ความคิดเห็นที่ 1 จากเวปหนังสือพิมพ์ประชาชาติอิสลามออนไลน์ จากคุณ : Savio เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 22:59:43

ความคิดเห็นที่ 2 พระชลิต ภักดีบุตร จบปริญัติ 9 ขั้นสูงสุด จบปริญญาตรีด้าน ภาษาบาลี และปริญญาโทด้านบาลีโดยตรง พร้อมด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง มหาวิทยาลัยจุฬา   ได้รับทุนให้ไปศึกษาที่ประเทศอินเดีย 2 ปี ที่มหาวิทยาลัยนาลันทะ   ....สุดท้ายพระท่านนี้ประกาศตัวรับอิสลาม... อันเนื่องมาจากที่ท่านได้ไปอ่านพระไตรปิฎกฉบับเก่าแก่ที่ถูกเก็บเอาไว้ในห้องสมุดที่อินเดีย บันทึกอยู่ใบลานด้วยภาษาบาลี ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายถูกส่งมาที่อารเบีย จะมีอูฐเป็นพาหนะ โดยท่านจะกำพร้าพ่อ แม่ ตั้งแต่ยังเล็ก ... เพราะฉะนั้นการมาของมุฮัมหมัดไม่ได้ถูกกล่าวเอาไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลอย่างเดียว แม้แต่คัมภีร์อื่นๆก็ยังกล่าวเอาไว้ด้วย บางทีอาจจะกล่าวชัดเจนกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลเสียอีก ที่ชัดที่สุดในตอนนี้คือ คัมภีร์พระเวท  /  อดีตพระท่านนี้ยืนยันว่า พระไตรปิฎกสอนเอาไว้อย่างแน่นอนในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง  ใครเชี่ยวชาญภาษาบาลีเชิญมาถกกันเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ รายละเอียดมีอีกมาก  ผู้มีสติปัญญาน่าจะคิดต่อเองได้น่ะครับ ลองฟังที่นี่ครับ อยู่ช่วงหลัง http://www.islamthailand.com/thai521/introduce/intro-vdo-sp1.php จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:16:30

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านแล้วก็ ... ขำ หน่ะสิครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:20:23

ความคิดเห็นที่ 4 คิดว่าทำดีแล้ว ก็ทำไป จากคุณ : chakrint เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:20:34

ความคิดเห็นที่ 5 คุณอับดุลลอฮฺ ภัคดีบุตร โคตรแห่งความมั่ว "ซึ่งในสมัยที่ไปเรียนนั้นศาสนาพุทธในอินเดียได้เสื่อมไปแล้ว" - แล้วคุณไปเรียนที่ไหนของอินเดีย? มหาวิทยาลัยชื่ออะไร  เรียนวิชาอะไร? "ไปอ่านพระไตรปิฏกของอินเดียที่เป็นภาษาดั้งเดิม" - ภาษาดั้งเดิมน่ะภาษาอะไร  แล้วในเมื่อไปเรียนในอินเดียที่บอกว่าศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้ว  พระไตรปิฎกที่ยังเหลืออยู่ อยู่ได้ยังไง? "และมีความสนใจในภาษาบาลี " - จบตั้งเปรียญ ๙ ประโยค  ถ้าไม่สนใจในภาษาบาลี ก็คงจบเปรียญ ๙ไม่ได้ ก็น่านับถือที่อุตส่าห์เรียนจนจบเปรียญ ๙  งั้นช่วยแปลข้อความที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้น่ะ  ช่วยแปลกลับเป็นภาษาบาลีให้หน่อย... อยากรู้ว่าทำได้ไหม? การจะอ้างคุณความดีของศาสนาของตนๆ จะอ้างอย่างไรก็เชิญเถิดครับ ไม่มีใครวอแวหรือไปยุ่งอะไรด้วย แต่ถ้าคุณมาอ้างแบบนี้่ ก็ต้องมีหลักฐานให้ชัดเอามายืนยัน ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ   ถ้าทำกันแบบนี้ต่อไปผมก็คงอ้างได้เหมือนกันว่า ไปพบพระคัมภีร์อัลกุรอ่านโบราณ กล่าวว่าอย่างโน้นอย่างนี้... แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:24:31 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:22:38

ความคิดเห็นที่ 6 ศาสนาที่มาทีหลัง จะเขียนอะไรก็ได้ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า มี มาก่อนนานแล้ว ใครจะเอาส่วนดีๆไปใช้เอาไปเผยแผ่ศาสนาที่ตนเองตั้ง ก็ตามสบาย จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:23:02

ความคิดเห็นที่ 7 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:26:23 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:23:35

ความคิดเห็นที่ 8 ขณะที่ในคำสอนของไตยปิฏกยังระบุถึงคำกล่าวของพุทธเจ้าอีกว่า "ศาสนาของนี้จะมีอยู่ไปอีก 1,123 ปีต่อจากนั้นจะสลายไป" ---- นี่ก็ 2554+45 ปีแล้ว ศาสนาพุทธก็ยังคงอยู่ยังไม่ได้สลายไปนะ จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:26:05

ความคิดเห็นที่ 9 แปลกที่ไม่มีใครสนใจจะไปพูดคุยกับท่านโดยตรงสักคน จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:26:27

ความคิดเห็นที่ 10 นึกแล้วก็เป็นบุญ ของประเทศไทย ที่พระไตรปิฎกฉบับจริง  ไม่ถูกบิดเบือนโดยพวกมาร น่าสงสารประเทศอินเดียที่ ถูก พวกอิสลาม บุก ล้างศาสนาถึงขนาดไปเปลี่ยน พระไตรปิฎก น่าสังเวช จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:29:22

ความคิดเห็นที่ 11 แปลกที่ไม่มีใครสนใจจะไปพูดคุยกับท่านโดยตรงสักคน จากคุณ : laliklalee   ^ ^ ^ ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ  เพราะผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่า มีคนเพี้ยนๆแบบนี้อยู่ด้วย เลยยังไม่ได้ไปคุยกัน ถ้าคุณจะกรุณาบอกชื่อ และที่ติดต่อของอาจารย์ท่านนี้ได้จะขอบคุณมาก แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:30:46 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:29:45 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:29:29

ความคิดเห็นที่ 12 หลังไมค์มาได้เลยครับคุณ chohokun จะประสานให้ แต่อย่าเสียมารยาทกับเขานะครับ เพราะเห็นว่ายังไม่ทันได้พูดคุยกันก็มาเป็นชุดๆแล้ว เป็นห่วงน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:33:28 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:32:21 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:31:56

ความคิดเห็นที่ 13 คห.10 ขอหลักฐานที่คุณบอกว่า ".....ศาสนาอิสลามไปเปลี่ยน พระไตรปิฎก..." ด้วยค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:32:53

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ก็แค่การพูดสนุกปากตามเคยน่ะครับ อย่าไปคาดหวังอะไรมากเลยครับ Ms.Kohlanta จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:36:34

ความคิดเห็นที่ 15 คห.10 ขอหลักฐานที่คุณบอกว่า ".....ศาสนาอิสลามไปเปลี่ยน พระไตรปิฎก..." ด้วยค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta ^ ^ ^ คิดว่าคุณคนนั้นก็คงไม่มีหลักฐาน พอๆกับที่อาจารย์คนนี้ไม่มีหลักฐานในการอ้าง  ซึ่งผมก็ต้องขอหลักฐานที่อาจารย์คนนี้ว่าเอาไว้เหมือนกัน ขอหลักฐานคัมภีร์ รูปเล่ม ชื่อสถานที่ที่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:39:35 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:38:44

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นกระทุ้ที่ทำให้ชาวพุทธ  รู้ไส้รุ้พุง พวก มาร ได้ดีเลยครับ ไม่รุ้คิดได้ไง เล่นเหมือนเด็กอมมือ จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:43:58

ความคิดเห็นที่ 17 เอาเป็นว่าในเรื่องหลักฐานที่คุณ chohokun ขอมา ก็จะประสานข้อมูลของอีกฝ่ายให้ค่ะ และหวังว่าคงจะได้คำตอบ จากคำถาม คห.13 ที่ได้ถามไปเหมือนกันนะคะ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 23:49:51 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:48:31

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเข้าใจนะ คนที่ต้องการหลักฐานประกอบคำอ้าง เป็นผมผมก็ทำเช่นนั้น แต่พวกสนุกปากเนี่ยสิน่าขัน  เหมือนกินรังแตนกันมาเชียว คงรับไม่ได้ ดูชื่อก็ต้องร้อง อ๋อ...เป็นขาประจำนั่นเอง ฟังปุ๊บตัดสินปั๊บ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:49:12

ความคิดเห็นที่ 19 คิดยังไงกับข่าวนี้ครับ"อดีตพระเปิดใจ รู้จักอิสลามจากไตรปิฏก" ==================================== คิดว่าจริงครับ แต่พระไตรปิฎกนั้นคงไม่ใช่พระไตรปิฎกของเถรวาทครับ ==================================== ไม่มีเจตนาลบหลู่นะครับ ลองพิจารณาตรงที่ขีดเส้นใต้ครับ ว่าตรงกับนิยามของสิ่งใด และอยู่ในฐานะใดตามหลักการของพระพุทธศาสนา .... ๕. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์ เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้ง บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้กลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหม ปรากฏว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะ สิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสัน ความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจาก ชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม เป็นสหายของสัตว์ ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเองสัญจร ไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็น มหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น สัตว์เหล่านี้เรานิรมิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้ ก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้ และ สัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา ของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้น เพราะ เหตุไร เพราะเหตุว่า พวกเราได้เห็นพระพรหมผู้เจริญนี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้วก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็น เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย อาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้ใดแลเป็น พรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้นเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเรา ที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง. ... พรหมชาลสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=9&A=0&Z=1071&pagebreak=0#31 จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:59:34

ความคิดเห็นที่ 20 มั่วซั่วกันจริงจริ๊งๆๆ จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:06:08

ความคิดเห็นที่ 21 สำหรับชาวพุทธแล้ว การยั่วยุอารมณ์ด้วยคำพูด การเขียน หรือ ทำให้โกรธนั้น หากทุกคนได้รับการฝึกมาดีแล้ว เขาไม่โกรธหรอกไม่ว่าคุณจะกล่าวอย่างไร ถ้ามีเหตุผลหรือคำอธิบายก็ว่ามาตรงนี้เลยนะครับ คาดว่าหลายท่านกำลังรออ่านอยู่ แต่ถ้าจะให้ตามไปค้นหานั้นตาม link เกรงว่าคงเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะเหตุที่ควรทำสำหรับคนเรานั้น มีมากมายอยู่แล้ว หรือไม่ก็ปล่อยให้กระทู้นี้ตกไปละกัน เพราะคำตอบที่ทุกคนอยากได้ มีอยู่ทั่วไป จากคุณ : chakrint เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:06:20

ความคิดเห็นที่ 22 อ้างคคห 0 สองประโยคนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากพระพุทธเจ้าครับ "หากโลกนี้มีพระผู้สร้างจริง หากมีผู้ที่สร้างฉันมาจริง ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ" "ความรู้ของฉันเปรียบเหมือนใบมะขามในกำมือนี้ พร้อมเด็ดใบมะขามไว้ในกำมือ แต่ความรู้ของผู้ทรงสร้างเปรียบเหมือนใบมะขามบนต้น" จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:07:38

ความคิดเห็นที่ 23 ตอนนี้มีรายละเอียดให้ตาม link ที่ให้ไปฟังใน คห.2 ตกลงชาวพุทธที่แสดงคำพูดออกมาในห้องนี้ได้รับการฝึกมาดีแล้วรึยังครับ? ยังงัยคุณก็ตักเตือนศาสนิกเดียวกันบ้างนะครับ ไม่ใช่เห็นเป็นพวกเดียวกันก็ให้กิฟกันอย่างเดียว อ่านให้เป็นกลางหน่อยก็จะเห็นว่าเริ่มยั่วยุตั้งแต่ คห.3 เลย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 00:19:14 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:11:10

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ aunemaek2 รู้ว่าคุณ นั้นไม่พอใจ แต่ ควรเก็บคำพูดหยาบคายเอาไว้บ้างก็ดีค่ะ เข้าใจค่ะว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็อย่าใช้คำพูดว่า  " มาร " กับใครเลยค่ะ และในเรื่องการเปลี่ยนศาสนานี่มันก็มีให้เห็นกันโดยทั่วไปค่ะ ไม่ว่าจะ คริสต์ อิสลาม หรือ พุทธ เปลี่ยนไปเป็นศาสนาอื่นก็มีให้เห็นกัน คุยกันดีดีค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:16:08

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านเสร็จ สำรวจอารมณ์  อืม มีโมหะ นิดหน่อย  แล้ววาง จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:21:49

ความคิดเห็นที่ 26 หลอกให้เชื่อได้แต่ชาวมุสลิมล่ะมั้ง เนื้อหากระทู้นี้ ชาวพุทธ (เอาแค่ในทะเบียนบ้าน) มาอ่าน ก็รู้ว่ามั่วตั้งแต่ประโยคแรกจนประโยคสุดท้าย เอาแค่ "ศาสนาของนี้จะมีอยู่ไปอีก 1,123 ปีต่อจากนั้นจะสลายไป" เด็กอนุบาลก็รู้แล้วว่ามั่ว วางอุเบกขา แล้วปิดกระทู้ไปเลยแล้วกัน ขี้เกียจอธิบาย จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 00:47:34

ความคิดเห็นที่ 27 เหลวไหล จากคุณ : มุมม่วง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 01:21:37

ความคิดเห็นที่ 28 นี่คือ ที่บอกไว้หลายครั้งแล้วว่า   อำนาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 01:30:00

