ความคิดเห็นที่ 1 อาดีษบทนี้ ได้รับการจัดอันดับว่า เป็น“หะดีษศอหี้หฺ” ตามหลักการที่ว่า  ความหมายทางวิชาการ มีดังนี้ หะดีษ คือ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติ ของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม) อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า “ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)” คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับหะดีษ 1.    อัซซุนนะฮฺ   السنة       2.    อะษัร  أثر         3.    เคาะบัร  خبر 1.อัซซุนนะฮฺ  السنة  เดิมนั้นแปลว่า แนวทาง หรือ แบบอย่าง  ส่วนความหมายทางวิชาการนั้นมีหลายนิยาม •  นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮ์ให้ความหมายอัซซุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ •  นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ) •  นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัซซุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่าบิดอะฮฺ (อุตริกรรม) 2.อะษัร  أثر  ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ •  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ •  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะ                    ฮฺและตาบิอีน 3.เคาะบัร خبر  ความหมายเดิมคือ ข่าว เรื่องราว •  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายเคาะบัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ •  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า หะดีษคือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล                      ส่วนเคาะบัรคือสิ่งที่มาจากผู้อื่น *ปราชญ์ บางท่านก็จำแนกคำที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้ •  หะดีษ  حديث คือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล •  อะษัรأثر  คือสิ่งที่มาจากเศาะหาบะฮฺ ตาบีอีนและผู้ที่มาหลังจากพวกเขา •  ส่วนเคาะบัร  خبر  คือ ชีวประวัติของบรรดากษัตริย์สมัยโบราณและ                    บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์    จากความหมาย ตามหลักวิชาการฮาดีษ นั้น ให้ความหมายไว้อย่างครอบคลุมจักวาล  ตั้งแต่ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม), ไปจนถึง เรื่องเหลวไหลใดๆก็ได้ เช่น ““หะดีษศอหี้หฺ” เรื่อง ฝูงลิงป่าสังหาร“ลิงสาวกับชู้รัก” ด้วยการ รุมกัน ปา“ลิงสาวกับชู้รัก” ด้วยหินจนตาย” ซึ่งเป็น “หะดีษศอหี้หฺ” ของบุคอรี         แต่ในกรณีนี้ จะใช้เพียง คำจัดความ “ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)”ซึ่งรวมถึง คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม) แต่เพียงเท่านั้น ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 บทนี้ ไม่ตรงกับคำนิยาม ของคำว่าฮาดีษ  คือ ไม่มีทั้งการกล่าวถึง ตัวท่านรอซูล และ ไม่มี การพาดพิง ถึงท่านรอซูล  ด้วยเหตุนี้ ฮาดีษบทนี้จึงไม่ผ่านขบวนการตั้งแต่เริ่มแรก  ในเรื่อง ความหมาย ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้อง พิสูจน์ ในความแท้จริง ของ ฮาดีษ บทนี้ ต่อไป แต่มีความจำเป็น ที่จะต้องอธิบาย ถึง อันตรายและความเสื่อมเสีย ต่อหลักการของอิสลาม ทีฮาดีษในรูปแบบนี้ ได้นำมา รวมอยู่ใน หลักการ ของอิสลาม เพื่อ เก็บไว้  ใช้อ้างอิง ในกรณี  Cherry Picking ของผู้รู้ที่ฉ้อฉลบางท่าน    คำอธิบายของ ฮาดีษบทนี้ บิดเบือนอัลกุรอานทำให้ ผู้คนที่ ไม่มีความรู้และศึกษาอัลกุรอานอาจะ นำมาใช้, และทำให้มุสลิม เข้าใจผิดว่า เป็นคำสอนของท่าน รอซุล     การนำบัญญัติ ในอัลกุรอาน มาใส่ไว้ใน เนื้อหาของ ฮาดีษ แล้วอธิบาย ความหมายไปทางอื่น ซึ่งทำให้มุสลิมหลงผิด ออก จากแนวทาง ของพระเจ้าได้อย่าง ง่ายดาย  โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อในคำ ขู่ที่ว่า “หากผู้ใดที่ปฏิเสธ“หะดีษศอหี้หฺ” แล้ว เขาจะตก จากการเป็นมุสลิม   ซึ่งคำขู่นี้ขัดกับการสอนของเขาเองคือว่า ถ้าเขาสอนว่า ฮาดีษ เป็น อัซซุนนะฮฺ  السنة  แล้ว ก็เข้าในหลักการตามที่นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ)      “พวกเขาไม่พิจารณาดูอัล-กุรอานบ้างหรือ? และหากว่า อัล-กุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้วแน่นอนพวกเขาก็ จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย” (4-82.) ด้วยเหตุนี้จึงถามว่า มุสลิมปฏิเสธ “หะดีษศอหี้หฺ”  Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 หรือไม่? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 02:37:28

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามารอฟังความรู้ใหม่ๆ ^^ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 53 04:12:05 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 04:11:41

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ใช่ข้อห้าม ไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ก็แปลว่าให้ใช่ปัญญาเลือกปฏิบัติและไม่ปฎิบัติ เอาตามความเหมาะสม จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 04:50:48

ความคิดเห็นที่ 4 อืม เห็นถกกันตั้งนาน เริ่มเข้าใจคำบางคำและ จากคุณ : แอบดู (สายลมเหงาแห่งขุนเขา) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:50:31

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่หลับไม่นอนกันเลยเหรอเนี่ย !!!!! จากคุณ : Ruby Tuesday เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:53:09

ความคิดเห็นที่ 6 ซอเฮียะห์ ด้วยสายรายงานครับ แต่ฮะดีษนี้ไม่ใช่ฮะดีษ จากนบีผมว่าผมบอกหลายครั้งแล้วนะ จะเห็นได้ว่า คนนึงได้ถามอีกคน แต่ไม่มีนบีร่วมด้วย ดังนั้น จึงอยู่ที่ ฮะดีษบทอื่นๆ ในการสนับสนุน หรือคัดค้านครับ หรือาจจะเป็นคนเดียวกันแต่ให้ความเห็นต่างกันในเรื่องนี้ หรือคนใกล้ชิดกัน เห็นต่างกันก็ได้ เช่น ตัวอย่างเรื่องนี้ก็ในกุรอ่านแปลไทยนี่แหละครับ 11:5. พึงรู้เถิด แท้จริงพวกเขาปกปิดความลับในทรวงอกของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซ่อนความความเป็นศัตรูจากพระองค์ พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมตัวนั้น พระองค์ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก (*1*)   (1)  อิบนุอับบาส กล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับ “อัลอัคนัส อิบนุชะรีก” โดยเฉพาะ เพราะเมื่อครั้งที่เขานั่งยู่กับท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เขาจะสาบานว่า เขานั้นรักท่านร่อซูลุลลอฮฺ ในขณะเดียวกันเขาก็ซ่อนความเป็นศัตรูเอาไว้   นี่เป็นการให้ความเห็น อีกแบบนึงในเรื่องเดียวกัน ผมถึงบอกไงครับว่า ฮะดีษซอเฮียะห์ แต่ไม่ใช่ฮะดีษนบี ฮะดีษคือ รวมถึงคำพูดและการกระทำของศอฮาบะห์และตาบีอีนด้วย โดยจัดแยกประเภทไว้คือ สิ่งที่มาจากนบีจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมัรฟัวอ์ สิ่งที่อ้างถึงศอฮาบะห์จะถูกเรียกว่า ฮะดีษเมากูฟ และสิ่งที่อ้างถึงตาบีอีนจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมักตัวอ์ ไม่ใช้ คำพูดหรือการยอมรับของท่านนบีแต่อย่างใด และมุสลิมไม่ได้นำมาใช้เป็นหลักปฏิบัตินะครับ อันที่จริงแล้วหะดีษต้นนี้แม้จะเป็นหะดีษที่ถูกบันทึกอยู่ในบุคอรีอันเป็น ตำราที่มีระบบการสืบสายรายงานบุคคลผู้รายงานหะดีษอย่างเข้มงวดถูกต้องก็ตาม แต่ มิได้หมายความว่าทุกๆหะดีษในตำราเล่มนี้จะสืบรายงานไปยังท่านรอซูลหรือพูดใน อีกแง่หนึ่งอาจจะมีบางรายงานที่ไม่ใช่หะดีษของท่านรอซูลหากแต่เป็นเพียง ทัศนะหรือคำพูดของใครบางคนเท่านั้น ซึ่งทัศนะหรือคำ พูดของใครบางคนเหล่านี้จะไม่ใช่หลักฐานหรือสิ่งวายิบให้เราต้องเชื่อเสมือน กับคำพูดและการกระทำของท่านรอซูล ศ็อลฯ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:28:45

ความคิดเห็นที่ 7 ประเด็นที่คุณแมทท์ถามคือ คุณคิดว่า คำแปล อัลกุรอานตามฮะดิษนี้ ให้เรามีเซ็กกันกลางฟ้า กลางดินอย่างเปิดเผยไม่ต้องอายใคร รวมทั้งถ่ายทุกข์ กลางแจ้งได้ หนะ คุณเชื่อว่ามันแปลแบบนี้จริงหรือเปล่า   ถ้าคุณบอกว่ามันแปลแบบอื่นแสดงว่า คุณปฏิเสธฮะดิษ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 12:11:17

ความคิดเห็นที่ 8 ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณท่านแมทท์ คือเวลาอธิบายอะไรที่เป็นภาษาทางศาสนา ท่านแมทท์ได้กรุณาแปลให้เป็นภาษาที่สื่อสารกับคนต่างศาสนาได้ดีครับ (คือหลายๆครั้ง ที่เรา(รวมถึงผม) อธิบายข้อเชื่อทางศาสนา ก็ยกพระคัมีร์มาแปะ แปะเสร็จ ก็เข้าใจเองว่าคนอื่นๆจะอ่านได้รู้เรื่อง หุหุ) จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 14:41:56

ความคิดเห็นที่ 9 มันก็แปลแบบนั้นแหละครับ ทำไมเหรอครับ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 16:13:43

ความคิดเห็นที่ 10 ผมหมายถึงแบบนี้ครับ เช่น ท่าน แมทท์ อธิบายมายืดยาว...แล้วสรุปว่า ========================   จากความหมาย ตามหลักวิชาการฮาดีษ นั้น ให้ความหมายไว้อย่างครอบคลุมจักวาล  ตั้งแต่ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม), ไปจนถึง เรื่องเหลวไหลใดๆก็ได้ เช่น ““หะดีษศอหี้หฺ” เรื่อง ฝูงลิงป่าสังหาร“ลิงสาวกับชู้รัก” ด้วยการ รุมกัน ปา“ลิงสาวกับชู้รัก” ด้วยหินจนตาย” ซึ่งเป็น “หะดีษศอหี้หฺ” ของบุคอรี =========================== คือ ทำให้อ่านได้ง่ายขึ้่น ชัดเจนว่ากำลังสื่อสารอะไร หรืออย่างที่ท่าน Carroth ยกมาก็สื่อสารดีเช่น หลังจากที่ท่านยกข้อความ จากพระคัมภีร์ของท่านมา แล้วการอธิบายว่า =============================== นี่เป็นการให้ความเห็น อีกแบบนึงในเรื่องเดียวกัน ผมถึงบอกไงครับว่า ฮะดีษซอเฮียะห์ แต่ไม่ใช่ฮะดีษนบี ================================== นี่คือ เอาข้อทางศาสนามาบอก แล้วตีความให้ คนอื่นๆ(ต่างความเชื่อ) อ่านง่ายขึ้นครับ ผมไม่ได้บอกว่าใครพูดถูก ใครพูดผิด แต่ผมบอกว่า ผมชื่นชมวิธีการสื่อสารครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 16:59:29

ความคิดเห็นที่ 11 ดีแล้วที่มีการพูดถึงฮะดีษเรื่องลิงเพราะทำให้เราทราบถึง ความไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ของผู้ที่ไม่เอาฮะดีษ อย่างที่บอกไปว่า ฮะดีษ รวมถึงคำพูดและการกระทำของศอฮาบะห์และตาบีอีนด้วย โดยจัดแยกประเภทไว้คือ สิ่งที่มาจากนบีจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมัรฟัวอ์ สิ่งที่อ้างถึงศอฮาบะห์จะถูกเรียกว่า ฮะดีษเมากูฟ และสิ่งที่อ้างถึงตาบีอีนจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมักตัวอ์ ซึ่งเรื่องฮะดีษ ผมได้ลงรายละเอียดไว้ในกระทู้นี้ ลองไปอ่านได้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/12/Y8675502/Y8675502.html แล้วพวกปฏิเสธฮะดีษ คงคิดว่า ฮะดีษ ซอเฮียะห์ หรือที่เรียกว่า ฮะดีษ ที่มีสายรายงานแข็งแรง ทำไมยังมี สายรายงานไม่ถึงนบี แสดงว่า ฮะดีษซอเฮียะห์ไม่น่าเชื่อถือ กระมัง แต่จริงๆ แล้ว ฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือฮะดีษที่ไปไม่ถึงนบีนั้น มีลักษณะแบบนี้ครับ (จากท่าน kheedes) 1.สายรายงาน ไม่มีจริง ผู้ที่รายงานหะดิษนั้น มีลำดับของสายรายงานโยงไปถึงท่านศาสดาหรือไม่  เช่น นาย ก. เล่าว่า ฟังมาจาก นาย ข. นาย ข. เล่าว่า ฟังมาจาก นาย ค นาย ค. เล่าว่าฟังมาจาก ท่านศาสดา แต่สมมติว่า นาย ข. ไม่มีตัวตนจริงๆ  ในประวัติศาสตร์  เช่นนี้ ก็ถือว่า ปลอมครับ 2.สายรายงาน ขาดตอน เช่น นาย ก. เล่าว่า ฟังมาจาก นาย ข. นาย ข. เล่าว่า ฟังมาจาก นาย ค นาย ค. เล่าว่าฟังมาจาก ท่านศาสดา แต่ ปัญหาคือ   นาย ข. และ นาย ค.  มีอายุห่างกันเป็น 100 ปี หรือ ไม่เคยรู้จักกันเลย แสดงว่า  จำนวนคนที่รายงานหะดิษ ขาดหายไป ... เช่นนี้ก็เข้าข่ายว่า อาจจะปลอมครับ ซึ่งนี่คือสายรายงานไม่ถึงท่านศาสดา เพราะตัวฮะดีษ อ้างว่า ท่านศาสดา ทำแบบนั้น บอกแบบนี้ ยอมรับเรื่องนั้น แต่กลับไม่มีสายสืบไปถึง คนละเรื่องกับฮะดีษ ที่ แมทท์ นำมาอ้างเพื่อลดความน่าเชื่อถือของฮะดีษ เพราะฮะดีษที่แมทท์นำมา เป็นฮะดีษประเภท ฮะดีษเมากูฟ ครับคือเป็นความเห็นของซอฮาบะห์ (สหายของท่านศาสดา) ไม่ได้อ้างถึงการยอมรับของท่านนบี ดังนั้น รายงานนี้ จึงเป็นฮะดีษที่น่าเชื่อถือ แต่ ไม่ใช่ฮะดีษ หรือการยอมรับของท่านนบีนั่นเอง ผมก็ไม่ทราบแมทท์จะเอามาทำไมนะครับ เอาล่ะ เรามาดูดีกว่าว่า ว่าฮะดีษ เมากูฟคืออะไร ตอนที่ 26 ฮะดีษเมากูฟ วัน Wednesday 21 Mar 07 @ 03:18 หัวข้อ: อุลูมุ้ลฮะดีษ เรายังอยู่ในประเด็นของการอ้างถึงแหล่งที่มาของฮะดีษ ซึ่งท่านได้ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ฮะดีษบทใดที่อ้างถึงท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จะถูกเรียกว่า ฮะดีษมัรฟัวอ์ และเช่นเดียวกัน ฮะดีษบทใดที่อ้างถึงคำพูดหรือการกระทำของศอฮาบะห์ จะถูกเรียกว่า مَوْقُوْفٌ “ฮะดีษเมากูฟ” ซึ่งเป็นฮะดีษที่สายรายงานสุดแค่ศอฮาบะห์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำของศอฮาบะห์ที่ท่านนบีมิได้รับทราบด้วย ฮะดีษเมากูฟยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า أَثَرٌ “อะษัร” มีความหมายว่า ร่องรอย โดยบรรดานักวิชาการด้านฮะดีษและฟิกฮ์ มักจะเรียกฮะดีษที่สืบถึงท่านนบีว่า “มัรฟัวอ์” หรือ “ค่อบัร” และเรียกฮะดีษที่สืบถึงศอฮาบะห์ว่า “เมากูฟ” หรือ “อะษัร” ตัวอย่างตำราฮะดีษที่นักวิชาการได้รวบรวมไว้โดยจำแนกประเภทฮะดีษระหว่าง ฮะดีษมัรฟัวอ์ (ค่อบัร) กับฮะดีษเมากูฟ (อะษัร) เช่นหนังสือชื่อ معرفة السنن والآثار ของท่านอิหม่ามบัยฮาบีย์ เป็นต้น ในการเรียกฮะดีษที่สืบถึงศอฮาบะห์ว่า “เมากูฟ” หรือ “อะษัร” นั้นเป็นการเรียกโดยพิจารณาถึงแหล่งที่มาเพียงอย่างเดียว โดยยังไม่ได้พิจารณาความถูกต้องของสายรายงาน,ตัวผู้รายงาน หรือเนื้อหาของฮะดีษ เพราะฉะนั้น ฮะดีษเมากูฟ หรือ อะษัร ที่สืบถึงแค่ระดับศอฮาบะห์นี้ อาจจะศอเฮียะห์ (ดีเลศ) ฮะซัน (ดีพอใช้ได้) ฏออีฟ (อ่อน) หรือเมาฏัวอ์ (เก้) ก็อาจเป็นได้ ตัวอย่างฮะดีษเมากูฟ عَنْ جَرِيْرِ بْنِ عَبْدِ اللهِ البَجَلِيِّ قَالَ كُنَّا نَرَى الاجْتِمَاعَ اِلَى أهْلِ المَيِّتِ وَصَنْعَةَ الطَعَامِ مِنَ النِيَاحَةِ “ท่านญะรีร บินอับดิลลาฮ์ อัลบะญะลีย์ รายงานว่า พวกเราเห็นว่าการรวมตัวกันที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตและการทำอาหาร (ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต) เป็นส่วนหนึ่งจากนิยาหะฮ์” สุนันอิบนิมาญะห์ ฮะดีษเลขที่ 1601 หมายเหตุ นิยาหะฮ์ คือพิธีกรรมไว้ทุกข์แบบญาฮิลียะฮ์ หวังว่าจะเข้าใจนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 20:54:40

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนการให้ความเห็นของซอฮาบะห์ (สหายของท่านนบี) อาจจะแย้งกันได้ เพราะมนุษย์นั้น ไม่มีใครไม่เคยทำผิดนะครับ นอกจากบรรดานบี หรือศาสดาของพระเจ้าทั้งหลาย ฮะดีษบางอย่างจึงไม่ใช่ว่าจะเป็นหลักในศาสนาได้เลยทันที ตัวอย่าง ที่มีการแย้งกันในความเห็น ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นฮะดีษด้วย قَالَ حُذَيْفَةُ لِعَبْدِ اللهِ يَعْنِي ابْنَ مَسْعُوْدٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ مررتُ عَلى أُنَاسٍ عَكُوف بَيْنَ دَارِكَ وَدَارِ أَبِِي مُوْسَى وَقَدْ عَلِمْتَ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لاَ اِعْتِكَافَ اِلاَّ فِي المَسْجِدِ الحَرَامِ أو قَالَ فِي المَسْجِدِ الثَلاَثَةِ فَقَالَ عَبْدُ اللهِ لَعَلَّكَ نَسِيْتَ وَحَفِظُوا وَأخْطَأْ تَ وَأَصَابُوا “ท่านฮุซัยฟะห์ได้กล่าวแก่อับดุลลอฮ์ หมายถึง อิบนิมัสอู๊ดว่า ฉันได้ผ่านผู้คนที่ทำการเอียะอ์ติกาฟ (ในมัสยิด) ระหว่างบ้านของท่านกับบ้านของอบีมูซา ทีจริงแล้วท่านก็ทราบว่า ท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า ไม่มีการเอียะอ์ติกาฟนอกจากในมัสยิดฮะรอม หรือในสามมัสยิดเท่านั้น ท่านอับดุลลอฮ์ได้ตอบว่า หวังว่าท่านอาจจะหลงลืมแต่พวกเขาจดจำมาก็ได้ หรือว่าท่านจะผิดแต่พวกเขาถูกก็เป็นได้” บันทึกโดยท่านอิหม่ามบัยฮะกีย์ แสดงให้เห็นว่า สหายของท่านศาสดาหรือเรียกว่าซอฮาบะห์นั้น ก็มีการแย้งกันได้ สรุปแล้ว ฮะดีษซอเฮียะห์นั้น ต้องดูด้วยว่า ฮะดีษจากใคร คำว่าซอเฮียะห์ (ดีเลิศ) นั้น ดูที่สายรายงานว่า ไปถึงผู้กล่าวไว้ จริงหรือเปล่า ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ ผู้พูดนั้นพูดจะถูกต้องเสมอ ถ้าผู้พูดนั้นไม่ใช่ศาสดาครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 21:00:31

ความคิดเห็นที่ 13 สงสัยอะไรก็ถามนะครับ ถ้าตอบได้จะตอบ ตอบไม่ได้จะถามมาให้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 21:01:50

ความคิดเห็นที่ 14 อ่อ ต่ออีกหน่อยนะครับ เมื่อพูดถึงฮะดีษลิงแล้ว ฮะดีษมั๊กตัวอ์  مَقْطُوْعٌ  หมายถึงฮะดีษที่สืบถึงแค่คนในระดับตาบีอีน คือคนที่ทันยุคศอฮาบะห์ แต่ไม่ทันได้พบหรือเห็นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เช่นท่านมุญาฮิด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของศอฮาบะห์ที่ชื่อ อิบนิอับบาส หรือเช่นนักวิชาการในยุคตาบีอีนที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้แก่ ท่านฮะซัน อัลบัศรีย์ เป็นต้น สถานะของฮะดีษมั๊กตัวอ์                 ฮะ ดีษบทใดที่ถูกเรียกว่าฮะดีษมั๊กตัวอ์นั้น เป็นเพียงการให้ชื่อในด้านการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาเท่านั้น โดยยังไม่ได้พิจารณาถึงความถูกต้องของสายรายงาน,ตัวผู้รายงาน,หรือเนื้อหา ของฮะดีษ ฉะนั้นฮะดีษมั๊กตัวอ์ที่ท่านพบอาจจะอยู่ในสถานะ ศอเฮียะห์,ฏออีฟ,หรือเมาดั๊วอ์ ก็เป็นได้                 จะอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบสถานะของฮะดีษมักตัวอ์แล้วพบว่าอยู่ในสถานะ ศอศอเฮียะห์ ก็มิอาจนำมาอ้างเป็นหลักฐานทางศาสนาได้ เพราะถือเป็นคำพูดและการกระทำของคน คนหนึ่งเท่านั้น ซึ่ง เรื่องลิง ที่ขว้างลิงอีกตัวนึงด้วยหินนั้น นักวิชาการได้ให้ทัศนะไว้ดังนี้ครับ ท่านอิบนุหะญัร อุลามาอ์นามอุโฆษผู้ทำการอธิบายหะดีษบุคอรีได้กล่าวว่า هذه الرواية ـ كما هو ظاهر ـ ليست من كلام النبي صلى الله عليه وسلم ، ولا كلام أحد من أصحابه رضي الله عنهم รายงานเหล่านี้ตามที่ได้ปรากฏไปนั้นมิได้เป็นสิ่งที่มาจากคำพูดของท่านรอซูล ศ็อลฯ และมิใช่คำพูดของศอฮาบะฮฺ รอฎิฯท่านหนึ่งท่านใดเลย (หนังสือ ตะฮฺซีบุตตะฮฺซีบ เล่ม 8 หน้า 11) ท่านอิบนุกุตัยบะฮฺได้กล่าวไว้ว่า إن حديث القرود ليس عن رسول الله صلى الله عليه وسلم ، ولا عن أصحابه ، وإنما هو شيء ذكر عن عمرو بن ميمون แท้ จริงหะดีษเรื่องลิงนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่มาจากท่านรอซูล ศ็อลฯ และไม่ใช่จากบรรดาซอฮาบะฮฺ แต่แท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่เป็นเพียงคำกล่าวจากท่านอัมรฺ บินมัยมูน เท่านั้น (หนังสือ ตะอฺวีลมุคตะลิฟุลหะดีษ หน้าที่ 255) ฮะดีษเรื่องนี้ เป็นคำกล่าวของบุคคลหนึง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่มาจากท่านนบี หรือจากสหายของท่าน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 21:11:32

ความคิดเห็นที่ 15 อืม อายะห์ 11:5  แปลว่า ให้ถ่าย ให้มีเซ็กกลางแจ้ง  พวกนับถือฮะดิษนี่เทพจริงๆ คิดไปได้อย่างไร อัลกุรอานเสียหายหมด แย่ๆ ขอบคุณแมทท์สำหรับความรู้ครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 03:56:24

ความคิดเห็นที่ 16 นี่แหละครับ การแปลแบบมักง่าย ของคนมักง่าย ทั้งๆที่บอกไปแล้วว่านี่เป็นความเห็นหนึ่ง เพราะนี่ไม่ใช่ฮะดีษของท่านนบี และในความเป็นจริงแล้ว ก็มีการอรรถาธิบาย มากกว่านี้ เช่น ในกุรอ่านแปลไทย 11:5. พึงรู้เถิด แท้จริงพวกเขาปกปิดความลับในทรวงอกของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซ่อนความความเป็นศัตรูจากพระองค์ พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมตัวนั้น พระองค์ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก (*1*) (1)  อิบนุอับบาส กล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับ “อัลอัคนัส อิบนุชะรีก” โดยเฉพาะ เพราะเมื่อครั้งที่เขานั่งยู่กับท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เขาจะสาบานว่า เขานั้นรักท่านร่อซูลุลลอฮฺ ในขณะเดียวกันเขาก็ซ่อนความเป็นศัตรูเอาไว้ เกรียนก็คือเกรียนวันยังค่ำ อ่านจับใจความยังไม่ได้เลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 06:14:31

ความคิดเห็นที่ 17 ก็นั่นนะสิครับ  เราต้องแยกแยะฮาดิสด้วยว่าเป็นคำพูดของใคร  ถึงแม้จะเป็นระดับซอเฮียะห์ก็ตาม   ก็ถ้านาย ก. มีความเห็นว่า โองการนี้ควรตีความอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องของนาย ก. สิครับไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย   แต่ถ้านบีบอกว่า โองการนี้มันเป็นอย่างนี้นะ  ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะว่าไป คุณCarroth นี่ทำให้ผมมีความรู้เยอะขึ้นมากเลยละครับ พยายามต่อไปนะครับ  เห็นแล้วเหนื่อยแทน จากคุณ : mage_mann เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 08:44:28

ความคิดเห็นที่ 18 แคโรท อธิบายว่า, ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 บทนี้ ว่าเป็น“หะดีษศอหี้หฺ์” ได้ ด้วยสายรายงาน , แต่ฮะดีษนี้ไม่ ใช่ฮะดีษจากนบี “  การที่ผมนำเอาฮาดีษ บทนี้มาเป็นตัวอย่างในกระทู้นี้, ไม่ใช่ด้วย เหตุผลที่ฮาดีษนี้จะเป็น “ ศอหี้หฺ ” หรือไม่, แต่ฮาดีษนี้ถูกนำมา อ้างเพื่อแสดงให้เห็น ว่า ผู้รายงาน ฮาดีษ รวมทั้ง ผู้รวบรวม ฮาดีษ ขาดคุณธรรมและ ความ ซื่อสัตย์ต่อ ตนเอง, ต่อ สังคมมุสลิม และ ต่อ อิสลาม  และแสดงให้เห็นว่าขบวนการตรวจสอบและ การกลั่นกรอง ฮาดีษ ที่แท้จริงนั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียง พอ ที่จะพิสูจน์ ความแท้จริง ของ ฮาดีษบทใดๆได้ ตามขบวนการ ตรวจสอบฮาดีษนั้น โดยเฉพาะ หะดีษศอหี้หฺ, หะดีษที่จะเป็นหะดีษศอหี้หฺ จะต้องมี  คุณสมบัติ อย่างย่อๆห้า ประการข้างล่างนี้ อย่างครบถ้วน 1.มีสายรายงานติดต่อกันไม่ขาดตอน 2.ผู้รายงานทุกคนมีคุณธรรม 3.ผู้รายงานทุกคน มีความจำดีเลิศ 4.ไม่ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า 5.ไม่มีความบกพร่องอันซ่อนเร้นใดๆในหะดีษ ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ เป็นเรื่องเล่า “ยกเมฆ”,    ฮาดีษเช่นนี้มีอยู่ใน การรวบรวม ของ อีมามบุคอรี จำนวนมาก, เนื่องจาก หะดีษสามารถรายงานด้วยความหมายได้ตามเงื่อนไขที่ มุหัดดิษีน(ปราชญ์หะดีษ)วางไว้เป็นแนวทาง ซึ่งสามารถที่ จะใช้ ฮา ดีษ บทใดๆก็ได้ ที่มีใจความ คล้ายๆ กันหรือตรงกันข้าม มาสนับสนุน และลบล้างความหมาย ของกันและกัน,  ตามแต่วัตถุประสงค์ ใน การใช้ (Cherry Picking) คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ เป็นผู้รายงาน ให้เราทราบ, ไม่ใช่ทั้ง นายมูฮัมมัด บิน อับบัด บิน ญา อะฟัรฺ และนาย อิบนุ อับบาส,  ส่วนคุณสมบัติ ข้ออื่นนั้น สำหรับฮา ดีษบทนี้ ไม่ต้องนำมาอ้างเลย เพราะเป็นเรื่อง “ยกเมฒ”  ตามที่กล่าว แล้ว  คุณเห็นด้วยหรือไม่?    ที่ว่า รายงานเพียงคนเดียว คือ อีมามบุคอรีเนื่องจากว่า เรื่อง นี้ "กุดทั้งหัวและท้ายฮาดีษ" เป็นเรื่องที่อุปโลกขึ้นมา เพื่อความบันเทิง และ ล้อเลียน "อัลกุรอาน" บัญญัติที่ 11:5   จุดสำคัญของฮาดีษ บทนี้   อยู่ที่การอธิบายอัลกุรอาน ซึ่งเป็นบัญ ญัติของพระเจ้าของนาย อับบาส, ซึ่งอธิบาย ไปในทางตรงกันข้ามกับ ความหมายที่ถูกต้องของตัวบัญญัติ 11:5 ถ้าฮาดีษบทนี้  ไม่มี  บัญญัติอัลกุรอาน  11:5 มาเกี่ยวข้องแล้ว ก็จะ เห็นว่าเป็นเรื่องของ “การเล่าเรื่องชวนหัว,ตลกหลอกบรรดา ปราชญ์ แห่งอิสลาม” ให้แก้ผ้ากันโท่งๆ กลางทะเลทราย เท่านั้น   การเอาตัวบัญญัติอัลกุราอาน มาเล่าเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นนี้, เป็น การส่อเจตนาไปทางทุจจริตโดยเปลี่ยนแปลง ข่าวสารจากพระเจ้า เพื่อให้มุสลิมไข้วเขวไป จากแนวทาง ของพระองค์, ฮาดีษ ที่ขาด ความเป็นจริง เช่นนี้ ไม่สมควรที่จะนำมารวมไว้ ในหลักการของอิสลาม   จากบัญญัติที่11:5 ที่ คุณนำมานั้น: 11:5. พึงรู้เถิด แท้จริงพวกเขาปกปิดความลับในทรวงอกของพวก เขา เพื่อพวกเขาจะซ่อนความความเป็นศัตรูจากพระองค์ พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมตัวนั้น พระองค์ทรงรู้ สิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์เป็นผู้ ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก (*1*)   (1)  อิบนุอับบาส กล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับ “อัล อัคนัส อิบนุชะรีก” โดยเฉพาะ เพราะเมื่อครั้งที่เขานั่งยู่กับท่านร่อ ซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เขาจะสาบานว่า เขานั้นรัก ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ในขณะเดียวกันเขาก็ซ่อนความเป็นศัตรูเอาไว้   คุณ แคโรธ อธิบายว่า “นี่เป็นการให้ความเห็น อีกแบบนึงในเรื่อง เดียวกัน”  ซึ่งหมายความว่า คุณแคโรท บอกว่า นาย อิบนุ อับบาส นี้  อธิบายอัลกุรอาน บัญญัติ ที่ 11:5 ใน สองความหมายคือ (1).พระเจ้ายอมให้ เปิดเผย ของสงวน (เอาเราะห์)ได้ เนื่องจากจะ ปกปิดอย่างไรก็ตาม พระเจ้าย่อมทรงเห็นได้ (จากตัวฮาดีษ 203) (2).หมายถึง การบอกแก่   “มูนาฟิกีน”  คนสับปรับ  ว่า พระเจ้าทรง รอบรู้ความในใจของพวกเขา (จาก ฟุตโนท#1) การอธิบายใน (1)   นั้น  เอาคำเปรียบเทียบ  ในบัญญัติมาอธิบาย ให้เข้าใจว่า เป็นเนื้อหาความหมายที่แท้จริงของบัญญัติ, ว่าถูกส่งลงมาสำ หรับ บรรดาผู้ที่ นั่งถ่ายทุกข์และ ร่วมเพศกับภรรยาในที่แจ้ง โดยเฉพาะ (2)    อธิบายว่าการลงบัญญัตินี้มา เพื่อบอกแก่ ศัตรู โดยเฉพาะ ว่า “อย่านึกว่าพระเจ้าไม่รู้สิ่งที่พวกเขาซ่อนเร้น” อะไรคือสิ่งที่ นายอิบนุอับบาส สมควรที่จะต้องอธิบายใน 11:5?   พระเจ้าสอนให้เราทราบจากอัลกุรอานว่า  “บัญญัติ จากอัล กุรอาน มี WISDOM แฝงอยู่ในเนื้อหา ของบัญญัติ”   WISDOM ของบัญญัติที่ 11:5 นี้ก็คือ “ผู้ศรัทธาที่แท้จริงต่อพระ เจ้า จะต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อตรง, จริงใจและไม่กลับกลอก, ทั้งนี้ เพราะว่าทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เราซ่อนเร้นจะถูกเปิดเผยต่อหน้าพระ เจ้า ในวันตัดสิน” พระเจ้าประทานบัญญัติ 11: 5 นี้ ลงมาสำหรับมนุษยชาติ และ ผู้ศรัทธาทุกๆคน ไม่จำกัดอยู่ใน บุคคลหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มได้โดย เฉพาะดั่ง เช่นคำอธิบายของ นายอับบาส จาก (1) และ (2), การเข้าใจ WISDOM ของอัลกุรอาน ขึ้นอยู่กับสติปัญญา และ ความสามารถ ของ ผู้ศึกษา อัลกุรอานในการเชื่อมโยง จุดสำ คัญ ของบัญญัติต่างๆอย่างมีเหตุผล ในรูปแบบของคำอธิบาย การบิดเบือนความหมายของบัญญัติในอัลกุรอาน ถ้ากระทำโดย ซอฮาบะห์ หรือ อีมาม มีผลกระทบกระเทือน อย่างยิ่งต่ออิสลาม (ซึ่งจะอธิบายต่อไป) เพราะบุคคลกลุ่มนี้ อยู่ใน กลุ่มบุคคลที่ อธิบาย อัลกุรอาน และ ความหมายของ ฮาดีษ ให้ นาย “ค” ฟัง ซึ่งนาย “ค” ไม่ได้ใช้สติปัญญา พิจารณา ความแท้จริง ของ เรื่อง ราวที่เขาได้ยิน ก็ เชื่อและนำมาปฏิบัติตาม ตามธรรมชาติของ นาย “ค” เช่น ในเรื่องการลง โทษ ด้วยการปาด้วยหิน จนตาย แต่ถ้าเป็นนาย “ก" หรือ นาย "ข” กระทำ ย่อมไม่มีผลกระทบกระ เทือนมาก ต่อสังคม มากนัก  แต่ว่า นาย "ก" หรือ นาย "ข" จะ ต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขาต่อพระเจ้า แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 10:20:42 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 08:42:22 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 08:38:30

