พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 124
http://www.tipitaka.com/prapahiya.htm
๑๐. พาหิยสูตร
[๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน
เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตอยู่
แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด ฯ
แม้ครั้งที่ ๒...
แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ
----------------------------------------------------
ในพระสูตรนี้ไม่มีคำว่า"คิด"แม้แต่คำเดียว
แต่เป็นการสอนให้พิจารณาธรรม แน่นอนว่าไม่มีการสอนสมาธิ หรือสมถะใดๆเลย
เพียงแต่ท่านให้รอก่อน เพื่อให้จิตใจสงบจากความกระหายอยากฟังธรรม แล้วค่อยๆเป็นสมาธิขึ้นมาบ้าง
แน่นอนว่าขณะนั้นท่านพาหิยะไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจรงกรม ไม่ได้ทำฌาณ
แต่อยู่ในสภาพหลังจากหมอบกราบแล้วกราบทูล ก็น่าจะเป็นท่านั่งพับเพียบหรือไม่ก็คุกเข่า
ในพระสูตรนี้ เป็นการสอนให้รู้สภาวะธรรม ซึ่งเป็นวิปัสสนากรรมฐานโดยตรง
โดยไม่ต้องคิดสิ่งใดๆเลย "รู้ไปตรงๆ" "สักว่าเห็น""สักว่าฟัง" "สักว่าทราบ""สักว่ารู้แจ้ง"
ไม่มีการสอนให้คิดแทรกแทรงใดๆ ในพระสูตรนี้เลย
ในคนที่บารมีน้อย อาจต้องศึกษา หรือ คิดพิจารณาเป็นแนวทางไว้ก่อน
ว่าหลักธรรมเป็นอย่างไร ให้พอเข้าใจแนวทางปฏิบัติ เพื่อไม่ให้หลงทาง
แต่เมื่อปฏิบัติจริง ไม่ต้องคิด รู้ไปตรงๆ ครูบาอาจารย์พระป่าท่านว่า รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ
หลวงปู่ดูลย์กล่าวว่า
"คิดเท่าไรๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้"
คือ หยุดจงใจคิด ปล่อยให้จิตมันคิด นึก ปรุงแต่งเอง ตามธรรมดา โดยเราไม่ได้จงใจ ไม่ต้องจงใจ
แล้วให้เข้าไปรู้เฉยๆ ดูเฉยๆ ในความคิดที่เกิดขึ้นเอง ที่เราไม่ได้จงใจที่จะคิดนั้น
แล้วจะ"รู้"และเข้าใจได้เองว่า จิตมันคิดได้เอง โดยไม่ต้องจงใจ
มันไม่อยู่ในความบังคับควบคุม มันเป็น "อนัตตา"
นี่ละการดูจิต ที่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ในแบบที่หลวงปู่ดูลย์สอนละ
(แบบอื่นๆขึ้นอยู่กับการอธิบาย และวิธีใช้คำพูด)
สรุปคือ อาศัยเอา ความคิดที่เกิดขึ้นมาเอง เพิ่อมารู้สภาวะธรรมโดยไม่ต้องคิดแทรกแทรง เรียกว่า "สักว่ารู้"