ความคิดเห็นที่ 29 ใจเย็นครับ เพื่อนศาสนิกทั้งหลาย วางอารมณ์กันนะครับ แล้วมาพิจารณาความเป็นไปได้กันก่อนครับ หากแม้นว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ความรู้ที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นเหมือนใบมะขามในกำมือ แต่ความรู้ของพระเจ้าเปรียบเหมือนใบบนต้นมะขาม จริงแล้ว ก้อควรจะอนุมานได้ว่า หลักธรรมคำสั่งสอนนั้น ควรจะเป็นเนื้อเดียวกัน ใช่ไหมครับ แต่ว่า ศาสนาพุทธ นั้นต่างจากศาสนาอื่นครับ   ศาสนาพุทธ ไม่ใช่เทวนิยมครับ ศาสนาพุทธ พูดถึงเรื่อง การปฏิบัติด้วยตนเอง จนกระทั่ง เห็นประจักษ์ ด้วยตัวเอง เป็นการมุ่งปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิด "ปัญญา" ที่รู้ได้เฉพาะตัว  รู้ถึง อนิจจัง ทุกขัง "อนัตตา"  ครับ เท่าที่ผมได้ฟัง ครูอาจารย์ที่ผมนับถือ ท่านได้อธิบายถึงคำสอนของ พระพุทธเจ้าไว้ครับว่า นิพพานนั้น แท้จริงอยู่ตรงหน้า เพียงแต่เราไม่เห็นเท่านั้นเอง  การจะถึงซึ่งนิพพานนั้น ต้องปฏิบัติตามแนวที่ท่านได้สอนไว้ และต้องกระทำด้วยตนเองเท่านั้นครับ เป็น ปัจจัตตัง ครับ ศาสนาพุทธ พูดถึงเรื่อง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง กับศาสนาแนวเทวนิยม ที่กล่าวถึง " ความศรัทธา " ต่อพระเจ้าครับ   ผมขอพูดเพียงเท่านี้ครับ เพราะความรู้ในศาสนาอื่นของผมยังน้อยนักครับ จึงขอเพียงยก เนื้อหาสำคัญ ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นมาให้พิจารณากันครับ คหสต คำสอนของพุทธ และ ของศาสนาอื่น ไม่น่าจะเป็นมะขามจากต้นเดียวกันได้ครับ ------------------------------------------------------- ศาสนาหลักๆ ของโลกนี้ ล้วนดีกันทั้งสิ้นครับ  แต่ดีไม่เหมือนกันครับ  หากท่านใดศรัทธาอย่างไร แล้ว ลดกิเลส และยังประโยชน์ด้านจิตใจ และสังคม โดยไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด รวมถึงตัวเองแล้ว  ก้อทำตามคำสอนที่ท่านเชื่อเถอะครับ เข้ามาในห้องศาสนานี่ ผมเห็นอารมณ์ผม ขึ้นลง เยอะเลย ยังไง ถกเหตุผลแล้ว อย่าลืมดูใจทีไหลหรือกระทบกันด้วยนะครับ จากคุณ : audiophilamature เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 01:38:05

ความคิดเห็นที่ 30 เท่าที่จำได้นะคะ... สิ่งที่องค์พระพุทธเจ้า ท่านทรงตรัสรู้ มีมากเหมือนใบไม้ในป่า แต่ที่ท่านทรงนำมาสอนให้พุทธศาสนิกชน เท่ากับใบไม้ในกำมือ... จากคุณ : ป้อม-ยาม เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 02:39:20

ความคิดเห็นที่ 31 ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่..................ทำให้แต่ละศาสนาตีกันได้เหมือนกัน จากคุณ : จามรี เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 05:59:20

ความคิดเห็นที่ 32 แล้วมันแปลกตรงไหนหนอ ก็เพราะว่าใครละที่มาเผามหาวิทยาลัยนาลันทา... จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 07:45:36

ความคิดเห็นที่ 33 เออ......ลองดู  y10543408 อ่านให้หมด  จะมีคำตอบ พระเจ้าคือใคร อยู่ในนั้น   แปลกดี  ไม่เคยเจอใคร บอกเลยว่า  พระยะโฮวา คือใคร  พระเยซูมาจากไหน จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 08:51:36

ความคิดเห็นที่ 34 ขำตรงที่ พยายามบิดเบือน "ส่วนกระพี้" ของศาสนาผู้อื่น อย่างหน้า ด้านๆ คัมภีร์ดั่งเดิม ก๊าก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการศึกษา "นอกอัลกุรอาน" หรือไม่ครับ ท่านประธาน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 08:57:47

ความคิดเห็นที่ 35 จริงๆแล้วคนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็ไม่ได้เชื่อเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกว่าเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ขนาดพุทธส่วนมากเองก็ยังเห็นว่าเป็นเปลือก เป็น กระพี้ เป็น "อุบาย" เพราะขัดแย้งกับความจริงที่พิสูจน์ชัดแล้วในหลายๆประเด็น  โดยเฉพาะหลักวิทยาศาสตร์ที่ได้ข้อสรุปแล้ว ใครจะเอาลักษณะที่ขัดแย้งในคัมภีร์ตนเองมาพิสูจน์อย่างไรก็คงป่วยการ เพราะไม่เรียกว่าเป็นการพิสูจน์ที่มีน้ำหนักอะไร และที่สำคัญหากอ่านให้แตกก็จะเห็นว่าผู้พูดก็เป็นชาวพุทธเอง เป็นพระที่ผ่านระบบการศึกษาชั้นสูงในศาสนาตนเอง และเป็นการอ้างอิงคัมภีร์ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของศาสนาตนเอง ในห้องสมุดตนเอง ก่อนที่เขาจะยอมจำนนต่อข้อเท็จจริง เปลี่ยนศาสนา ไม่เห็นมีต่างศาสนิก "บิดเบือนกระพี้" อะไรอย่างที่โหวกเหวกมาเลยคุณสายลมฯ คงต้องปล่อยคุณให้ขำกับ "ตรรกะนาซี"ของตนเองไปคนเดียวก่อน แต่ที่ผมเอะใจว่าสิ่งที่อดีตพระชลิตได้ไปอ่านเจอในหอสมุด อาจมีส่วนที่เป็นความจริง ส่วนเล็กๆหลงเหลืออยู่เกี่ยวกับการพยากรณ์ที่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ อย่างที่ยกมา ในกระทู้นี้มีคนขอเบอร์ไปสอบถามต่อเพียงคนเดียว ที่เหลือต่างตรัสรู้กันเกือบหมด มีพุทธศาสนิกที่รักษาอาการสุภาพชนได้ไม่กี่ท่านเท่านั้น อีกอย่างการพูดถึงบุคคลที่จะมาในอนาคตเขาเรียกว่า "พยากรณ์"  จะแปลกอะไรล่ะครับถ้าจะพูดถึงศาสดาในศาสนาอื่น การพยากรณ์ของศาสดาในศาสนาไหนก็มีกันทั้งนั้น "การพยากรณ์" นี้เองที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ความเท็จจริงของถ้อยคำที่อ้างว่าเป็นถ้อยคำของศาสดาที่แท้จริง เป็นศาสนาเดิมๆที่แท้จริงไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากน้ำมือใคร เพราะถ้อยคำที่แท้จริงของศาสดาที่เปล่งออกมาต้องถูกทั้งหมด ทั้งในส่วนของการพูดในอดีต ในสมัยท่าน หรือในสมัยอนาคตท่านที่ยังไม่เกิด ไม่ใช่ถูกๆผิดๆปนกัน ส่วนที่ผิดก็แยกออกมาเป็นเปลือก เป็นกระพี้ เป็นกุศโลบายไปเสีย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 09:40:50 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 09:33:59 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 09:22:51 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 09:18:49 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 09:17:29

ความคิดเห็นที่ 36 คห.32 งั้นอย่าส่งไปเรียนกันเลยครับ มหาลัยนั้น หรืออาจทุกมหาลัยที่อินเดียเลยก็ว่าได้เพราะถูกยึดครอง เสียเครดิตไปแล้ว ตรรกะไม่เอาอ่าวเลยครับ sirnitfi จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 09:46:27

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านแล้วคิดว่าดีสำหรับท่านอดีตมหา และดีสำหรับทั้งพุทธและอิสลามครับ อยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะเชื่อ ด้วยเหตุผล มุมมองอย่างไร เพราะธรรมชาติคือความต่างแต่สมดุลย์ หากไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใคร มันก็ดีทั้งนั้นแหละครับ คนเรา ดี ชั่วอยู่ที่ตัวทำ อยู่ที่เจตนาครับ ส่วนตัว ไม่ได้ตื่นเต้น ดีใจ หรือเกิดโมหะ เพราะ คนเรามีสิทธิเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนศรัทธา เปลี่ยนศาสนา เกิดการยึดมั่น ถือมั่น ตลอดจน เกิดการลด ละ เลิก ได้ตลอดเวลา เป็นธรรมดาโลกครับ จากคุณ : ดาบส เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:09:13

ความคิดเห็นที่ 38 สะดุดกับ 2 ประโยคที่ #22 อ้างอิงเหมือนกันครับ คือมีข้อความคล้ายกันในพระไตรปิฎก แต่เนื้อความไม่ใช่อย่างนี้นี่ - -" จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:13:03

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ ขอบคุณในการแสดงความเห็นอย่างสุภาพครับ หาได้ยาก จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:15:23

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ถ้าผมเคยแสดงความเห็นที่ไม่สุภาพ รบกวนนำมาแสดงด้วยครับ อย่าว่าแต่จำได้ว่าไม่เคย แม้แต่การโจมตีบุคคลผมก็ไม่ใช้ แต่ถ้าคุณ laliklalee หมายถึงท่านอื่นก็แล้วไปครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:41:20

ความคิดเห็นที่ 41 บุคคลที่บวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา แม้ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพอยู่ และเป็นผู้ติดตามอุปฐากพระพุทธองค์ในช่วงเวลาหนึ่ง ได้รับคำสอนและเห็นตัวอย่างอย่างใกล้ชิด แต่ด้วยมีทิฏฐิของตนเองที่เหนียวแน่น ทั้งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นจน จนด้วยเหตุผลแต่ก็ไม่คลายทิฏฐินั้น จนต้องลาสิกาออกไปบวชในลัทธิอื่นที่ปฏิบัติเข้มแบบสุนัข คือท่านสุนัขตะ(พิมพ์อาจจะไม่ถูก)     และมีพราหมณ์หรือผู้ที่อยู่ในลัทธิอื่นเข้ามาบวชในพุทธศาสนานั้นก็มากมาย จึงเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ที่มีทิฏฐิต่างกันในหลายนัยยะหรือหลายแบบแล้วติดแน่นในทิฏฐินั้น แล้วเชิดชูในสิ่งที่ตนเชื่อนั้นว่าย่อมเหนือกว่าดีกว่า เป็นธรรมดา     แนวทางพุทธศาสนาเน้นเรื่องการปฏิบัติธรรม เพื่อเจริญสติ(ศีล) สมาธิ ปัญญา ในการรู้ทุกข์และดับทุกข์เป็นสำคัญ คือหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย เป็นไปตามลำดับ แ่ต่สัตว์ทั้งหลายย่อมมีวาสนาและทิฏฐิที่ต่างกันก็ย่อมไหลไปในทิศทางต่างกัน เป็นเช่นนั้นเอง จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:42:23

ความคิดเห็นที่ 42 คห.40 สุภาพชนหมายรวมถึงตัวท่านเองด้วยครับ คุณชิวฯ แม้เราจะมีความเห็นที่แตกต่างกันและพูดคุยกันมาพอสมควร แต่ผมก็เห็นว่าท่านยังมีการพยายามใช้เหตุผลมากกว่าคนอื่นๆ ผมจึงชอบที่จะร่วมแสดงความเห็นกับท่านด้วย ที่บอกว่าหาได้ยากนั้น หมายถึงลักษณะการคุยของท่านทั้งสองคน (รวมทั้งท่าน ดาบส ) ที่แตกต่างในหมู่ผู้เข้ามาแสดงความเห็นในห้องนี้ ก็อย่างที่เห็นว่าเข้ามาในลักษณะกวนน้ำให้ขุ่นโดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไร จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:48:01

ความคิดเห็นที่ 43 คห.41 ก็เป็นข้อสังเกตุที่ดีครับ ผู้บันทึกอาจจะเลื่อมใสในพระเจ้าอยู่เป็นทุนเดิมจึงเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าไปในทางนั้นเพราะศาสนาอิสลามนั้นสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียวมาตั้งแต่นบีคนแรก คือนบีอาดำแล้ว  แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การใช้คำใน คห.22 ที่ตั้งข้อสังเกตุ ประเด็นคือการตรงกันของบริบทบุรุษขี่อูฐ ที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ต่างหาก ที่เหลือก็คือการพิสูจน์ว่าที่ อดีตพระชลิตอ้างมานั้น เป็นความจริงหรือไม่? ว่าไหม? แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 10:56:32 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:55:29

ความคิดเห็นที่ 44 รบกวน ขอข้อมูล ว่า พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในนบี ของ อิสลาม หน่อยครับ เพราะถ้า มี นั้นจะเป้นหลักฐานให้พี่น้องมุสลิมเคารพพระพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่มี เรื่องของกระทู้นี้ จะโมฆะทั้งหมด เพราะว่า อัลกุรอ่าน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแก้ไข นี่ครับ จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 10:59:22

ความคิดเห็นที่ 45 #42 อ้อ ขออภัยครับที่เข้าใจผิดไปในเชิงตำหนิ สำหรับเรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นความคิดเห็นจากบุคคลซึ่งเคยบวชในศาสนาหนึ่งแล้วย้ายไปนับถืออีกศาสนาเท่านั้น จึงไม่มีอะไรน่าค่อนแคะ (เพราะปกติถ้าคนที่เปลี่ยนศาสนาเป็น nobody ก็ไม่มีใครคิดจะค่อนแคะอยู่แล้ว) แต่ติดอยู่ตรงข้อความที่ท่านอ้างว่ามาจากพระไตรปิฏกนี่ล่ะที่ว่ามันแปลกๆ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:06:19