ความคิดเห็นที่ 19 คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ เป็นผู้รายงาน ให้เราทราบ, ไม่ใช่ทั้ง นายมูฮัมมัด บิน อับบัด บิน ญา อะฟัรฺ และนาย อิบนุ อับบาส,  ส่วนคุณสมบัติ ข้ออื่นนั้น สำหรับฮา ดีษบทนี้ ไม่ต้องนำมาอ้างเลย เพราะเป็นเรื่อง “ยกเมฒ”  ตามที่กล่าว แล้ว  คุณเห็นด้วยหรือไม่? คนที่มันมั่ว ยังไงมันก็ยังมั่วครับ สายรายงานมีเพียงคนเดียว? คืออิหม่าม บุคอรี? คุณไม่รู้เหรอครับว่า ท่านอิหม่ามบุคอรี ไม่ใช่ผู้รายงานฮะดีษ แต่เป็นผู้รวบรวม ดังนั้น ฮะดีษ จึงเป็นฮะดีษของท่าน Ibn Abbas  ที่รายงานโดย Muhammed bin Abbad bin Jaafar  ครับ ไม่ใช่รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี เท่านี้ก็ทราบแล้วครับว่า การตีขลุม โมเมของแมทท์ นอกจากจะจงใจบิดเบือนแล้ว มันยังมจากความไม่มีความรู้ในศาสนาของแมทท์เองอีกต่างหาก การที่บอกว่า ท่านอิหม่ามบุคอรีเป็นผู้รายงานเดียวนั้น มันจึงเป็นการสรุปที่เรียกได้ว่า มั่วนิ่มโดยสิ้นเชิงครับ ส่วนการอธิบาย กุรอ่านของ แมทท์นั้น เป็นการอธิบายตามใจตัวเองครับ ไม่มีพื้นฐานอยู่กับอะไร ใครๆ ก็อธิบายเรื่องแบบนี้ได้ครับ ถ้ามีหลักการแค่ว่าพูดให้ดูดี เอาใจคนอื่น ก็เท่านั้น ซึ่งก็ตรงกับ โองการนี้ 6:116. และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอาเอง และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น แค่คำถามคำถามเดียวว่าฮะดีษ ซอเฮียะห์ไหนไม่มีสายสืบยังบอกไม่ได้ แล้วจะมาอธิบายกุรอ่าน เอาแบบนี้ดีกว่า ผมจะถามคุณอีกครั้ง ฮะดีษซอเฮียะห์ ที่คุณบอกว่าไม่มีสายสืบเนี่ยฮะดีษไหน? คุณจะยืนยันว่าเป็นฮะดีษนี้ใช่หรือไม่ ผมจะได้นำไปถามหาสายรายงานมา แต่ที่แน่ๆ ผู้รายงานฮะดีษนี้ ไม่ใช่ท่านอิหม่ามบุคอรีครับ เพราะอิหม่ามบุคอรี คือผู้บันทึกฮะดีษ ไม่ใช่ผู้รายงาน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 11:47:00

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านซะนะ ไม่มีใครเขาบอกหรอกครับว่า อิหม่ามบุคอรีคือผู้รายงานฮะดีษ แต่ท่านจะเป็นผู้คัดกรองฮะดีษจากสายรายงานต่างๆ แล้วค่อยรวบรวมไว้ในบันทึกของท่าน อิหม่ามบุคคอรี  ชื่อ มูฮัมหมัด บุตรของ อิสมาอีล บุตรของ อิบรอฮีม บุตรของ มุฆีเราะห์ ท่านได้รับฉายาว่า อบูอับดิลลาห์ เกิดที่เมืองบุคคอรอ ในปีที่ 256 ฮิจเราะห์ศักราช ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั้งหลายจึงได้ขนานนามท่านว่า อิหม่ามแห่งเมืองบุคคอร หรืออิหม่ามบุคคอรี นั่นเอง      ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแวดวงนักวิชาการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการบันทึกฮะดีษ เนื่องจากท่านมีความละเอียด รอบคอบเป็นอย่างมาก จนเป็นที่ไว้วางใจในหมู่นักวิชาการ โดยท่านได้สืบค้นและรับรายงานฮะดีษเป็นจำนวนมาก (กล่าวกันว่าเป็นจำนวนแสนๆบท) แต่ได้คัดเฉพาะที่ถูกต้องและชัดเจนรวบรวมไว้เพียงจำนวน 6,000 ฮะดีษเท่านั้น ซึ่งบันทึกฮะดีษของท่านนี้รู้จักกันในนาม “อัลญามีอุสศอเฮียะห์” หรือเรียกกันติดปากว่า “ศอเฮียะห์บุคคอรี” นั่นเอง               ท่านอิหม่ามบุคคอรีได้ใช้เวลาในการรวบรวมและบันทึกเป็นเวลา 16 ปี โดยก่อนที่ท่านจะทำการบันทึกฮะดีษแต่ละบทนั้น ก็จะเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำละหมาด และละหมาดซุนนะห์ 2 รอกอะห์ก่อน บางท่านกล่าวว่า สถานที่ที่อิหม่ามบุคคอรีได้ทำการบันทึกฮะดีษนั้น คือ ช่วงระหว่างมิมบัร และสุสานของท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม                ทั้งๆที่ บันทึกฮะดีษของท่านอิหม่ามบุคคอรี มาหลังจากบันทึกฮะดีษที่ชื่อ มุวัตเฎาะอ์ของท่านอิหม่ามมาลิกก็ตาม แต่ก็ถูกจัด ให้เป็นลำดับที่ 1 ในบันทึกฮะดีษศอเฮียะห์ ทั้งนี้เพราะ มุวัตเฎาะอ์ของอิหม่ามมาลิกนั้น ยังมีฮะดีษประเภท มุรซัล และ มุงกอเฎียะอ์ (มุรซัลและมุงกอเฎียะอ์เป็นประเภทหนึ่งของฮะดีษฎออีฟ) รวมถึงคำฟัตวาของเหล่าตาบีอีนในด้านฟิกฮ์ปะปนอยู่ด้วย แต่ในบันทึกของ ท่านอิหม่ามบุคคอรี จำนวนกว่า 6,000 ฮะดีษนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฮะดีษในระดับศอเฮียะห์ทั้งสิ้น อนึ่ง : แม้ว่าฮะดีษในศอเฮียะห์บุคคอรี จะเป็นฮะดีษที่แข็งแรงก็ตาม แต่การใช้อ้างเป็นหลักฐานนั้นต้องพิจารณาเหตุที่มา และเป้าหมายของฮะดีษด้วย มิเช่นนั้นแล้ว จะเป็นการนำไปอ้างผิดเรื่องผิดประเด็นและผิดวัตถุประสงค์ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=2435.0 อ่านแล้วก็ให้สังเวชใจ การรายงาน กับการบันทึกต่างกันยังไง ยังไม่รู้ แล้วจะมาวิจารณ์ฮะดีษ? ไม่ได้เจียมตัวอะไรเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 11:49:20

ความคิดเห็นที่ 21 เรียนถามท่านผู้รู้อิสลาม ความคิดเห็นที่ยอมรับ หรือ ไม่ยอมรับ ฮาดีษ นี้ เป็นความแตกต่างเล็กๆน้อย หรือความเห็นแตกต่างในระดับ แยกเป็นนิกายหรือเปล่าครับ อีกประการที่กล่าวว่า 4.ไม่ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า =================== เป็นนฮะดีษในระดับศอเฮียะห์ทั้งสิ้น =================== จึงอยากเรียนถามการแบ่งแยกระดับของ ฮะดีษ ว่าแบ่งแยกอย่างไรครับ อีกประการ ถามท่าน Carroth อยากทราบประวัติของท่าน อิหม่ามบุคคอรี  ไม่ทราบมีประวัติที่เป็นภาษาไทยไหมครับ ขอรบกวนอีกนิด หุหุ ผมเห็น หนังประวัติของศาสดาของท่านใน youtube ไม่ทราบพวกท่านได้เคยดูไหม คือ อยากทราบว่าทำได้ถูกต้องตามข้อเชื่อของพวกท่านไหม เพราะถ้าทำได้ดีและถูกต้อง ผมก็อยาก d/l มาศีกษาดู ขอขอบคุณทั้ง สองฝ่ายนะครับ ผมได้ความรู้เพิ่ม ได้มุมมองมากขึ้น ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 12:14:56

ความคิดเห็นที่ 22 ผมรู้ละว่า แมทท์ไปเอา คำว่า ท่านอิหม่ามบุคอรี รายงานฮะดีษมาจากไหน น่าจะเป็นอันนี้ ตัวอย่างหะดีษศอหี้หฺ ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ได้ รายงานหะดีษบทหนึ่งไว้ในตำราหะดีษศอหี้หฺของท่านดังนี้ حَدَّثَنَا آدَمُ بْنُ أَبِي إِيَاسٍ قَالَ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَبِي السَّفَرِ وَإِسْمَاعِيلَ بْنِ أَبِي خَالِدٍ عَنْ الشَّعْبِيِّ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: الْمُسْلِمُ مَنْ سَلِمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ وَالْمُهَاجِرُ مَنْ هَجَرَ مَا نَهَى اللَّهُ عَنْهُ “มุสลิม คือผู้ที่ไม่รังแกบรรดาพี่น้องมุสลิมด้วยลิ้นและมือของเขา และอัลมุฮาญิรฺ (ผู้อพยพ) คือผู้ที่อพยพจากสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงห้าม หะดีษบทนี้เป็นหะดีษที่ศอ หี้หฺเนื่องจากมีคุณสมบัติห้าประการครบถ้วน คือ 1. มี สายรายงานติดต่อกันไม่ขาดตอน 2. ผู้ รายงานทุกคนมีคุณธรรม 3. ผู้ รายงานทุกคน มีความจำดีเลิศ 4. ไม่ ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า 5. ไม่ มีความบกพร่องอันซ่อนเร้นใดๆในหะดีษ จากเว็บนี้ http://www.muslimtonko.com/index.php?option=com_content&view=article&id=77%3Ahadis-km&catid=48%3Aarticles-deen&Itemid=27&lang=th ซึ่งความจริง นั่นไม่ใช่การรายงาน ฮะดีษครับ แต่เป็นการบันทึก เพราะการรายงานจะเป็นแบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 16:37:10

ความคิดเห็นที่ 23 จริงๆ ถ้าเปิดหนังสือแล้วเจอฮะดีษ เขาจะบอกแบบนี้ครับ ความประเสริฐของเดือนเราะมะฎอน จากอะบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้กล่าวว่า «إذَا دَخَلَ رَمَضَانُ فُتِـحَتْ أَبْوَابُ السَّمَاءِ، وَغُلِّقَتْ أَبْوَابُ جَهَنَّمَ، وَسُلْسِلَتِ الشَّيَاطِينُ»، وفي لفظ: «فُتِـحَتْ أَبْوَابُ الجَنَّةِ». ความว่า “เมื่อเข้าเดือนเราะมะฎอน ประตูต่างๆของฟากฟ้าจะถูกเปิด ประตูต่างๆของนรกจะถูกปิดลง อีกทั้งชัยฏอน(มารร้าย)จะถูกพันธนาการ” ในเนื้อหาหะดีษอีกบทหนึ่งกล่าวว่า “ประตูสวรรค์จะถูกเปิดขึ้น” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษที่ 1898 และ 1999 และมุสลิม หะดีษที่ 1079 สำนวนเป็นของอัลบุคอรีย์) ตัวอย่าง ที่คนที่เคยอ่าน จะรู้ครับว่า เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ ฮะดีษรายงานโดย อิหม่าม ท่านนั้น ท่านนี้คนเดียว ไม่สายรายงาน อันนั้นอย่าว่าแต่จะมาใส่ ฮะดีษซอเฮียะห์ (ดีเลิศ) ฮะดีษฎออีฟ (สายรายงานอ่อน) ก็ยังไม่น่าจะได้บันทึกไว้ มั่วไม่มั่วก็อ่านเอาเองละกัน แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 16:43:11 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 16:42:38

ความคิดเห็นที่ 24 ส่วน ระดับฮะดีษนั้น หะดีษศอหี้หฺصحيح คือ หะดีษที่มีสายรายงานติดต่อกันอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ต้นสายจนถึงปลายสาย โดยผู้รายงานแต่ละคนต้องเป็นผู้มีคุณธรรม มีความจำเป็นเลิศ หะดีษนั้นต้องไม่ขัดแย้งกับผู้สายรายงานอื่นที่น่าเชื่อ ถือกว่า และไม่มีความบกพร่องที่ซ่อนเร้น ตัวอย่างหะดีษศอหี้หฺ ท่านอิมามอัลบุคอรีย์ได้ รายงานหะดีษบทหนึ่งไว้ในตำราหะดีษศอหี้หฺของท่านดังนี้ حَدَّثَنَا آدَمُ بْنُ أَبِي إِيَاسٍ قَالَ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَبِي السَّفَرِ وَإِسْمَاعِيلَ بْنِ أَبِي خَالِدٍ عَنْ الشَّعْبِيِّ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: الْمُسْلِمُ مَنْ سَلِمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ وَالْمُهَاجِرُ مَنْ هَجَرَ مَا نَهَى اللَّهُ عَنْهُ “มุสลิม คือผู้ที่ไม่รังแกบรรดาพี่น้องมุสลิมด้วยลิ้นและมือของเขา และอัลมุฮาญิรฺ (ผู้อพยพ) คือผู้ที่อพยพจากสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงห้าม หะดีษบทนี้เป็นหะดีษที่ศอ หี้หฺเนื่องจากมีคุณสมบัติห้าประการครบถ้วน คือ 1. มี สายรายงานติดต่อกันไม่ขาดตอน 2. ผู้ รายงานทุกคนมีคุณธรรม 3. ผู้ รายงานทุกคน มีความจำดีเลิศ 4. ไม่ ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า 5. ไม่ มีความบกพร่องอันซ่อนเร้นใดๆในหะดีษ ตำรารวบรวมหะดีษศอหี้หฺ นัก ปราชญ์หะดีษคน แรกที่รวบรวมหะดีษที่ศอหี้หฺเป็นตำรา คือ ท่านอิมาม มุฮัมหมัด บิน อิสมาอีล อัลบุคอรีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 194-256) ตำราหะดีษของท่านมีชื่อว่า المسند المختصر من حديث رسول الله صلى الله عليه وسلم وسننه وأيامه الجامع الصحيح หรือเรียกสั้นๆว่า ศอหี้หฺ อัล-บุคอรีย์ صحيح البخاري ต่อ มาท่าน อิมามมุสลิม บิน หัจญาจ(มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ.204-261) ศิษย์ของท่านอัลบุคอรีย์ได้รวบรวมหะดีษศอหี้หฺเป็นตำราอีก ซึ่งมีชื่อว่าศอหี้หฺมุสลิม صحيح مسلم ตำรา หะดีษของท่าน ทั้งสองถือว่าเป็นตำราที่ถูกต้องที่สุดหลังจากอัลกุรอาน นอกจากท่านทั้งสองแล้วยังมีปราชญ์คนอื่นๆที่พยายามรวบรวมหะดีษศอหี้หฺ เช่น อิบนุคุซัยมะฮฺ , อิบนุ หิบบาน เป็นต้น แต่ตำรา ของท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าตำราศอหี้หฺของ อิมามบุคอรีย์และมุสลิม อันนี้ฮะดีษ ดีเลิศนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 16:51:31

