 |
คุณ aunemaek2
ความหมายของอิสลาม ตามการสอนของ "รัฐบาลซาอุดิอารเบีย" ที่เรียกว่า ซะละฟีย์ หรือ วะหะบีย์ ที่เผยแพร่อยู่ในสังคมมุสลิมทั่วโลก รวมทั้งในสังคมไทยมุสลิมในปัจจุบัน ให้คำอธิบายคำว่าอิสลามไว้ดังนี้...
"อิสลามนั้นในทางทฤษฎีแล้วมิใช่ ศาสนา เพราะศาสนานั้นโดยข้อเท็จจริงแล้วมีขอบเขตพื้นที่อยู่แค่เรื่องของความเชื่อศรัทธาและการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อเท่านั้น แต่อิสลามนั้นคือ ระบอบอัตลักษณ์ ประเภทหนึ่งของโลกที่ประมวลไปด้วยความเชื่อศรัทธา,เอกวิทยา,รูปแบบกฎหมาย,เศรษฐกิจ,การเมือง,และความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนภายในสังคม เป็นต้น และสิ่งใดก็ตามที่ถูกถักทอขึ้นมาจนเป็น ระบอบอัตลักษณ์ อีกประเภทหนึ่งซึ่งแตกต่างจากระบอบอัตลักษณ์อิสลามแล้ว อิสลามพิจารณาว่ามันคือระบอบแห่งตอฆูตที่เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าทั้งสิ้น
การที่มีระบอบหนึ่งใดในโลกยอมรับการมีอยู่ของโสเภณีนั้นไม่ว่าจะมันถูกเรียกว่า ศาสนาหรือระบอบการปกครองก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นระบอบฏอฆูตเช่นกัน และบุคคลใดก็ตามที่เห็นพ้องด้วยกับระบอบนั้นก็สมควรในการได้รับคำประณามแม้ว่าพวกเขาจะไม่อ้างว่า "ประชาธิปไตยคือศาสนาของพวกเขาก็ตาม" (จากบทความเรื่องทาส)
...................
เมื่อ มุสลิมถูกสอนด้วย Political Ideology เช่นนี้ จึงทำให้ มุสลิมผู้ที่ไม่ มีความรู้ เพียงพอ ไม่อาจจะแยก ความ ศรัทธา ออกจากการเมืองได้
ในขณะที่พวกเขาประณาม การปกครองระบบประชาธิปไตยอยู่ เขากลับนำเอาหลักการประชาธิไตยมาอ้างสิทธิ "เพื่อเปลี่ยน ศาสนาอิสลาม ให้เป็น ระบอบ คอมมูน ซึ่งมีความศรัทธาต่อพระเจ้า" ซึ่งแตกต่างจาก ระบบคอมมูน อื่นๆ ที่ปฏิเสธ ศาสนาและความมีศรัทธาต่อพระเจ้า
ผมศรัทธาในอิสลาม เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า และเข้าใจการสอน ของ อัลกุรอาน ในรูปแบบของ "ประชาธิไตยสมบูรณ์แบบ" ซึ่งเป็นระบอบการปกครอง ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดใช้ปกครอง กรุง มะดีนะห์" ที่ยอมให้ สิทธิในการ ถือศาสนาต่อ ชาว ยิว และ คริสเตียน และยอมให้มีการออกเสียงและมีส่วนร่วมในการ ปกครอง อย่างที่ ประเทศตะวันตก นำมาประยุกต์ใช้อยู่ในปัจจุบัน, แต่ในประเทศซาอุดิอารเบีย ไม่ยอมให้สิทธิในการถือศาสนาของ พลเมืองของเขาอย่างเปิดเผย นอกจาก อิสลามเท่านั้น
หลักการของอิสลามไม่สนับสนุนโทษประหาร ถ้าขบวนการยุติธรรมสามารถที่จะสร้างความสมดุลย์ในการพิจารนาความได้
การสอน ตามแบบ ฉบับ ลัทธิ "ซะละฟีย์ หรือ วะหะบีย์" นี้ สอนในรูปแบบเผด็จการ กฏหมาย "ชาเรียอะต์ มีข้อลงโทษที่ รุนแรงออกจาก ขอบเขตุและหลักการของอิสลาม เป็นกฏหมาย ที่ ประยุกต์ มาจากประเภนี ของ ARAB PAGAN เป็นส่วนมาก ซึ่งจะตอบ คำถามใน ความคิดเห็นที่ 23 และ อธิบาย ความคิดเห็นที่ 30 ได้เป้นอย่างดี
ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดและความเข้าใจว่า "อิสลามนั้นในทางทฤษฎีแล้วมิใช่ ศาสนา ตามที่ผู้เขียนเรือง ทาสอธิบายไว้ เนื่องจากว่า คำอธิบายนั้น ก็คือลักษณะของการปกครอง "ตามระบบคอมมินิสต์" ต่างกันก็ตรงที่ว่า "ระบบคอมมินิสต์ ไม่มีศาสนาและเชื่อว่าการศรัทธาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องงมงาย
เรื่องการมีโสเภณีอยู่ในสังคมนั้น มีอยู่ในทุกๆสมัยตั้งแต่ มีมนุษย์ แม้แต่ในสังคมภายใต้การปกครองของท่าน "ศาสนทูตมูฮัมมัดเอง", ในอียิปต์, ในอิหร่าน ในกลุ่มประเทศอรับในภาคตะวันออกกลาง และ แม้แต่ในสังคมมุสลิมไทยเองก็ตาม