ความคิดเห็นที่ 46 ผมบอกไปแล้วงัยครับว่า หากต้องการคุยกับเจ้าตัวเพื่อรับทราบรายละเอียดว่าไปอ่าน ไปเห็นอะไรมา จริงแท้หรือไม่? บวชเรียนมาขนาดนั้นจริงหรือไม่? เปลี่ยนศาสนาจริงหรือไม่ ก็ให้ลองหลังไมค์มา มุสลิมต้องไม่ดูหมิ่นศาสดา หรือเทพเจ้าที่เป็นที่สักการะในศาสนาอื่นครับ พระเจ้าห้ามไว้อย่างชัดเจน จับประเด็นให้ดี มุสลิมหลายท่านยังเผื่อใจไว้ว่า บางที พระพุทธเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในศาสดาที่อัลลอฮ์แต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในยุคนั้น พื้นที่นั้นก็เป็นได้ เพราะนบีมีเป็นแสนท่าน แต่เนื่องจากไม่มีชื่อ หรือลักษณะที่ยืนยันไปถึงพระพุทธเจ้าถูกกล่าวยืนยันไว้ในกุรอาน หรือ ฮาดีษ จึงไม่สามารถรับรองได้ แต่ด้วยความเป็นไปได้นี้ เราจึงไม่มีพฤติกรรม ประณาม หยาม เหยียด ศาสดาใคร แม้จะถูกกระทำเช่นนั้นเพื่อยั่วยุก่อนก็ตาม เราเผื่อใจไว้ก่อน ปลอดภัยไว้ก่อน สิ่งที่เรากำลังทำก็คือการพยายามชี้แจงให้เห็นถึงความผิดพลาดจากการส่งต่อศาสนาที่ขาดความรัดกุม ขาดสายรายงาน และเปิดกว้างในการเพิ่มเติม แก้ไข ตัดตอน ส่งต่อมาในลักษณะที่ไม่เป็นที่รับรู้กันแพร่หลาย(มุตะวาติร) ศึกษากันเฉพาะกลุ่มคนเล็กๆ ทำให้คัมภีร์มีความแตกต่างกันอย่างมากมายในแต่ละสถานที่ แต่ละฉบับ ทำให้เรื่องราวที่อ้างว่ามาจากพระพุทธเจ้านั้นผิดพลาดจนต้องด้อยคุณค่าลงไปเป็นกระพี้ เป็นอุบายไปเสีย ในกรณีนี้เป็นไปได้ว่า ฉบับที่พระชลิตได้ไปอ่านพบในเวลานั้นอาจมีข้อความที่มีอยู่ก่อนการสังคายนาในครั้งหลังๆ จึงยังหลงเหลืออยู่ ข้อความเหล่านั้นอาจถูกตัดทิ้งไป เพราะกรรมการเห็นว่ามีเนื้อหาขัดแย้งกับความเชื่อ ที่ คห.22 ตั้งข้อสังเกตุไว้ก็เป็นได้ ผมก็ไม่ได้ฟันธงนะว่า มีจริง หรือ ไตรปิฎกฉบับลังกานั้นถูก เพราะยังไม่เห็นหลักฐาน และไม่มีความรู้ ตามหลักแล้วก็ยังต้องฟังหูไว้หู ที่เอาข้อมูลมาให้ดูก็เพื่อตอบคำถามผู้ที่ถามไว้ในกระทู้http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10569719/Y10569719.html  แต่การจะรีบออกมาแสดงการประณาม หยาม เหยียด พระชลิต และเหมารวมไปถึงศาสนาอิสลาม อย่างเดือดดาล ก็คงจะเกรียนเกินไป หลังไมค์มาครับ จะประสานให้ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 11:24:46 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 11:16:10 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 11:13:16 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:08:15

ความคิดเห็นที่ 47 สวัสดีคุณ laliklalee ปัญหาอยู่ตรงที่บิดเบือน ทั้งที่ตนกล่าวว่าเีรียนถึง จบเปรียญธรรม 9 การเปลี่ยนศาสนาอาจจะเป็นเรื่องอื่นนัยยะอื่นๆ มากมาย  ที่ทำให้คนเปลี่ยนศาสนา และจะเชิดชูศาสนาตนที่เปลี่ยนอย่างไรก็ไม่มีใครไปเกี่ยวข้องด้วย  แต่การบิดเบือน จากที่ตนเคยเรียนเคยศึกษา ในทางที่ไม่ถูกต้อง ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่ควรในการศึกษาเพื่อเจริญสติปัญญา  ดังข้อความในกระทู้(คัดลอกมาให้ดูอีกครัง) ------------------------------------------------------- นอกจากนั้นในคำสอนของพุทธเจ้ายังได้สอนให้มนุษย์รู้จักผู้สร้าง เช่น ตอนที่ท่านอธิฐานหลังกินข้าวมธุปายาท "หากโลกนี้มีพระผู้สร้างจริง หากมีผู้ที่สร้างฉันมาจริง ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ" นั่นคือต้นทางของประวัติศาสตร์ที่ว่า ตรัสรู้        และในการเทศนาของท่าน จะบอกกับคนว่า "ความรู้ของฉันเปรียบเหมือนใบมะขามในกำมือนี้ พร้อมเด็ดใบมะขามไว้ในกำมือ แต่ความรู้ของผู้ทรงสร้างเปรียบเหมือนใบมะขามบนต้น"        ขณะที่ในคำสอนของไตยปิฏกยังระบุถึงคำกล่าวของพุทธเจ้าอีกว่า "ศาสนาของนี้จะมีอยู่ไปอีก 1,123 ปีต่อจากนั้นจะสลายไป" -------------------------------------------------------- สรุป     คุณจะเป็นอะไร อย่างไรก็ตามแต่ ก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย. ซึ่งก็เป็นไปโดยธรรมชาติของบุคคลนั้นๆ  จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่สติปัญญาที่เจริญขึ้นของตนเอง ความเชื่อเป็นเพียงแค่องค์ประกอบที่เป็นเปลือกนอกเท่านั้น ซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับธรรมชาติที่แท้จริงก็ได้ จึงมีผลน้อยเพราะเป็นเพีียงความเชื่อเท่านั้น. .....เป็นเช่นนั้นเอง..... จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:16:59

ความคิดเห็นที่ 48 เห็นคล้ายกับคุณ laliklalee ครับว่างานนี้ท่านอาจไม่ได้ออกมาโป้ปดแบบที่บางคนอาจจะคาดเดาไปก็ได้ ผมก็ว่าเป็นไปได้ที่ฉบับที่ท่านอ่านอาจไม่เหมือนกับที่เราอ่าน แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นข้อความที่อยู่ก่อนการสังคายนา โดยเฉพาะเรื่องผู้สร้าง เพราะไม่สอดคล้องกับข้อความในส่วนอื่นของพระไตรปิฎกเท่าไหร่ พระไตรปิฎกมีความเป็น humanism สูงมากๆ การดึงเรื่องผู้สร้างมาพูดจึงไม่ค่อยเข้ากับบริบทเท่าไหร่ หรือถ้าจะมองว่าเป็นข้อความที่ถูกตัดไปเพื่อให้พระไตรปิฏกมีความเป็น humanism ก็ยังแปลก เพราะถ้าเปรียบศาสนาเป็นสินค้า ความเป็น humanism ก็คือจุดขายของศาสนาพุทธมาตั้งแต่แรก ถ้าพุทธก่อนการสังคายนามีการนับถือพระผู้สร้างก็จะไม่มีความโดดเด่นแตกต่างจากศาสนาอื่นในเวลานั้น จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:18:38

ความคิดเห็นที่ 49 คห.47 สวัสดีเช่นกันคุณ P_vicha แล้วคุณมีอะไรประกอบการตัดสินบ้างว่า อดีตพระสงฆ์ผู้นี้ บิดเบือน หรือลำพังการไม่ตรงกันของคัมภีร์ที่คุณยึดถือ ก็ถือว่าผู้พูดบิดเบือนเสียแล้ว? แต่หากจะสรุปว่าเกิดการบิดเบือน น่าจะภายหลังการลงลึกในรายละเอียดที่มากกว่านี้ เช่น สิ่งที่พระชลิตพูดนั้นมีจริงหรือไม่? นั่นคือสิ่งแรก หลังจากนั้นก็ไปพิสูจน์คัมภีร์ เปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ทั้งสองฉบับ ดูว่า ฉบับไหนมีมากกว่า ฉบับไหนมาก่อน กระบวนการรวบรวม และแก้ไขของทั้งสองฉบับนั้นเป็นมาอย่างไร คุณควรตั้งสติแล้วพยายามพิสูจน์ตามวิธีการที่ควรจะเป็นจะดีกว่าไหม? มิฉะนั้นก็จะเปิดเผยความเกรียนเหมือนหลายคนที่ผ่านๆมา แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 11:35:16 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:32:53

ความคิดเห็นที่ 50 หากพิสูน์ออกมาแล้วว่ามีความแท้จริง และมาก่อน ก็คงต้องปรับทัศนคติ เกี่ยวกับ humanism กันใหม่ แต่คงต้องเริ่มที่ลดอัตตากันก่อน ว่าไหมครับ คุณ ชิวฯ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:45:02

ความคิดเห็นที่ 51 เรื่องลดอัตตาเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วครับ แต่ถ้าสมมติพิสูจน์ได้ว่าพระไตรปิฏกแต่เดิมเขียนเช่นนั้นผมว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก เพราะโดย concept ของศาสนาพุทธ ณ ปัจจุบันมีจุดยืนเป็นของตัวเองชัดเจนแล้ว อาจมีศาสนิกส่วนหนึ่งกลับไปนับถือฉบับเดิมเพราะเห็นว่าเป็นพุทธพจน์จริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธโดยสารัตถะของคำสอนเองคงไม่เปลี่ยนกลับไปนับถือเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะเรื่องของพระผู้สร้างไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการดับทุกข์อีกแล้ว จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:50:34

ความคิดเห็นที่ 52 ตอบผมใน #44 รึยัง ท่าน laliklalee ถ้า โพสต่อมาคือคำตอบ(ผมคิดเอาเอง) ผมยังมองว่า เป็นการตีขลุ่ม อวยตน อยู่นะครับ จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:50:50

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีครับ laliklalee  การแสดงความเห็นของผมใน คคห.ที่  47 ไม่ได้เปิดเผยว่าจะมีความเกรียนอยู่เลย แต่คุณ laliklalee กลับกล่าวว่าอย่างนี้ ------------------------------------------ คุณควรตั้งสติแล้วพยายามพิสูจน์ตามวิธีการที่ควรจะเป็นจะดีกว่าไหม? มิฉะนั้นก็จะเปิดเผยความเกรียนเหมือนหลายคนที่ผ่านๆมา ------------------------------------------ หมายความว่าอย่างไรครับ? ทั้งที่ผมมีสติและมีการพิจารณาในการเขียน หรือข้อเขียนนั้นทำให้คุณเกิดปฏิกิริยา. ทั้งที่ผมไม่ได้คิดที่จะเกรียนเลยครับ จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:56:43

ความคิดเห็นที่ 54 คห.52 ผมยังไม่ได้ตอบคุณหรอกนะครับ เพราะหลักฐานไม่ได้อยู่ที่ผม ทำไมไม่ทำตามที่ผมแนะนำล่ะครับ กลัวอะไร? เอาอย่างนี้ครับ รอคุณโชกุนก็ได้ เขาเอาเบอร์ไปแล้ว ผมเองก็รอดูอยู่ด้วยเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 12:02:19 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 11:58:00 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 11:56:56

ความคิดเห็นที่ 55 คห.53 "แต่หากจะสรุปว่าเกิดการบิดเบือน น่าจะภายหลังการลงลึกในรายละเอียดที่มากกว่านี้ เช่น สิ่งที่พระชลิตพูดนั้นมีจริงหรือไม่? นั่นคือสิ่งแรก หลังจากนั้นก็ไปพิสูจน์คัมภีร์ เปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ทั้งสองฉบับ ดูว่า ฉบับไหนมีมากกว่า ฉบับไหนมาก่อน กระบวนการรวบรวม และแก้ไขของทั้งสองฉบับนั้นเป็นมาอย่างไร" มีอะไรไม่เข้าใจรึปล่าวครับ? คุณว่าเขาบิดเบือนโดยยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเองเลย จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:00:36

ความคิดเห็นที่ 56 ผมอ่านแล้วเห็นว่าสิ่งที่ อ.อับดุลลอฮฺ เล่ามานั้นขัดแย้งกับพระไตรปิฎก โดยสิ้นเชิง ถึงแม้เนื้อควาามเหล่านั้น จะไม่ใช่สาระทีสำคัญก็ตาม แต่อาจทำให้ผู้ไม่รู้เข้าใจผิดและสูญเสียโอกาส ในการเลือกนับถือศาสนา จึงใคร่ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ นำกระทู้นี้แจ้งต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินการหาข้อยุติ จากคุณ : 7887 เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:00:37

ความคิดเห็นที่ 57 ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่มีรายการ เรื่องเล่าโกดัง 13 ซึ่งดำเนินรายการโดย DJ เอฟ อิติปิโส น่ะเหรอครับ ลองดาวน์โหลดมาฟังดู ว่าแบบไหนให้ร้ายทำให้ผู้ไม่รู้เข้าใจผิดและสูญเสียโอกาส ในการเลือกนับถือศาสนา ตามที่ 7887 กังวล ผมว่าลีลาแบบนี้น่าไปหาข้อยุติที่ศาลเลยน่าจะดีกว่า http://cid-e59bc2b12377b5d1.skydrive.live.com/redir.aspx?page=browse&resid=E59BC2B12377B5D1!148&type=6&Bpub=SDX.Docs&Bsrc=Docmail&authkey=4x015b2bj6g$ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:09:03

ความคิดเห็นที่ 58 #56 แจ้งเลยครับ เพราะ เนื้อหานี้ เป็นการคุกคาม ทั้ง 2 ศาสนา จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:09:03