ความคิดเห็นที่ 25 หะดีษ หะสัน حديث حسن หะดีษหะสัน คือหะดีษที่มีสายรายงานติดต่อกันอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ต้นสายจนถึงปลายสาย โดยผู้รายงานต้องเป็นผู้มีคุณธรรม แต่สมรรถภาพการจำหย่อน (กว่าหะดีษผู้รายงานหะดีษศอหฺ) ไม่ขัดแย้งกับผู้สายรายงานอื่นที่น่าเชื่อถือกว่า และไม่มีความบกพร่องที่ซ่อนเร้น หะ ดีษหะสันมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับหะดีษศอหหฺ แต่จะต่างกันตรงที่สายรายงานบางคนมีความจำไม่ดีเลิศ เหมือนสายรายงานของหะดีษศอ้หฺ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน ข้อแตกต่าง ระหว่างหะดีษหะสันกับหะดีษศอหฺนั้น อยู่ที่การกำหนดเงื่อนไข ความจำของสายรายงาน หากสายรายงานมีความจำดีเลิศ ضبط تام ก็จัดอยู่ในระดับศอ ้หฺ ถ้าหากสายรายงานสมรรถภาพการจำหย่อนยาน قل ضبطه ก็จัดอยู่ในระดับหะสัน ตัวอย่างหะดีษหะสัน หะดีษที่บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ ในกีตาบุ้ล อะด๊าบ เลขที่ 2693 ว่า حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ حَدَّثَنَا بَهْزُ بْنُ حَكِيمٍ حَدَّثَنِي أَبِي عَنْ جَدِّي قَالَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ عَوْرَاتُنَا مَا نَأْتِي مِنْهَا وَمَا نَذَرُ قَالَ احْفَظْ عَوْرَتَكَ إِلَّا مِنْ زَوْجَتِكَ أَوْ مَا مَلَكَتْ يَمِينُكَ فَقَالَ الرَّجُلُ يَكُونُ مَعَ الرَّجُلِ قَالَ إِنْ اسْتَطَعْتَ أَنْ لَا يَرَاهَا أَحَدٌ فَافْعَلْ قُلْتُ وَالرَّجُلُ يَكُونُ خَالِيًا قَالَ فَاللَّهُ أَحَقُّ أَنْ يُسْتَحْيَا مِنْهُ قَالَ أَبُو عِيسَى: هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ وَجَدُّ بَهْزٍ اسْمُهُ مُعَاوِيَةُ بْنُ حَيْدَةَ الْقُشَيْرِيُّ.... ( أخرجه الترمذي برقم 2693 كتاب الأدب/ باب:ماجاء في حفظ العورة) ความหมายของหะดีษ (มุอาวิยะฮฺ บิน หัยดะฮฺ) กล่าวว่า “ฉันได้กล่าวถามท่านรอซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า เอาเราะฮฺของพวกเรานั้นเมื่อใดต้องปกปิด และเมื่อใดที่ถูกยกเว้น” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “จง ปกปิด เอาเราะฮฺของท่าน นอกเสียจากว่าเจ้าอยู่กับภรรยาหรือทาสีของเจ้า” เขาได้กล่าวอีกว่า “หากผู้ชายอยู่ต่อหน้าผู้ชายอีกคน ต้องปกปิดเอาเราะฮฺไหม” ท่านนบีตอบว่า “ถ้าหากว่าเจ้าสามารถที่จะปกปิดมิให้ใครเห็นมันแล้วก็จงทำ” เขาได้ถามอีกว่า “ถ้าหากเขาอยู่คนเดียวตามลำพังเขาต้องปกปิดเอาเราะฮฺหรือไม่”ท่านนบีตอบว่า “แท้จริงเขาควรละอายต่ออัลลอฮฺ มากกว่าตัวเขาเสียอีก” อบูอีซา (อัตติรมีซีย์) กล่าวว่า “หะดีษบทนี้เป็นหะดีษ หะสัน ปู่ของบะฮฺซฺ มีชื่อว่า มุอาวิยะฮฺ บิน หัยดะฮฺ อัล-กุชัยรีย์....” บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 2693/ กิตาบ อัล-อะด๊าบ/ บาบ เกี่ยวกับการปกปิดเอาเราะฮฺ หะ ดีษบทนี้เป็นหะดีษหะซัน เนื่องจากผู้รายงานทั้งหมดเป็นผู้เชื่อถือได้ทั้งสิ้น ثقة นอกจากบะฮฺซฺ บิน หะกีม เพราะนักวิจารณ์หะดีษได้จัดเขาอยู่ในระดับ เศาะดู๊ก صدوق( มีสัจจะ) แต่สายรายงานที่เขารายงานจากพ่อของเขา พ่อจากปู่ จัดอยู่ในระดับสุดยอดหะดีษหะซัน ประเภทของหะดีษ หะซัน หะดีษหะสันนั้นแบ่งออกเป็น สองประเภท ดังนี้ 1. หะดีษหะสัน ลิษฺาติฮฺ حسن لذاتهคือ หะดีษที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับหะดีษศอ หฺ แต่จะต่างกันตรงที่สายรายงานบางคนมีความจำไม่ดีเลิศ เหมือนสายรายงานของหะดีษศอ หฺ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลื่อนหรือหะดีษศอ หฺลิฆอยริฮฺ ตามที่ได้นิยามมาแล้ว ตัวอย่างหะดีษหะสัน ลิษฺาติฮฺ หะดีษที่บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ إِسْمَعِيلَ حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ حَدَّثَنَا الْحُسَيْنُ بْنُ وَاقِدٍ حَدَّثَنَا أَبُو غَالِبٍ قَال سَمِعْتُ أَبَا أُمَامَةَ يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثَلَاثَةٌ لَا تُجَاوِزُ صَلَاتُهُمْ آذَانَهُمْ الْعَبْدُ الْآبِقُ حَتَّى يَرْجِعَ وَامْرَأَةٌ بَاتَتْ وَزَوْجُهَا عَلَيْهَا سَاخِطٌ وَإِمَامُ قَوْمٍ وَهُمْ لَهُ كَارِهُونَ قَالَ أَبُو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ غَرِيبٌ مِنْ هَذَا الْوَجْهِ وَأَبُو غَالِبٍ اسْمُهُ حَزَوَّرٌ (أخرجه الترمذي برقم :328 كتاب الصلاة /باب فيمن أم قوما وهم له كارهون) ความ หมายของหะดีษ สามจำพวกที่การละหมาดของพวกเขานั้นเสียเปล่าคือ ทาสที่หนีจนกว่าเขาจะกลับมาหานายของเขา, สตรีที่นอนในสภาพที่สามีของนางไม่พอใจต่อนาง และคนที่เป็นผู้นำในการละหมาดแต่ผู้ตามนั้นรังเกียจในตัวเขา บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 328/ กิตาบ อัศ-เศาะลาฮฺ/ บาบ ผู้ทีเป็นอิหม่ามนำละหมาดในขณะที่มะอฺมูม(ผู้ตาม) รังเกียจตัวเขา หะ ดีษนี้เป็นหะดีษหะสันเนื่องจากผู้รายงานทั้งสี่ต่างก็เป็นผู้ที่เชื่อถือได้ นอกจากอะบูฆอลิบ เพียงคนเดียว เพราะนักวิจารณ์หะดีษระบุว่าเป็น เศาะดู๊กยุคติ صدوق يخطئ (มีสัจจะและมีความผิดพลาดในการรายงานหะดีษในบางครั้ง) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 17:00:42

ความคิดเห็นที่ 26 2. หะดีษหะซันลิฆอยริฮฺ  حسن لغيرهคือ หะดีษอ่อน(ฎออีฟ)แต่ได้รับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่น ซึ่งมีฐานะเดียวกันหรือเหนือกว่า จนสามารถเลื่อนฐานะเป็น หะสัน ลิฆอยริฮฺ ( เป็นหะสัน โดยมีสายรายงานอื่นมาสนับสนุน ) เงื่อนไขในการเลื่อนฐานะหะดีษ ฎออีฟเป็นหะสันลิฆอยริฮฺ ·       ผู้รายงานหะดีษนั้นต้องไม่ถูกระบุว่าเป็น กาซิบ كاذب (คนพูดโกหก) หรือฟาสิก فاسق  (ผู้ทำบาปใหญ่หรือบาปเล็กบ่อยๆ) ·       มีสายรายงานอื่นมาสนับสนุนซึ่งมีฐานะเดียวกันหรือเหนือกว่า ·       ต้องไม่เป็นหะดีษ ชาษฺ شاذ (ขัดแย้งกับสายรายงานที่เหนือกว่า)  ตัวอย่างหะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ   ท่านอิมามอัตติรมิซีย์ ได้บันทึกว่า حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ وَعَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ وَمُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ قَالُوا حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنْ عَاصِمِ بْنِ عُبَيْدِ اللَّهِ قَال سَمِعْتُ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَامِرِ بْنِ رَبِيعَةَ عَنْ أَبِيهِ أَنَّ امْرَأَةً مِنْ بَنِي فَزَارَةَ تَزَوَّجَتْ عَلَى نَعْلَيْنِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَرَضِيتِ مِنْ نَفْسِكِ وَمَالِكِ بِنَعْلَيْنِ قَالَتْ نَعَمْ قَالَ فَأَجَازَهُ ( أخرجه الترمذي برقم : 1031, كتاب النكاح/ باب: ماجاء من مهور النساء) ความหมายของหะดีษ  มีสตรีจากเผ่าฟะซาเราะฮนางหนึ่ง ได้แต่งงานโดยได้รับสินสอดเป็นรองเท้าหนึ่งคู่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่นางว่า เจ้ายินยอมที่แต่งงานด้วยสินสอดที่เป็นรองเท้าหนึ่งคู่หรือ นางตอบว่า ใช่ ดังนั้นท่านนบีจึงอนุญาตให้แต่งงานได้. บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 1031/ กิตาบ อัน-นิกาหฺ /บาบ เกี่ยวกับค่าสินสอดของสตรี * ข้อสังเกตุ อักษรที่พิมพ์ด้วยสีดำ คือ อิสน๊าดหรือสายรายงาน อักษรสีเขียวคือตัวบทหะดีษ ส่วนอักษรสีนำเงินคือ ที่มาของหะดีษ  จากตัวอย่างหะดีษข้างต้น พบว่าในสายรายงานนั้น มีจุดบกพร่องอยู่ที่ อาศิม บิน อุบัยดิลลาฮฺ عَاصِمِ بْنِ عُبَيْدِ اللَّهِ นักวิจารณ์หะดีษได้กล่าวถึงตัวเขาว่า เป็นผู้มีความจำอยู่ในขั้นเลว سؤ الحفظ  ดังนั้นสายรายงานที่มี อาศิมบิน อุบัยดิลละฮฺ รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นสายรายงานที่อ่อน    แต่เนื่องจากหะดีษนี้ยังมีกระแสรายงานอื่นอีกมาสับสนุนซึ่งได้แก่ กระแสของ ท่านอุมัร, อบูฮุรัยเราะฮฺ, สัหลฺ บิน สอัด, อบีสะอีด, อนัส, อาอิชะฮฺ, ญาบิร, และอบีหัดร็อด อัล-อัสละมีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุม      หะดีษนี้จึงได้เลื่อนฐานะจากฎออีฟ (อ่อน) ขึ้นเป็น หะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ จะ เห็นได้ว่า แต่ละฮะดีษ ละเอียดถึงขนาดบ่งบอกเลยว่า ผู้รายงานแต่ละคนเป็นอย่างไร มีคุณธรรม หรือไม่มีคุณธรรม ความจำดี ปานกลาง หรือแย่ การที่บอกว่า ฮะดีษ ศอเฮี้ยะห์ รายงานโดยอิหม่ามบุคอรีคนเดียว ไม่มีสายสืบจึงมั่วมากๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 17:00:58

ความคิดเห็นที่ 27 ต่อไปเป็นฮะดีษ ฏออีฟ ซึ่ง ท่านจะพบเลยว่า ฮะดีษนั้น สุดยอดที่จะเข้มงวดขนาดไหน หะดีษฎออีฟ   حديث ضعيف คือทุกๆหะดีษที่ขาดเงื่อนไขหรือคุณสมบัติของหะดีษหะซัน(ซึ่งรวมถึงคุณสมบัติของหะดีษศอเฮียะหฺด้วย) องค์ประกอบที่ทำให้เป็นหะดีษฎออีฟ มีอยู่ 2 ประการ คือ 1)    ผู้รายงานหะดีษนั้นถูกวิจารณ์ด้านความจำ หรือความประพฤติ 2)    การขาดตอนหรือการตกหล่นของสายรายงาน ระดับของหะดีษฎออีฟ              หะดีษฎออีฟมีหลายระดับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบกพร่องมากหรือน้อย เช่น  ฎออีฟ   ضعيف(อ่อนธรรมดา) , ฏออีฟ ญิดดั๊น   ضعيف جدا (อ่อนมาก) , อัลวาฮี   الواهي (อ่อน) อัลมุงกัรฺ  المنكر (ถูกปฏิเสธิ) ตัวอย่างหะดีษ ฎออีฟ   حَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ وَسُفْيَانُ بْنُ وَكِيعٍ قَالَا حَدَّثَنَا حُمَيْدُ بْنُ عَبْدِ الرَّحْمَنِ الرُّؤَاسِيُّ عَنْ الْحَسَنِ بْنِ صَالِحٍ عَنْ هَارُونَ أَبِي مُحَمَّدٍ عَنْ مُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ عَنْ قَتَادَةَ عَنْ أَنَسٍ قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ لِكُلِّ شَيْءٍ قَلْبًا وَقَلْبُ الْقُرْآنِ يس وَمَنْ قَرَأَ يس كَتَبَ اللَّهُ لَهُ بِقِرَاءَتِهَا قِرَاءَةَ الْقُرْآنِ عَشْرَ مَرَّاتٍ   أخرجه الترمذي رقم الحديث2812  / كتاب فضائل القرآن  /باب ماجاء في فضل يس   ความหมายหะดีษ “แท้ จริงทุกสิ่งทุกอย่างมีหัวใจ ส่วนหัวใจของอัลกุรอานก็คือสูเราะฮฺยาสีน ผู้ใดอ่านสูเราะฮฺยาสีน อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนผลบุญแก่เขาเท่ากับการอ่านอัลกุรอาน(จบเล่ม)สิบครั้ง” บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ:2812 กิตาบ:ฟาเฎาะอิลุ้ล กุรอาน เรื่อง: ความประเสริฐของสูเราะฮฺยาสีน   หะดีษนี้เป็นหะดีษฎออีฟเพราะในสายรายงานมี ฮารูน อบูมุหัมมัด   هَارُونَ أَبِي مُحَمَّدٍ  ซึ่งนักวิจารณ์หะดีษระบุว่าเขานั้นมัญฮูล (ไม่เป็นที่รู้จัก ) หุก่มปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ          การปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟนั้นบรรดาปราชญ์มีทัศนะแตกต่างกัน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ทัศนะดังนี้ 1)    ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ ไม่ว่าจะเป็นหะดีษที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของอะมั้ล หรือหะดีษเกี่ยวกับเรื่องเล่าต่างๆ เป็นทัศนะของ ยะหฺยา บินมะอีน อิมามอัลบุคอรีย์ อิมามมุสลิม อิบนุลหัซมฺ อิบนุลอะเราะบีย์ อิบนุลมุลั๊กกิน ฯลฯ ทัศนะนี้ใกล้เคียงความถูกต้องมากที่สุด 2)    อนุญาตปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟเมื่อในปัญหานั้นไม่มีตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษที่ศอเฮียะหฺเลย เป็นทัศนะของอิมามอะหฺมัด และอบูดาวูด ทั้งนี้เพราะพวกเขาเห็นว่าหะดีษที่ฎออีฟ ดีกว่าการกียาส قياس   (การเทียบเคียงปัญหาที่ไม่มีหลักฐานกับปัญหาที่มีหลักฐาน) อันที่จริงหะดีษฎออีฟตามทัศนะของอิมามอะหฺมัดนั้นมิใช่หะดีษฎออีฟที่รุนแรง นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ แต่เป็นฎออีฟที่มีส่วนความเป็นศอเฮียะหฺแฝงอยู่ เพราะว่าปราชญ์ยุคก่อนไม่ได้จำแนกหะดีษเป็นศอเฮียะหฺหฺ-หะสัน-ฎออีฟ เช่นยุคหลังแต่จะจำแนกหะดีษเป็น 2 ประเภทเท่านั้นคือ ศอเฮียะหฺกับฎออีฟ อาจเป็นไปได้ว่าหะดีษฎออีฟที่อิหมามอะหฺมัดหมายถึงคือ หะดีษหะสัน ลิฆอยริฮฺ นั้นเอง 3)     อนุญาตนำหะดีษฎออีฟที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของอะมั้ลมาปฏิบัติตามได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ ·       ต้องเป็นหะดีษที่ไม่อ่อนมาก (ضعيف جدا) ·       ต้องอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปที่ได้รับการปฏิบัติ ·       ต้องไม่ยึดมั่นว่าหะดีษนั้นมาจากท่านรอซูลอย่างแน่นอน เป็นทัศนะของ ญุมฮูรฺ(ปราชญ์ส่วนใหญ่)   สรุป ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ ทั้งนี้หะดีษที่ศอเฮียะหฺนั้นมีเพียงพอที่เราจะปฎิบัติตามศาสนบัญญัติ การยึดถือหะดีษศอเฮียะหฺนั้นทำให้จิตใจของเรามั่นใจมากกว่ายึดถือกับหะดีษฎอ อี ฟ ส่วนเงื่อนไขที่นักปราชญ์บางท่านได้กำหนดในการปฏิบัติตามหะดี ษฎออีฟนั้นเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงน้อยคนที่จะทำตามเงื่อนไขเหล่านั้น เนื่องจากผู้คนทั่วไปนั้นไม่มีความสามารถพอในการที่จะพิจารณาว่าหะดีษไหน เป็นหะดีษฎออีฟธรรมดาและหะดีษไหนเป็นหะดีษฎออีฟมากๆ แมทท์ เคยพูดอย่างขาดความรู้ในทำนองว่า ฮะดีษนั้น เชื่อถือไม่ได้เพราะ เที่ยวไปถามชาวบ้าน แล้วมาบันทึก แต่จา่กลักษณะฮะดีษฏออีฟ นั้น ทำให้ทราบว่า สายรายงานฮะดีษ ถ้ามีคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก หรือพูดง่ายๆ ว่า ตาสี ตาสา ที่ไหนมาปนล่ะก็ ฮะดีษนั้น จะเป็นฮะดีษฏออีฟ คือฮะดีษ หลักฐานอ่อน เขาไม่นำมาอ้างในการระบุกฎเกณณ์ของศาสนานะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 17:11:40 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 17:10:01 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 17:09:12

