ความคิดเห็นที่ 1 ในบทนำของคุณไมเคิล ในลักษณะงานของเขา เขาใช้คำว่า psychic ถ้าไม่ชอบคำว่า psychich (พลังจิต) ก็จะมีคำอื่นๆที่นิยมใช้กันคือ - clairvoyant เห็นในดีวีดีแปลว่า ญาณทิพย์ ตาทิพย์ - medium สื่อกลาง คนทรง - intuitive counselor ที่ปรุึกษาพิเศษ - panornma detective นักสืบด้านปรากฏฏารณ์เหนือธรรมชาติ อาชีพของคุณไมเคิล เขาใช้พรสวรรค์ที่เห็นวิญญาณคือการคุยกับผี ตามความประสงค์ของลูกค้าค่ะ    ถ้าตามข่าวจะเห็นว่า คนดังฮอลีวู๊ดก็ใช้ความสามารถของคนปราบผี มาเคลียร์ผีหรือวิญญาณออกจากห้องในโรงแรมก่อนเข้าพัก (ปล อันนี้ไม่เกี่ยกับพวก read mind แบบจิตวิทยาน่ะคะ) จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 07:45:27

ความคิดเห็นที่ 2 คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นวิญญาณ โดยเฉพาะสังคมตะวันตกแม้จะเติบโตมากับคำว่าวิทยาศาสตร์ แต่บรรยายกาศทางสังคมก็อบอวลไปด้วยเรื่องความเชื่อเหล่านี้เป็นอย่างมากเหมือนสังคมของเราค่ะ    ที่มีเรื่องราวของ ผี ปีศาจ ตามหมู่บ้าน บ้าน จะเห็นภาพข่าวมีหมอผีไปปราบผีนั่นเอง   เราเสพเรื่องผี ผ่านประเพณีวัฒนธรรมตนเอง อาทิ เพื่อนเล่า พ่อแม่เล่า ปู่ย่าตายายเล่า ดูทีวี การ์ตูน หนังสือ ทีวี ภาพยนตร์ เราเห็นผีผ่านเรื่องเหล่านี้ค่ะ แต่ไม่เห็นจริงๆด้วยสายตาเปล่าๆ  คุณโบดิน เขาเล่าให้ฟัง สมัยเด็กๆ ลูกพี่ลูกน้องเห็นผี แต่ตนเองไม่เห็น แต่ "รู้สึก" ซึ่งความรู้สึกของร่างกายที่ตอบสนองกับสภาพแวดล้อม - ความรู้สึกจะมาก่อนอื่น แล้วความรู้สึกทางใจจะตามมา - สิ่งสำคัญต่อมา คือการจัดการกลับ ความรู้สึกที่ตามมาอาทิ กลัว เครียด ปรุงแต่ง จิตตก ทำอย่างไรให้มันหายไป อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าที่นั่นๆ เขาจัดการกันอย่างไร ถ้าเป็นเด็กอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่จะเป็นคนจัดการอาทิกอด พาสวดมนต์ เข้าไปดูปัญหาแล้วบอกว่าผีไปแล้วแบบนี้ ถ้าโตหน่อย ก็วิ่งเข้าไปหาเพื่อน คุย เปิดไฟ จับกลุ่ม แล้วไปทำบุญเป็นต้น (อันนี้จัดหมวดหมู่ให้ จะได้เห็นประเด็นชัดๆค่ะ) เพราะเขาอธิบายว่า เขารู้สึกกลัว แล้วอยากให้ความกลัวนั้นหายไป และผู้คุ้มครองของเด็กๆคือผู้ปกครองค่ะ ชอบตอนที่เขาค่อยๆอธิบายนี่ล่ะ คนอื่นอาจจะรู้แล้วก็ขออภัย แต่ตนเองอ่านแล้วรู้สึกชอบที่เขาแจกแจงประเด็นดีอ่ะค่ะ จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 08:00:25