ความคิดเห็นที่ 59 แจ้งเลยครับ อยากพิสูจน์เหมือนกัน จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:10:50

ความคิดเห็นที่ 60   ขอเป็นข้อแรกเลยครับ คือ ผมอยากติดต่อโดยตรงกับ อดีตพระมหาชลิต ท่านนี้ หากใครจะประสานให้ได้ก็จักขอบพระคุณ  หรือจะหลังไมค์มาหาผมก็ได้ครับ    ประการที่ 2. ผมมองว่า หากอดีตพระมหาชลิต ได้เปลี่ยนศาสนาไปเป็นศาสนาอิสลาม (เป็นมุสลิม) อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจนจบเปรียญ 9 ประโยค ก็คงจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของท่านมากพอสมควร (หากไม่มีการตำหนิ เหยียดหยามอดีตศาสดาของตน-กรณีนี้ผมยังไม่ทราบว่ามีหรือไม่มี)   และอย่างน้อยที่สุด เราก็ได้มีผู้ประสานที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง อยู่ในกลุ่มเพื่อน-พี่น้องที่เป็นมุสลิม ในยามที่เกิดความขัดแย้ง หรือมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างศาสนิก   ผมรู้จักเจ้าอาวาสวัดใน กทม วัดหนึ่ง ท่านบอกกับผมตรง ๆ ว่า ครอบครัวท่านเป็นมุสลิม ท่านเองก็เป็นมุสลิมมาก่อนบวช แต่เมื่อบวชแล้ว จนได้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ก็ไม่เคยเห็นว่าท่านจะ บริภาษ หรือตำหนิศาสนาอิสลาม หรือพี่น้องมุสลิม ท่านเอง แม้จะ็มิได้หันกลับไปเป็นมุสลิมอีก แต่ท่านก็พยายาม ในการทำความเข้าใจระหว่างสองศาสนา และมองหาช่องทางที่ "พอจะไปกันได้"      ในส่วนที่ไปกันไม่ได้ ก็ไม่ยกเอามาเป็นข้อขัดแย้ง หรือบลั๊ฟข่มกัน ต่างคนต่างอยู่กันไป ประการที่ 3. (กรณีพระศาสดาอื่น ๆ ) เท่าที่ผมศึกษามา พระพุทธเจ้า เคยตรัสเรื่อง "อารฺตา สตฺถา" พระศาสดาจากแดนไกล บ้าง แต่มิได้บ่งบอกมากมายไปกว่านั้นว่ามาจากที่ใด หรือในยุคใด และตรัสว่า ศาสดานั้น ๆ หรือครูนั้น ๆ ก็สอนธรรมที่เป็นไปในทางที่ดี เช่นพระองค์เอง    ประการที่ 4. (กรณีใบไม้ในกำมือ)  เท่าที่ผมศึกษามา น่าไม่ใช่ใบมะขาม (ช่างเถอะ ใบอะไรก็ได้)    แต่ครั้งหนึ่งพระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นประดู่ลาย แล้วตรัสตอบปัญหา และเทศนาแก่วัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ชอบถามเรื่องโลก เรื่องจักรวาล เรื่องแกแลกซี่ ฯลฯ ว่ามีที่สิ้นสุดไหม มีอะไรอีกไหม บลา ๆๆๆๆๆ   คือหมอนั่นถามประมาณว่า ตัวเขาเองเป็นนักวิชากรสมัยใหม่น่ะ และพระองค์ทรงเลี่ยงที่จะตอบปัญหาครอบจักรวาลนั้น แต่ได้ทรงหยิบใบประดู่ลาย มากำมือหนึ่ง  แล้วถามมานพหนุ่มว่า "ใบไม้ในมือเราตถาคต กับใบไม้ในป่าที่ไหนมากกว่ากัน"  เมื่อมาณพทูลว่า "ในป่ามากกว่า" พระองค์จึงตรัสว่า ความรู้ที่เราตถาคต นำมาสอนประชาชนนั้นมีเพียงน้อยนิด เท่ากับใบไม้ในกำมือเท่านั้น  ทั้ง ๆ ที่ความรู้ของตถาคตมีมากเท่ากับใบไม้ในป่า   แต่ใบไม้ในป่าที่ห่างไกลจากตัวเรานั้น ยังมีประโยชน์น้อยนัก จงเอาความรู้เท่าที่มี ก็คือเรื่อง "ทำอย่างไรให้รู้จักทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุก รู้ทางดับทุกข์ให้ได้ และจงมีความสงบสุขกับการดับทุกข์นั้น" (ทุกข์  สมุห์ทัย นิโรธ มรรค)   ส่วน ความรู้อื่น ๆ เช่น เรื่องจักรวาลไกลโพ้นนั้น มันมากไป ไม่อาจทำให้ดับทุกข์ได้ในชีวิตนี้ เพราะชีวิตเราน้อยนัก หากเรามานั่งพิจารณาอยากรู้ในความรู้ที่มากมาย เหมือนใบไม้ในป่า ก็จะเสียเวลาชีวิตเรา ที่มีเพียง 100 ปีโดยประมาณ   เหมือนนายพรานคนหนึ่ง ไปเจอเสือในป่า หากมัวแต่พิเคราะห์ และพินิจพิจารณาว่า มันเป็นเสือตัวผู้หรือตัวเมีย และมันมีขาครบทั้ง 4 หรือไม่ มันมีขนกี่เส้น เราควรนับจำนวนขนกี่เส้นของมันซะก่อน แล้วค่อยวิ่งหนี หรือค่อยต่อสู้ป้องกันตัว  หากทำเช่นนี้ ก็มีแต่จะโดนเสือกัดตายเท่านั้น.... ดังนั้น ความรูู้็มากมายในป่าไม้นั่น มันอาจจะยังไม่ได้ประโยชน์นักกับวิถีชีวิต ในปัจจุบันนี้เลย จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:12:49

ความคิดเห็นที่ 61 ^ ^ หลังไมค์มาได้เลยครับ ผมบอกแล้วว่าจะประสานให้ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:18:01

ความคิดเห็นที่ 62 ถ้าเชื่อ แค่อริยะสัจจ์4 ก็เป็นพุทธแล้ว ผมก็เป็นพุทธ แท้ๆแน่ๆเชียว แต่ถ้าต้องเชื่อตำราที่อ้างว่าเก่าแก่3ตู้ ที่เรียกว่า พระไตรปิฏก และต้องเชื่อทั้งหมดนั้น ถึงจะเป็นพุทธ ผมคงต้องบอกว่า ชาตินี้ผมไม่มีวันเป็นพุทธแน่ๆ เพราะ พระไตรปิฏก นั้น ที่ถูกต้องเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้ได้ ดังนั้น #0 สำหรับผมแล้ว จึงไม่ต้องพิจารณาเลย จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:28:22

ความคิดเห็นที่ 63 ความคิดเห็นของคุณ Humandroy น่าสนใจมากครับ จะว่าไป เราใช้เกณฑ์ไหนตัดสินกันนะว่าแค่ไหนจึงถือว่านับถือศาสนาไหน จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:31:27

ความคิดเห็นที่ 64 ไม่ใช่เนื้อหาในพระไตรปิฏกของเถรวาท ที่ประเทศไทยเราใช้เป็นหลักอยู่ครับ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:47:07

ความคิดเห็นที่ 65 อยากทราบว่าพระไตรปิฏกฉบับไหนครับ ทราบไหมครับว่า มีพระไตรปิฏกที่ว่าเป็นฉบับเก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ นะครับ ซึ่งน่าจะเก่ากว่าฉบับที่อ้างถึงว่าอ่านในอินเดียเสียอีก คือที่เราเรียกกันว่า  "จารึกโบราณบาบิยัน" ซึ่งถือเป็นพระไตรปิฎกฉบับเก่าแก่ที่สุดในโลก อายุราว ๒,๐๐๐ ปี นอกจากนี้ก็ยังมีพระไตรปิฏกที่เก่าแก่ ของอีกหลายชาติมาไว้เทียบอีกหลายฉบับ เช่น  “พระไตรปิฎกฉบับไคเป้า” พ.ศ. ๑๕๒๖ พระไตรปิฎกฉบับกิมจั๋ง และพระไตรปิฎกฉบับโดโจ ที่ทางญี่ปุ่นเก็บได้รักษาไว้อย่างดี ปัจจุบันมีฉบับคัดลอกที่ได้รับมอบมาเก็บรักษาอยู่ที่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ฉบับของอินเดียที่ว่าเป็นของปีไหน ยุคไหนครับ ถึงมีข้อความผิดเพี้ยนไปได้ขนาดนี้ ขอข้อมูลอ้างอิง ครับ ลองไปอ่านคำแปลแล้วจะพบว่าข้อมูลยังถูกต้องตรงกับพระไตรปิฏกฉบับปัจจุบันครับ จากคุณ : granun เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:53:54

ความคิดเห็นที่ 66  ขอต่อจาก ความเห็ฯที่ 60 นะครับ ประการที่ 5. เรื่องการลอยถาดและอธิาฐาน   ในข้อนี้ จากการที่ผมศึกษามา ก็คือ ผู้ที่ลอยถาดและยังติดอยู่กับคำอธิาฐานนั้น "มิใช่พระพุทธเจ้า"  เพราะเขาคนนั้นยังมิได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ  เขายังเป็นเพียงเจ้าชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังแสวงหาทางพ้นทุกข์ และแสวงหาสัจจธรรมที่แท้จริง  แน่นอนว่า เจ้าชายพระองค์นั้น มาจากตระกูลกษัตริย์ ซึ่งเป็นวรรณะชั้นสูง ในศาสนาพราหมณ์ ในยุคนั้น ความเชื่อเดิม ๆ ที่เป็น "สีลัพพตปรามาส" ของชนชั้นนั้น ๆ ในศาสนานั้น ๆ  ก็ยังคงมีอยู่บ้างแน่นอน (อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัว ผมคิดว่า นั่นเป็นเพียง "บุคลาธิษฐาน" เท่านั้น ยังมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น ที่คนโบราณต้องการบอก ไว้โอกาสหน้า อาจจะขอโอกาสมาแสดงกันอีกที) ดังนั้น ในชั้นนี้ ผมขอสรุปก่อนว่า 1. หากพระมหาชลิต ท่าน เปลี่ยนศาสนาแล้ว ท่านได้ "สันติ" จริง ๆ ในส่วนตัวท่าน เราเองก็มิควรที่จะไปแค้น อกแค้นใจอะไรกับท่านมิใช่หรือ?   ในอดีตพุทธกาลนานโพ้น คนระดับเจ้าลัทธิ มีบริวารนับพัน ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เก่งและฉลาดกว่า ท่านมหาชลิตแน่ ๆ ก็ยังเคย ชวนบริวารนับพันนั้น ๆ ลอยชฎา และบริขารไปตามแม่น้ำเพื่อละทิ้งลัทธิเก่าของตน แล้วหันมานับถือศาสนาพุทธ และเป็นพระสาวกที่ดี ของพระพุทธองค์เช่นกัน    หวังว่าเพื่อนชาวพุทธจะยังคงจำได้ ในเรื่องนี้ตามพุทธประวัติ    ดังนั้นกรณี ท่านชลิต ก็เป็นสิทธิของท่านนะ หากท่าน มีสันติสุข ในศาสนาใหม่ของท่าน และเป็น ศาสนิกที่ดี ของอิสลาม ผมว่าก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี (ผมรู้จักพระท่านเจ้าอาวาส ท่านหนึ่ง ในวัด ในกทม. ซึ่งท่าน เล่าให้ผมฟังว่า ครอบครัวท่าน แม้ในปัจจุบัน ก็ยังเป็นมุสลิม มีท่านเพียงคนเดียว ที่หันมานับถือศาสนาพุทธ และบวชเรียน จนได้เป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านก็มีความสุขดีนะครับ ครอบครัวท่านก็มิได้เบียดเบียดอะไรท่าน ก็มีบ้างที่ระยะแรก ๆ ก็สงสารท่าน กลัวท่านจะตกนรก กลัวท่านจะไม่ได้เข้าเฝ้าองค์อัลเลาะฮ์ ในวันพิพากษา แต่ท่านก็มีวิธีการของท่าน ในการทำความเข้าใจ จนครอบครัว ของท่านก็วางเฉยได้แล้ว.....ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหล่ะ ท่านบอก... เราเลือกเอง ว่าเราจะเป็นอะไร    แต่อย่างน้อยที่สุด ผมชื่นชมกับครอบครัวของท่านเจ้าอาวาส ที่เป็นมุสลิม  เขาพยายามที่สุดแล้วให้สึกออกมาซะ แต่ในเมื่อท่านไม่สึก ก็ยังห่วงใย ในวันตัดสิน แต่เมื่อไม่สามารถทำให้ท่านกลับใจได้ เขาก็ไม่ฆ่าฟัน ไม่ด่าว่า ไม่โกรธเคือง เขายัง "วางอุเบกขา" เป็น และก็ยังแอบเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ   แล้ว ชาวพุทธเรา ผู้รู้จัก พรหมวิหารธรรมกันมาเป็นอย่างดี ทำไมเราจะไม่ลอง วางอุเบกขา กับท่าน ชลิต กันเสียก่อนในเบื้องต้น แล้ว มองท่านอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง และหาก เห็นว่าท่านไปดีแล้ว มี "สันติสุข"  ในอิสลลามของท่านแล้ว เราก็น่าจะหมดห่วง และปล่อยท่านไปตามทางของท่าน มิดีกว่าหรือครับ) 2. ในกรณีที่ท่านชลิต กล่าวโจมตีให้ร้าย ต่อศาสดา และศาสนาเดิมของท่าน (หากมี)   นั่นก็เป็นสิทธิ ของท่านเช่นกัน และเราที่ยังคงเป็นชาวพุทธ ก็ควรชี้แจง ไม่ควรตั้งป้อมบริภาษ ด่าทอเพียงอย่างเดียว ด้วยความโกรธแค้น ชิงชัง และหาก เกินวิสัยที่เราจะทำได้ ก็ยังมีหน่วยงาน หรือองค์กรของรัฐ ที่มีหน้าที่ต้องจัดการ เราก็ร้องเรียนกันไป ย่อมน่าจะดีกว่าครับ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:57:13