ความคิดเห็นที่ 28 ประวัติอิหม่ามบุคอรี อิมาม บุคอรียฺ เจ้าของหนังสือหะดีษอันดับหนึ่ง            เรียบเรียงโดย อาอิช http://www.fityah.com   หลัง จากยุคของเหล่าเศาะฮาบะฮ์ผู้ทรงเกีรยติ อิมาม บุคอรีย์นับเป็นปราชญ์ที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่ง  ที่ได้มอบความปลื้มปิติให้กับอุมมะฮ์อิสลาม หลักฐานอันสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือตำรับตำราหะดีษที่ท่านได้รวบรวมไว้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ  เศาะฮีย์ อัล บุคอรีย์  อันเป็นที่ถูกยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหนังสือที่ถูกต้องมากที่สุดรองจาก อัล กุรอาน    ชีวิตในวัยเด็ก                 อิมาม อบู อับดุลลอฮ์ มูฮัมมัด บิน อิสมาอีล อัล บุคอรีย์เกิดในวันที่ 13 เดือนเชาวัล ปี194 ฮิจญ์เราะฮ์ศักราช ในเมืองแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงคือเมืองบุคอรอปัจจุบันอยู่ในประเทศอุเบ กิสถาน บิดาของอิมาม บุคอรีย์มีชื่อว่า อิสมาอีล บิน มุฆีเราะฮ์ อัล ญะอ์ฟีเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาหะดีษและเป็นผู้ที่มีความสมถะ อิมามบุคอรีย์ได้รับมรดกอันเป็นคุณลักษณะพิเศษในด้านความกระตือรือร้นและ ความเป็นเลิศในงานวิชาการ  อิมาม บุคอรีย์ สูญเสียบิดาขณะที่อายุยังน้อย  ดังนั้นมารดาของท่านจึงรับภาระหน้าที่ทั้งหมดในการเลี้ยงดู   อิมาม บุคอรีย์กลายเป็นคนตาบอดตั้งแต่เยาว์วัย เขาได้ไปหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในขณะนั้นแต่การรักษาของ หมอกลับไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ  แม่ของเขาเป็นผู้เคร่งครัดในการทำอิบาดะฮ์และเป็นผู้หญิงที่มีคุณธรรมสูงส่ง นางร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อลูกของนางและได้วิงวอนให้ลูกชาย สามารถมองเห็นได้ดังเดิม จนในที่สุด สายธารแห่งความเมตตาได้หลั่งไหลมายังนาง  ด้วยการที่อัลลอฮ์ทรงตอบรับการวิงวอน    ในคืนหนึ่งนางเห็นท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลามในความฝันและพูดว่า ?อัลลอฮ์ทรงทำให้การมองเห็นของลูกเธอกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้งเพราะการวิงวอน ของเธอ? ในตอนเช้าเมื่ออิมาม บุคอรีย์ตื่นขึ้นมาจากที่นอน เขาสามารถมองเห็นแสงริบหรี่  การศึกษาขั้นพื้นฐานและความสนใจในวิชาหะดีษ           เมื่ออิมาม บุคอรีย์อายุได้ 10 ขวบท่านจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ท่านได้หันมาสนใจในวิชาหะดีษและได้รับอนุญาตให้เข้าชั้นเรียนวิชาหะดีษในบุ คอรอ ท่านตั้งใจเรียนอย่างแข็งขัน หนึ่งปีต่อมาท่านสามารถจดจำตัวบทและสายรายงานหะดีษได้เป็นอย่างดี จนบางครั้งครูผู้สอนยังต้องตรวจความถูกต้องของหะดีษจากท่าน อิมามบุคอรีย์สามารถศึกษาความรู้ศาสนาด้วยความฉลาดและความว่องไว เมื่ออายุครบ 16 ปีท่านสามารถท่องจำหนังสืออัลวากิ๊อฺ  ของอับดุลลอฮ์ อิบนุ มุบาร๊อก ได้ทั้งเล่ม และหนังสือเล่มอื่นๆของผู้รู้ที่เป็นสหายของอบู หะนีฟะฮ์ การเริ่มต้นในการรวบรวมหะดีษ             เมื่ออายุได้ 18ปีอิมาม บุคอรีย์ได้เดินทางไปมักกะฮ์พร้อมกับมารดาและพี่ชายของท่านที่ชื่อ อะห์มัด  อิบนุ อิสมาอีล หลังจากเสร็จสิ้นการทำฮัจญ์ พี่ชายได้กลับไปพร้อมกับมารดาของเขาแต่อิมาม บุคอรีย์ยังคงอยู่ที่นั่นเพื่อศึกษาต่อในระดับสูง ในระหว่างนั้นท่านได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า เกาะฎอยา อัศ เศาะฮาบะฮ์ วัต ตาบิอีนหลังจากนั้น ได้เดินทางไปยังมะดีนะฮ์เพื่อเรียบเรียงหนังสือ อัต ตารีค อัล กะบีร อันโด่งดัง                   เป็นเวลาหลายปีที่อิมาม บุคอรีย์ได้ออกเดินทางไกลเพื่อเสาะหาสายรายงานหะดีษและได้เพิ่มความรู้อัน มากมาย เขากล่าวว่า?เพื่อแสวงหาความรู้  ฉันเดินทางไปทั้งอียิปต์ และซีเรียสองครั้ง  บัสเราะฮ์ 4 ครั้ง  และใช้เวลา 6 ปีอยู่ที่ฮิญาซ  อีกทั้งได้ร่วมเดินทางกับอุละมาอ์หะดีษไปยังกูฟะฮ์และบัฆดาดในหลายโอกาส?  ความจำอันยอดเยี่ยม           อิมาม บุคอรีย์เป็นผู้ที่มีความจำที่เป็นเลิศ ราวกับว่าทั้งร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยข้อมูล ความจำอันยอดเยี่ยมของเขา  ทำให้เรานึกถึงอบูฮุรอยเราะฮ์ รดิยัลลอฮุ อันฮุ ท่านสุไลมาน อิบนุ มุญาฮิด กล่าวว่า ?วันหนึ่ง ฉันได้นั่งร่วมกับ มุฮัมมัด อิบนุ สลาม เขากล่าวว่า ถ้าท่านมาเร็วกว่านี้หน่อย ฉันจะให้ท่านดูเด็กคนหนึ่งที่จำหะดีษถึง 70,000 หะดีษ  สุไลมานลุกขึ้นและเริ่มมองหาอิมาม บุคอรีย์ สักพักเขาก็พบอิมาม บุคอรีย์และถามว่า ?ท่านคนเดียวจำหะดีษได้ตั้ง 70,000 หะดีษเชียวหรือ?? อิมาม บุคอรีย์ตอบว่า ?ฉันได้ศึกษาหะดีษมากว่าที่ท่องจำนี้เสียอีก ฉันรู้แม้กระทั่งสถานที่เกิด ตาย และที่อยู่ของเหล่าเศาะฮาบะฮ์ได้มากที่สุดถึงบุคคลที่ถูกรายงานไว้ในหะดีษ                  เช่นเดียวกัน มุฮัมมัด อิบนุ อัซฮัร อัส ซาญิสตานี่ กล่าวว่า ?ฉันเคยไปหาสุไลมาน อิบนุ ฮัรบ์พร้อมกับอิมาม บุคอรีย์เพื่อที่จะฟังหะดีษ ฉันบันทึกหะดีษ  แต่อิมาม บุคอรีย์กลับไม่ทำอย่างนั้น มีคนพูดกับฉันว่า? ทำไมอิมาม บุคอรีย์ถึงไม่บันทึกหะดีษลงไป??  ฉันบอกกับเขาว่า  ?ถ้าเจ้าพลาดที่จะบันทึกหะดีษใดแล้ว เจ้าสามารถเอามันจากความจำของอิมาม บุคอรีย์?? เหลียวมองชีวิตส่วนตัวของเขา ความเรียบง่ายและความถ่อมตัว           อิมาม บุคอรีย์เป็นคนเรียบง่ายและทำงานหนัก  ท่านมักจะทำงานต่างๆด้วยตัวท่านเอง  แม้ว่าจะมีความร่ำรวยและสถานะที่มีเกียติ    ท่านมีลูกจ้างจำนวนน้อยมากตามความจำเป็นเท่านั้นและตัวเขาไม่เคยหมกมุ่นอยู่ กับเรื่องเหล่านี้ มุฮัมมัด อิบนุ ฮาติม อัล วัรรอกซึ่งเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเขากล่าวว่า ?อิมาม บุคอรีย์ทำห้องเช่าใกล้กับเมืองบุคอรอและกำลังก่ออิฐด้วยมือท่านเอง ฉันรีบเร่งมาหาและกล่าวว่า  ?ท่านหยุดเถอะ ปล่อยที่เหลือให้ฉันทำเอง? แต่ท่านกลับตอบว่า  ?ในวันแห่งการตัดสินการ งานนี้จะเป็นประโยชน์กับฉัน?          วัรรอกกล่าวต่อไปว่า ?เมื่อเราร่วมเดินทางไปกับอิมาม บุคอรีย์ ท่านจะให้พวกเราอยู่รวมกันในห้องหนึ่งส่วนตัวท่านเองจะอยู่อีกห้องหนึ่ง ครั้งหนึ่งฉันเห็นอิมาม บุคอรีย์ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึกประมาณ 15-20 ครั้งและทุกๆครั้งเขาได้จุดไฟขึ้น  เขาเอาหะดีษออกมาแล้วทำเครื่องหมายไว้  หลังจากนั้นจึงวางหัวบนหมอน แล้วเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว   ฉันถามท่านว่า?ทำไมท่านต้องลำบากในช่วงกลางคืนเช่นนี้ ในเมื่อท่านสามารถปลุกฉันขึ้นมาได้(เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยท่าน)? ท่านตอบกลับไปว่า  ?เจ้ายังเด็กอยู่และจำเป็นต้องนอนให้เต็มอิ่ม และฉันก็ไม่ต้องการจะรบกวนเวลานอนของเจ้า? ความเอื้อเฝือเผื่อแผ่                 อิมาม บุคอรีย์ถือว่าเป็นตัวอย่างอันดีงามในเรื่องความเอื้อเฝือเผื่อแผ่  ท่านหวังว่าสักวันหนึ่งจะบริจาคให้ได้  3.000 ดิรฮัมในหนึ่งวัน    อัล วัรรอก กล่าวว่า อิมามบุคอรีย์มีรายได้ 500 ดิรฮัมต่อเดือนและเขาจะใช้จ่ายหมดไปกับนักเรียนของเขา   ความเกรงกลัวอัลลอฮ์                 อิมาม บุคอรีย์เป็นบุคลที่มีความเคร่งครัดและจริยธรรมสูงส่ง  ท่านเกรงกลัวอัลลอฮ์อย่างมากทั้งภายในและภายนอก  ท่านจะคอยยับยั้งตัวเองจากการนินทาและระแวงสงสัยผู้อื่น  และคอยระวังไม่ให้ก้าวก่ายสิทธิของผู้อื่น   บักร์ อิบนุ มุนีรเล่าว่าอิมาม บุคอรีย์กล่าวว่า ?ฉันหวังว่าเมื่อใดที่ฉันได้พบกับพระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์จะไม่ทรงคิดบัญชีกับฉัน เพราะฉันไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการนินทา?  อิ มาม บุคอรีย์คอยระมัดระวังในการทำอิบาดะฮ์ของท่านให้มีความประณีตอยู่เสมอ ท่านจะละหมาดและถือศีลอดสุนัตอย่างมากมาย  และจะท่องกุรอานทั้งหมดให้ลุล่วงเป็นประจำในเดือนรอมฎอน และท่องกุร อานสิบยุซอ์ในช่วงกลางคืน เขาไม่เคยคิดจะรังเกียจคนอื่นๆถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำไม่ดีต่อท่านก็ตาม อิมามบุคอรีย์จะขอดุอาให้อัลลอฮฺทรงยกโทษให้กับผู้ที่ประพฤติไม่ดีกับท่าน  หากจำเป็นจะต้องมีการว่ากล่าวตักเตือนใครก็ตาม  ท่านก็จะไม่ทำให้บุคคลนั้นต้องอับอายต่อหน้าสาธารณชน  การจากไปของเขา           อิมาม บุคอรีย์ตายในค่ำคืนของวันอิฎิล ฟิตรีอันเป็นค่ำคืนแรกของเดือนเชาวัลปีฮ.ศ. 56  ซึ่งอีกเพียง12 วันท่านก็จะมีอายุครบ 62 ปี  ในค่ำคืนนั้นเองที่ดวงตะวันแห่งความรู้ คุณความดี ความจำเริญได้ดับลง บุคคลที่ความรู้และการปฏิบัติของเขาได้ส่องสว่างให้กับหัวใจและจิตใจของ ปัญญาชนจำนวนมากรวมทั้งผู้คนแห่งซามัรคาน  บุคอรอ บัฆดาด และนัยซาปูร   ขออัลลอฮ์ทรงตอบรับความอุตสาหะที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและขอความเมตตาจาก พระองค์ให้หลั่งไหลสู่ดวงวิญญาณของท่านด้วยเถิด อามีนยาร๊อบบัลอาละมีน!! ที่มา http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php/topic,510.0.html แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 17:14:44 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 17:13:39

