คำว่าผีมันกว้างมากน่ะ เพราะคนไทยเราบางทีเจอเทวดาก็ว่าผี เจอพญานาคก็ว่าผี เจอเปรตก็ผี แล้วก็ัยังอะไรต่อมิอะไรอีก
แต่ละภพของเขาก็มีอาหารตามกรรมครับ ที่พูดถึงกันส่วนใหญ่จะเป็นเปรต เอาแค่เปรตก็มีมากมายหลายจำพวก พวกนี้หิวโหย กินไม่ค่อยได้ บางพวกท้องพอคลอดก็กินลูกตัวเอง บ้างก็กินน้ำเหลืองน้ำหนองของตัวเอง บ้างก็กินของตัวอื่น บ้างกินน้ำลาย เสลด อุจจาระ ปัสสาวะ ที่สัตว์ต่างๆขับถ่ายไว้ รูปร่างวิกล บ้างปากอยู่กับท้อง บ้างปากนิดเดียวตั้งอยู่กลางกระหม่อม เวลาจะกินก็ต้องเล็งให้ดี กางขา ก้มลงมาเอาหัวไถไปหาอาหาร ค่อยดูดกิน แต่ยังไงก็ไม่อิ่ม บ้างมีร่างกายเป็นก้อนหินแน่นิ่งอยู่ เป็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ เป็น..ฯลฯ สารพัดตามกรรมที่ทำมา
นี้เฉพาะที่อาศัยโลกมนุษย์อยู่ ซึ่งที่อยู่ของพวกนี้ก็มีที่อื่นๆอีกมาก ในบรรดาเปรตมากมาย มีจำพวกเดียวที่อาศัยบุญ หรือที่เรียกว่ากินบุญ คือปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตนี้อาศัยผู้อื่นทำบุญอุทิศให้ ซึ่งการทำบุญอุทิศให้นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องทำกับพระภิกษุ ในบางชาติของพระโพธิสัตว์ เพียงท่านเอาเศษข้าวที่กินเหลือหว่านให้ปลาในแม่น้ำกิน (นั่นก็เป็นบุญ) แล้วอุทิศบุญให้เทวดารักษาแม่น้ำ เทวดาอนุโมทนาแล้ว สมบัติเป็นอันมากเกิดขึ้นแก่เทวดา เป็นต้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้เทน้ำล้างเท้าแล้วน้ำไหลเลยจากเท้าไป หากนึกในใจว่าขอให้น้ำที่ซึมลงดินนั้นเป็นประโยชน์แก่สัตว์เล็กที่อยู่ในดิน เพียงนั้นก็เป็นบุญ เมื่อเป็นบุญก็สามารถอุทิศได้ทั้งนั้น หากผู้นั้นอยู่ภาวะของปรทัตตูปชีวีเปรต และอนุโมทนา เขาก็ได้ส่วนแห่งบุญนั้น
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ต้องกล่าวถึงคำว่าเปรต เพิ่มเติมนะครับ เปรตอย่างที่คนไทยเราเข้าใจกัน ในพระไตรปิฎกเรียกปิตติวิสัย คือภพภูมิแห่งเปรตอย่างที่เราเข้าใจกันนะครับ
อ่ะ..แล้วอันไหนที่ยังไม่เข้าใจล่ะ ตรงนี้ครับ ตรงที่คำว่า เปตะ (ภาษาไทยเขียน เปรต) นั้น ไม่ได้หมายความแต่เฉพาะภูมิแห่งเปรตเท่านั้น เพราะคำว่า เปตะ แปลว่า ผู้ละไปแล้ว
ในคำว่าเปตะนี้ บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เรียกพรหม ว่าเปตะ บางครั้งก็เรียก เทวดาว่าเปตะ เพราะผู้ใดก็ตามที่ละอัตตภาพไปแล้ว เรียกเปตะไ้ด้ทั้งนั้น ดังนั้น คำว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต จึงไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเปรตที่เป็นภพภูมิแห่งเปรตเท่านั้น แต่หมายถึง สัตว์โลกที่สามารถได้ประโยชน์จากการอนุโมทนาบุญได้ที่ละอัตตภาพไปแล้ว นั่นเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรตทั้งสิ้น ดังนั้น จึงมีเทวดาที่มาอนุโมทนาบุญกับผู้ที่บำเพ็ญบุญ
ดังนั้น ไม่ว่ายุคไหนๆ ถ้ามีคนทำความดี แล้วนึกอยากให้ผู้ที่ตายจากไปแล้ว ได้มีส่วนแห่งความดีของตนด้วย ๑ ผู้นั้นตายแล้วไปเป็นจำพวกปรทัตตูปชีึวีเปรต ๑ และได้อนุโทนา ๑ ผู้ตายจึงจะไ้ด้ส่วนบุญนั้นครับ
จากคุณ |
:
นิราลัย
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ต.ค. 53 00:03:53
|
|
|
|