ความคิดเห็นที่ 67 อ่านแล้วขำ ระคนสงสัย ... จริงหรือ ??? จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:57:13

ความคิดเห็นที่ 68 "จารึกบามิยัน" ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ที่สถาบันอนุรักษ์สเคอร์เยนฉบับนี้ เป็นที่ยอมรับกันในวงการนักโบราณคดีและภาษาศาสตร์นานาชาติว่าเป็น "คัมภีร์พุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด ในโลก" นะครับ นักโบราณคดีและภาษาศาสตร์ นานาชาติต้องใช้เวลาถึง 12 ปี ในการชำระคัมภีร์ดังกล่าว คาดว่าเป็นการจารึกพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร ในช่วงพุทธศักราชที่ 6 รวมถึงพระไตรปิฏกฉบับเก่าแก่ที่มีเก็บไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้เล่ามา หลายฉบับมีความเก่าแก่และได้รับการสอบทานจากหลายประเทศเป็นที่ยอมรับก็มีอยู่ จะ ถ้าเอาข้อมูลความน่าเชื่อถือของฉบับที่กล่าวอ้างลอยๆ ในอินเดีย มาหักล้างกับฉบับนี้ได้ค่อยว่ากันครับ ฉบับอินเดียที่กล่าวถึงนั้นผมคาดว่าคงจะไม่เก่าแก่เท่านี้กระมัง ลองเอามาเทียบกันดูไหมครับว่าฉบับที่อ้างถึงนั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างไร เก่าแก่อย่างไร คาดว่าถ้าจริงจะเป็นที่ฮือฮาและเป็นข่าวไปทั่วโลกแน่ๆครับ :) จากคุณ : granun เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:09:02

ความคิดเห็นที่ 69 น่าสนใจจริงๆครับ ก็เข้าสู่กระบวนการเดิม ที่ทุกอย่างต้องตรวจสอบก่อน จะอ้างลอยๆกันก็ต้องฟังหูไว้หูเหมือนเดิมครับ แล้วจารึกบามิยันมีจำนวนเล่มเท่า ตำรา 3 ตู้ใน คห.62 กล่าวถึงเลยเหรอครับ? เนื้อหาตรงกันเลยรึปล่าว? มีภาพ มีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ดูไหม? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:21:58

ความคิดเห็นที่ 70 Prophet Muhammad (PBUH) mentioned In Buddhist Scriptures (นบีมูฮัมหมัดที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีพระไตรปิฏก) หลักฐานอยู่ในวีดีโอนี้เชิญตรวจสอบได้เลยครับ  (มีใครพอจะแปลวีดีโอนี้เป็นภาษาไทยได้บ้างอะ) แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 17:42:09 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:34:25

ความคิดเห็นที่ 71 The Buddha leader Gautama, has prophesized the coming of an inspired person. In the Gospel of Buddha by Caras (pp. 217-8) it is written that this great Buddha will come to the world known as the "Maitreya". The Cakkavatti-Sihanada Suttana gives him the name "Metteyya". Both these words mean "The Merciful One". By reference to the life-history of Muhammad (p.b.u.h.), it can be seen that he was indeed extremely merciful and the Al-Qur'an also refers to this fact. There are further similarities, as the Buddhist Scripture reads: "His (Maitreya) disciples will number many thousands, while mine number many hundreds". It is a known fact that with Muhammad (p.b.u.h.) were thousands followers. There are further similarities, which will be elucidated below. In the Gospel of Buddha (by Carus - p214), an enlightened Buddah is described as having a very bright skin and that, a Buddha attains supreme insight at night time, he dies naturally at night, looks very bright before his death, and finally, after his death he ceases to exist on the earth. All these points can be applied to the holy prophet of Islam. (Read his life story). In Si-Yu-Ki, Vol I, p.229, it is written that "... no words can describe the personal beauty of Maitreya". Again we leave it up to you to examine the history of Islam in detail; both muslims and nonmuslims are almost unanimous in asserting that Muhammad (p.b.u.h.) was very handsome and beautiful indeed. Si-Yu-Ki Vol I. (p.229) further reads "..the exquisite voice of the Bodhisattva (Maitreya) is soft and pure and refined; those who listen can never tire, those who hear are never satiated." The Arabic language is remarkable for its beauty. Furthermore, the holy Qur'an is considered a work of the highest unique literary merit by friend and foe alike. Buddhist Scriptures have defined further characteristics of Buddha. In order to qualify for the Maitreya, he must satisfy those conditions. A Buddha must be a human being - not a diety. A Buddha must have five special gifts, viz. The gift of treasure, the gift of child, the gift of wife, the gift of rule (i.e. leaderhip, headstatesman) and the gift of life and limb. In addition, the Buddha would be teacherless, i.e. without any form of formal education. Gautama has also stressed that the Buddha is simply a man, salvation depends only on an individuals deeds, the Buddha can only preach - he does not have the claim of being in part supernatural. The characteristics above are all in accordance with the life of the Prophet Muhammad (p.b.u.h.). Another similarity which should be mentioned is that for every enlightened Buddha, there is a special "Bo-tree". Some modern commentators believe that the "Bo-tree" of the Maitreya is a tree with hard or heay wood. The prophet (p.b.u.h.) had a tree at Hodebbeyyaa, which was the place of an important treaty. The Qur'an gives the name "Shajar" to this tree (Surah 48:Verse 18). "Shejar" according to some scholars refer to any tree with a hard stem. Again it is highly remarkable that such close similarity should exist. http://www.beautifulislam.net/buddhism/buddhist_scripture_about_muhammad.htm แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 13:53:26 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:46:38

ความคิดเห็นที่ 72 สวัสดีครับคุณ laliklalee ผมไม่ได้คิดจะเกรียนและก็มีสติมีข้อมูลพิจารณาดีแล้ว และไม่รีบร้อนจะตอบโต้ เพราะพักเที่ยง ไปทานข้าว และนั่งหลับไปอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง.      จากพระไตรปิฏกฉบับภาษาไทย และเมื่อเทียบกับ ภาษาบาลีก็ตรงกัน ตั้งแต่เริ่มสังคายนามานานแล้วดังนี้ ------------------------------------------------------------------                             สีสปาสูตร               เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น         [๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน?  ภิกษุทั้งหลายกราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.         พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.         [๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.                                        จบ สูตรที่ ๑ ------------------------------------------------ ลองอ่านพิจารณาดู ผมมีหลักฐานอยู่แล้ว จึงหาได้กล่าวลอย ๆ หรือไม่มีหลักฐานนะครับ. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:51:06

ความคิดเห็นที่ 73 ลองอ่านเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ข้างบนหรือไม่ก็ลองดูวีดีโอให้จบ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 14:00:46 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 13:57:34

ความคิดเห็นที่ 74 พระศรีอาริยเมตรัยไม่ใช่นบีมูฮัมหมัดแน่นอนครับ เพราะพระศรีอาริยเมตรัยก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง และเงื่อนไขหนึ่งของการเป็นพระพุทธเจ้าคือในยุคที่พระองค์มาประสูตินั้นจะต้องไม่มีศาสนาพุทธแล้ว หรือทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าในแต่ละยุคอาจจะมีหรือไม่มีพระพุทธเจ้าก็ได้ ถ้ามีก็จะมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ในยุคนี้ศาสนาของพระโคดมยังอยู่ ย่อมไม่มีพระพุทธเจ้าอื่นลงมาประสูติ นอกเหนือไปจากนี้ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับท่านนบี เช่น พระชนม์ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก PS Confirmation Bias (การเลือกพิจารณาเฉพาะหลักฐานที่สอดคล้อง) เป็น fallacy อย่างหนึ่งนะครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 14:29:11

ความคิดเห็นที่ 75 พระศรีอาริย์เมตตรัย ไม่มีการเบียดเบียนกันเลยครับ แม้จะเบียดเบียนโดยอ้างหลักศาสนาก็ไม่มีครับ ทุกคนมีศีลธรรมกันหมด หน้าตางดงามเหมือนๆ กันหมด แล้วตลอดอายุของศาสนาอิสลาม ในประเทศที่มีการปกครองโดยอ้างศาสนาอิสลาม เป็นอย่างไร ศาสนาของพระศรีอาริยเมตตรัยจะต้องปลอดจากคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณโคดม หมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ยุคนี้หรือยุคใกล้ๆนี้ หรอกครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 14:46:01

ความคิดเห็นที่ 76 อันนี้น่าจะชัดที่สุดครับว่าไม่ใช่ยุคของท่านนบีแน่นอน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ --พระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร 1. มนุษย์ที่ร่วมสมัยกับท่านนบีคงไม่ได้มีอายุขัย 80000 ปี 2. ถ้าท่านนบีไม่ใช่อยู่ๆ ก็ปิ๊งขึ้นมาเอง แต่เป็นเพราะอัลลอฮ์มาบอกสัจธรรม ก็เรียกว่าตรัสรู้เองไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 14:53:09

ความคิดเห็นที่ 78 #77 อย่าว่าไปถึงขั้นนั้นเลยครับ อาจเป็นแค่แนวคิดส่วนตัวของอดีตพระคนนี้ก็ได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 15:27:46

ความคิดเห็นที่ 79 ^ ^ ชื่อ"จักรธรรม" เหรอ "ต่ำ" ไม่คู่ควรกับชื่อเล้ยย.. ทำราวกับว่าเขาปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาแล้วกระนั้น อย่าใจแคบนักสิครับ ไปดูข้อพิสูจน์กันก่อน ร้อนรนกันเหลือเกิน แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 15:39:22 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 15:28:16

ความคิดเห็นที่ 80 คห.76 ถ้าจะอ้างเงื่อนไข ผมว่าน่าจะอ้างเล่มเดียวกัน ฉบับเดียวกันดีกว่า อ้างคนละเล่มแล้วจะบอกว่าเล่มนั้นปลอมเพราะเนื้อหาขัดแย้งกับเล่มนี้ที่จริง ผมว่ามันไม่ใช่กระบวนการพิสูจน์ที่มีน้ำหนักอะไร เพราะปักธงไว้แล้วว่าเล่มไหนจริง เล่มไหนบิดเบือน บางทีเงื่อนไขในเล่มนั้นอาจไม่ขัดแย้งกับลัษณะที่บอกเล่ามาก็เป็นได้ ยึดหลักกาลามสูตรสิครับ บางข้อก็มีส่วนดีนะ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 15:51:36

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่พระไตรปิฏกมีหลายเล่ม ที่ผมแย้งคือวิทยากรท่านนี้พูดถึงแต่ข้อมูลส่วนที่สอดคล้อง แต่ข้อมูลส่วนที่ไม่สอดคล้องไม่พูดถึง ไม่เกี่ยวกับจริงไม่จริงครับ เล่มที่ท่านอ้างก็จริง เพียงแต่ส่วนที่ไม่ตรงกับท่านนบีซึ่งมีอยู่ในเล่มอื่นท่านไม่ได้เอามาพูด กรณีนี้ไม่ได้พูดถึงบิดเบือนหรือไม่บิดเบือนครับ มันคือการตัดเอาส่วนเดียวมาอภิปราย จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 16:17:24

ความคิดเห็นที่ 82 ผมคิดว่านั่นเป็นการหลงประเด็นครับ เพราะจริงๆแล้วมุสลิมไม่ได้กำลังจะมาพยายามพิสูจน์ความถูกต้องของคัมภีร์ศาสนาอื่น เพราะลำพังเหตุผล ตรรกะ และคัมภีร์ของอิสลามก็มีมากมายเกินพอที่จะพิสูจน์สัจธรรมได้อยู่แล้ว ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า ผมเผื่อใจไว้เฉยๆ ว่าอาจเป็นส่วนที่จริง ของคำพูดผู้ที่อาจเคยเป็นศาสดาที่หลงเหลืออยู่ เรื่องของเรื่องก็คือ มีพุทธศาสนาบางท่านสนใจใคร่รู่ว่าในคัมภีร์ตนเองมีการพยากรณ์ถึงศาสดาในศาสนาอื่นไว้บ้างรึปล่าว? ผมเองก็เห็นว่าเรื่องเล่าจากผู้ที่เข้ามารับอิสลามใหม่ท่านนี้น่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน อย่างน้อยท่าน อดีตพระชลิต ก็มีความเข้าใจว่า ชายที่พระพุทธเจ้าในฉบับลังกากล่าวถึงอยู่นั้น ช่างตรงกับนบีมูฮัมมัดเหลือเกิน จนเปลี่ยนศรัทธา แต่หากท่านจะยืนกรานไม่เชื่อตามนั้น มองว่าเมตตรัยยะคงต้องเป็นท่านอื่นเป็นแน่ ก็คงต้องอ้างเหตุผลประกอบที่มีน้ำหนักกว่าการอ้างเงื่อนไข 2 ข้อ ที่อยู่คนละเล่มกันครับ การตัดเอาส่วนเดียวที่ครบถ้วนกระบวนความมานำเสนอ ผมมองว่าชัดเจนแล้ว แต่หากในเล่มเดียวกันนั้นมีเงื่อนไข 2 ข้อนี้ด้วย ก็ว่าไปอย่างครับ 1. มนุษย์ยุคนั้นต้องมีอายุขัย 80000 ปี 2. ต้องตรัสรู้เอง ผมจำได้ครับ แต่ท่านควรพิสูจน์ว่า 1. ในฉบับนั้นมีกล่าวไว้อย่างนั้นจริงหรือไม่? (จับโกหกผู้เล่า) 2. หากมีกล่าวไว้จริง ฉบับนั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด? (จับโกหกคัมภีร์) หากผ่าน 2 ข้อนี้ จึงไปดูเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นก็ได้ครับ เพราะหากไม่พิสูจน์ที่รากเหง้าเช่นนี้ สุดท้ายก็ยังมีคำครหาจากผู้ที่ไม่เชื่อได้อยู่ดี ว่าไหมครับ? แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 16:36:05 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 16:33:11