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่อง "see thing" นี้ แล้วแต่ละบุคคลจะตอบสนองเร่ืองนี้อย่างไร ผู้เขียนคุณ Christopher Penczak ผู้เขียนหนังสือหลายเล่มแนว witchcarft อาทิ spirit Allies, The inner Temple of witchcarft สมัยเด็กๆ พอคุณยายเสียชีวิต จู่ก็เห็นคุณยายตอนกลางวัน เขาก็เลยตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นในแนวทางของ "witchcarft" ค่ะ   ใช้แนวทางเพื่อพัฒนาตนเอง อธิบายปรากฏการณ์ไปแต่ละมุมมองของตนเองหรือวัฒนธรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ล้วนแตกต่างกันไป   ถ้าเป็นเพื่อนที่มาจากอเมริกาคนหนึ่ง เขาบอกว่า เขานับถือศาสนาอเมริกันอินเดียนแดงเผ่าหนึ่งทางใต้ของรัฐ บอกชัดเจนแบบนี้เลย วิธีการมองของเขาต่อเรื่องอื่นๆก็จะแตกต่างกัน  หรือแม้แต่คนรู้จักคนหนึ่ง เป็นชาวอเมริกันเหมือนกัน เห็นภาพ เสียง วิญญาณ อนาคต เทวดา ผี ตั้งแต่เด็กๆ เขารับมือกับสิ่งเหล่านี้ด้วยการเรียนจิตวิทยาระดับดอกเตอร์ ต่อมาเดินทางรอบโลก อ่านทุกเรื่อง จนกระทั่งเข้าอินเดีย ตอนนี้เขาบอกว่าเขาเป็นฮีนดี้เต็มตัว  เรียกว่าแต่ละท่านก็เลือกแนวทางในการ  รู้จักคำว่า becoming psychic  ก่อนที่จะ growing up psychic จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 09:08:09

ความคิดเห็นที่ 4 หรือมีเพื่อนของเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น มองเห็น "ออร่า" คนด้วยตาเปล่า ไม่ต้องไปเสียเวลาฝึก เขาก็ตอบสนองด้วยการหาคำตอบแบบ ภักดีโยคะเป็นต้นค่ะ จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 09:11:45

ความคิดเห็นที่ 5 มี key ง่ายในการรู้จักตนเอง เพื่อรู้จัก becoming psychic จะต้องเป็นธรรมชาติค่ะ อาทิที่ชอบยกตัวอย่างบ่อยๆคือ - ตอนแรกเราเอาคนเข้าห้องที่เพดานโอเค แล้วเราปล่อยให้คนเข้ามาในห้องที่เพดานกดต่ำแต่ไม่มาก แล้วถามว่า พวกเขารู้สึกอย่างไร - พวกเขาจะบรรยาย "ความรู้สึก" ที่เกิดขึ้น ตามความรู้สึกจริงๆ - สิ่งที่เชื่อมโยงกันคือ ร่างกายนั้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าของธรรมชาติ มันเป็นการเตือนจิตใจว่า สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ร่างกายและจิตใจของเราอาจจะไม่ชอบ ห้องที่มีเงื่อนไขนี้ -ธรรมชาติของร่างกายจะตอบสนองสิ่งเร้าของสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันตนเองจากอันตรายที่อาจจะถึงชีวิต แต่เมื่อมันเตือนขึ้นมาเป็นความรู้สึกอาทิ ไม่สบายใจ อึดอัด ขนลุก เวียนหัว เราอาจจะละเลย เพิกเฉย ด้วยสารพัดเงื่อนไขและเหตุผล ค่ะ - ในที่นี้ คนสอนจะแนะนำว่า ลองสำรวจดูคำอธิบายที่จะ ผุดขึ้นมา สิ่งแรกที่ผุดมากก่อน คือความรู้สึกค่ะ สิ่งที่สองคือคำอธิบายของตนเอง เพื่อตรวจสอบดูความรู้สึกค่ะ สองอย่างนี้มักจะทำงานคู่กันเป็นอัตโนมัติ แต่สัตว์มันเป็นธรรมชาติที่เรียกว่าสัญชาตญาณ ถ้าอะไรรอบๆข้างเปลี่ยนแปลง เสี่ยงต่อชีวิจ มันกระโจนหนีทันที โดยไม่ทันดุว่าอะไรคืออะไรค่ะ แต่มนุษย์ไม่ใช่แบบนั้น จะตรวจสอบค่ะ มากด้วย บางที่ก็เพ้อเจ้อ บางทีก็ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ หลักจิตวิทยา หลักของศาสนาบ้าง ในbecoming psychic  เราจะใช้ทุกอย่างค่ะ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ชีวิต จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 15:28:26

