดขึ้น(มีอยู่) ณ.ภายในจิต หรือนิวรณ์ใดบ้างที่ดับไป(ไม่มีอยู่) ณ.ภายในจิต แม้ขณะปฏิบัติอยู่นั้น ถีนมิทธะครอบงำ ก็รู้ชัดว่าถีนมิทธะครอบงำอยู่.......


ธรรมภูต

จากคุณ : ในความฝันของใครสักคน
เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 06:55:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com