การมีโสเภณีอยู่ซึ่งอยู่ ภายใต้ การสวม "ฮิญาบ" มีอยู่ในสังคมอรับมุสลิมโดยทั่วๆไป ในปากีตานและใน อาฟกานิสตาน และในบางประเทศ เรียกว่า เมียชั่วคราว ซึ่งมีการตกลงกันเป็น ชั่วโมง,วัน,เดือน, หรือ เป็นปี ฯลฯ การมีชู้การอยู่กินหลับนอนก่อนแต่งงานมีอยู่ในสังคมมุสลิมทั่วโลกเช่นเดียวกับในสังคมของศาสนาอื่นๆเช่นกัน การที่ไม่มีการเปิดเผย เนื่องจาก มุสลิมถูกสอนกันมา ว่า "มุสลิมจะต้องปิดบังความชั่วของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน และตักเตือนกันภายในสังคมมุสลิม
"การสอนดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่การสอน ของอิสลาม "
เรื่อง "ฮิญาบ" ตามกระทู้นี้ไม่ควรนำมาโอดครวญอีก เนื่องจากเป็นเรื่องทางการเมือง เป็นเรื่องของ มุสลิมผู้ใหญ่ซึ่งมี Political Ideology ต้องการจะ ทำให้เป็นเรื่องทางการเมือง ตามที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันตก ในอเมริกา และ ยุโรบ
เป็นวิธีการขยายการสอนตาม "ซะละฟีย์ หรือ วะหะบีย์" ซึ่ง กำลังมีปัญหาใน ประเทศมุสลิม โซมาเลีย
"These Salafi schools were very effective in creating a new Somali elite educated in Arabic culture, with a close affinity to the Arab world."
เมื่อตอนผมอยู่ในเมืองไทยจำได้ว่า ในตรอกโรงภาษี บางรัก มีโรงเรียมุสลิม ชื่อ "อัญญุมันอิสลาม" นักเรียนหญิง ใส่เสื้อขาวกระโปรงยาวสีน้ำเงินไม่สวมฮิญาบ และ ไม่มีการ บังคับให้สวมฮิญาบ ความบ้าครั้งในเรื่องฮิญาบ นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมนี้เอง โดยการสนับสนุน ของ เงินจาก รัฐบาล ซาอุดิอารเบีย เพื่อ เปลี่ยนสังคมมุสลิม ทั่วโลก ให้ เป็น วัฒนธรรมอรับ เพื่อหวังผลในทางการเมือง
มุสลิมที่ดีควรมองอิสลาม เป็น ศาสนาที่พระเจ้่าประทานมาให้ แก่ท่านนบีอิบรอฮิม และตกทอดมาจนถึง มุสลิมในปัจจุบันนี้ โดยมอบหมาย "อัลกุรอาน" เพียงเท่านั้น ให้แก่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด นำมาสอน ให้ มุสลิมใช้เป็นหลักการใน การดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม
การล่มสลายของสังคม และการปกครองในระบบ คอมมูนของ อรับในภาคตะวันออกกลาง, ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่ใน ขณะนี้ ซึ่งเป็นเหตุ ที่ทำให้ อรับมุสลิืมเป็นจำนวนมาก ต้อง อพยพ เข้าไปอยู่ในอเมริกาและยุโรป ใฝ่หาความสงบและปฏิบัติศาสนาตามความศรัทธาที่เป้นอิสระ ในสังคม ตะวันตก และอยู่ร่วมกัน กับชาวยิวและชาวคริสเตียน เช่นเดียวกันกับในสมัยที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่ อย่างสุขสบายในขณะนี้
..มุสลิมไทยควรดูตัวอย่างไ้ว้และศึกษาหาความเข้าใจถึงสาเหตุทีก่อให้เกิดความวุ่นวายนั้น
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจว่า"อิสลามนั้นในทางทฤษฎีแล้วมิใช่ ศาสนา จึงความเข้าใจอย่างผิดพลาดมาก, ซึ่งขัดกับความ หมายของอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ, บัญญัติที่ 3 ที่บัญญัติไว้ว่า
"......This day have I perfected for you your religion and completed My favor on you and chosen for you Islam as a religion; but whoever is compelled by hunger, not inclining willfully to sin, then surely Allah is Forgiving, Merciful." (Shakir 5:3)
".....วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ
แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 54 01:19:44
แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 54 01:09:45
จากคุณ |
:
แมทท์
|
เขียนเมื่อ |
:
10 เม.ย. 54 01:08:16
|
|
|
|
 |