ความคิดเห็นที่ 6 คนแบบเดียวกันมัีกจะดึงดูดกันเสมอ คุณรู้จักคนมีพลังพิเศษเยอะจังเลยนะคะ เราไม่เคยเจอใครเลย ไม่รู้สิเรื่องแบบนี้บางคนเรียกว่า Gift แต่เราว่าเหมือนถูกสาปใ้ห้เห็นให้เจอมากกว่า (ส่วนตัวไม่อยากจะเห็นอ่ะ) จากคุณ : เทพบุตรหมัดดาวหาง เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 17:03:09

ความคิดเห็นที่ 7 คนไทยมีเยอะเลยครับ แสกนกรรม  x-ray  หมอดูตาทิพย์ ระเบิดจิต ญาณสัมผัส  และวันก่อนเพื่อนที่สนิทมาสอน การมองออร่าด้วยตาเปล่า ก็เพียงแค่มองสัญลักษณ์หนึ่งแล้วก็ มองวัตถุ ก็จะเห็นสี ๆ ออกมา  หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าเรื่องนี้ ฝรั่งคิดเป็นวิทยาศาสตร์คิดไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น  แต่ทางพุทธจะเป็นพุทธศาสตร์ การเห็นผี เห็นวิญญาณ เห็นเทวดา เห็นพรหม เป็นเรื่องปกติท่านอธิบายไว้ชัดมีกี่ภูมิ มีอะไรบ้าง  แนวทางสิ้นสุดของความรู้อยู่ตรงไหน  รวมถึงวิธีฝึกที่จะมองเห็นผี ถ้าฝรั่งมาทางพุทธ แนวเตวิชโช ฉพภิญโญ หรือ ปฏิสัมภิทาญาณ คงจะมีคำตอบทุกคำตอบ จากคุณ : ศิละ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 17:50:32