ความคิดเห็นที่ 29 เป็นอะไรไปหรือครับ ทำตกอกตกใจไปได้ .... อ่านให้ดีๆซิครับว่าผมเขียนว่าอย่างไร? ผมเขียนว่า..  คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษซอเฮี๊ยะ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ เป็นผู้รายงาน ให้เราทราบ, ไม่ใช่ทั้ง นายมูฮัมมัด บิน อับบัด บิน ญา อะฟัรฺ และนาย อิบนุ อับบาส,  ส่วนคุณสมบัติ ข้ออื่นนั้น สำหรับฮา ดีษบทนี้ ไม่ต้องนำมาอ้างเลย เพราะเป็นเรื่อง “ยกเมฒ” ตามที่กล่าวแล้ว  คุณเห็นด้วยหรือไม่?  ที่ขีดเส้นใต้คือ คำว่า "เรื่องยกเมฆ" ผมหมายถึง ฮาดีษ Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203...คุณอธิบายว่า ไม่มีพาดพิงถึง ท่านรอซูล เนื่องจาก คำจำกัดความ ของฮาดีษมี มากมายเหลือเกิน  ผมจึง เลือกใช้ความหมายทางวิชาการ  ที่ คุณลอกมาลงจนกระทู้ผมเลอะ เทอะไปหมดแล้ว ความหมายทางวิชาการ   หะดีษ คือ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)    อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า “ทุกๆสิ่งที่ พาดพิงถึงท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)”  ถ้าผมใช้ความหมายทางวิชาการแล้ว, ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 จะไม่จัดว่าเป็น  ฮาดีษทางศาสนาที่เชื่อถือได้ นั้นก็คือเป็นการ "ยกเมฆ" ของอิม่ามบุคอรี นักล่า ฮาดีษตัวฉกาจ ซึ่ง ท่านอีมามบุคอรี เป็นผู้เล่าหรือผู้รายงาน ฮาดีษเสียเอง  เหตุผล็คือ นายอิบนุอับบาส  อธิบายในฮาดีษ 203 อย่างหนึ่ง, แต่ที่ ฟุตโนท ต่อ จากบัญญัติ 11:5 นาย อิบนุอับบาส  อธิบายอีก อย่างหนึ่ง จะเห็นว่า การอธิบาย คงมาจาก ฮาดีษที่ต่างบทกัน, เข้า ใจหรือไม่?  ฮาดีษ Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203...นี้ อ่อนปวกเปียก กว่า ฮาดีษ ใดๆใน  วิชาการ ฮาดีษ ที่คุณนำมาแปะไว้ ในกระทู้นี้  ถ้าคุณว่า "ฮาดีษนี้" เป็น ฮาดีษซอเฮี๊ยะ ตามสายรายงานจริงแล้ว คุณเชื่อว่า เนื้อหาของฮาดีษนั้น ว่าเป็นความจริงไหม?  คำตอบง่ายๆครับ เชื่อว่าจริงหรือไม่จริงเท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไร มากเลย,  นี่คือความหมายของเนื้อหาในฮาดีษ 203  พระเจ้ายอมให้ เปิดเผย ของสงวน (เอาเราะห์)ได้ เนื่องจากจะ ปกปิดอย่างไรก็ตาม พระเจ้าย่อมทรงเห็นได้ (จากตัวฮาดีษ 203)  คุณปฏิเสธ ฮาดีษนี้ได้หรือไม่? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 18:14:14

ความคิดเห็นที่ 30 กุรณาอย่า มามั่วครับ คุณบอกว่า คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษซอเฮี๊ยะ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ เป็นผู้รายงาน ให้เราทราบ, ไม่ใช่ทั้ง นายมูฮัมมัด บิน อับบัด บิน ญา อะฟัรฺ และนาย อิบนุ อับบาส นี่แหละครับที่มั่ว เพราะผู้ที่รายงานฮะดีษนี้คือ Ibn Abbas ครับ ไม่ใช่ท่านอิหม่ามบุคอรี อิหม่ามบุคอรีคือผู้ที่ นำฮะดีษนี้มาบันทึกครับ คำว่า สายรายงาน มีเพียงคนเดียว คือตัวอิหม่าม บุคอรี เนี่ย ไม่ทราบว่าไปเอามาจากตำราเล่มไหนครับ ถึงพูดพล่อยๆ แบบนี้? และการบอกว่าเป็นเรื่องยกเมฆ ยิ่งเป็นการกล่าวหาแบบปากพล่อยเข้าไปใหญ่ เพราะการจะรายงานนั้น ต้องสืบสายรายงานครับ ฮะดีษไม่ใช่ๆ อยู่จะมาอ้างสายรายงานได้พล่อยๆ เพราะ 1. ตัวผู้รายงาน ไม่ใช่กุเองได้ครับ ต้องมีตัวตนจริง และเป็นที่รู้จัก 2. เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมหมายความว่าแต่ละฮะดีษ เป็นที่เล่า และรายงานกันอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านอิหม่ามบุคอรีเป็นผู้ตรวจสอบครับ 3. อิหม่ามบุคอรีนั้น ไม่ใช่ผู้มีสิทธิขาดในการวินิจฉัยฮะดีษ แต่จะมีผู้ตรวจสอบอื่นด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นการโกหกใส่ฮะดีษครับ ว่าฮะดีษนี้ยกเมฆ หรือมีสายรายงานเดียว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:22:42

ความคิดเห็นที่ 31 และข้ออ้างที่ว่า ฮะดีษ ยกเมฆ เพราะไม่ใช่คำพูดที่อ้างถึงนบี ยิ่งเป็นการสรุปที่ โกหก และขาดความรู้เข้าไปอีก เนื่องจากคุณไปลอกจากเว็บ มาแต่ไม่ยอมอ่านให้หมดนั่นเอง จริงๆ แล้วเรื่องฮะดีษมีดังนี้ คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับหะดีษ 1.    อัซซุนนะฮฺ   السنة       2.    อะษัร  أثر       3.    เคาะบัร  خبر 1.  อัซซุนนะฮฺ  السنة  เดิมนั้นแปลว่า แนวทาง หรือ แบบอย่าง  ส่วนความหมายทางวิชาการนั้นมีหลายนิยาม ·  นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮ์ให้ความหมายอัซซุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ ·  นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ) ·  นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัซซุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่าบิดอะฮฺ (อุตริกรรม) 2.  อะษัร  أثر  ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ ·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ ·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน 3.  เคาะบัร خبر  ความหมายเดิมคือ ข่าว เรื่องราว ·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายเคาะบัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ ·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า หะดีษคือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล  ส่วนเคาะบัรคือสิ่งที่มาจากผู้อื่น ดังนั้น ฮะดีษ อิหม่ามบุคอรี ที่เป็นบันทึกว่าซอเฮียะห์ (ดีเลิศ) นั้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้อง เป็นฮะดีษจากนบีเท่านั้นครับ เพราะนักปราชญ์วิชาฮะดีษ ก็ให้ความหมาย ว่าเป็นฮะดีษ เหมือนกัน แต่ประเภทต่างๆของหะดีษในแง่ของตัวบท (มะตัน  متن  ) แบ่งเป็น๓ประเภท ๑) มัรฟูอฺ مرفوع ๒)มัวกูฟ موقوف ๓)มักตูอฺ مقطوع ดังที่ผมได้ อธิบายไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องฮะดีษ จากนบี จากซอฮาบะห์ และจากตาบิอีน ฮะดีษ ซอเฮียะห์ นี้ จึงไม่ใช่้การยกเมฆ แต่เป็นการให้ความเห็นจากซอฮาบะห์ครับ ไม่ใช่จะมายกเมฆกันได้ง่ายๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:33:28

ความคิดเห็นที่ 32   ถ้าผมใช้ความหมายทางวิชาการแล้ว, ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 จะไม่จัดว่าเป็น  ฮาดีษทางศาสนาที่เชื่อถือได้ นั้นก็คือเป็นการ "ยกเมฆ" ของอิม่ามบุคอรี นักล่า ฮาดีษตัวฉกาจ ซึ่ง ท่านอีมามบุคอรี เป็นผู้เล่าหรือผู้รายงาน ฮาดีษเสียเอง คำนี้จึงโกหก เต็มๆ เพราะท่านอิหม่ามบุคอรีไม่ได้ เล่าหรือรายงานเองครับ ท่านนำมาบันทึกไว้ ไม่ได้เป็นผู้เล่า อ้ออีกอย่างหนึ่ง คุณสรุปว่า   พระเจ้ายอมให้ เปิดเผย ของสงวน (เอาเราะห์)ได้ เนื่องจากจะ ปกปิดอย่างไรก็ตาม พระเจ้าย่อมทรงเห็นได้ (จากตัวฮาดีษ 203) แน่ใจรึครับว่า สรุปแบบนั้น หึหึ ผมแนะนำให้คุณอ่านใหม่ดีกว่านะ คำว่า ถ่ายทุกในที่โล่งแจ้ง กับ การเปิดเผยของสงวนน่ะมันคนละเรื่องกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 21:10:06 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:37:10

ความคิดเห็นที่ 33 เพราะฉะนั้น เน้นประเด็นที่ว่า ฮะดีษนี้ ท่านอิหม่ามบุคอรี รายงานเองก่อนดีกว่าว่า คุณไปเอามาจากตำราไหนครับว่า ฮะดีษนี้ ท่านอิหม่ามบุคอรีเป็นผู้รายงาน และฮะดีษนี้ยกเมฆ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:38:52

ความคิดเห็นที่ 34 คุยกับคนไม่รู้เรื่อง แล้วแกล้งทำเป็นรู้ดี นี่วุ่นวายนะ วิชาการเค้าก็บอกอยู่ว่า รายงานจากซอฮาบะห์ ก็เป็นฮะดีษ แต่เรียกว่า ฮะดีษเมากูฟ มีสายรายงานเหมือนกัน ดันบอกว่ายกเมฆ ถ้าไม่มีเวลาอ่าน ก็ไปนั่งอ่านให้มันดีดีเถอะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:53:56

ความคิดเห็นที่ 35 คำว่า สายรายงาน มีเพียงคนเดียว คือตัวอิหม่าม บุคอรี เนี่ย ไม่ทราบว่าไปเอามาจากตำราเล่มไหนครับ ถึงพูดพล่อยๆ แบบนี้? ยังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจอีก  ทำเก๋ไก๋อีกแล้วคุณ แคโรท ผมว่าเรื่องยกเมฆ  ถ้าเป็นเรื่องยกเมฆ ..ใครหรือครับจะเป็นผู้รายงานให้เราทราบ ก็ผู้ที่ยกหเมฆนั้นไงละ,  ชอบทำเป็นกระต่ายตื่นตูม จนกระทู้เลอะเทอะไปหมดแล้ว คุณเชื่อหรือปฏิเสธละ ไม่เห็นตอบเลย แปะอะไรต่ออะไร จน มืดมิดไปหมด ....ถามง่ายๆ  เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ... พระเจ้ายอมให้ เปิดเผย ของสงวน (เอาเราะห์)ได้ เนื่องจากจะ ปกปิดอย่างไรก็ตาม พระเจ้าย่อมทรงเห็นได้ (จากตัวฮาดีษ 203) -------------------------------------------------------------------------------- แน่ใจรึครับว่า สรุปแบบนั้น หึหึ ผมแนะนำให้คุณอ่านใหม่ดีกว่านะ คำว่า ถ่ายทุกในที่โล่งแจ้ง กับ การเปิดเผยของสงวนน่ะมันคนละเรื่องกันนะครับ .... แน่ใจครับ...เวลาผม อึ ผม ต้องถอด กางเกงในออกก่อน ..แล้วตามด้วย กางเกงนอก ..จะให้สอนต่อไหม..ว่า เวลา อึ จะต้อง  ทำอย่างไร?...ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก...คุณ "อึ" ทั้งๆที่คุณ นุ่งโสร่ง หรือ กางเกงหรือไง? อ้อลืมไป นุ่งโสร่ง นั่ง อึได้ และ ทำอะไรได้ โดยไม่ต้อง ล้อนจ้อน?? เห็นไหม,,ละว่ามันเหลวไหลแค่ไหน? และเวลา ซอฮาบะห์ เมตเลิฟ นะ..ท่านนั่งทางใน หรืออย่างไร? จึงไม่ต้อง ถอดกางกุ้ง กางเกง ออกก่อน...ฮุฮุ....จะต้องอธิบายอีกหรือ? .......... ที่ว่า "รายงานจากซอฮาบะห์ ก็เป็นฮะดีษ แต่เรียกว่า ฮะดีษเมากูฟ" ฮาดีษอะไรกันครับ? คนๆเดียวกัน  อธิบายอัลกุรอานอายะเดียวกัน..ไม่เหมือนกัน อย่างนี้เขาไม่เรียกว่า เมากูฟ หรอกครับ... เขาเรียกว่า "เมาแปร้" เลยละ..มั่วเล่านิทานกันจน จับโกหกได้...ฮุฮุ ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก ถ้าคุณแปล ชื่อ ของ "ฮาดีษ" เหล่านั้น เป็นภาษาไทย ให้หมด  คุณจะเห็นว่า "เหมือนหนังการ์ตูน"  ตลกสิ้นดี เรื่องไม่มีความเป็นจริง ก็ค่อยๆ เลื่อนตำแหน่ง ขึ้น มาเป็นเรื่องจริงได้  คุณเห็นไหมละว่า ..ขบวนวิชาการฮาดีษ  ไม่ใช่ "Sciences" อะไรเลย    เพียงแต่ ใส่ภาษาอรับ ให้ดู เป็นหลักการทางศาสนา เท่านั้นเอง  ตัวอย่าง เช่น ฮาดีษ เรื่อง "ลิงมีชู้"  จากเรื่องอุปโลก เล่าสู่กันฟัง ของพ่อค้าเร่  ได้รับ ตำแหน่ง เป็น ซอเฮียะ ได้ อย่างไร?  เห็นความมั่วไหม?    ผู้ที่ปฏิเสธ "ซอเฮี๊ยะฮาดีษ"  จะเป็นมุสลิมที่ดี เพราะไม่เสี่ยงต่อการปฏิบัติที่ผิดไปจากทางเดินของพระเจ้า..จริงไหมลองนำไปคิดดู มุสลิมจะเป็นผู้ที่ศรัทธาที่ดีได้ โดยไม่ต้องอาศัยนิทานต่างๆเหล่านี้..เพราะสิ่งดีที่คุณอ่านพบในฮาดีษบางบทนั้น มีอยู่ใน "Wisdom" ของอัลกุรอ่านหมดทุกๆอย่างแล้ว.  ขอให้มีศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว คุณจะไม่มาหลงงมกับ สิ่งที่เป็น ชิริกเช่นนี้ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 22:33:11 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:13:22

ความคิดเห็นที่ 36 สมาชิกทุกๆท่านช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจหน่อยครับ,,เรื่องความจำนะครับ ที่ว่าความจำอันยอดเยี่ยมนั้น ....จากเรื่องข้างล่างนี้  มีอะไรเป็น หลักฐานทาง การวิจัยในปัจจุบัน บ้าง?   นอกจาก "เขาเล่าว่า" ความจำอันยอดเยี่ยม          อิมาม บุคอรีย์เป็นผู้ที่มีความจำที่เป็นเลิศ ราวกับว่าทั้งร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยข้อมูล (ฝรั่งเขาเรียกว่า "He is full of it" )    ความจำอันยอดเยี่ยมของเขา  ทำให้เรานึกถึงอบูฮุรอยเราะฮ์ รดิยัลลอฮุ อันฮุ ท่านสุไลมาน อิบนุ มุญาฮิด กล่าวว่า ?วันหนึ่ง ฉันได้นั่งร่วมกับ มุฮัมมัด อิบนุ สลาม เขากล่าวว่า ถ้าท่านมาเร็วกว่านี้หน่อย ฉันจะให้ท่านดูเด็กคนหนึ่งที่จำหะดีษถึง 70,000 หะดีษ  สุไลมานลุกขึ้นและเริ่มมองหาอิมาม บุคอรีย์ สักพักเขาก็พบอิมาม บุคอรีย์และถามว่า ?ท่านคนเดียวจำหะดีษได้ตั้ง 70,000 หะดีษเชียวหรือ?? อิมาม บุคอรีย์ตอบว่า ?ฉันได้ศึกษาหะดีษมากว่าที่ท่องจำนี้เสียอีก ฉันรู้แม้กระทั่งสถานที่เกิด ตาย และที่อยู่ของเหล่าเศาะฮาบะฮ์ได้มากที่สุดถึงบุคคลที่ถูกรายงานไว้ในหะดีษ   ...................   จากความจำอันผิดวิสัยมนุษย์นี้ คุณ แคโรท ว่า ระหว่างอีมามบุคอรี กับท่าน รอซูล ใครมี ความจำดีกว่ากัน?   ผมมีหลักฐานทางฮาดีษ ว่า "ท่านรอซูลมีความจำไม่ดี..เคยมีความหลงลืม" ในกรณีสำคัญที่สุดทางศาสนาและลืมที่จะทำงานให้ตรงตามที่พระเจ้าทรงพระประสงค์..คุณเชื่อไหม?  ตอบให้สมาชิกทุกๆท่านทราบด้วย เพื่อแสดงว่าคุณและลูกศิษย์คุณมีความรู้ดีในเรื่องวิชาการ ฮาดีษ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:54:05

ความคิดเห็นที่ 37 ปัญหามันคือตรงนี้ครับ ความพยายามจะเอาตัวรอด ด้วยการพาออกนอกประเด็นเหมือนเดิม ผมถามคุณว่า คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ สายรายงานคนเดียวเท่านั้น ไปเอามาจาก ตำราไหนครับ ไม่ต้องมาเบี่ยงเบนด้วยคำว่ากระต่ายตื่นตูมหรอกครับ ผมถามคุณ แบบนี้มาตลอด คุณก็ยังไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น นอกจากคำว่ายกเมฆซึ่งผมก็ไม่พบว่ายกเมฆตรงไหน  จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:07:32

