ท่าน จขกท. สองนิ้วชี้ ขอความเห็นเพิ่ม ในสายสมถ(นั่งสมาธิ ?) เพื่อสัมมาสมาธิ ?
ซึ่ง คห.ในส่วนนั้นผมไม่มี เพราะไม่ได้ปฏิบัติอย่างนั้น ในความเข้าใจผม
- สมถ หมายถึง การกดข่ม กิเลสโลภ,โกรธ,กามราคะฯลฯที่เกิดจาก
รูป,เสียง,กลิ่น,รส,ผัสสะในชีวิตประจำวันขณะนั้นๆ เท่าที่มีสติระลึกได้
- วิปัสสนา หมายถึง ใช้ปัญญาพิจารณากิเลสเหล่านั้นตามความเป็นจริง
ให้เห็นถึงโทษ ความไม่น่ายินดีฯลฯ จนจิตเห็นจริง จางคลาย,ลดละกิเลสนั้นได้
- นั่งสมาธิ(เจโตสมถ) หมายถึง (นั่ง)สงบรวมจิตให้นิ่ง ใช้เป็นการพัก
ใช้ระลึกทบทวนสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ใช้ตั้งใจแก้ใขในสิ่งที่ผิดพลาด, ตั้งใจทำดี
- กรรมฐาน ผมเข้าใจว่า เป็นกรรมกิริยาที่เป็นฐานในการปฏิบัตินั้นๆ
ส่วนสัมมาสมาธิ มีการปฏิบัติ(สรุปจากที่ฟังท่านอธิบาย)เพื่อให้ถึง ดังนี้
ก่อนอื่นใด ต้องทำสัมมาทิฐิให้เกิดขึ้นก่อนโดย ปัจจัย ๒ ประการคือ
๑. ปรโตโฆสะ (ความได้สดับฟังสัจจะอื่น จากผู้รู้อื่นๆหรือบัณฑิตอื่น)
๒. โยนิโสมนสิการ (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ถ่องแท้
ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิดคือ..ใจ) (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๒ ข้อ ๔๙๗)
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ที่จะเกิดขึ้นมีดังนี้
๑ อัตถิ ทินนัง ทานที่ให้แล้ว มีผล ทาน ให้ มีใจเสียสละ
๒ อัตถิ ยิฏฐัง ยัญพิธีที่บูชาแล้ว มีผล ศีล
๓ อัตถิ หุตัง สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ภาวนา
๔ อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก ผลวิบาก ของกรรมที่ทำดีทำชั้วแล้ว มีอยู่
๕ อัตถิ อยัง โลโก โลกนี้มี รู้ เห็น เข้าใจ สภาวจิตปัจจุบัน
๖ อัตถิ ปโร โลโก โลกหน้ามี รู้ เห็น สภาวจิตที่เปลี่ยนไป จากการปฏิบัติ
๗ อัตถิ มาตา มารดามี
๘ อัตถิ ปิตา บิดามี
๙ อัตถิ สัตตา โอปปาติกา สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ มี
๗,๘ หมายถึงคู่ ธรรมที่ทำให้เกิด ๙ เช่น ศีล ลับปํญญาให้เฉียบคม ปัญญา ชำระศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อปฏิบัติทั้งคู่ให้เจริญขึ้น จิตจะสงบลงเป็นสมาธิ เป็นต้น
๑๐ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคตา ส้มมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
สมณพราหมณืทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่
ต่อไปก็เริ่มทำมรรคข้ออื่นๆคือ
...ทุกเรื่องราวที่เราคิด(ให้เป็นสัมมาสังกัปปะ)
สัมมาสังกัปปะ ๓ (ที่ยังเป็นสาสวะ อันเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ )
๑. ความดำริออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปโป)
๒. ดำริในความไม่พยาบาท (อพยาปาทสังกัปโป)
๓. ดำริในความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสาสังกัปโป)(พระไตรปิฎกเล่ม๑๔ ข้อ๒๖๒)
...ทุกกิจที่เราทำ(ให้เป็นสัมมากัมมันตะ)
สัมมากัมมันตะ ๓ (ที่ยังเป็นสาสวะ อันเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ )
๑. งดเว้นจากปาณาติบาต (ปาณาติปาตา เวรมณี)
๒. งดเว้นจากอทินนาทาน (อทินนาทานา เวรมณี)
๓. งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร (กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี) (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๒๗๒)
...ทุกคำที่เรากล่าว(ให้เป็นสัมมาวาจา)
สัมมาวาจา๔ (ที่ยังเป็นสาสวะ อันเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ )
๑. งดเว้นจากการ พูดเท็จ (มุสาวาทา เวรมณี)
๒. งดเว้นจากการ พูดส่อเสียด (ปิสุณาย วาจาย เวรมณี)
๓. งดเว้นจากการ พูดคำหยาบ (ผรุสาย วาจาย เวรมณี)
๔. งดเว้นจากการ เจรจาเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปา เวรมณี) (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๒๖๗)
...ทำงานอาชีพ(ให้เป็นสัมมาอาชีวะ)
สัมมาอาชีวะ ๕ (ที่ยังเป็นสาสวะ อันเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ )
๑. งดเว้นจาก การโกง (กุหะนา)
๒. งดเว้นจาก การล่อลวง (ลปะนา)
๓. งดเว้นจาก การตลบตะแลง (เนมิตตกะตา)
๔. งดเว้นจาก การยอมมอบตนในทางผิด (นิปเปสิกะตา)
๕. งดเว้นจาก การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนะตา)
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๗๕)
"ทำ"มรรคทั้ง๔ข้อที่กล่าวมานี้โดย
... มีจิตรับรู้ (สติสัมโพชฌงค์, สัมมาสติ)
... ดูว่าควรหรือไม่ (ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์)
... เพียรทำแต่สิ่งที่ดีๆ (วิริยะสัมโพชฌงค์, สัมมาวายามะ)
แล้วจะเกิด
...ความอิ่มใจ(ปิติ)
... ความสงบ(ปัสสัทธิ)
... ความตั้งมั่น(สมาธิ)
... เห็นตามความเป็นจริง(อุเบกขา)
เห็นได้ว่า มรรค เป็นแบบที่ให้ทำ, ส่วนการปฏิบัติคือโพชฌงค์