ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ถูกที่ถูกทาง ต้อง "อ่านก่อนปล่อย" ปล่อยสัตว์ต่ออายุ
ท่านอำมาตย์ เสี่ยว เจิ่น แห่งมณฑล จื่อ เจี่ยง เมือง เหวินโจว เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กน้อยอายุ 10 ขวบได้ฝันไปว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกกับท่านว่า ลูกเอ๋ย...เจ้าจะมีอายุอยู่ได้เพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น ก็จะต้องจากโลกนี้ไป ตั้งแต่นั้นเด็กน้อย เสี่ยว เจิ่น ก็คอยเตือนตัวเองให้สำนึกอยู่เสมอว่า ชีวิตสังขารนี้ช่างไม่แน่นอน ไม่อยากตายก็ต้องตายยากที่จะหลีกพ้น บิดาของท่าน เสี่ยว เจิ่น เป็นแม่ทัพใหญ่ วันหนึ่งนายทหารชั้นผู้น้อยได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้าน แล้วเชิญท่านมาเป็นประธาน ท่านแม่ทัพได้นำลูกชายติดตามไปด้วย
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างช้าๆ สุราถูกยกมาบริการครั้งแล้วครั้งเล่า อาหารก็ยังปรุงไม่เสร็จสักที เสี่ยว เจิ่น จึงได้ออกไปเดินเล่นรอบๆ บ้านจนกระทั่งเลยไปถึงโรงครัว ก็พบเห็นแม่วัวหลายตัวถูกมัดไว้ ใกล้ๆ กันนั้นมีคนครัวกำลังเผาเหล็กแหลมในอ่างไฟที่ลุกโชน เมื่อเขาไต่ถามบรรดาพ่อครัวว่ากำลังทำอะไรกันอยู่
พ่อครัวคนหนึ่งจึงอธิบายให้ฟังว่า พวกเรากำลังจะปรุงอาหารพิเศษสำหรับงานเลี้ยงวันนี้ โดยใช้ก้านเหล็กแหลมเผาไฟจนแดง แล้วแทงที่เต้านมของแม่วัวเหล่านั้น น้ำนมที่ไหลลงมาบนเหล็กร้อนๆ เมื่อนำไปปรุงอาหารจะเพิ่มรสชาด ให้อร่อยยิ่งขึ้น ครั้น เสี่ยว เจิ่น บุตรชายแม่ทัพใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจมากพลางครุ่นคิดว่า คนเราจะกินอาหารสักมื้อหนึ่ง ทำไมจึงต้องสร้างบาปกรรมมากมายถึงขนาดนี้?
เสี่ยว เจิ่น ไม่อยากให้แม่วัวมากมายต้องได้รับความทุกข์ทรมาน เขาจึงรีบวิ่งไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาทราบท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาและรักคุณธรรม ทันทีที่ทราบเรื่องจึงได้ออกคำสั่งยับยั้งไว้ทันที และประกาศห้ามไม่ให้มีการปรุงอาหารพิสดารด้วยวิธีที่ทารุณโหดร้ายเช่นนี้อีก หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยว เจิ่น ได้ฝันเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์เดิมมาพูดกับเขาว่า ลูกเอ๋ย..เจ้าเป็นเด็กที่มีเมตตายิ่งนัก ได้สร้างกุศลช่วยเหลือชีวิตสัตว์ไว้อย่างมหาศาล บัดนี้เจ้าได้ต่ออายุขัยของตนเองออกไปอีกยาวนาน ต่อไปภายหน้าชีวิตของเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองมีตำแหน่งเป็นอำมาตย์ใหญ่หวังว่าเจ้าจะเมตตาปราณีช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายต่อไป ต่อมาเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เสี่ยว เจิ่น บุตรชายของท่านแม่ทัพก็ได้เป็นอำมาตย์ สมจริงตามที่ฝันและมีชีวิตอยู่จนถึงอรยุ 90 ปี จึงลาจากโลกนี้ไปพร้อมด้วยบุญกุศลที่สร้างสมมาตลอดชั่วชีวิตของท่าน ได้มีการบันทึกหรือเล่าต่อกันมาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ในเรื่องของสามเณร ซึ่งเป็นศิษย์ในสำนักของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ซึ่งสามเณรท่านนี้ได้รับการพยากรณ์จากพระสารีบุตรว่า " ชะตาถึงฆาต" จะต้องมรณภาพ ภายใน ๗ วันขอให้ปลงอายุสังขารเสีย พอสามเณรได้ฟังดังนั้น ในฐานะนักปฎิบัติธรรม ท่านก็มิได้สะทกสะท้าน หรืออาลัยในชีวิตแต่อย่างใด ไหน ๆ ก็จะละสังขารแล้ว ก็ใคร่จะขออำลาพระอาจารย์ไปโปรดโยมบิดา มารดาสัก ๓ วัน เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ออกเดินทาง กะว่าจะใช้เวลาไปกลับให้ทันก่อนกำหนด เพื่อฟังธรรมจากพระสารีบุตรเป็นครั้งสุดท้าย ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำในลำธาร ห้วยหนอง เหือดแห้ง สามเณรได้เห็นปลาน้อย จำนวนหนึ่ง ดิ้นกระแด่ว ๆ ใกล้จะถึงเวลาตายอยู่ในบ่อน้ำที่กำลังแห้งเหือด ด้วยจิตที่เป็นเมตตา ท่านได้นำจีวรช้อนตักปลาฝูงนั้น ไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ แล้วจึงเดินทางต่อไป หลังจากโปรดโยมบิดามารดาและเดินทางกลับมายังสำนักแล้ว พอครบกำหนดตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์เอาไว้ ก็เข้าไปกราบลาเพื่อขอฟังธรรมก่อนละสังขาร แต่พระสารีบุตรกลับไม่แสดงธรรมโปรด และได้กล่าวกับสามเณรว่า "กรรมดีที่เณรได้ช่วยชีวิตฝูงปลา ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมของเณรแต่อดีตชาติ ประกอบกับบุญกุศลที่เณรได้ทำไว้ด้วยการถือเพศบรรพชิตในปัจจุบัน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความปีติ ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้กรรมหนักถึงตายของเณรหลุดพ้น ด้วยการ "อโหสิกรรม" ต่อกัน เณรได้พ้นกรรมบัดนี้แล้ว" จากเรื่องดังกล่าว จึงทำให้มีการทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยการปล่อยนก ปล่อยปลา หรือให้ทานชีวิตสัตว์อื่น ๆ เช่น ไถ่ชีวิตโคกระบือ ฯลฯ ในพุทธศาสนาแต่นั้นมา ดังนั้นการแก้กรรมเมื่อชะตาถึงฆาต โหราจารย์ก็จะแนะนำให้แก้กรรมด้วยการให้ทานชีวิตสัตว์เป็นดีที่สุด
วิธีอธิษฐานในการปล่อยปลา ควรจะซื้อปลา เช่น ปลาหมอ ปลาช่อน จากตลาดสด เพราะปลาเหล่านี้จะต้องถูกฆ่าแน่นอน ก่อนจะปล่อย ให้เอาน้ำมาถ้วยหนึ่ง เทลงไปในถังที่ใส่สัตว์ที่จะปล่อยนั้น แล้วตั้งใจว่า " ข้าพเจ้าขอปล่อยท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็นอิสระ ข้าพเจ้าให้ชีวิตและให้ความเป็นอิสระแก่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ข้าพเจ้าช่วยท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้พ้นจากความทุกข์เดือดร้อน พ้นจากการถูกเขาประหาร ขอบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าทำให้แก่ท่านในครั้งนี้ จงเป็นเครื่องอโหสิแก่กัน อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองต่อไป ขอท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อข้าพเจ้าปล่อยท่านไปให้เป็นอิสระแล้ว จงไปบอกพวกของท่านที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ ถึงส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้ แล้วขออุทิศกุศลทั้งหมดที่ทำไปแล้วให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงเป็นผู้พ้นจากความทุกข์ เดือดร้อนทั้งปวง และจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"