ความคิดเห็นที่ 38 แน่ใจครับ...เวลาผม อึ ผม ต้องถอด กางเกงในออกก่อน ..แล้วตามด้วย กางเกงนอก ..จะให้สอนต่อไหม..ว่า เวลา อึ จะต้อง  ทำอย่างไร?...ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก...คุณ "อึ" ทั้งๆที่คุณ นุ่งโสร่ง หรือ กางเกงหรือไง? อ้อลืมไป นุ่งโสร่ง นั่ง อึได้ และ ทำอะไรได้ โดยไม่ต้อง ล้อนจ้อน?? เอาล่ะครับ นอกจากบิดเบือน อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วตอนนี้เริ่มจะมีปัญหาด้านความเข้าใจแล้วล่ะครับ การเปิดเผยของสงวน กับการถ่ายทุกข์ในที่โล่งนั้น มันคนละเรื่องครับ ถ้าไม่รู้จักคิดจริงๆ ผมจะบอกให้นะครับ การเปิดเผยของสงวน หรือเอาเราะห์นั้น ไม่จำเป็นต้องหมายถึงที่โล่งแจ้งครับ ทำกันในห้องก็ได้ แต่เป็นการเิปิดเผยให้ผู้อื่นเห็น ส่วนการถ่ายทุกข์ในที่โล่งแจ้ง นั้น อาจจะหมายถึง กลางทุ่ง กลางป่า แต่ไม่จำเป็นต้องมีใครมาเห็น ผมถึงถามไงล่ะครับว่า ฮะดีษนี้ ให้เปิดเอาเราะห์ได้แน่รึ? คนเรา พอมันเข้าตาจน มันก็แถไปได้หน้าด้านๆ เปิดเอาเราะห์ กับถ่ายทุกข์ในที่โล่ง เหมือนกัน? เหอะๆ มันช่างประจานพวกไม่เอาฮะดีษได้ถึงใจจริงๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:13:40

ความคิดเห็นที่ 39 และสุดท้าย สิ่งที่คุณใช้ ปฏิเสธฮะดีษนั้น ก็แสดงออกมาให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่จากความไม่น่าเชื่อถือ เพราะเรื่องสายสืบนั้น คุณมั่วเองครับว่า มีสายรายงานคนเดียว ทั้งๆที่ไม่ใช่ แต่ที่ปฏิเสธนั้น เพราะไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ก็แค่นั้น และแน่นอน ฮะดีษเมากูฟ นั้น ไม่ใช่คำพูดท่านนบี แต่เป็น คำพูดของ สาวกท่านนบีครับ จึงไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอ เราพิจารณาที่สายรายงานเท่านั้น บอกไปกี่ครั้งก็ไม่ฟัง คนที่เมาแปร้ก็น่าจะแมทท์นี่แหละครับ สุดท้าย กับแค่คำว่า สายรายงาน กับผู้บันทึก ยังไม่รู้ว่าต่างกันอย่างไร แต่ดันทะลึ่งมาตั้งกระทู้แล้ว ก็ต้องดำน้ำไปให้จบ น่าสมเพชจริงๆ เอ้าแถกันต่อไป คำถามเดิมยังไม่ตอบ ตั้งกระทู้ถามแล้วก็ไม่ตอบ ผมก็จะถามต่อไปครับเพราะประจาน สันดานโกหกมดเท็จของแมทท์ต่อไป ส่วนเรื่องความจำนั้นน่ะ ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺครับ แล้วแต่อัลลอฮฺจะให้กับใคร มันไ่ม่ใช่ประเด็นต้องเฉไฉ หนีมากี่รอบ ตอบมาซะดีดีครับ ไอ้โกหก (ฉายานี้ผมว่าเหมาะกับคุณดีนะครับ) คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ สายรายงานคนเดียวเท่านั้น ไปเอามาจาก ตำราไหนครับ ไม่ต้องมาเบี่ยงเบนด้วยคำว่ากระต่ายตื่นตูมหรอกครับ ผมถามคุณ แบบนี้มาตลอด คุณก็ยังไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น นอกจากคำว่ายกเมฆซึ่งผมก็ไม่พบว่ายกเมฆตรงไหน  จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:24:57

ความคิดเห็นที่ 40 ปล่อยเค้าไป ดีกว่าครับคุณแมทท์ รายนี้ เห็นชัดเจนว่า ถ้าให้เลือก ปกป้อง อัลกุรอาน หรือ ปกป้องฮะดิษ เค้าเลือกอะไร เค้าแทบไม่สนด้วยซ้ำว่า อายะห์อัลกุรอานถูกย่ำยีอย่างไร อัลกุรอาน อายะห์ จากพระเจ้า   กับ ฮะดิษจากมือคนที่ชอบถ่ายทุกข์กลางแจ้ง ในเมื่อเค้าเลือกแล้วก็ให้เค้า ถ่ายทุกข์กลางแจ้งตาม ความเชื่อ เค้าไป ผมว่า รายนี้คงต้องไปล่อยวาง และ แค่นี้ คนที่อยากเรียนรู้ก็น่าจะได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ^^ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 00:08:06

ความคิดเห็นที่ 41 คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ .............   ผมพยายามจะกล่าวอย่างสุภาพว่า "สายรายงานเพียงคนเดียว คือ ตัวอิมามบุคอรีย์" ซึ่ง ยกเมฆ หรือปั้นน้ำเป็นตัว รายงานให้เราฟัง,  ผลงานของอีมามบุคอรี ก็คือ การรวบรวมรายงาน ต่างๆ เป็นบันทึกรายงานต่อชนรุ่นหลังๆเพี่อ จะได้ รับรู้ รายงาน นิทานต่างๆจาก นักเล่านิทานทั้งหลาย   แต่ความจริงผมเขียนเชิง ประชดประชัน โดยใช้ "ความเขลา" อธิบายในระดับเดียวกับ สติปัญญาของคนรับสื่อ แต่น่าประหลาดใจยิ่ง "คุณก็ยังไม่เข้าใจอีก"  จะต้องใช้ความเขลาระดับ "ต่ำกว่านี้อธิบายเพิ่มเติมอีกหรือ?"    ผมลงต่ำได้เท่านี้ครับ คุณต้องช่วยตัวเอง ....ส่วนเรื่อง เอาเราะห์นั้น คุณทำเป็น ไม่ฉลาดได้แนบเนียนมากทีเดียว ว่าไงครับ..  คุณ แคโรทผมถามว่า  ว่า ระหว่างอีมามบุคอรี กับท่าน รอซูล ใครมี ความจำดีกว่ากัน? คุณทราบไหม?^^ ............. คุณ Yaoharee :    ผมมีความสุขและสดชื่นดี..ทุกๆครั้งที่เสวนา กับคุณ แคโรท  ถ้าง่วงนอนดึกๆ ถ้าจะให้หายง่วงต้อง เข้ามาหาคุณแครอทคุยด้วย หรือ อ่านการสนทนา ระหว่างคุณกับคุณแคโรท  โดยเฉพาะ เรื่อง "ซัยตอนในร่างของสุนัขดำ", และ "ลิงมีชู้"  เป็น นิยายดีๆทั้งนั้น    มีเวลาก็เขียนต่อซิครับผมว่ามีคนชอบอ่านมากทีเดียว จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 01:04:10

ความคิดเห็นที่ 42 ขอกลับมาที่ เรื่อง การพิจารณา ฮาดีษ ระดับ ซอเฮี๊ยะ  ต่อ ขณะนี้ เพื่อนๆทุกๆท่านคงทราบ ดีแล้วว่า "ฮาดีษ" คืออะไร? และมีความหมายกว้างขวาง ครอบจักวาลมากมายอย่างไร?  ซึ่งไม่ว่าเราจะหาอะไร เกี่ยวกับเรื่อง อรับมุสลิม เราจะพบคำตอบ ทุกๆอย่าง ในทุกๆทาง  อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  มีฮาดีษอยู่หลายบทที่เกี่ยวกับ การลงโทษสังหารด้วย การขว้างปาด้วยหินจนตาย  ฮาดีษบทนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี ในการที่จะแสดงให้เห็นว่า คณะท่านผู้รู้ต่างๆ พยายามที่จะ ยัดเยียดและ ต่อเติม บัญญัติใน คัมภีร์อัลกุรอาน  อย่าง ไร้จรรยาธรรม  และ คุณธรรม ต่อมนุษย์ชาติ เป็นการ คดโกง ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ของพระเจ้าและมนุษยชาติ อย่างไม่เกรงบาป และไม่มีความละอายต่อการกระทำของเขาเหล่านั้น,  มีมุสลิมทั้งหญิงและชาย ซึ่ง 99.99 % เป็นหญิง ต้องถูกสังหาร อย่า ทรมาณ และ ป่าเถื่อนที่สุด ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติตามบรรทัดฐานของหลักการอิสลาม, พวกเขาได้ถูก พวก ปราชญ์ในศาสนาอิสลาม บางกลุ่ม ที่ยังติดนิสัย และสัญชาติญาณของ อรับในยุคป่าเถื่อน นำการลงโทษที่อยู่นอกเหนือจาก ขอบเขตุกำหนดของ อิสลาม มาบัญญัติเป็นกฏหมาย โดยอาศัย ฮาดีษ ต่างๆที่มีข้อความ คล้ายกับ ฮาดีษ ข้างล่างนี้ เป็นเหตุผลในการ ออกกฏหมาย ที่เรียกว่า กฏหมาย "อรับอิสลาม" ในเรื่องนี้ .. มุสลิม ฮาดีษซอเฮี๊ยะ : เล่มที่ 017, หมายเลขที่ 4194:   นาย Abdullah b. 'Abbas รายงานว่า   ท่าน Umar b. Khattab  นั่ง อยู่บน  ธรรมาสน์  ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, และกล่าวว่า  อย่างแน่แท้ พระเจ้าได้สงศาสนทูตมาด้วยความแท้จริง, และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์(อัลกุรอาน) ของพระองค์มาพร้อมกันด้วย,  และบัญญัติในเรื่อง “การลงโทษประหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย” ได้รวมอยู่ในสิ่ง (อัลกุรอาน) ที่พระองค์ประทานให้กับท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, เราได้ท่องบัญญัตินั้นอย่างขึ้นใจ, และบันทึกไว้ในความทรงจำของเรา, และด้วยความเข้าใจในบัญญัตินั้น (การลงโทษประหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย)    ศาสนทูตมูฮัมมัด ได้เคยมีคำสั่งใน การลงโทษประหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย (ในการทำผิดเรื่องชู้สาวทั้งชายและหญิงที่แต่งงานแล้ว),และหลังจากที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดสิ้นชีวิตแล้ว, ฉันเกรงว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า, ผู้คนจะพากันหลงลืม (บัญญัตินี้), และจะพากันกล่าวว่า, “เราไม่เห็นว่ามีบัญญัติ   การลงโทษประหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย ในคัมภีร์ของพระเจ้า”, ด้วยเหตุนี้ จะทำให้ผู้คนหลงไปจากทางของพระเจ้าในการละทิ้งหน้าที่ซึ่งเป็นคำสั่งของพระเจ้าอย่างแจ้งชัด     การลงโทษประหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย, เป็นหน้าที่(ของมุสลิม) ที่พระเจ้าบัญญัติไว้ใน หนังสือของพระองค์ (อัลกุรอาน) สำหรับชาย หรือ หญิงที่แต่งงาน แล้ว (กำลังอยู่กินกันเยี่ยงสามีภรรยา) ผู้ซึ่งกระทำการสมสู่ชู้สาว กับ ชาย หรือหญิง อื่น ซึ่งได้รับการพิสูจน์และสอบสวนความเท็จจริงแล้ว, หรือมีการตั้งครรภ์, หรือคำสารภาพ โปรดอ่านเนื้อหาของ ฮาดีษบทนี้อย่างละเอียด  ถ้าท่านผู้ใดไม่ชอบการแปลของผม  จะไปหาอ่านต้นฉบับ ภาษาอรับ หรือภาษาอังกฤษ  อ่านและแปลเอาเองได้ตามสดวกครับ มีอยู่ทั่วไปตามเวบ มุสลิมต่างๆ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 04:41:14 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 01:34:53 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 01:31:58 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 01:27:35

ความคิดเห็นที่ 43 เอาล่ะ สรุปโดย ตัดน้ำออกไปจากเนื้อ หรือตัดสิ่งไร้สาระออกจากเนื้อหาให้หมด ก็สรุปได้ว่า คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ คำพูดนี้ แมทท์ไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้นะครับ จึงทำได้แค่ แถ และเบี่ยงเบนประเด็นไปก็เท่านั้น ผมบอกแล้วครับว่า การบอกว่าเป็นเรื่องยกเมฆ ยิ่งเป็นการกล่าวหาแบบปากพล่อยเข้าไปใหญ่ เพราะการจะรายงานนั้น ต้องสืบสายรายงานครับ ฮะดีษไม่ใช่ๆ อยู่จะมาอ้างสายรายงานได้พล่อยๆ เพราะ 1. ตัวผู้รายงาน ไม่ใช่กุเองได้ครับ ต้องมีตัวตนจริง และเป็นที่รู้จัก 2. เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมหมายความว่าแต่ละฮะดีษ เป็นที่เล่า และรายงานกันอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านอิหม่ามบุคอรีเป็นผู้ตรวจสอบครับ 3. อิหม่ามบุคอรีนั้น ไม่ใช่ผู้มีสิทธิขาดในการวินิจฉัยฮะดีษ แต่จะมีผู้ตรวจสอบอื่นด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นการโกหกใส่ฮะดีษครับ ว่าฮะดีษนี้ยกเมฆ หรือมีสายรายงานเดียว ไม่ว่าจะอ้างอะไร จะกล่าวหาอย่างไร ฮะดีษนั้นไม่มีทางยกเมฆ หรือกุสายรายงานได้ ไม่ต้องลงต่ำ ขึ้นสูง เพราะคุณมันก็ต่ำของคุณแบบนี้อยู่แล้ว แล้วมันก็ต่ำไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ เพราะความปากพล่อยโดยสันดานของคุณเอง แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 06:12:39 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 06:11:25

ความคิดเห็นที่ 44 เอาล่ะ เพื่อตอกย้ำความโง่เขลา ของแมทท์ ที่คิดว่าฮะดีษ กุสายรายงาน และยกเมฆกันได้ ก็ต้องอ่านบทความนี้ครับ หุก่มของหะดีษมุอัลลั๊ก หะดีษมุอัลลั๊กใช้เป็นหลัฐานไม่ได้ เพราะสายรายงานขาดตอนและเราไม่สามารถทราบว่าผู้รายงานที่ถูกตัดออกจากสายรายงานนั้นมีสถานภาพเช่นไร เชื่อถือได้หรือไม่ ในกรณีนี้ยกเว้นหะดีษมุอัลลั๊กในตำราศอหี้หของบุคอรีย์ ซึ่งมีจำนวน 1,341 หะดีษ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นหะดีษฎออีฟที่ขาดตอนแต่อย่างใดเพราะท่านอิบนุหะญัร ได้ติดตามตรวจสอบพบว่าทุกหะดีษมีสายรายงานติดต่อกันและถูกต้อง  ท่านอิบนุหะญัรได้เรียบเรียงหนังสือ (ตัฆลีกุต ตะอฺลีก)تغليق التعليق   เพื่อชี้แจงสถานภาพหะดีษมุอัลลั๊กในตำราศอหี้หของบุคอรีย์โดยเฉพาะ  ส่วนในตำราศอหี้หของอิมามมุสลิมมีหะดีษมุอัลลั๊กอยู่ 3 บท จะเห็นได้ว่า ผู้บันทึกฮะดีษไม่ได้วางกฎเกณฑ์ การรายงานฮะดีษ หรือพิจารณาฮะดีษ แล้วมายกย่องหนังสือตัวเองว่าดีได้โดยพละการ แต่จะมีผู้ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา การอ้างว่าฮะดีษนั้นไม่น่าเชื่อถือ หรือยกเมฆของแมทท์ จึงมีแต่เฉพาะคำกล่าวหาของแมทท์เท่านั้น แต่ไม่มีการตรวจสอบ และไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาบ่งบอกได้เลยว่าฮะดีษนี้ยกเมฆ เอาแค่ว่า ผู้รายงาน กับผู้ฮะดีษต่างกันอย่างไรแมทท์ยังไม่รู้เลย ดังนั้น ผมว่าแมทท์ ที่ต่ำอยู่แล้ว ก็คงลงต่ำได้อีก เพราะก็เริ่มตกต่ำ ลงเรื่อยๆ แล้ว จากตอนแรก ไปลอกบทความคนอื่นมาลง พอบทความหมดสต๊อก หมดความน่าเชื่อถือ ก็ต้อง มาโมเม มั่วนิ่ม ให้คนอื่นเขาจับได้ อีก คุณมันเหมาะกับสมญานาม "ไอ้โกหก" ซะจริงนะครับ เพราะคุณชอบโกหกจนเป็นสันดานอยู่แล้ว และก็มีลูกน้องมาคอยตามเชลียร์ยกหากเป็น "ไอ้มักง่าย" อีกคน แหม พวกไม่เอาฮะดีษนี้ คุณภาพมากจริงๆนะครับ คุณภาพด้านความเลวน่ะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 06:19:59

