ความคิดเห็นที่ 1 เพราะฉะนั้น..กายวิภาคของผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน ถ้าท้องผูกไม่ได้ถ่ายบ่อย อาจจะกลายเป็นว่า ไปกระตุ้นให้อวัยวะเพศให้ตื่นตัวได้ง่าย คราวนี้ก็เจริญ..! กว่าจะระงับลงได้ บางทีก็ต้องเดินจงกรมกันเป็นวัน อย่าง หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ลูกศิษย์ท่านบอกว่า จะไม่เขียนเรื่องพวกนี้ในประวัติของท่านได้ไหม ? หลวงปู่ชาบอกว่า "ถ้าไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียนเลย ถ้าจะเขียนก็เขียนให้เขารู้เลย ว่าของจริงเป็นอย่างไร" ท่านบอกว่าถึงขนาดท่านนุ่งผ้าตามปกติไม่ได้ ทันทีที่กระทบผ้าอวัยวะเพศก็แข็งตัวเลย ท่านต้องตลบผ้าสบงพันเอวแล้วก็เดินจงกรม ต้องสู้กันถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กว่าที่ครูบาอาจารย์จะสู้ผ่านมาได้ แล้วมาเป็นครูบาอาจารย์ให้เรากราบ ให้เราไหว้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ดีมีสุข หรือปราศจากบาดแผลมาก่อน แต่ละท่านยับเยินมาจนกระทั่งเย็บกันชนิดที่เข็มหลง เข็มหลง ก็คือ ไม่รู้จะเย็บไปทางไหน แผลซับแผลซ้อนเต็มไปหมด ถาม : ถ้าเกิดว่าบาดแผลน้อยแสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ? ตอบ : ต้องให้เยินกว่านี้หน่อย ตอนนี้ยังเยินไม่พอ..! เรื่องกามราคะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหาร หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านพิสูจน์มาแล้ว ท่านบอกว่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะอาหาร แต่จริงๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือใจ ถ้าใจไม่ปรุงแต่ง กามราคะก็เกิดไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านฉันเจ มังสวิรัตินะ..ฉันอย่างชนิดที่ยิ่งกว่าเจทั่วๆ ไป ก็คือ เขี่ยเอาแต่ผักอย่างเดียว ฉันโดยไม่บอกใคร บางวันหาผักไม่ได้จริงๆ ท่านก็เอาหัวหอมจิ้มน้ำปลา ฉันแบบนั้นอยู่สามปี ท่านว่านอกจากกามราคะจะไม่ลดลงแล้ว ยังงอกงามเป็นปกติอีกด้วย ท่านจึงได้มั่นใจว่า ไม่ได้เป็นที่อาหาร แต่เป็นที่ใจปรุงแต่ง อาตมาถึงได้บอกว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะกามราคะเป็นสมบัติของร่างกาย สำคัญว่าจิตใจของเราไปนึกคิดปรุงแต่งหรือเปล่า ? ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งด้วย ไม่มีใครไปให้ความร่วมมือ ราคะก็เฉาอยู่ตรงนั้น อย่างเก่งก็อยู่ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่แล้วเราไปช่วยคิด จินตนาการล้ำเลิศไปเป็นช่องเป็นฉาก กว่าจะรู้ตัวก็ลูกสามลูกสี่เข้าไปแล้ว..! ถาม : ถ้าเกิดว่าเราไปเห็นคน แล้วเรารู้สึกว่าเขาน่ารัก แต่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นการปรุงแต่งหรือไม่ ? ตอบ : เป็นการปรุงแต่งไปตั้งนานแล้ว เพราะ สติกับปัญญายังไม่ทัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลายปีเต็มทีแล้ว หลังจากที่อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิ ตอนนั้นยังต้องนั่งรถเมล์เพื่อที่จะมารับสังฆทานที่ บ้านอนุสาวรีย์ จึงต้องออกจากทองผาภูมิตั้งแต่เช้า พอออกตั้งแต่เช้า จึงเห็นนักเรียนกำลังจะไปโรงเรียน เดินมาเป็นแถว เด็กผู้หญิงวัยรุ่นบางคนหน้าตาแจ่มใส น่ารักจริงๆ เลย ความรู้สึกก็ไปคิดว่า "เออ..เด็กนี่น่ารักดีนะ" พอคิดแค่นั้นเอง ภาพอสุภกรรมฐานเก่าๆ ที่เคยฝึกไว้ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าแทน จากที่เห็นว่าน่ารักก็เลยเกือบจะอาเจียน ยังดีว่าห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่อง ถ้าราคะก็ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานและกายคตาสติ ถ้าโทสะต้องแก้ด้วยพรหมวิหารสี่หรือวรรณกสิณสี่ ถ้าโลภะก็ต้องแก้ด้วยทานบารมีและจาคานุสติ ต้องซ้อมเอาไว้ให้คล่อง ถึงเวลาจะได้ช่วยป้องกันเราได้ทัน คราวนั้นเท่ากับอสุภกรรมฐานมาช่วยชีวิตอาตมาเอาไว้เลย เพราะเผลอตัวจริงๆ ไม่ได้คิดไปในเรื่องกามราคะเลย แต่ใจไปคิดแล้วว่าเด็กๆ หน้าตาเขาแจ่มใสน่ารักดี เหมือนกับชื่นชมเขาเฉยๆ โดยที่ไม่รู้ว่า นี่คือส่วนหนึ่งของราคะ ตอนนั้นจิตเราปรุงไปแล้ว โดยสติกับปัญญาตามไม่ทัน แต่อสุภกรรมฐานเขารู้ เขาเป็นคู่ศึกกันอยู่ พอเห็นคู่ต่อสู้ก็โดดเข้าใส่เลย ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2399&page=10 จากคุณ : ว่าที่ceo เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 09:26:06