ความคิดเห็นที่ 83 ตัดเอาส่วนเดียวแล้วจะครบถ้วนได้อย่างไรครับ? สมมติผมเขียนหนังสือไว้ 2 เล่ม แล้วพูดถึงวาฬไว้แบบนี้ เล่มที่ 1 บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ รูปลักษณ์คล้ายปลา เล่มที่ 2 บอกว่าหายใจด้วยปอด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ต่อมาวาฬสูญพันธุ์ คนไม่รู้ว่าวาฬเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหน มาอ่านเล่มแรกเจอแล้วก็บอกว่าฉลามคือวาฬที่ผมพูดถึงในหนังสือ คนที่มาค้านผู้พูดก็จะค้านว่าตกการบรรยายลักษณะในเล่มที่ 2 ไม่ได้ เพราะผู้พูดบรรยายเล่มที่ 1 น่าจะชัดเจนแล้ว ส่วนอีกเงื่อนไขอยู่อีกเล่ม ไม่เกี่ยวกัน อย่างนี้หรือ? ในเมื่อพุทธพจน์อยู่ในพระไตรปิฏกหลายเล่ม จะบอกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูกต้องเพราะตรงกับพระไตรปิฏกเพียงเล่มเดียว แล้วไม่สนใจเงื่อนไขอื่นๆ ในเล่มอื่นได้อย่างไรครับ? ผมจำได้ว่าตอนมีการถกเรื่องฮาดีษกับคุณแมทท์ ยังมีการยกฮาดีษอื่นจากผู้รายงานคนละคนมาโต้ตอบกัน ไม่ใช่ฮาดีษที่คุณแมทท์ยกมาโจมตีเพียงฮาดีษเดียว ที่สำคัญการที่พระไตรปิฏกมีหลายเล่ม เนื้อความที่สมบูรณ์ย่อมต้องมาจากทุกเล่ม ไม่เหมือนกุรอ่านนะครับจะได้บอกว่าอ้างแค่เล่มนี้ก็สมบูรณ์แล้ว หากท่านเห็นว่าการที่ไม่พิจารณาเงื่อนไขที่มาจากเล่มอื่นจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ผมก็ขอแย้งด้วยตัวอย่างการตีความวาฬเป็นฉลามดังข้างต้น EDIT เพิ่มเติม: ส่วนประเด็นที่ว่าคัมภีร์บิดเบือนหรือไม่ ผมไม่ได้พูดถึงในที่นี้ นี่เป็นเพียงการโต้แย้งคลิปใน #70 เท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 17:09:40 จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 16:47:42

ความคิดเห็นที่ 84 ---- กรณี อ้างว่า ศาสนาอิสลาม ปรากฏในคัมภีร์ศาสนาอื่น คิดยังไงกับข่าวนี้ครับ"อดีตพระเปิดใจ รู้จักอิสลามจากไตรปิฏก" http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10570572/Y10570572.html นบีมุฮัมมัดในคัมภีร์ไบเบิล http://www.islam.in.th/muhammad-bible -------------- กรณี อัลกุรอ่านปลอม http://bebaspatani.wordpress.com/category/uncategorized/page/4/ อัลกุรอานปลอม September 4, 2009 โปรดระวังมีอัลกุรอานปลอมเข้ามา หนังสือ ‘True Furqan’ ชื่ออาหรับว่า อัลฟุรกอนนุลหัก. ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ.  2542 ข้างบนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ True Furqan   Post ไว้ให้อ่านเพื่อการศึกษาครับ ส่วนด้านล่างนี้เป็นเว็บเขา www.islam-exposed.org/furqan/contents.html กุรอานปลอมจากอเมริกา คัมภีร์ปลอมที่อเมริกาทำขึ้นมาพรอ้มประกาศใช้หรือบังคับใช้ กับประเทศใดก็ได้ในประชาชาติอิสลามที่ตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐ-อิสราเอล เช่นเดียวกับที่ได้ทำมาแล้วกับตุรกี มาลายู อิรัค อัฟกานิสถานและประเทศทั่วโลก บทคัมภีร์เป็นภาษาอาหรับแต่ความหมายตรงกันข้ามกับอัลกุรอานฉบับจริง เพื่อที่จะให้มุสลิมทำดีและลดความเป็นศัตรูกับอเมริกาและอิสราเอลและเพือการรวมศาสนากลุ่มเซมิติก ยิว-คริสตร์-อิสลาม ให้เป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้อเมริกาได้ส่งคัมภีร์แบบใหม่นี้เข้าในประเทศอาหรับแล้ว กุรอานแบบใหม่จากอเมริกาที่มีชื่อว่า Forqan Al-haq กุรอานใหม่นี้ มี 366 หน้า และมี 77บท(ซูเราะห์) ตอนนี้ได้ส่งเข้าในประเทศกูเวตเป็นประเทศแรกของประเทศอาหรับ มูสลิมที่ไม่รู้เรื่องศาสนาจะตกเป็นเหยื่อ ควรระวัง เขียนโดย ทีมงานโรงเรียนตัรบียะห์ Leave a Comment » |  Uncategorized |  Permalink Posted by bebaspatani ******************  กรณี คนเขียนหนังสือ ถึงศาสนาอิสลาม   ถึงแม้จะไม่เคยได้รับรางวัลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือน Midnight’s Children[1]   ไม่ต้องสงสัยว่า The Satanic Verses คือนิยายที่โด่งดังสุดของรัชดี   หลังจากตีพิมพ์ในปี 1988 โคไมนีผู้นำอิหร่านประกาศว่านี่คือหนังสือต้องห้ามและออกคำสั่งประหารชีวิตรัชดี   ซึ่งก็หมายความว่าเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมที่ดี (ในสายตาของโคไมนี) ที่จะพยายามลอบสังหาร จบชีวิตของนักเขียนชาวอังกฤษผู้นี้   ตั้งแต่นั้นรัชดีต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ตำรวจ   มูลเหตุคำสั่งประหารของโคไมนีก็เพราะบางส่วนในหนังสือเกี่ยวพันไปถึงประวัติชีวิตของมาฮาว หรือศาสนาโมฮัมหมัด[2]   ชื่อหนังสือ “วาทะซาตาน” มาจากบางส่วนของคัมภีร์อัลกุรอาน   ซาตานปลอมตัวเป็นเทวดาเพื่อหลอกให้มาฮาวยอมรับว่านอกจากพระอัลเลาะห์แล้ว ยังมีเทพอีกสามตนคืออาลัท อุซซา และมานาห์ อันเป็นเทพนอกรีตของชาวจาฮิเลีย   ภายหลังเมื่อมาฮาวรับทราบความผิดของตัวเอง ท่านประกาศหักล้างวาทะแห่งซาตานและอพยพออกจากจาฮิเลียเพื่อรักษาชีวิตของตน ... ----------------------------------  การอ้างของ ผู้ที่อ้าง ขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่อ้าง (คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นไปตามที่อ้างของผู้อ้างที่เป็นผู้นับถือศาสนาอื่น  ) เราเห็นว่า ควรทำอย่างไร 1. ส่งเสริม และเผยแพร่  ให้ คนๆนั้นอ้างต่อไป  แม้ศาสนาที่ถูกอ้างจะบอกแล้วว่า หลักของศาสนาเขาย่อมไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนั่นเป็นสิทธิของบุคคบที่จะพูด 2. ประกาศประหารชีวิตโดยกฏของศาสนานั้นๆ(ถ้ามี)  และให้ศาสนิกของศาสนาตนทั่วโลกดำเนินการตามล่า 3.  เราต้อง ระงับ และห้ามปราม เพราะทราบว่าเมื่อผิดหลักของศาสนาที่เขาอ้าง(หากไม่ผิดหลัก การ และศาสนิกนั้นยอมรับว่ามีจริงก็ไม่เป็นไร)อ้างนั้นย่อมเป็นเท็จ 4.  ถ้าเป็นศาสนาเรา เราต้องดำเนินให้ถึงที่สุดทั้งรุนแรงหรือไม่รุนแรง(ตามที่ศาสนาเรากำหนดให้ทำได้)            - แต่ถ้าเป็นศาสนาอื่นก็แล้วแต่ศาสนิกของศาสนาอื่น  ยิ่งถ้าเป้นผลดีให้คนมาศรัทธาศาสนาเราเรายิ่งส่งเสริม 5. หากเป็นผู้อยู่ในประเด็นถกเถียง ต้องศึกษาให้เข้าใจ เพื่อจะได้ทราบว่า สิ่งที่อ้างถูกต้องหรือผิดหลักการของศาสนานั้น  หากผิดหลักการศาสนานั้นๆแสดงว่าเป็นการปลอมเพื่อแอบอ้าง 6. หากเราเป็นผู้อยู่ในประเด็นถกเถียง แม้ผู้รู้ศาสนาอื่นที่ถูกอ้างจะกล่าวว่าการอ้างนั้นเป็นไปไม่ได้เนื่องจากผิดหลักการของศาสนานั้น  ถ้าเป็นเรื่องที่สร้างศรัทธาให้ศาสนาเรา เราควรปล่อยให้เผยแพร่ต่อไปโดยไม่ต้องศึกษาให้เข้าใจ           ------ แต่ถ้าเป็นศาสนาเราเราต้องดำเนินการห้ามอย่างถึงที่สุด รุนแรงที่สุดที่สุด และเรียกร้องให้ศาสนิก ดำเนินการทำลายผู้อ้างนั้น แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 17:10:53 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:09:07

ความคิดเห็นที่ 85 เปล่าเลยครับ วาฬ เล่ม 1 เล่ม 2 คุณเขียนไว้เองทั้งสองเล่ม และคาดว่าน่าจะรับรองความถูกต้องทั้งสองเล่ม จริงอยู่ครับที่กรณีวาฬ คำอธิบายเล่ม 1 อาจไม่สมบูรณ์พอจึงต้องอาศัยเนื้อหาในเล่ม 2 มาเสริม แต่ถ้ามีนักวิชาการรุ่นใหม่มีความจริงมาแย้งว่าข้อมูลเหล่านั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นวาฬ อาจเป็นฉลามก็ได้ หรือไม่ก็มองว่าเป็นพะยูน ก็ต้องมีผู้เขียนฉบับที่สมบูรณ์กว่ามาใช้แทนเรื่อยๆ อย่างว่าครับ ผลงานมนุษย์คงจะหาอะไรที่สมบูรณ์ในทุกยุคสมัยไม่ได้ อาจสมบูรณืในยุคสมัยหนึ่งๆเท่านั้น และการแต่งแต้มก็เป็นสิ่งดี น่าจะใช้ในวิทยาการ ศาสตร์อื่น ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์บางอย่างที่เป็นเรื่องที่ควรสงวนของเดิมไว้ให้มากที่สุด อาทิ คัมภีร์ หรือ วจนะศาสดา   แต่กรณีนี้ คัมภีร์ที่มีผลงานมนุษย์มาเป็นสาเหตุที่ทำให้แตกต่างกันหลายฉบับ จะเอาทุกฉบับมารวมกันคงไม่ได้ กรณีที่ฉบับหนึ่งเป็นต้นฉบับของอีกฉบับหนึ่ง หากข้อมูลไม่ตรงกัน จะเลือกฉบับไหนเป็นหลักดีครับ? เป็นผมจะเลือกฉบับที่มาก่อน และน่าเชื่อถือเป็นหลักมากกว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ผมจะเลือกเอาฉบับเดียวที่ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ และเป็นที่รู้กันทั่วไป ศาสนาอิสลามเรียกว่า มุตะวาติร ผมจะไม่เทียบกับกุรอานแล้วกันนะครับ เพราะกุรอานมีเพียงเล่มเดียวที่ไม่ว่าจะแปลกแยกออกไปเป็นนิกายใด ก็มีกุรอานที่มีเนื้อหาเดียวกัน เป็นเนื้อหาที่เป็นที่รู้กันในวงกว้าง เกินกว่าที่จะมีใครนำไปบิดเบือน หรือ สังคายนาได้ ที่สำคัญพระเจ้าสัญญาจะปกป้องไวว้จนถึงวันสิ้นโลก จึงเห็นได้ว่าเป็นคัมภีร์เล่มเดียวในโลกที่มีฉบับเดียวที่เนื้อหาตรงกันทุกความหมาย ไม่มีการขัดแย้ง หรือ กล่าวไว้ผิดพลาดแม้เพียงตัวอักษรเดียว หากคุณจะเปรียบกับกรณีฮาดีษที่ นายแมทท์กับมุสลิมแย้งกัน ต้องเข้าใจว่านายแมทท์ไม่ได้เอากุรอาน หรือฮาดีษมา อธิบายฮาดีษ หรือเสริมกันอย่างที่คุณพยายามจะเปรียบเปรย กลับเอาความคิดครึ่งๆกลางๆ จับแพะมาชนแกะ จนขัดแย้งมั่วไปหมด หนีคำตอบหัวซุกหัวซุน จนต้องโจมตีที่ตัวบุคคล นำเรื่องเท็จ เรื่องการเมือง เรื่องสร้างภาพมาเป็นประเด็นอยู่เนืองๆ นั่นเป็นคนละกรณีกับครั้งนี้ครับ หากคัมภีร์ฉบับลังกาได้มีอยู่จริงก่อนการสังคายนาในหลายครั้งหลังๆ ก็น่าสนใจว่า ทำไมประเด็นบางประเด็นจึงไม่ถูกคัดลอกมาไว้ในฉบับใหม่ๆ และหากเกิดกรณีเช่นนั้นขึ้นจริง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ในฉบับใหม่ๆนี้จะมีเงื่อนไขใหม่ๆที่ไม่มีในฉบับเดิมๆ เพราอย่างที่ผมตั้งคำถามไปแล้วยังไม่ได้รับคำตอบ ฉบับที่อ้างว่าเก่าแก่ที่สุด อย่าง บามิยัน ผมถามว่ามีจำนวนเล่ม จำนวนหน้า เท่ากับที่ประเทศไทยยึดถืออยู่ในปัจจุบัน คือ 1 ตู้หรือไม่? ใครทราบช่วยตอบด้วยนะครับ ก็เป็นการเผื่อไว้อีกนั่นแหละครับ เพราะเนื้อหาที่ไม่ตรงกันสร้างความเป็นไปได้มากมาย และนั่นเป็นสิ่งที่ศาสนิกต้องออกมาพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เที่ยวปรามาสผู้ที่ตั้งขอสังเกตุอย่างเลื่อนลอย และไม่เป็นธรรม จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:27:05

