วิจารณ์รูปแบบลักษณะการจัดงาน หลักการและเหตุผล
การเสวนาเรื่องภิกษุณีนี้ มีชื่อเต็มว่า ภิกษุณีกับการเติมเต็มพุทธบริษัทสี่ โดยจัดขึ้น ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ 306 อาคารรัฐสภา 2 ผู้จัดก็คือ อนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และสร้างเสริมธรรมาภิบาล วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิปริญญาโท นักบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเสวนาครั้งนี้ เกิดขึ้นทั้งในช่วงเช้าและช่วงบ่าย ของวันศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม โดยจุดประสงค์การจัดเสวนา ระบุว่า
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และนำไปสู่การผลักดันให้มีการแก้ไขมาตรา 5 ทวิแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้มีความหมายรวมถึงภิกษุณีสงฆ์ที่อุปสมบทในศรีลังกาวงศ์ เพื่อให้ภิกษุณีในประเทศไทยมีสถานภาพทางกฎหมาย ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ และการปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุณีสามารถสนับสนุนกิจการของพระพุทธศาสนา และมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างแท้จริง
ต่อไปเป็นข้อสังเกตของผู้เขียน
๑. ผู้จัดการเสวนานี้ขึ้น สำหรับ มูลนิธิปริญญาโท นักบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั้น ผู้เขียนรู้สึกเฉยๆ เพราะสำหรับในแวดวงวิชาการแล้ว นักวิชาการ (เข้าใจว่าอย่างนั้น) จะหาความรู้หรือหาข้อยุติอะไรต่างๆ เขาก็จัดการเสวนาขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับ อนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และสร้างเสริมธรรมาภิบาล วุฒิสภา (ต่อไปขอเรียกย่อๆว่า อนุกรรมาธิการ ฯ และ กรรมาธิการศึกษาฯ) ซึ่งเป็นผู้จัดอีกคณะหนึ่ง (น่าจะเป็นแกนหลักในการจัดงาน) นั้น ก็น่าประหลาดใจว่า คณะอนุกรรมาธิการ ฯ กับคณะกรรมาธิการศึกษาฯ นี้ ดูจากชื่อที่ปรากฏ หน้าที่ก็น่าจะเป็นการตรวจสอบ , ป้องกันการทุจริต ตรวจสอบภาครัฐ ส่งเสริมธรรมาภิบาลอะไรต่างๆเหล่านี้..... "ท่านเหล่านี้มาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องมีหรือไม่มีภิกษุณีประการใด?"
ถ้าหากคณะอนุกรรมาธิการ ฯ หรือคณะกรรมาธิการ มาจัดเสวนาเรื่องการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล หรือของข้าราชการอะไรก็แล้วแต่ ก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเป็นการดำเนินนโยบายถูกต้องตามชื่อของกรรมาธิการ แต่คณะอนุกรรมาธิการ ฯ กับคณะกรรมาธิการศึกษาฯ ดังที่ว่า ที่ชื่อบอกอยู่ตรงๆว่าเกี่ยวกับการตรวจสอบทุจริตอะไรต่าง มาจัดเสวนาเรื่องภิกษุณี นั้น
ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่า การมีหรือไม่มี , การบวชหรือไม่บวช , การรับรองหรือไม่รับรอง ซึ่งภิกษุณี นั้น เกี่ยวข้องอะไรกับการทุจริตหรือไม่ทุจริต??
๒. การจัดเสวนาครั้งนี้ บอกว่า เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และนำไปสู่การผลักดันให้มีการแก้ไขมาตรา 5 ทวิแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช- บัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้มีความหมายรวมถึงภิกษุณีสงฆ์ที่อุปสมบทในศรีลังกาวงศ์
ที่บอกว่าเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนนั้น ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นประชาชนชาวไทย-ชาวพุทธ ขอขอบคุณท่านคณะกรรมาธิการศึกษา ฯ , คณะอนุกรรมาธิการ ฯ และท่านผู้จัดเสวนาทุกท่าน ที่ปรารถนาจะรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และข้อเขียนในเอกสารนี้ ก็คือ ความคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งก็คือ ประชาชน คนหนึ่ง เหมือนกัน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความคิดเห็นของประชาชนคนนี้ ถ้าจะได้เป็นข้อร่วมพิจารณากับท่านผู้จัดเสวนาทุกท่านด้วย ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง
ที่ว่า นำไปสู่การผลักดันให้มีการแก้ไขมาตร ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (แก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๓๕) ว่า ให้มีความหมายรวมถึงภิกษุณีสงฆ์ที่อุปสมบทในศรีลังกาวงศ์ด้วยนั้น ผู้เขียนไม่มีความเห็นที่ขัดแย้งหรือจะไม่เห็นด้วยประการใดในข้อนี้ ตามมาตรา ๕ ทวิ ดังกล่าวนั้น มีการระบุถึงความหมายของคำว่า "คณะสงฆ์" ว่า
