# 11 ยังไม่เห็นประเด็นไรต้องตีความน่ะครับ ก็ชัดๆว่าเป็นโภชนะอันปราณีตตามพุทธอนุบัญญัติในสถานะที่เป็นน้ำ ในกลุ่มเดียวกับ น้ำข้าวยาคู จัดเป็นอาหาร ฉันหลังเวลาภัตไม่ได้เป็นปาจิตตีย์
เรื่องภิกษุอาพาธ
[๕๑๗] ก็โดยสมัยนั้นแล มีภิกษุทั้งหลายอาพาธอยู่ พวกภิกษุผู้พยาบาลได้ถามพวกภิกษุ
ผู้อาพาธว่า อาวุโสทั้งหลาย ยังพอทนได้อยู่หรือ? ยังพอครองอยู่หรือ?
ภิกษุอาพาธเหล่านั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย เมื่อก่อนพวกกระผมขอโภชนะอันประณีต
เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน เพราะเหตุนั้น พวกกระผมจึงมีความผาสุก แต่เดี๋ยวนี้ พวกกระผม
รังเกียจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จึงไม่ขอ เพราะเหตุนั้น พวกกระผมจึงไม่มีความผาสุก.
ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธขอโภชนะอันประณีต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ
เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธขอ
โภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๘๘. ๙. ข. อนึ่ง ภิกษุใด มิใช่ผู้อาพาธ ขอโภชนะอันประณีตเห็นปานนี้
คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม เพื่อประโยชน์
แก่ตนแล้วฉัน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุอาพาธ จบ.