ความคิดเห็นที่ 8 ชอบตรงการใช้ภาษา การอธิบายค่ะ และมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เขียนมานั้น เขามองในมุมของเขา ส่วนเราก็มองในมุมของเราค่ะ      เรื่องการ "เห็น" มีทุกชาติ เผ่าพันธ์ภาษาและทุกอารยธรรมโลก มีแนวทางล้วนแตกต่างกันไป จะสนุกก็ตรงที่ได้อ่าน รู้ เข้าใจ นี่ล่ะ   สมมติว่า เราไม่ได้รู้เรื่องอะไรในโลกใบนี้ แต่เดินทางมาจากนอกโลก แล้วเราเป็นนักท่องเที่ยวต่างดาวที่สนใจเชิงอารยธรรมโลก เราคงจะตื่นตา ตื่นใจ กับความเชื่อที่หลากหลายบนโลกใบนี้เป็นอย่างมาก    ถ้าคุณศิละว่างๆ ก็แวะมาเล่าให้ฟังบ่อยๆหน่อยก็จะสนุกมากขึ้น น่าสนใจมากขึ้น  ส่วนที่้เจอคนเหล่านี้ ล้วนด้วยเหตุบังเอิญค่ะ ตนเองไม่เห็นอะไรเลย แค่คนปกติธรรมดาค่ะ แต่สนุกกับการอ่านหนังสือ แล้วเอามาเล่าให้ฟัง เปิดหู เปิดตา ดูไอเดีย ความคิด สำนวน การเรียงลำดับ การเล่าเรื่อง วิธีคิด วิธีมองสิ่งที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่าง กรณีศึกษาของมุมมอง มีรุ่นน้องอีกคน ที่วันหนึ่งได้ไปเรียนภาวนากับหลวงพ่อท่านหนึ่ง แล้วรุ่นน้องคนนี้ก็หนาวยะเยือกเข้ากระดูก ทันที เจ็บที่ปลายนิ้วมือ - โดยส่วนตัว เธอคิดว่า หลวงพ่อท่านส่งพลังมา แล้วเจ้ากรรรมนายเวรไม่ยอมเลยแสดงอาการ และเพราะกลัวหลวงพ่อก็เลยหนีไป - ส่วนหลวงพ่อบอกว่า นั้นเป็นอาการป่วยของร่างกายที่มันเป้นมานานแล้ว - และ อีกหลายสัปดาห์ต่อมา เธอไปเจอฆราวาสพลังจิต เก่งเรื่องปราบคุณไสย เอามีดหมอมากดตามร่าง คนที่โดนของจะแสดงอาการร้อง ที่ร้องไม่ใช่คนแต่เป็นของที่โดน เธอก็แสดงอาการเช่นกัน เธอจึงรวมเอาสองความเชื่อคือ    เจ้ากรรม + โดนของมารวมกัน ทำให้เกิดความเย็นเข้ากระดูก เลยซื้อเครื่องลางของขลังของอาจารย์คนนี้มาด้วย มาดูอีกมุมมองหนึ่งค่ะ - ในมุมของ การฝึกปราณ  ร่างกายของมนุษย์จะรับปราณทั้งดีและไม่ดี เข้าร่างกาย มีการแลกเปลี่ยนตลอด     คำว่าปราณไม่ดี นี่รวมตั้งแต่ไอของสารพิษ อากาศพิษ สารพิษ หรือพลังไม่ดีที่ตกค้างเป็นต้น     เมื่อร่างกายรับ และรวมให้เป็นหนึ่งเพื่อ ขับเอาสารพิษออก การรวมเข้านั้น คือการรวมเอาหยินชี่ จะส่งให้ร่างกายเกิดอาการหนาวเย็นเข้ากระดูก   ขึ้นอยู่กับคนนั้น จะรู้สึกถึงระดับนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นเรื่องดี เพราะร่างกายเตรียมจะขับออกค่ะ ด้วยอาศัยทักษะหลายอย่างของร่างกาย ลมหายใจและจิตใจ ส่วน "หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าเรื่องนี้ ฝรั่งคิดเป็นวิทยาศาสตร์คิดไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น  " ก็เห็นด้วย เพราะส่วนตัวชอบวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ค่ะ คือมีเหต มีผล   พวกเขาก็คงคิดไปเรื่อยๆค่ะ เพราะ เส้นทางนี้ เขาเองก็เพิ่งจะเริ่มมาสนใจอย่างจริงๆ เพื่ออธิบาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาสะดุดระยะหนึ่ง แล้วก็เก็บมาคิดต่อ    โดยเฉพาะเรื่องโลกธาตุ กำเนิดโลกที่ มีเป็นเวิ้งน้ำ สันฐานกลมนั้น เมื่อมองผ่านพวกแรงซุปเปอร์สตริงแล้วนี่จะสนุกมาก เขาก็อธิบายคล้ายๆอย่างนั้น  เมื่อเกิดบิ๊กแบงค์ จักรวาลขยายตัว เกิดคล้ายๆแผ่นฟิลม์บางๆ เมื่อหนาแน่นเข้า แผ่นฟิลม์นั้นหดตัวคล้ายฟองสบูขนาดใหญ่ หลายฟอง แต่ละฟองคือเอกภพหนึ่งที่ซ้อนกันอยู่ อะไรประมาณนี้   โดยส่วนตัวแล้ว ชอบทุกความรู้ค่ะ เพราะยังรู้น้อยๆๆ มาก จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 18:41:26

ความคิดเห็นที่ 9 ปล ที่หยิบมาเล่า เพื่อเล่าจากหนังสือฝรั่ง หรือจีนบางครั้ง เพราะของคนไทย เราก็อ่านได้ค่ะ ภาษาเราเอง    กำลังคิดว่า จะย้ายเข้าไปเล่าใน book club ดีหรือเปล่าค่ะ เพราะจะได้ตรงกับเนื้อหาน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 54 18:50:10 จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 18:49:14

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านที่โพสท์มา "แอบน่ากลัว" มากกว่า "แอบน่าฮา" ครับ ~~>_< จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 20:42:59