"คณะสงฆ์" หมายความว่า บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฏหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจใน หรือนอกราชอาณาจักร
คณะสงฆ์อื่น หมายความว่า บรรดา บรรพชิตจีนนิกาย หรือ อนัมนิกาย
ตามความในมาตรา ๕ ทวินั้น มีอยู่เท่านี้ (นอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องพระราชาคณะ ฯ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับประเด็น จึงขอละไว้)
ถ้าหากจะเพิ่มคณะภิกษุณีศรีลังกาวงศ์ , ลังกาวงศ์ อะไรก็แล้วแต่ นั้น ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คงต้องตั้งคำถามก่อนว่า จะให้ระบุลงไปอย่างไร? และระบุตรงวรรคไหน
ถ้าหากจะบอกว่า ให้เสริมเข้าไปในวรรคที่อธิบายถึง คณะสงฆ์(ไทย) นั้น น่าจะเกิดปัญหายกตัวอย่าง ระบุไปในเรื่อง คณะสงฆ์ (ไทย)
"คณะสงฆ์" หมายความว่า........ รวมถึง คณะภิกษุณี ศรีลังกาวงศ์ ซึ่งเป็นคณะภิกษุณีที่ได้รับการบวชมาจากศรีลังกา
ถ้าระบุตามนี้ ขอรับรองว่า เป็นการขัดกับการอธิบายในวรรคนี้ เพราะตามวรรคนี้ คำว่า คณะสงฆ์ หมายถึง บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่จะเรียกได้ว่าอยู่ในคณะสงฆ์ หรือมีความหมายในกรอบเดียวกับคำว่า คณะสงฆ์ ในที่นี้ จะต้องได้รับการบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ถ้าหากจะให้ภิกษุณีเข้าไปอยู่ในมาตรานี้ด้วย ก็ต้องมีการเสริมข้อความว่าด้วยปวัตตินี (อุปัชฌาย์ฝ่ายภิกษุณีเรียกว่า ปวัตตินี) เข้าไปในหมวดว่าด้วยพระอุปัชฌาย์เข้าไปอีก ถ้าไม่เช่นนั้น ภิกษุณีที่จะได้รับการบวช หรือที่บวชมาแล้ว จะนับรวมอยู่ในคณะสงฆ์ ด้วย ได้อย่างไร
แต่ถ้าหากจะรวมไปในวรรคที่ว่าด้วย คณะสงฆ์อื่น
ถ้าจะให้เป็นไปตามนี้ ก็น่าแปลกประหลาดใจว่า บรรดาภิกษุณีที่ไปบวชมาจากศรีลังกา เช่น ท่านธัมมนันทาเป็นต้นนั้น ท่านยอมรับในข้อนี้ไหม? เพราะเท่าที่ทราบ จากการติดตามสถานการณ์เรื่องภิกษุณี นี้ ท่านธัมมนันทา ได้พยายามที่จะชี้แจง อธิบาย ขอร้อง (รวมถึง กดดัน?) ให้ "คณะสงฆ์ไทย" ยอมรับว่าท่านเป็นภิกษุณี "ในคณะสงฆ์ไทย" (โดยความหมายคือคณะสงฆ์เถรวาทไทย) ไม่ใช่ในคณะสงฆ์อื่น (เพราะในคณะสงฆ์อื่นนั้น มีแต่คณะสงฆ์ที่มาจากนิกายมหายาน)
แต่ถ้าหากว่าท่านธัมมนันทารวมถึงคณะภิกษุณีของท่านนั้น ได้มีจิตปรารถนาจะ "เอาอย่างไรก็ได้ ขอให้ภิกษุณีเช่นอาตมา กับภิกษุณีอื่นๆ ไปมีฐานะอะไรซักอย่างอยู่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก็แล้วกัน" อย่างนั้นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ จะให้ทำอย่างไร
สมมติว่าทำได้ มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ดังว่าได้ ถามว่า แล้วถ้าหากมีภิกษุณีคณะอื่น เช่น ภิกษุณีที่บวชจากไต้หวัน อย่างสำนักวัดโฝวกวงซาน อย่างสำนักภิกษุณีที่ซอยโชคชัย ๔ หรือในที่อื่นๆ ที่ตั้งวัด ตั้งสำนักในถิ่นต่างๆในประเทศไทย เกิดมาเรียกร้องขอให้ตนเองมีสถานะอยู่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์บ้าง จะว่าอย่างไร? มิยุ่งกันใหญ่หรือ คงต้องรื้อมาแก้กันหลายรอบ
ถ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อจะให้มีแล้วก็ประกาศอย่างนี้เลยจะดีไหม จะได้ไม่ต้องแก้กันบ่อยๆ ว่า....
"คณะสงฆ์อื่น" หมายความว่า.......รวมถึงคณะภิกษุณี ไม่ว่าจะบวชจากศรีลังกา , จากวัตรทรงธรรมกัลยาณี , จากไต้หวัน , ธิเบต , จีน , ญี่ปุ่น หรือในประเทศแถบถิ่นใดของโลก "
ถ้าเอาอย่างนี้คิดว่าปัญหาน่าจะหมด (หรือจะยุ่งกว่าเดิมก็ไม่รู้สิ)
เอาแค่ว่าจะบัญญัติจะระบุไว้ว่าอย่างไรก่อน ก็ทำท่าจะมีปัญหาเอาเสียแล้ว
ทีนี้ถามว่า จุดประสงค์ในการที่จะให้บัญญัติหรือให้ระบุนั้นคืออะไร (คือจำเป็นอะไรต้องมีการระบุเช่นนั้น) เหตุผลในการเสวนาก็ระบุว่า
เพื่อให้ภิกษุณีในประเทศไทยมีสถานภาพทางกฎหมาย ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ และการปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุณี สามารถสนับสนุนกิจการของพระพุทธศาสนา และมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างแท้จริง
แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 53 15:27:35
แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 53 15:22:33