ความคิดเห็นที่ 86 คห.84 เรื่องกุรอานปลอม อย่างที่บอกไปแล้วครับว่าปลอมขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ถูกจับได้ทันที เพราะกุรอานถูกท่องจำขึ้นใจได้เกือบทั้งเล่มไปจนถึงทั้งเล่มในจำนวนนับล้านคนทั่วโลก ที่เมืองไทยก็มีมากมาย อาหรับคงไม่ต้องพูดถึง  ส่งต่อกันมาแบบนี้ตั้งแต่ยุคศาสดา ไม่มีใครมีสิทธิ์จะสังคายนา จะปลอมยังงัยล่ะครับ ไม่ได้ส่งกันด้วยเป็นตำราเป็นหลักเหมือนหนังสืออื่นๆ คนเป็นพันล้านอ่านกันทุกวี่วัน อ่านในละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นอย่างน้อย ต้นฉบับในสมัยท่านคอลีฟะฮ์ก็ยังมีอยู่  ปลอมพยัญชนะไทยเพิ่มขึ้นมาสักตัวยังจะง่ายกว่าเลย การยกเรื่องนี้ขึ้นมาเปรียบน่าจะห่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 17:36:33 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:34:39

ความคิดเห็นที่ 87 ^ คือคำว่า "เล่ม" ที่อ้างอิงในที่นี้ไม่ใช่เวอร์ชันของคัมภีร์นะครับ มันคือที่ #62 บอกว่าคัมภีร์ 3 ตู้นั่นล่ะครับ เรื่องพระศรีอาริย์อยู่ในตู้เดียวกัน แต่มีหลายเล่มที่เขียนถึง เพราะฉะนั้นถ้าจะตีความว่าใครเป็นพระศรีอาริย์ก็ต้องยกข้อความจากทุกฉบับมารวมกัน ไม่ใช่หยิบสุ่มๆ มาเล่มนึงเห็นว่าตรงก็บอกตรง แล้วไม่ต้องอ่านเล่มอื่น จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:35:21

ความคิดเห็นที่ 88 ครับถ้าเทียบเงื่อนไขในตู้เดียวกันก็ฟังขึ้นครับ แต่ที่ผมแนะคือให้ไปดูเงื่อนไขอื่นในเล่มฉบับลังกาต่างหาก ว่ามี 2 ข้อนั้นด้วยหรือไม่ หวังว่าคงเข้าใจนะครับคุณชิวฯ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:38:41

ความคิดเห็นที่ 89 ^ เข้าใจครับ แต่อย่างที่บอกไปว่าผมแย้งคลิปใน #70 ซึ่งไม่ได้เป็นเวอร์ชันโบราณแต่อย่างใด น่าจะเป็นเวอร์ชันที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ข้อความที่วิทยากรท่านนี้อ้างก็ตรงกับที่มีในพระไตรปิฏก เพียงแต่มีส่วนที่ขัดแย้งที่ท่านไม่ได้นำมาพูดถึง จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:44:33

ความคิดเห็นที่ 90 รับทราบครับ ส่วนขัดแย้งที่ไม่ได้พูดถึงนั้นคือ "ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ " ประมาณนั้นใช่ไหมครับ? แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 18:30:04 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:49:42

ความคิดเห็นที่ 91 ใครต้องการข้อมูลเรื่อง นบีมุฮัมหมัดที่ถูกกล่าวถึงในคำภีไตรปิฏก อย่างละเอียดเข้าไปโหลดebook อยู่ลำดับที่87 ชื่อe-book  The Prophet Muhammad (PBUH) In Buddhist Scriptures http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=235.100 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 17:55:09

ความคิดเห็นที่ 92 #69 ทุกอย่างถ้าอยากทำความจริงให้ปรากฏก็ต้องพิสูจน์ไม่ใช่แค่กล่าวลอยๆครับ กล่าวอ้างนี่เป็นเรื่องง่ายนะครับ ถ้าคุณอยากให้เรื่องที่กล่าวพิสูจน์ได้เทียบได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว และไม่บิดเบือนจากฉบับดั้งเดิมที่เก่าแก่กว่าก็น่าสนใจแล้ว เอาแค่ยกฉบับที่อ้างถึงนั้นๆ ลองมามาเทียบกับฉบับอื่นๆที่เก่าแก่กว่า เช่น ฉบับจีน “พระไตรปิฎกฉบับไคเป้า” พ.ศ. ๑๕๒๖ พระไตรปิฎกฉบับกิมจั๋ง ฯลฯ และพระไตรปิฎกฉบับโดโจ ที่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ มีคัดลอกภาพถ่ายเอกสาร ที่ทางจีนนำมามอบให้ก็ได้แล้ว การสอบทานเอกสารเป็นเรื่องสำคัญประเด็นแรกนะครับ ไม่พิสูจน์คุณจะกล่าวอ้างได้อย่างหนักแน่นได้อย่างไร :) การพิสูจน์ข้างต้นนี้ ไม่ใช่เรื่องพิสูจน์ที่ยากเย็นอะไรนี่ครับ จากคุณ : granun เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 19:28:17

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านเรื่องข้างล่างนี้แล้วจะเห็นว่า มุสลิมประเภทนี้  อุปโลกการตีึความหมาย  ของสิ่งที่อ้างว่า เป็นคำสอนทาง พุทธศาสนา  ในพระไตรปิฎก, มุสลิมพวกนี้  เป็นพวกที่เผยแพร่ศาสนาอิสลาม โดยการพยายามที่จะ จับถ้อยคำต่าง ใน  พระไตรปิฎก ให้ตรงกับ ลักษณะของท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งขัดต่อหลักการ  ของอิสลาม  เป็นที่น่า ละอายต่อสังคม มุสลิมที่เจริญแล้ว พวกเขาเชื่อว่าผู้อ่าน คงจะโง่เขลา  พอ, ที่เมือ อ่านเรื่อง การสมอ้างของ เขาแล้ว "ท่านรอซุล หรือ ศาสดามูฮัมมัด"  ก็คือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาร)คือ มนุษย์องค์แท้ พระพุทธเจ้าคนจริง   Mention of Prophet Muhammad(pbuh) in Scriptures of Buddhism   http://www.islamawareness.net/Buddhism/mention.html   ในความเห็นของผม มุสลิมที่นำเรื่องเหล่านี้ มาปั้นน้ำเป็นตัว นั้น ลืม ความ  จริงไปข้อหนึ่งว่า  พระเจ้า หรือ อัลลออ์ตะอาลา บัญญัติไว้อย่าชัดเจน ว่า  คัมภีร์เล่มใดบ้าง ที่อิสลามยอมรับ ได้  เตารอต และ ซอลม และอินญีล  คัมภีร์นอกเหนือจากนั้น อิสลามไม่รับรอง  ในบรรดาคัมภีร์ ต่างๆที่กล่าวมานี้ อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ บอกให้มุสลิมรู้ว่า   อัลกุรอาน  เท่านั้นที่ มุสลิมจะ ต้องยึด ถือและศรัทธา  ห้ามการเชื่อและ   ยึดถือ ในสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่ บัญญัติของพระเจ้า   การเชื่อเรื่องราวเช่นนี้ว่าเป็น ความจริง จากการยืนยัน ของสิ่งที่ แม้แต่พุทธ   ศาสนิกชน ส่วนมากก็ไม่ยอมรับในเรื่อง เช่นนี้ แต่มุสลิม จำพวกนี้ก็เชื่อ อย่าง   งมงาย  โดยหันหลังไห้กับอัลกุรอานอย่างเห็นได้ชัด   การกระทำเช่นนี้ เป็นการ IDOLIZED ท่านศาสดามูฮัมมัด ให้สำคัญเกินกว่า   ศาสนทูตของพระเจ้า ผู้นำ คัมภีร์ เล่มสุดท้าย มาสู่มวลชน การเชื่ออย่าง งม   งายเช่นนี้   เป็นลักษณะของ ARAB PAGAN ที่ ยังหลงเชื่อ เรื่อง งมงายกับ   การทำนาย และโชคลาง   มุสลิมจำพวกนี้ จะเป็นมุสลิมนิกายใด, เชื่อในอัลกุรอาน,เชื่อในพระไตรปิฎก   เและ เชื่อใน ฮาดีษเรื่องนิทานบอกเล่า เกี่ยวกับ ศาสนทูตมูฮัมมัด และพยา   ยามที่จะยืนยันว่าท่านศาสนทูตมูฮัมมัดคือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาร)คือ   มนุษย์องค์แท้ พระพุทธเจ้าคนจริง  ที่อยู่ในการทำนาย ภายใน พระไตรปิฎก   ผมเห็นความงมงายของมุสลิมพวกนี้แล้ว เศร้าใจ เป็นอย่างยิง ที่พวกเขา   ช่างไม่เข้าใจอิสลามเลย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 19:46:39 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 19:43:40

ความคิดเห็นที่ 94 ส่วนตัวผมเฉยๆ นะครับ พระพุทธเจ้าอยู่ก้อกลายเป็นภาคอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ได้เลยครับ จะเป็นนบีของอีกศานาหนึ่ง ถ้าเขาพอใจอย่างนั้น ก้อว่ากันไปครับ แต่ในส่วนของการพิสูจน์ความจริง เพื่อเป็นการอ้างอิงของผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจจะนับถือศาสนาไหนแล้ว  ก้ออาจจะมีความจำเป็นใจการหาข้อเท็จจริงอยู่บ้างครับ ------------------------------------------------------------------ แต่สำหรับผู้ที่นับถือพุทธ อย่างแท้จริง (ไม่ใช่สักแต่ตามทะเบียนเกิด)  ศาสนาพุทธ ยึดถือ วิธีเข้าถึงนิพพาน ที่อยู่ตรงหน้า หากแต่ไม่เห็นครับ พุทธ ไม่ปฎิเสธการมีอยู่ของ เทพ แต่เทพ ไม่ใข่ สรณะครับ ดังนั้นพุทธ จึงไม่ ใช่เทวะนิยมครับ  การนับถือ เทพหรือ พระเจ้า เพื่อเข้าถึงความสุข จึงไม่ใช่วิถิแห่งพุทธ พุทธ คือ การปฏิบัติ เพื่อให้ เห็น ทุกข์ ได้ รู้ ทุกข์ ซึ่งจะทำให้เกิด "ปัญญา" จึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด  และ ล่วงไป แห่งทุกข์ในที่สุดครับครับ ศาสนาที่ นับถือ พระเจ้า ว่าเป็นที่สุดนั้น เป็นเรื่องของ "ศรัทธา"  ใช่ไหมครับ หากว่า การมีศรัทธาในพระเจ้า และศรัทธาในคำสอนของพระเจ้า องค์ใด จะทำให้เกิดสันติ ทั้งต่อตนเอง และต่อเพื่อนมนุษย์ นั้นเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง   เพียงแต่ นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่สุดแห่งพุทธครับ ----------------------------------------------------- ตามที่ฟังครูอาจารย์สอน ที่พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงไว้เป็นเบื้องต้น นั้น นิพพาน หรือ นิรทุกข์  หรือการไร้ทุกข์ คือเป้าหมายสูงสุด หาใช่เป็นการได้เป็นการกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของ อาตมัน  (อัตตา) ของพระเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดไม่ หาใช่เป็นการได้ชีวิตนิรันดร์ จากพระเมตตาของพระเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดไม่ ด้านล่าง เป็น คคหของผมครับ ดังนั้นคำสอนในวิถึของพุทธนั้น มีสาระสำคัญ (ที่ไม่ใช่เพียง ทำความดี ละความชั่ว อันเป็นคุณงามความดีเบื้อง คุณงามความดีสากล ที่มีอยู่ในทุกศาสนาที่มีผู้คนนับถือมากมาย) สาระสำคัญ นั้น ทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลาย แตกต่างจากศาสนาอื่นเป็นอย่างยิ่งครับ อายตนะ ทั้งหก ตา หู จมุก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเป็นครูที่จะสอนให้ผู้ศึกษาวิถีพุทธ ได้เห็นถึง ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของทุกสิ่งไป พุทธ เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามแนวที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ เพื่อการถึงซึ่ง ภาวะไร้ทุกข์ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก้อมิได้มีเพียง หนึ่ง พระองค์ หากแต่จะอุบัติขึ้นในแต่ละยุค ที่ศาสนาพุทธมิได้มีอยู่ ในขณะนั้น พระพุทธเจ้า จะไม่ว่าในแง่ไหน ก้อไม่ได้มีลักษณะใดที่เป็นพระเจ้า ที่จะดลบันดาลตามแต่ที่จะโปรดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ศาสนาพุทธ มีหัวใจสำคัญในคำสอน ที่แตกต่างโดยเป็นนัยยะที่สำคัญมากๆ  จนผมไม่สามารถเห็นได้ว่า จะกลืนกับศาสนาเทวนิยมใดๆ ได้เลยครับ ผมจึงเฉยมาก ต่อเนื้อหาที่พูดถึงมานี้ อย่างที่บอกครับ บางศาสนาก้อว่า พระสมณโคดม เป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ อยู่ๆ ท่านจะกลายเป็นนบี ผมก้อไม่แปลกใจครับ แต่ผมนับถือพุทธ เพราะ ได้ลองปฏิบัติ สมถะ และวิปัสสนา ในทุกขณะจิต (ตามแต่จะรู้สึกได้เอง) พุทธศาสนิก ที่เดิมเคยนับถือศาสนาอื่น แล้วเปลี่ยนมาเป็นนับถือพุทธ คงไม่ต่างกันครับ ไม่ได้นับถือท่านเพราะท่านเป็นเทพ เป็น นบี ของใครครับ ------------------------------------------------------------------------------------- สำหรับเพื่อน ศาสนิก ที่มาแบ่งปัน เนื้อหาที่ถกเถียงกันอยู่นี้ หากผมสมมุติบ้างว่า  มีผู้ไปเจอในพระคัมภีร์สำคัญของศาสนท่านว่า แท้จริง บุุคคลสำคัญที่สุดในศาสนาท่าน แท้จริง เป็น นักบวชที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ของศาสนาอื่น ท่านจะรู้สึกเช่นไร ครับ  ใจเขา ใจเรา นะครับ ที่สำคัญ ใจร่มๆ จะครับ ทุกๆ ท่าน ^^ ขอให้เจริญในธรรมที่ท่านนับถือ เพื่อความสันติ ทั้งภายในท่านเอง เพื่อสังคม และเพื่อบรรลุในเป้าหมายสูงสุดตามหลักศาสนาที่ท่านนับถือเทอญ จากคุณ : audiophilamature เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 19:45:10

