อีกนัยหนึ่งของพระนิพพาน...จากท่านศิษย์พระป่าครับ
|
 |
นิพพาน ไม่ได้เป็นสภาวะใดๆทั้งสิ้น หลุดพ้นจากสภาวะทั้งปวง เพราะไม่ใช่สังขาร แต่ใช้คำเรียกว่าเป็นสภาวะ เพื่อความเข้าใจเท่านั้น เพราะยังไม่มีคำอื่นๆมาใช้เรียกแทนได้ นิพพานมีลักษณะคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง คงที่อยู่อย่างนั้นมาตลอดกาล ไม่ว่าเราจะไปรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ถูกสังขารคือกิเลสต่างๆห่อหุ้มไว้ วันใดที่เปิดกิเลสในระดับอนุสัยออก ก็จะเห็นนิพพานโผล่มาชัดเจน การเปิดอนุสัยกิเลส(หรือสังโยชน์ ๑๐) ออกมาได้แต่ละขั้น แต่ละครั้ง ก็จะเห็นนิพพานโผล่ให้เห็นทุกๆครั้ง (ภาษาตำราเรียกว่า เกิดมรรคจิต ผลจิต ได้นิพพานเป็นอารมณ์) นิพพานมีลักษณะเหมือนจิต ต่างกันที่ จิตมีการเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แต่นิพพานคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับปุถุชนทั้งหลายทั้งสองอย่างนี้จะสวมซ้อนชั้นเสมือนเป็นสิ่งเดียวกัน คล้ายๆ เราสร้างหุ่นขึ้นมาเหมือนตัวเราทุกๆอย่าง แล้วเราเช้าไปสวมในหุ่นนั่น กลายเป็นตัวเราคนเดียว เราเลยเข้าใจว่าตัวเรากับหุ่นนั้นคือตัวเดียวกัน การเข้าใจผิดอันนี้ ที่เรียกว่า โมหะ หรือโมหเจตสิก หรืออวิชชา ที่เป็นตัวรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง ให้เวียนว่ายตายเกิดไปในภพชาติต่างๆนับไม่ถ้วน ...เมื่อใดที่อริยมรรคเกิด ก็จะเห็นว่า จิต และนิพพานแยกออกมาจากกัน อันนี้ คือที่ในตำรากล่าวว่า ได้บรรลุมรรคผล ตามขั้นนั้นๆ ...ตอนนั้นอนุสัยกิเลสในขั้นนั้นๆจะถูกทำลายขจัดออกไปอย่างถาวร เช่น ถ้าเป็นระดับโสดาบัน สักกายทิฏฐิ สีลพตปรามาส และวิจิกิจฉาจะถูกทำลายไปหมดสิ้นในขณะจิตเดียว พร้อมๆกัน ลักษณะที่กิเลส ๓ ตัวนี้ โดนทำลาย ..ลองนึกถึงภาพที่เราใช้กระจกโค้งรับแสงอาทิตย์ให้ไปรวมที่จุดศูนย์กลางจุดเดียว ลักษณะแบบคล้ายๆนี้จะเกิดกับใจของผู้นั้นเมื่ออริยมรรคเกิด แสงของปัญญาที่มีลักณะคล้ายๆตัวทิฏฐิ (จึงเรียกปัญญาในตอนนี้ว่า สัมมาทิฏฐิ แทนที่จะเรียกว่า สัมมาปัญญา ทั้งๆที่เป็นตัวปัญาเจตสิก) จากรอบด้านเหมือนรูปทรงกลม จะรวมศูนย์พุ่งมาที่จุดศูนย์กลางของตัวรู้ แว๊บเดียว มีพลังเจิดจ้ามหาศาลมากๆๆ พร้อมกับทำลายอนุสัยกิเลส ทั้ง ๓ ตัวนั้นออกไปทันที คล้ายๆการระเบิดใหญ่ (เหมือนกับการจุดระเบิดนิวเคลียร์แบบใช้พลูโตเนียม ๒๓๙ เป็นหัวเชื้่อระเบิด แปลกดีทำไมมาตรงกันได้ ?) ..คำว่าแสงของปัญญา ที่จริงคือความรู้ แต่เป็นความรู้ชัดเจนอย่างยิ่ง มีลักษณะเปรียบเทียบคล้ายๆแสง ก็พอจะว่าได้ ... อาการตอนนี้ มีกล่าวเปรียบเทียบไว้ชัดเจนหลายๆตัวอย่าง ที่มีกล่าวไว้ในโสฬสญาณ หรือ ในวิสุทธิมรรค จะตรงกันเปี๊ยบ
ตอนที่จิตจะลงไประเบิดตรงนั้นได้ จิตต้องลงไปตรงกลาง ในรอยต่อระหว่างรูปกับนาม ( หรือในระหว่างรอยต่อของ รูปฌานกับ อรูปฌาน) คือในระหว่างที่จิตดับไป แล้วเกิดรูปขึ้นมา แล้วดับไป (จิตเกิดๆดับๆไป ๑๗ ดวง แล้วเกิดรูปขึ้นมา ๑ รูป) ..เพราะว่าที่จริง รูปที่เป็นอารมณ์ของรูปฌาน ก็คือรูปที่เกิดจาก ๑๗ ขณะจิต นั่นเอง ..และนามที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาน ก็คือจิตและอาการของจิตที่เกิดๆดับๆนั่นเอง ...ในตำราจะมีการกล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในวาระจิตสุดท้าย ที่พระอนุรุธติดตามดูไปนั้น จะเห็นว่า ในตำรากล่าวถึงตอนนี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ระหว่างรอยต่อของ รูปฌาน กับ อรูปฌาน ซึ่งที่จริงก็คือแบบเดียวกับตอนที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายได้เห็นนิพพาน นั่นเอง ..เห็นนิพพานตอนที่ได้บรรลุมรรคผลก็ต้องเข้าตรงระหว่างรอยต่อนี้ ตอนเมื่อจะดับขันธ์ในจริมกจิตสุดท้ายก็ออกไปตรงทางเดิม ตรงระหว่างรอยต่อนี้เช่นกัน ...ดังนั้น รากฐานของความหมายของคำว่า "ธรรม" ซึ่งแปลว่า ทรงไว้ ก็บัญญัติมาจากคุณลักษณะของ นิพพาน นี่เอง เพราะนิพพาน มีคุณลักษณะสำคัญคือ ทรงไว้ หรือคงที่
บรรยายเรื่องนิพพาน เอาแค่นิดๆหน่อยๆ แค่นั้น พอหอมปากหอมคอ ...แค่นั้นน่าจะพอนะ พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างไหม?... ถ้าว่ากันจริงๆ ถ้าคนที่เคยเห็นนิพพานจริงๆ มานั่งคุยกัน ๗ วัน ๗ คืน ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นก็ไม่มีเวลาพอ ที่จะพูดถึงเรื่องนิพพาน คือสามารถเอามาบัญญัติเทียบเคียงในสมมุติ ได้สารพัดอย่าง สามารถเปรียบเทียบได้กับทุกๆอย่างในสมมุติบัญญัติ หรือในสังขาร ท่านจึงมีสำนวนว่า "ทุกๆอย่างสามารถมองเป็นธรรมได้หมด" ...
จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 08:58:00
จากคุณ |
:
ใจพรานธรรม
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ค. 54 01:45:28
|
|
|
|