ความคิดเห็นที่ 45 ก่อนอื่นต้องอธิบายให้คุณเข้าใจเสีก่อนว่า วิชาการฮาดีษนั้น มีโปสต์อยู่ทั่วไป ที่ผมเอามานะมันเป็นข้อเขียนของ นศใปริญญาโท ที่สงขลา ซึ่งมีอยู่ในทุกๆเวบมุสลิม  ไม่มีประโยชน์ สำหรับผม แต่เป็นหลักฐานที่ คุณใช้กัน จึงนำมาอ้างอิง  เนื่องจากวิชาการฮาดีษ ไม่ใช่ วิทยาการ แต่เป็น เรื่องบอก เล่า ซึ่งหา คำจำกัดความ ในตัวเอง โดยเฉพาะไม่ได้ และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เพียง สอง ประการเท่านั้น คือ  ของจริงหรือไม่จริง หรือ ตามหัวข้อกระทู้ที่ว่า    "ตามนั้นเลยครับ เรื่องจริงมันเป็นแบบนั้น แต่เรื่องจริงมันไม่เป็นแบบนั้น" คุณลองคิดดูแล้วกันจากข้อสังเกตุนี้  มีตรรกะอะไรที่ไหนบ้างที่ จะอธิบาย สิ่งที่ไม่จริงให้เป้นความจริงที่สุดได้ เหมือนกับวิชาการฮาดีษ  ฮาดีษที่เป็นเรื่องโกหก สามารถที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็น ซอเฮ๊ยะ ได้ ถ้าในภายหลังมีคนมาช่วยโกหก หลายๆคนเข้า  ลองอ่านขบวนการดูซิครับ  จะเห็นได้ง่ายๆถ้า อธิบายเป็นภาษาไทยล้วนๆ แม้แต่ ซื่อต่างๆของฮาดีษในทุกๆระดับ ไม่ต้องเอาชื่อภาษาอรับเลย แล้วคุณจะเห็นว่า มันไม่มี "มัลติ๊ก" เลยครับ..ฮุฮุ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 11:14:05

ความคิดเห็นที่ 46 เอาล่ะ สรุปโดย ตัดน้ำออกไปจากเนื้อ หรือตัดสิ่งไร้สาระออกจากเนื้อหาให้หมด ก็สรุปได้ว่า คุณแคโรทจะเห็นได้ว่า ฮาดีษ   Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203 นี้ ตกจาก ตำแหน่ง หะดีษศอหี้หฺ ไปตั้งแต่ คุณสมบัติ ข้อแรกแล้ว “คือสายรายงาน”  มีคนเพียง คนเดียว คือ ตัวอีมาม บุคอรี เท่านั้นที่ คำพูดนี้ แมทท์ไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้นะครับ จึงทำได้แค่ แถ และเบี่ยงเบนประเด็นไปก็เท่านั้น ผมบอกแล้วครับว่า การบอกว่าเป็นเรื่องยกเมฆ ยิ่งเป็นการกล่าวหาแบบปากพล่อยเข้าไปใหญ่ เพราะการจะรายงานนั้น ต้องสืบสายรายงานครับ ฮะดีษไม่ใช่ๆ อยู่จะมาอ้างสายรายงานได้พล่อยๆ เพราะ 1. ตัวผู้รายงาน ไม่ใช่กุเองได้ครับ ต้องมีตัวตนจริง และเป็นที่รู้จัก 2. เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมหมายความว่าแต่ละฮะดีษ เป็นที่เล่า และรายงานกันอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านอิหม่ามบุคอรีเป็นผู้ตรวจสอบครับ 3. อิหม่ามบุคอรีนั้น ไม่ใช่ผู้มีสิทธิขาดในการวินิจฉัยฮะดีษ แต่จะมีผู้ตรวจสอบอื่นด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นการโกหกใส่ฮะดีษครับ ว่าฮะดีษนี้ยกเมฆ หรือมีสายรายงานเดียว ไม่ว่าจะอ้างอะไร จะกล่าวหาอย่างไร ฮะดีษนั้นไม่มีทางยกเมฆ หรือกุสายรายงานได้ ไม่ต้องลงต่ำ ขึ้นสูง เพราะคุณมันก็ต่ำของคุณแบบนี้อยู่แล้ว แล้วมันก็ต่ำไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ เพราะความปากพล่อยโดยสันดานของคุณเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 17:15:44

ความคิดเห็นที่ 47   ฮาดีษที่เป็นเรื่องโกหก สามารถที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็น ซอเฮ๊ยะ ได้ ถ้าในภายหลังมีคนมาช่วยโกหก หลายๆคนเข้า  ลองอ่านขบวนการดูซิครับ อ่านซะหลายๆ รอบนะครับ ฮะดีษมุตะวาติร          คำว่า มุตะวาติร  ทางด้านภาษามีความหมายว่า ต่อเนื่อง,ไม่ขาดสาย แต่คำนี้ถูกนำมาใช้ในแวดวงของวิชาฮะดีษมีความหมายว่า ฮะดีษที่มีผู้รายงานจำนวนมากทุกระดับ และเป็นฮะดีษที่ถูกรายงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้รายงานได้รับการถ่ายทอดมาด้วยตัวเอง และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้รายงานเหล่านั้นจะร่วมกันกล่าวเท็จ          คำว่า ผู้รายงานมีจำนวนมากทุกระดับ หมายถึงตั้งแต่ในยุคของศอฮาบะห์ สู่ยุคตาบีอีนเรื่อยมาจนกระทั่งถึงผู้บันทึก ส่วนในด้านจำนวนของผู้รายงานนั้น นักวิชาการฮะดีษแต่ละท่านระบุจำนวนไม่ตรงกัน บางท่านว่า จำนวนผู้รายงานต้องมี  10 คนขึ้นไป,บางท่านว่า 20, บางท่านว่า 40 บางท่านก็ว่า 70 เป็นต้น แต่ก็ไม่มีนักวิชาการท่านใดกำหนดจำนวนสูงสุดของผู้รายงานไว้ แต่จะกล่าวกันว่าอย่างน้อยต้องมีกี่คนขึ้นไป          ในกรณีที่บรรดาผู้รายงานจำนวนมากนั้นมีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมรวมอยู่ด้วยกลุ่ม หนึ่ง จะถือว่าฮะดีษนั้นเป็นมุตะวาติรหรือไม่ ซึ่งในมุมมองของท่านอิหม่ามนะวาวีย์นั้น เห็นว่า ไม่มีเงื่อนไขใดๆเลยที่จะกำหนดว่าผู้รายงานฮะดีษมุตะวาติรนั้นจะต้องเป็น มุสลิมเท่านั้น  แต่นักวิชาการโดยส่วนใหญ่ให้น้ำหนักว่า จะถือว่าเป็นฮะดีษมุตะวาติรก็ต่อเมื่อมีมุสลิมที่เชื่อถือได้ร่วมอยู่ในการ รายงานนั้นด้วย เพราะเป็นหลักขั้นพื้นฐานของผู้รายงานฮะดีษว่า จะต้องเป็นผู้เที่ยงธรรม มีความแม่นยำในการรายงาน และจะต้องเป็นมุสลิม          ส่วนในกรณีที่ในกลุ่มผู้รายงานเป็นเด็กส่วนมาก จะถือว่าเป็นฮะดีษมุตะวาติรหรือไม่ เช่นในกลุ่มผู้รายงานมีผู้ใหญ่ 2 คนและมีเด็ก 15 คนเป็นต้น ประเด็นนี้อยู่ในกรณีของผู้รายงานที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ซึ่งให้รับการรายงานของเด็กนั้นไว้ก่อน แต่เมื่อเขาบรรลุศาสนภาวะและยืนยันคำรายงานก็จะถือว่าครบเงื่อนไข          นอกจากนั้นแล้วผู้รายงานจำนวนมากแต่ละระดับนั้นจะต้องได้รับการถ่ายทอดฮะดี ษมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฟังต่อจากผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง เช่นบรรดาศอฮาบะห์จำนวนมากได้ยินหรือได้เห็นจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม หรืออยู่ร่วมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง และในยุคของตาบีอีนก็เช่นเดียว ที่จะต้องมีจำนวนมากและได้ฟังการถ่ายทอดจากบรรดาศอฮาบะห์ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฟังจากตาบีอีนด้วยกันเล่าต่ออีกทอดหนึ่ง ประเภทฮะดีษมุตะวาติร          ฮะดีษมุตะวาติร จำแนกเป็นสองประเภทคือ มุตะวาติรลัฟซีย์  และ มุตะวาติรมะอ์นาวีย์ มุตะวาติรลัฟซีย์          คือฮะดีษที่มีผู้รายงานจำนวนมากและมีคำรายงานตรงกันตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวอย่างเช่นฮะดีษต่อไปนี้ مَنْ كَذَبَ عَلَيَّ مُتَعَمِّداً فَلْيَتَبَوَّأ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ          ฮะดีษบทนี้มีผู้รายงานจำนวนมากทุกระดับและรายงานถ้อยคำนี้ตรงกัน ตัวอย่างผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์เช่น ซุบัยร์ อิบนุลเอาวาม, อนัส บินมาลิก, ซะละมะห์ บินอัมร์, อบูฮุรอยเราะห์, อัลมุฆีเราะห์ อิบนุซัวอ์บะห์, อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์, อบูซัรริน อิลฆิฟารีย์, อบูสอี๊ด อัลคุ๊ดรีย์, อับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ด, อับดุลลอฮ์ อิบนิอับบาส, อาลี อิบนิอบีตอลิบ, ญาบิร บินอับดิลลาฮ์ อัลอันศอรีย์, อบูก่อตาดะห์, อับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัร, อุสมาน บินอัฟฟาน, อุมัร อิบนุลค๊อตต๊อบ, ก๊อยซ์ บินสะอด์, อุกบะห์ อิบนุอามิร, ซะอด์ บินมาลิก, อับดุลเราะห์มาน บินเอาวฟ์, มุอาวียะห์ อิบนิอบีซุฟยาน, เซด อิบนุอัรกอม, ยะอ์ลาอ์ อิบนุมุรเราะห์, คอลิด อิบนุอุรฟุเฏาะ มุตะวาติรมะอ์นะวีย์          คือฮะดีษที่มีผู้รายงานจำนวนมากและมีเนื้อหาความหมายเดียวกัน แต่คำรายงานอาจจะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ฮะดีษที่ 1 رفع اليدين فى الدعاء ฮะดีษที่ 2 رفع يديه فى الدعاء            เรา ได้เห็นความแตกต่างในคำรายงานของฮะดีษทั้งสองบทข้างต้นคือ ฮะดีษที่ 1 ใช้คำว่า  اليدين  ส่วนฮะดีษที่ 2 ใช้คำรายงานว่า  يديه     แต่ความหมายและเป้าหมายของฮะดีษทั้งสองนี้เพื่อยืนยันว่าท่านนบียกมือใน ขณะขอดุอาอ์ สถานะของฮะดีษมุตะวาติร          ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ฮะดีษมุตะวาติร นั้นคือฮะดีษที่มีผู้รายงานจำนวนมากทุกระดับและเป็นไปไม่ได้ที่บรรดาผู้ รายงานจะร่วมกันกล่าวเท็จ เพราะฉะนั้นฮะดีษมุตะวาติรจึงใช้เป็นตัวบทหลักฐานทางศาสนาได้โดยไม่ต้อง สงสัย ถ้าเป็นอย่างที่ แมทท์อ้างลอยๆ โดยไม่ได้คิดซะก่อนว่า เป็นซอเฮียะห์ได้ ถ้ามีคนช่วยกันโกหก ล่ะก็ นั่นหมายความว่า คนทั้งหมด ตั้งแต่คนรายงาน คนบันทึก คนตรวจสอบ ต้องเป็นคน โกหกแบบแมทท์กันหมดซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ครับ และที่สำคัญคือ แต่ละคน ก็อยู่คนละที่ไม่ได้มาประชุมกันเพื่อโกหกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และผู้ตรวจสอบ ก็ไม่ใช่แค่ผู้รวบรวมมาบันทึกเท่านั้น แต่ มีผู้ตรวจสอบหลังจากนั้นด้วยครับ การอ้างว่ายกเมฆ หรือรวมหัวกันโกหก จึงข้ออ้างยกเมฆ และไร้สาระซะเอง แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 17:24:29 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 17:21:07

ความคิดเห็นที่ 48 ตอนแรก ก็นึกว่าฮะดิษ เป็นคำบอกเล่าจากนบีอย่างเดียว พอรู้ว่า ออกจากปากใครก็ได้ในสมัยนั้นที่อยู่ใกลๆ้ หรือ เกี่ยวข้อง พอประมาณอย่างถูกใจคนเชื่อ ก็รวบมาหมด  พูดตรงๆ รับไม่ได้เลย กับระบบจัดการการบอกเล่า ถึงแก่นศาสนาที่ทำได้แย่มากๆ แถมเอามาเป็นคำสอนเป็นเรื่องเป็นราว ในเมื่อใครเล่าก็ได้  ผมว่ามันหนักกว่าศาสนาอื่นที่เค้าทำสังคยนากันอีก เพราะนอกจากอาจจะมั่ว ใครพูดก็ได้ที่ไม่ใช่ท่านศาสดา แถมถ้ามีคนถูกใจบอกว่าน่าเชื่อถือ แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันดูแย่และงมงาย เหมือนขูดกล้วยขอหวยยังงัยไม่รู้ครับ ^^ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 23:59:06

ความคิดเห็นที่ 49 คุณรู้สึกแบบงั้น เพราะคุณมันเป็นคนมักง่าย และขาดการศึกษาน่ะสิครับ เอาแค่ที่ผมเอามาให้อ่าน ยังอ่านไม่หมดแล้ว คนอย่างคุณ มันจะไปคุยเรื่องที่หนักกว่านี้ เช่นเรื่องศาสนาได้ยังไง? ผมถึงบอกไงครับว่า ฮะดีษซอเฮียะห์ แต่ไม่ใช่ฮะดีษนบี ฮะ ดีษคือ รวมถึงคำพูดและการกระทำของศอฮาบะห์และตาบีอีนด้วย โดยจัดแยกประเภทไว้คือ สิ่งที่มาจากนบีจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมัรฟัวอ์ สิ่งที่อ้างถึงศอฮาบะห์จะถูกเรียกว่า ฮะดีษเมากูฟ และสิ่งที่อ้างถึงตาบีอีนจะถูกเรียกว่า ฮะดีษมักตัวอ์ ไม่ใช้ คำพูดหรือการยอมรับของท่านนบีแต่อย่างใด และมุสลิมไม่ได้นำมาใช้เป็นหลักปฏิบัตินะครับ อัน ที่จริงแล้วหะดีษต้นนี้แม้จะเป็นหะดีษที่ถูกบันทึกอยู่ในบุคอรีอันเป็น ตำราที่มีระบบการสืบสายรายงานบุคคลผู้รายงานหะดีษอย่างเข้มงวดถูกต้องก็ตาม แต่ มิได้หมายความว่าทุกๆหะดีษในตำราเล่มนี้จะสืบรายงานไปยังท่านรอซูลหรือพูดใน อีกแง่หนึ่งอาจจะมีบางรายงานที่ไม่ใช่หะดีษของท่านรอซูลหากแต่เป็นเพียง ทัศนะหรือคำพูดของใครบางคนเท่านั้น ซึ่งทัศนะหรือคำ พูดของใครบางคนเหล่านี้จะไม่ใช่หลักฐานหรือสิ่งวายิบให้เราต้องเชื่อเสมือน กับคำพูดและการกระทำของท่านรอซูล ศ็อลฯ ผมย้ำไปในความคิดเห็นแรกๆ เลยนะครับ ไม่ใช่เพิ่งมาพูด ซึ่งมันต่างกับการมานั่งตีความกุรอ่านเอาตามใจ เป็นไปตามกระแสสังคม และตามค่านิยมกาเฟรฺ ถ้าเลิกทำตัวมักง่าย แล้วหันมาอ่านอะไรให้ละเอียด ก็จะดีขึ้นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 16:40:25

ความคิดเห็นที่ 50 ผมอ่านๆมา 2 กทู้แล้ว ผมว่า Yaoharee  พูดจาภาษาคนมากที่สุด คือ อ่านแล้วรู้เรื่อง ส่วนคุณ แมทท์ อ่านรู้เรื่องรองลงมา ส่วนคุณ Carroth ผมอ่านแล้วปวดตับ บ่นไรวะเนี่ย -------- สรุป บางคนบอกว่า เจอหมาน่ารักขนดำ มีจุดขาวที่ตาให้ฆ่า จะได้บุญ บางคนบอกไร้สาระ จะไปฆ่าทำไม บางคนบอกคนเราควรขี้กลางแจ้ง มีเซ็กซ์กลางแจ้ง บางคนบอกไม่ควร จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 15:46:35