ความคิดเห็นที่ 95 ใคร? ทำลาย นาลันทา จากคุณ : เรือแจว เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 19:45:30

ความคิดเห็นที่ 96 กฎเกณฑ์ที่ตัดสินกันว่าแค่ไหนจึงถือว่านับถือศาสนาไหน? ง่ายๆคือ...  ถือตามบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์ ของแต่ละศาสนาบัญญัติ ไว้สำหรับผู่ศรัทธา ของศาสนานั้นๆ,  ซึ่งใน อิสลามมีอยู้เพียงเล่มเดียว แต่มุสลิมเหล่านี้ ทำให้เกิดความสับสนและยุ่งยาก  นอกจากไม่เชื่อฟัง ในบํญญัติในอัลกุรอานแล้ว ยังไปแส่ หาเรื่อง กับความศรัทธาของผู้อื่น, ทำให้เห็นเป็นการอวดอ้างศาสนาอย่างเกินไป   เป็นวิธีการ "Idolized" ศาสดามูฮัมมัด จนเกินความเป็นจริงไป" ซึ่ง   ขัดต่อหลักการในการเชื่อพระเจ้าองค์เดียว                       One God / One Source  (อัลกุรอาน) จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 20:09:10

ความคิดเห็นที่ 97 จะบอกว่าจริงๆแล้วผมก็ชื่นชนหลักศาสนาอิสลามหลายอย่าง ด้วยกันนะ. เพราะว่าหลายๆข้อเป็นธรรมชาติมาก ถ้อยคำที่อ้างมานี้แม้จะจริงหรือไม่จริงก็ตามที คงจะไม่สามารถทำให้ผมคลายศรัทธาต่อศาสนาพุทธ ได้แน่นอนครับ. เพราะนิพพานคือที่สุดแล้ว และพระพุทธเจ้าก็มีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วน่ะ ดังนั้นผมจึงไม่ขอโต้แย้งใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ จากคุณ : trialuck เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 20:17:57

ความคิดเห็นที่ 98 "ใครต้องการข้อมูลเรื่อง นบีมุฮัมหมัดที่ถูกกล่าวถึงในคำภีไตรปิฏก อย่างละเอียดเข้าไปโหลดebook อยู่ลำดับที่87 ชื่อe-book  The Prophet Muhammad (PBUH) In Buddhist Scriptures http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=235.100 " ผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกครับ พอจะมีหลักฐานอ้างอิงที่เป็นภาษาไทยบ้างไหม? จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 20:24:33

ความคิดเห็นที่ 99 เขาคิดว่า ถ้าสร้างให้คนเข้าใจว่า พระพุทธเจ้ากล่าวจริง อย่างนั้นแล้ว ชาวพุทธจะกลับมาเป็นอิสลาม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ขำ อย่าลืมว่า พระธรรม มี 84,000 นั่งเปลี่ยนคำกันตาเหลือก ขำสุดอีตรงขี่อูฐนี่แหละ เออ นะ แทนที่จะเอาเวลาไปศึกษาศาสนาตัวเอง ปล.คารวะท่านแมทท์ ล่วงเกินไปขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 20:32:29

ความคิดเห็นที่ 100 โทษทีครับพอดีในประเทศไทยเรื่องนี้เพิ่งเป็นประเด็นเลยยังไม่มีคนไทยเผยแพร่ข้อมูลเรืองนี้มากนัก ถ้าต้องการรู้ก็ลองพูดคุยกับผู้จุดประเด็นเรื่องนี้ดู อาจารย์ชารีฟ วงศ์เสงียม เบอร์โทรอยู่ในเว็บ www.mureed.com อยู่แถวด้านล่าง ผมก็เพิ่งรู้รายละเอียดจากแก และจาการหาเพิ่มเติมในกูเกิลภาษาอังกฤษ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 20:40:24

ความคิดเห็นที่ 101 อันนี้ครับเค้าดีเบทกันระหว่างศาสนาโดยผุ้มีชื่อเสียงในวงการมีการพิสูจน์ต่อหน้าคนดูที่อินเดียจำนวนมากและคนนี้แหละที่เป็นคนนำเสนอประเด็นในเรื่องนี้ ดอกเตอร์ซากีตไนต์ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 21:10:18

ความคิดเห็นที่ 102 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 21:12:24 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 21:10:56

ความคิดเห็นที่ 103 อันนี้เป็นวีดีโอดีเบทเค้ามีการพิสูตร์กันในวีดีโอนี้ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 21:15:27

ความคิดเห็นที่ 104 ถ้าจะมีมุสลิมคนไหนในบอร์ดศาสนา ที่ทำให้ผมชื่มชมความเป็นมุสลิม เห็นจะมีแต่ท่านแมทท์ล่ะ นอกนั้น โอย ทำให้หมดศรัทธาต่อเพื่อนต่างศาสนาลงไปอีก หลายท่านก็รู้สึกแบบผม ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ฮ๋าๆๆๆๆๆ มันเป็นความเห็นส่วนตัวอ่ะนะ ว่าผมได้ครับ เชิญๆ อิอิ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 21:43:04

ความคิดเห็นที่ 105 ยินดีกับคุณ สายลมด้วยแล้วกันค่ะ ^^ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 21:51:30

ความคิดเห็นที่ 106 ชื่นชมเพื่อนมุสลิมอย่างคุณแมทท์ ชัดเจนและมีจุดยืน ทำให้รู้สึกดีขึ้นกับเพื่อนต่างศาสนาครับ จากคุณ : granun เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 07:53:58

ความคิดเห็นที่ 107 คห.93 , 96 ก่อนเข้ามาโพสท์เรียกเสียงเชียร์ ปลาไหลแมทท์และกองเชลียน่าจะย้อนไปอ่านจุดยืนใน คห.เก่าๆที่ 35 กับ 46 หน่อยก็ดี จะได้ไม่ Show off แสดงความเขลาออกมาอีกครั้ง พูดง่ายๆ เผื่อคุณจะอ่านไม่รู้เรื่อง โดยสรุปก็คือว่า "ไม่มีมุสลิมคนไหนเขาเชื่อในคัมภีร์อื่นนอกจากที่กุรอานยืนยันหรอก เขาเพียงแต่เผื่อไว้ว่าบางส่วนที่มีอาจเป็นความจริงที่หลงเหลืออยู่ นอกเหนือจากส่วนที่เป็นการส่งเสริมความดีที่ตรงกันตามสามัญสำนึกมนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่าศาสดาที่อัลลอฮ์ส่งส่งมาทำหน้าที่นั้นมีมากมาย และเป็นไปได้ว่าพระพุทธเจ้าก็อาจเป็นหนึ่งในศาสดาที่มาทำหน้าที่นั้น ก่อนที่คำสอนต่างๆจะถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา และเรื่องหลักฐานที่อดีตพระชลิตอ้างถึงน่าจะมีการออกมาพิสูจน์ในเร็ววันนี้" สั้นๆแบบนี้พอเข้าใจไหมลุง? เฮ้อ...มิน่าพวกจองกฐินกับศาสนาอิสลามหลายคนถึงชอบ คอเดียวกันเลย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 54 08:21:21 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 54 08:13:00 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 08:12:27

ความคิดเห็นที่ 108 ไม่แปลกหรอกที่คุณแมทท์จะถูกคนในห้องนี้ยกย่อง อยากให้มุสลิมในห้องนี้นำแบบอย่างเรื่องความสุภาพและการให้เกียรติ์คนศาสนาอื่นเวลาแสดงความเห็นแบบคุณแมทท์ครับ จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 08:55:00

ความคิดเห็นที่ 109 สุภาพและให้เกียรติ์คนศาสนาอื่น(บางคน)ที่ดูหมิ่นศาสนาอิสลามหรือผู้รู้  โดยร่วมกับคนประเภทนี้เหยียบศาสนาตนเองน่ะหรือ? ตามสบายครับ ผมว่าคำยกย่อง เยินยอ เหล่านั้น.... ดูไร้ค่าจริงๆ แต่สำหรับคนศาสนาอื่นที่เขาวางตัว และใช้คำพูดที่มีการศึกษา ที่สมควรให้เกียรตินั้นมีอยู่ เราก็ต้องรู้จักแยกแยะให้เป็นครับ ไม่ใช่เหมารวม แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 54 09:14:38 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 54 09:03:09 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:02:15

ความคิดเห็นที่ 110 ความคิดเห็นที่ 93     อ่านเรื่องข้างล่างนี้แล้วจะเห็นว่า มุสลิมประเภทนี้  อุปโลกการตีึความหมาย ของสิ่งที่อ้างว่า เป็นคำสอนทาง พุทธศาสนา  ในพระไตรปิฎก, มุสลิมพวกนี้ เป็นพวกที่เผยแพร่ศาสนาอิสลาม โดยการพยายามที่จะ จับถ้อยคำต่าง ใน พระไตรปิฎก ให้ตรงกับ ลักษณะของท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งขัดต่อหลักการ ของอิสลาม เป็นที่น่า ละอายต่อสังคม มุสลิมที่เจริญแล้ว พวกเขาเชื่อว่าผู้อ่าน คงจะโง่เขลา พอ, ที่เมือ อ่านเรื่อง การสมอ้างของ เขาแล้ว "ท่านรอซุล หรือ ศาสดามูฮัมมัด" ก็คือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาร)คือ มนุษย์องค์แท้ พระพุทธเจ้าคนจริง  Mention of Prophet Muhammad(pbuh) in Scriptures of Buddhism  http://www.islamawareness.net/Buddhism/mention.html ในความเห็นของผม มุสลิมที่นำเรื่องเหล่านี้ มาปั้นน้ำเป็นตัว นั้น ลืม ความ จริงไปข้อหนึ่งว่า  พระเจ้า หรือ อัลลออ์ตะอาลา บัญญัติไว้อย่าชัดเจน ว่า คัมภีร์เล่มใดบ้าง ที่อิสลามยอมรับ ได้ เตารอต และ ซอลม และอินญีล คัมภีร์นอกเหนือจากนั้น อิสลามไม่รับรอง ในบรรดาคัมภีร์ ต่างๆที่กล่าวมานี้ อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ บอกให้มุสลิมรู้ว่า  อัลกุรอาน  เท่านั้นที่ มุสลิมจะ ต้องยึด ถือและศรัทธา  ห้ามการเชื่อและ  ยึดถือ ในสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่ บัญญัติของพระเจ้า  การเชื่อเรื่องราวเช่นนี้ว่าเป็น ความจริง จากการยืนยัน ของสิ่งที่ แม้แต่พุทธ  ศาสนิกชน ส่วนมากก็ไม่ยอมรับในเรื่อง เช่นนี้ แต่มุสลิม จำพวกนี้ก็เชื่อ อย่าง  งมงาย  โดยหันหลังไห้กับอัลกุรอานอย่างเห็นได้ชัด  การกระทำเช่นนี้ เป็นการ IDOLIZED ท่านศาสดามูฮัมมัด ให้สำคัญเกินกว่า  ศาสนทูตของพระเจ้า ผู้นำ คัมภีร์ เล่มสุดท้าย มาสู่มวลชน การเชื่ออย่าง งม  งายเช่นนี้   เป็นลักษณะของ ARAB PAGAN ที่ ยังหลงเชื่อ เรื่อง งมงายกับ  การทำนาย และโชคลาง มุสลิมจำพวกนี้ จะเป็นมุสลิมนิกายใด, เชื่อในอัลกุรอาน,เชื่อในพระไตรปิฎก  เและ เชื่อใน ฮาดีษเรื่องนิทานบอกเล่า เกี่ยวกับ ศาสนทูตมูฮัมมัด พยา  ยามที่จะยืนยันว่าท่านศาสนทูตมูฮัมมัดคือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาร)  มนุษย์องค์แท้ พระพุทธเจ้าคนจริง  ที่อยู่ในการทำนาย ภายใน พระไตรปิฎก  ผมเห็นความงมงายของมุสลิมพวกนี้แล้ว เศร้าใจ เป็นอย่างยิง ที่พวกเขา  ช่างไม่เข้าใจอิสลามเลย [/b] แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 19:46:39 จากคุณ : แมทท์     เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 19:43:40   ถูกใจ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา, ฮิมาวาริซซัง -----------------------  ไม่ว่าคุณแมทท์ จะผิดหรือถูกในกรณีถกเถียงกันเรื่องศาสนาอิสลาม  (เนื่องจากไม่ได้อ่านโดยละเอียด)         ในกระทู้คุณแมทท์  เป็นคนที่เข้าใจชัด  เรื่องเหตุผลว่าเป็นอะไร เป็นเหตุเป็นผลของเรื่องราว   อะไรคือศาสนาอิสลามของตน  อะไรไม่ใช่ศาสนาอิสลาม จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:44:26