การปล่อยเต่า บางคนนิยมปล่อยเต่า ขอบอกให้รู้ว่าเต่านั้นไม่สามารถจะอยู่ได้ในน้ำไหลและมีคลื่นแรง ข้าพเจ้า(ผู้เขียน) ได้เห็นเป็นประจำ มีผู้นำเต่ามาปล่อยในแม่น้ำหน้าวัด (วัดระฆังฯ) จะมีเด็กที่อยู่ใกล้วัดเดินตามมา เมื่อผู้นั้นปล่อยเต่าลงแม่น้ำแล้ว หันหลังกลับไปสักพักใหญ่ เด็ก ๆ เหล่านั้นก็ลงไปจับเต่าที่ผู้ใจบุญได้ปล่อยไปเมื่อครู่ใหญ่นั้นเอง กลับขึ้นมาอีกธรรมชาติของเต่าจะต้องอยู่ในน้ำนิ่งและมีที่แห้งให้เขาสามารถขึ้นมาพักผ่อนได้ (ลองไปเที่ยวดูได้ในเขาดิน) เต่าเมื่อถูกกระแสน้ำและคลื่นแรงก็อยากจะขึ้นบก จึงมาลอยคอกันอยู่ริมเขื่อน เด็ก ๆ รู้เรื่องนี้ดี ก็มาคอยจับกัน
การปล่อยปลาไหลและกบ ธรรมชาติของปลาไหลจะอยู่ตามคูคลอง หนอง บึง ที่เป็นดินขุดรูเป็นที่อยู่ กบก็ต้องขุดรูอยู่ตามท้องนา ผู้ที่ต้องการสร้างกุศลโดยการปล่อยสัตว์นั้น ควรจะได้พิจารณาด้วยว่า สัตว์นั้น ๆ จะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่ในสถานที่ที่ตั้งใจจะนำไปปล่อย เต่านา (เต่าสามสัน) สัตว์เลื้อยคลาน มีขนาดเล็ก กระดองสีน้ำตาลอ่อน หัวดำมีลายสีขาวเป็นเส้นใหญ่ มีลายสีขาวที่แก้ม ลายเส้นขาวใหญ่นี้เป็นจุดเด่นของเต่าชนิดนี้ และขามีสีเทาดำ เป็นเต่าที่ไม่ชอบกินพืชผัก แต่ชอบกินหอย ปู กุ้ง แมลงต่างๆ และปลาเล็กๆ เป็นเต่าขี้ตื่นกลัว ไม่ชอบคน ถ้าเห็นคนจะหยุดนิ่งไม่กระดุกกระดิก หดหัวอยู่ในกระดอง มักพบอาศัยอยู่ตามท้องนา และแม่น้ำลำคลองที่มีโคลนตม หรืออยู่ตามห้วยหนองบึงทั่วไป ลำบากแน่! หากเขาอยู่ในที่ที่มีน้ำลึก ตลิ่งสูง
เต่าหับ สัตว์เลื้อยคลาน เป็นเต่าที่กระดองล่างแบ่งกลางออกเป็นสองส่วน ปิดได้ทั้งด้านหน้าและหลัง เป็นเต่าชนิดเดียวที่เก็บหัวหาง แขนขา ไว้ในกระดองได้หมด เมื่อมองจากด้านท้องจะไม่เห็นส่วนอื่นใดยื่นออกมา พบมากแถวภาคกลางและภาคใต้ เต่าหับกินพืช ผัก ผลไม้ ปลา หอย ปู กุ้ง ชอบอาศัยอยู่บนบกมากกว่าอยู่ในน้ำ ชอบหมกตัวอยู่ตามกอหญ้า ผสมพันธุ์ในน้ำ แต่วางไข่บนบก ปีหนึ่งวางไข่หลายครั้ง ทว่าวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟองเท่านั้น เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
เต่าดำ (เต่าแก้มขาว) สัตว์เลื้อยคลาน เป็นเต่าขนาดเล็ก ตัวแบน กระดองดำ หัว หาง และขาดำ มีแต้มขาวเหนือตา แก้ม และตามใบหน้าอีกหลายแห่ง ชอบกินกินหอย กุ้ง ผัก และเมล็ดพืชเป็นอาหาร ชอบกบดานหรือหากินตามพื้นดินโคลนใต้น้ำ นาน ๆ จึงโผล่ขึ้นมาสักครั้ง ดังนั้นเวลาพบจึงเห็นตัวสกปรกเลอะโคลนอยู่เสมอ จะขึ้นบกเวลากลางคืน เพื่อต้องการหาทำเลวางไข่ หรือผสมพันธุ์ หรือย้ายที่ทำมาหากิน ส่วนกลางวันมักหมกตัวอยู่ในที่รก ชื้นแฉะ หรือตามโคลนใต้พื้นน้ำ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
ปลานิล ปลานิลมีนิสัยชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง และทะเลสาบ เป็นปลาที่อยู่ได้ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย มีความอดทน และสามารถปรับปรุงตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ง่าย เหมาะสมที่จะนำมาเลี้ยงในบ่อได้เป็นอย่างดี เป็นปลาที่กินอาหารได้ทุกชนิด โดยเฉพาะพวกอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อ เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์เล็ก ๆ ควรอยู่ในระดับของน้ำควรลึกประมาณ1 เมตร ไม่ควรมีวัชพืช เช่น ผักตบชวา จอก บัว และหญ้าต่าง ๆ เพราะวัชพืชเหล่านี้จะปกคลุมผิวน้ำเป็นอุปสรรคต่อการ หมุนเวียนของอากาศ ซ้ำยังจะเป็นที่หลบซ่อนอยู่อาศัยของศัตรูที่เป็นอันต รายต่อปลานิล ถ้ามีขนาดเล็กเกินไปจะกลายเป็นอาหารของปลาใหญ่