ความคิดเห็นที่ 2 อนุโมทนาค่ะ จากคุณ : FayeNo1Fan เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 10:23:33

ความคิดเห็นที่ 3 โบราณ ว่าไว้ สุนัข กัดไม้ที่คนเหย่  -- น่าจะ = วิธีสู้กับกามราคะ ที่ เกิดขึ้น และหรือ ความเคยชินอย่างยิ่ง เพราะ เกิดราคะแล้ว เสือ กัด คนถือไม้ -- น่าจะ = ไม่ สู้กับ ราคะที่เกิดแล้ว แต่ กำจัด "อนุสัย คือ ความเคยชินอย่างยิ่ง คือตามนอนเนื่อง คือ มักง่าย ที่ จะ ไหลออกมาเป็น ราคะ" ปัญหา มีอยู่ว่า พระพุทธวจนะใดตรัสว่า (ตรงตามคำชั้นสาวกที่ว่า) --- กามราคะมันเป็นสัญชาติญาณที่ฝังอยู่เบื้องลึกของจิตใจ เพราะคำว่า สัญชาติญาณ  นั้น มาจาก ภาษาฝรั่งคำว่า insting มิใช่หรือ ที่สำคัญ ราคะ มันมี  อวิชชา เป็นแม่  ใช่หรือไม่ อวิชชา แม่ของ กามราคะ นั้น  ตรัสว่า ก่อนแต่นี้  อวิชชา มิได้มี แต่ว่า อวิชชา เพิ่งมีต่อภายหลัง อวิชชา เป็นธรรมชาติ มี อาหาโร (เหตุ)  ไม่ใช่ ธรรมะ ที่ไม่มีเหตุ อะไรเป้น อาหาโร (เหตุ) ของอวิชชา? อุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕  เป็นเหตุของ อวิชชา พิจารณา พระพุทธวจนะ ครับ  เพื่อ ความไม่ประมาท                                            สรุป แค่ มี สติ ที่มีคุณภาพ สูงกว่าเดิมๆ นั่นแหละ ฯ สติ จะ กั้น กระแส อุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ เมื่อ อวิชชา แม่ของ กามราคะ และ อนุสัยคือ กามราคะ ไม่มี นิวรณ์ทั้ง ๕ หรือ สนิมแห่งจิต (ตรัสไว้ฯ) อวิชชา ก็ อ่อนกำลังลง เพราะ "ไม่มีเหตุให้ มี กำลัง" (เสือ ผอม ไม่มีแรง กัดอะไร) กามราคะ อนุสัย คือกามราคะ อาสวะคือ กามาสวะ ที่มี แม่ คือ อวิชชา  ก้ ไม่ ต้อง เสียเวลา ปฏิบัติ แบบ คำสอน เช่นนั้น -- เพราะ ทำตาม ที่พระบรมศาสดาสอนไว้ แล้ว รู้ว่า กำจัดแม่ เสีย  ลูกๆ ก็ ตายเอง กำจัดแบบ ไม่ให้ แม่ ได้ อาหาโร (อาการ) คือ ได้ อุปกิเลส คือนิวรณ์ทั้ง ๕ นั่นเอง ปฏิบัติ อย่างไร? สติปัฏฐานทั้งสี่ นั่นแหละ คือ รั้วล้อม เสือ ให้อ่อนแรงลงไป ฉลาด แบบ สุนัข กัดไม้ที่คนเหย่  ก็ ปฏิบัติ แบบหนึ่ง ฉลาดแบบ ฆ่าเสือ ก้ปฏิบัติแบบหนึ่ง (โดยมาก มักโดนเสือกัด  แต่ ดันไม่รู้ตัวว่า โดนเสือกัด ก้มี ให้เห็นๆ -- ใครเห็นไม่เห้น เป้นอีกกรณีหนึ่ง) ฉลาดแบบ ทำรั้วล้อม เสือ --กัน ดีกว่าครับ  = เชื่อการตรัสรู้ของพระบรมศษสดา ทำตามที่ตรัสไว้ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษาพระพุทธวจนะมา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 10:47:26

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณค่ะ ที่เอามาแบ่งปันกัน จากคุณ : กึมซุน (คนยองกึมชุน) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 12:06:23

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบอ่านเรื่องหลวงพี่เล็กมากๆ ค่ะ เอาอีกๆๆๆๆ โมทนาสาธุค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 12:29:44

ความคิดเห็นที่ 6 สาธุ... สาธุ... สาธุ... จากคุณ : กรรไกรรัตนะ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 12:44:59

ความคิดเห็นที่ 7 ผมนี่แหละกามราคะเพียบบบบ อือม.. มันนองเนื่องมาหลายชาตินะ ก็ค่อยๆใช้กายคตากับอสุภะดูแลกันไปก่อน พิจารณาขันธ์๕ ไตรลักษณ์ไปด้วย เบื่อบ้างอยากบ้างตามประสาความหนาแน่น จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 15:20:51

ความคิดเห็นที่ 8 ยากจริง ๆ สู้กับราคะเนี่ย  ขนาดพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ยังมีราคะมายั่วเลย จากคุณ : จิตสิกขา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 15:32:42

ความคิดเห็นที่ 9 สาธุ จากคุณ : rangsi2mant เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:43:25