ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ รื่ อ ง พ ร ะ อ ภิ ธ ร ร ม ๑๙ (วิ ญ ญ า ณ ม โ น แ ล ะ จิ ต ใ น ๒ ปิ ฎ ก)
|
|
.
* * * * * * * * * * * * * * * * ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ รื่ อ ง พ ร ะ อ ภิ ธ ร ร ม พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ติดตามตอนก่อนได้ที่ ... http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10103788/Y10103788.html
* * * * * * * * * * * * * * * *
วิ ญ ญ า ณ ม โ น แ ล ะ จิ ต ใ น ๒ ปิ ฎ ก
เมื่อจะจัดเข้าในขันธ์ ๕ หรือว่าจัดขันธ์ ๕ เข้าในหมวดเจตสิก,
วิญญาณ จัดเข้าในหมวดจิต ,
เวทนา, สัญญา, สังขาร นี้เป็น เจตสิก
เจตสิกทั้งปวงนี้ เมื่อย่นย่อลงแล้วก็ย่นย่อลงในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหมด และตามนัยในอภิธรรมนี้ วิญญาณ ในขันธ์ ๕ มนะ ในอายตนะภายใน และ จิต ที่กล่าวถึงในที่ทั้งปวง จัดเจ้าในหมวดจิตหมด
เพราะฉะนั้น หลักของการจัดหมวดจิตในอภิธรรม จึงต่างจากหลักของการแสดงจิต มโน และวิญญาณ ในสุตตตันตะหรือในพระสูตร
ในพระสูตรนั้น จิตมีความหมายอย่างหนึ่ง วิญญาณมีความหมายอย่างหนึ่ง มโนมีความหมายอย่างหนึ่ง ดั่งที่แสดงแล้วใน อนัตตลักขณสูตร และใน อาทิตตปริยายสูตร
กล่าวโดยย่อ ใน อนัตตลักขณสูตร วิญญาณนั้นเป็นขันธ์ ๕ ข้อหนึ่ง ซึ่งตกในลักษณะของไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดั่งที่ในพระสูตรนั้นสอนให้รู้ว่าวิญญาณเป็นอนัตตา
ใน อาทิตตปริยายสูตร มนะเป็นอายตนะภายในข้อหนึ่งที่ท่านสอนให้พิจารณาว่าเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น
คราวนี้ ใครเป็นผู้พิจารณาวิญญาณว่าเป็นอนัตตา พิจารณามนะว่าเป็นของร้อน ต้องมีผู้พิจารณาอีกผู้หนึ่ง ไม่ใช่วิญญาณพิจารณาวิญญาณเอง หรือมนะพิจารณามนะเอง, ในตอนท้ายของพระสูตรทั้งสองนี้ก็แสดงว่าจิตพ้นจากอาสวกิเลส แต่ว่าไม่ได้แสดงว่าวิญญาณพ้นหรือมนะพ้น จะแสดงอย่างนั้นก็ย่อมไม่ได้ เพราะเมื่อวิญญาณเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้พ้นกิเลส, และมนะก็เป็นของร้อนเพราะไฟกิเลส ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้พ้น
นักอภิธรรมบางท่านได้กล่าวหาผู้ที่แสดงอย่างนี้ว่า แสดงขันธ์ ๖ คือแสดง จิต เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขันธ์ เพราะว่าตามอภิธรรมนั้น จิต มนะ วิญญาณ อยู่ในหมวดจิตอันเดียวกัน
คราวนี้ถ้าพิจารณาดูให้รู้อธิบายของท่าน และเมื่อต้องการจะพูดถึงธรรมะในปิฎกไหน ก็เอาอธิบายของปิฎกนั้นมาอธิบาย ก็ไม่ยุ่ง
คือว่าเมื่อจะอธิบายอภิธรรม ก็อธิบายว่าทั้งสามนี้เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อจะอธิบายพระสูตร ก็อธิบายตามหลักฐานในพระสูตรดั่งกล่าวมาแล้ว
แต่อภิธรรมนี้ได้เป็นที่นิยมนับถือมาเป็นเวลาช้านาน พระอาจารย์ผู้อธิบายพระสูตร เมื่อจะอธิบายถึงจิต ถึงมโน ถึงวิญญาณ ก็คัดเอาคำอธิบายในอภิธรรมมาใส่ไว้ในพระสูตรด้วย
เพราะฉะนั้น จึงเกิดความสับสนขึ้น ดั่งเช่นบาลีพระสูตรกล่าวถึงจิต พระอาจารย์ผู้อธิบายก็คัดเอามาจากอภิธรรมว่า จิตฺตนฺติ วิญฺญาณํ (วิญญาณ ชื่อว่าจิต) เป็นอย่างนี้เป็นพื้นตั้งแต่ชั้นอรรถกถาลงมา อันนี้แหละเป็นเหตุให้สับสนกัน ถ้าหากว่าแยกเสียดั่งที่กล่าวมาแล้วก็จะไม่สับสน
พิจารณาดูในคัมภีร์อภิธรรมนั้น ท่านต้องการแสดงเพียงขันธ์ ๕ เท่านั้น คือจำแนกขันธ์ ๕ ออกไปอย่างวิจิตรพิสดาร วิญญาณก็จำแนกออกไปเป็นจิตต่าง ๆ อย่างวิจิตรพิสดาร และเวทนา สัญญา สังขาร ก็จำแนกออกไปเป็นเจตสิกถึง ๕๒
จาก ๓ ไปเป็น ๕๒ แล้วรูปก็ยังจำแนกวิจิตรพิสดารออกไปอีกมากมาย
เพราะฉะนั้นเมื่อจับได้ว่าท่านต้องการจะอธิบายธรรมะแค่ขันธ์ ๕ ให้พิสดาร ท่านจะเรียกว่าจิต ว่ามนะ หรืออะไร ๆ ก็ตาม เราก็เข้าใจไปตามที่ท่านประสงค์ ก็เป็นการไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่ควรจะไปอธิบายให้ปะปนกัน
และที่ท่านจำแนกจิตไว้ถึง ๘๙ ดวงนั้น ก็ด้วยยกเอาเจตสิกขึ้นมาเพียง ๓ ข้อเท่านั้น คือ
เวทนา ๑ ญาณะ (ความรู้) ๑ สังขาร (คือปรุงขึ้นเองหรือต้องกระตุ้นเตือน) ๑
เจตสิกมีถึง ๕๒ ยกขึ้นมาเพียง ๓ ข้อ ยังแจกออกไปตั้ง ๘๙ คราวนี้ยกทั้ง ๕๒ ก็จะได้จิตนับหาถ้วนไม่ เพราะฉะนั้นจิตที่แจกไว้นั้น ก็หมายความว่ายกขึ้นมาไว้เป็นตัวอย่างเท่านั้น จิตของคนก็เป็นอย่างนั้น เพียงในระยะครู่หนึ่ง ก็มีความคิดไปต่าง ๆ มากมาย
( ติ ด ต า ม ต อ น ต่ อ ไ ป )
.
จากคุณ |
:
hollowpig
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ม.ค. 54 07:20:24
|
|
|
|