ปลาสวาย เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ลักษณะลำตัวยาว มีสันหลังค่อนข้างตรง ส่วนหน้าจะลาดไปถึงบริเวณปาก หน้าทู่ปากกว้างมีหนวด 2 คู่ ลำตัวมีสีนวลขาว ปลาสวายขนาดเล็กจะมีแถบสีดำคาดลำตัว พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงนครสวรรค์ และแม่น้ำโขง ชอบกินพันธุ์ไม้น้ำ ลูกหอย หนอน ไส้เดือน รักสงบ ตื่นตกใจง่าย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในที่ร่มใกล้พันธุ์ไม้น้ำ เลี้ยงง่าย โตเร็ว แต่ถ้ามีขนาดเล็กเกินไปจะกลายเป็นอาหารของปลาใหญ่
ปลาหมอไทย รูปร่างป้อม ลำตัวด้านข้างแบน หัวเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ นัยน์ตาค่อนข้างเล็กอยู่ใกล้กับปลายจมูก กระดูกขอบกระพุ้งเหงือกหยักเป็นฟันเลื่อยแหลมและแข็ง ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า เหงือกปลาหมอ อวัยวะส่วนนี้ใช้สำหรับการเคลื่อนไหวไปบนบก ครีบหลังยาว ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเหลือง ด้านท้องสีจะจางกว่า มีอวัยวะช่วยหายใจในปากทำใหัสามารถอยู่บนบกได้นานๆ พบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย ชอบกินลูกปลา ลูกกุ้ง แมลง และซากสัตว์ แต่ถ้ามีขนาดเล็กเกินไปจะกลายเป็นอาหารของปลาใหญ่
ปลาไหลนา ปลาไหลนาสามารถเจริญเติบโตได้ดีใน แหล่งน้ำทั่วไป ฤดูแล้งจะขุดรูดิน ออกหากินในเวลากลางคืน เป็นปลาที่สามารถ เปลี่ยนเพศได้ โดยช่วงแรกจะเป็นเพศเมีย และจะกลายเป็นเพศผู้เมื่อโตขึ้น จัดเป็นพวกปลากินเนื้อ (carnivorous) กินอาหารที่มีสภาพสดจนถึงเน่าเปื่อย ตัวหนอน ตัวอ่อนแมลง หอย ไส้เดือน และสัตว์หน้าดินต่าง ๆ มีนิสัยรวมกลุ่มกันกินอาหาร ควรระมัดระวังในเรื่องการลำเลียง ไม่ควรให้หนาแน่นมากเกินไปปลาจะบอบช้ำ ถ้ามีขนาดต่างกันมากเกินไปจะกินกันเอง ชอบอยู่ในที่ร่มมากกว่ากลางแดด ปัจจุบันปลาไหลที่ขายอยู่ทั่วไปมาจากเขมร พม่า ซึ่งกำลังส่งผลในเรื่องการรุกล้ำสายพันธุ์
ปลาไน อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ ลำคลอง ที่มีพื้นเป็นดินโคลน กระแสน้ำไหลอ่อนเกือบจะนิ่ง ชอบอยู่ในน้ำอุ่นมากกว่าในน้ำเย็น ชอบน้ำสะอาดแต่ไม่ใสหรือขุ่นจนเกินไป ชอบวางไข่ในที่ตื้น ถ้าอยู่ในสภาพแออัดเกินไปจะทไห้อ่อนเพลียไม่กินอาหาร ตื่นตกใจง่ายอาจถึงตายได้ ศัตรูของปลาไน ได้แก่ ปลาจำพวกที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น ปลาชะโด ปลาช่อน ปลาบู่ ปลาเทโพ พวกกบ เขียด เต่า ตะพาบน้ำ :-) นาก และนก เนื่องจากปลาไนเป็นปลาที่มีนิสัยขลาด ตื่นตกใจง่าย หากจับปลาออกจากบ่อเลี้ยงแล้วรีบลำเลียงไปส่งตลาด ปลาอาจตกใจตายได้ง่าย อาหาร - เศษผัก ผักบุ้ง ผักกาดขาว และเศษผักต่าง ๆ ใช้ต้มให้เปื่อยผสมกับรำหรือปลายข้าว - กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง - ส่วนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรือสัตว์ที่มีชีวิต เช่น ตัวไหม ปลวก ไส้เดือน หนอน มด ฯลฯ ใช้โปรยให้กิน พวกเครื่องในและเลือดของพวกสัตว์ต่างๆ เช่น หมู วัว ควาย
จากคุณ |
:
เมืองโบราณ
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ธ.ค. 53 11:23:36
|
|
|
|