กฎพระสงฆ์ฉบับที่ ๓
๓. กฏให้ไว้แก่สังฆการีธรรมการ.....
สมเด็จบรมนาถบพิตร..... รับพระราชโองการ ฯ สั่งว่า
พระศาสนาจะวัฒนาการตั้งไปได้ อาศัยพระราชอาณาจักร...สงเคราะห์พระศาสนา ฝ่ายพระวินัยบัญญัติเล่า พระพุทธองค์ตรัสสอนอนุญาตไว้ว่า ถ้ากุลบุตรบวชเป็นภิกษุสงฆ์ในพระศาสนาแล้ว ให้อยู่ในสำนักหมู่คณะสงฆ์ในพระศาสนาแล้ว ให้อยู่ในสำนักหมู่คณะสงฆ์แลอุปัชฌาย์อาจารย์ก่อน จะได้รู้กิจวัตรปฏิบัติ ถึงมาทว่าจะประพฤติผิดทำทุจริตอันมิควร ก็จะมีความละอายกลัวเพื่อนพรหมจรรย์ แลครูอุปัชฌาย์จะว่ากล่าวติเตียน ความชั่วทุจริตที่ทำนั้นจะสงบลง ศีลนั้นจะบริสุทธิ์ เป็นที่ตั้งแก่สมาธิปัญญา วิปัสนามรรคญาณ สำเร็จมรรคผลในหมู่คณะสงฆ์...แม้นมาทจะมีปรารถนาจะหาที่อยู่อันสบายสมควรแก่พระกัมมัฏฐานก็ดี ก็ย่อมจักชวนเพื่อนพรหมจรรย์ร่วมศรัทธาด้วยกัน...จะได้ทำสังฆกรรมแลอุโบสถกรรมด้วยกัน เพื่อจะได้ศีลบริสุทธิ์เป็นที่ตั้งแก่พระกัมมัฏฐาน.....
แลภิกษุสงฆ์ทุกวันนี้ ละพระวินัยบัญญัติเสีย มิได้ระวังตักเตือนสั่งสอนกำชับว่ากล่าวกัน ครั้นบวชเข้าแล้วก็มิได้ให้ศิษย์อยู่นิสัยในหมู่คณะสงฆ์ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ก่อน ละให้เที่ยวไปโดยอำเภอใจ..... ทำมารยารักษาศีลภาวนา ทำกิริยาให้คนเลื่อมใสนับถือ สำแดงความรู้วิชาอวดอิทธิฤทธิ์ เป็นอุตริมนุษธรรมเป็นกลโกหก ตั้งตัวว่าผู้มีบุญ ว่าพบคนวิเศษมีวิชามาแต่ถ้ำแต่เขา..... ทำให้แผ่นดินและพระศาสนาจลาจล.... เพราะเหตุพระสังฆราชาคณะอธิการผู้ใหญ่ผู้น้อยมิได้เอาใจใส่ตักเตือน ว่ากล่าวตามพระวินัยบัญญัติ..... ฝ่ายฆราวาสข้าทูลลอองธุลีผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ละเมินเสีย มิได้เอาใจใส่ระวังรักษา ให้ไอ้อีมีชื่อผู้ศัตรู เข้ามาทำอันตรายถึงในพระราชฐาน..... ถ้าจะว่าตามโบราณราชกำหนดกฎหมาย ฝ่ายสมณฆราวาสมิได้พ้นจากมหันตโทษ..... แต่หากทรงพระกรุณายกโทษไว้เพราะยังมิได้มีพระราชกำหนดกฎหมายก่อน.....
แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ให้พระราชาคณะจัดแจงตั้งแต่งภิกษุสามเณร..... ให้เป็นราชาคณะแลอธิการ ให้มีตราตั้งแต่เป็นอักษร ชื่ออารามเป็นอักษรขอมสำหรับตัว ประจำที่ราชาคณะเจ้าอธิการ ทุกตำแหน่ง ทุกอาราม ถ้าแขวงใดเมืองใดพระสงฆ์มาก วัดหนึ่งให้มีอธิการหนึ่งอันดับ เก้ารูปสิบรูปขึ้นไป ถ้าพระสงฆ์น้อย อารามหนึ่งให้มีอธิการหนึ่งอันดับ สี่ห้ารูปขึ้นไป ให้ปรนนิบัติรักษาพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย์ อย่าให้เป็นอันตราย ถ้าแลพระสงฆ์ แลสามเณรแขวงจังหวัด เมืองเอก โท ตรี จัตวา จะมีศรัทธาเที่ยวเข้ามาร่ำเรียน คันถธุระ วิปัสนาธุระ และสมณกิจประการใด ก็ให้เขียนฉายาแลชีต้น แลพระวสา แลชื่ออุปัชฌาย์อาจารย์ ศัตราราชาคณะ หัวเมืองนั้น ๆ มาเป็นสำคัญ จะอยู่อารามใด เมืองใดก็ดี ให้เอาหนังสือ แลศัตราสำคัญนั้น แจ้งแก่ราชาคณะเจ้าอธิการในกรุง ถ้าราชาคณะอธิการในกรุงเห็นหนังสือ แลตราสำคัญแล้ว จึงให้รับไว้ร่ำเรียน..... ถ้าแลฝ่ายพระสงฆ์สามเณร ณ กรุงเทพ ฯ..... อาการดั่งนี้แม้นจะชั่วแลดี จะได้สืบสาวรู้ง่าย อนึ่งก็เป็นที่คำนับ รู้จักเค้ามูล แห่งกัน จะได้กระทำสังฆกรรม อุโบสถกรรมด้วยกันเป็นอันดี หาความรังเกียจแก่กันมิได้
อนึ่งถ้ากุลบุตรจะบวชเรียน อำลาประจุสึกก็ดี ให้รู้ว่ากุลบุตรชื่อนั้น อยู่บ้านนั้น เป็นลูกหลานผู้นั้นๆ
แลให้พระราชาคณะเจ้าหมู่เจ้าคณะอธิการ แลกรมการหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา นายอำเภอแขวงจังหวัดทั้งปวง กำชับว่ากล่าว สอดแนมระวังระไว ดูหมู่คณะในแว่นแคว้น แขวงจังหวัดวัดวาอารามบรรดาขึ้นแก่ตน อย่าให้มีคนโกหกมารยาคิดทำร้าย แผ่นดินแลพระศาสนา ให้จลาจลดุจครั้งนี้ได้เป็นอันขาดทีเดียว ห้ามอย่าให้ อาณาประชาราษฎรทั้งปวง นับถือ คบค้า ปรนนิบัติไอ้โกหก..... แลผู้ได้รู้เห็นว่าเหล่าร้ายคิดกลโกหกมารยาแล้ว แลมิได้จับกุมว่ากล่าว บอกให้กราบทูลพระกรุณา ละเมินเสีย..... จะเอาเจ้าคณะเจ้าอารามเจ้าอธิการเจ้าเมืองเจ้าแขวงจังหวัดประเทศนั้น ๆ เป็นโทษกบฎ ดุจโทษไอ้คนโกหกคิดทำร้ายแผ่นดิน และพระศาสนาเป็นจลาจล
กฎให้ไว้ ณ วันพฤหัสบดี เดือนหก ขึ้นแปดค่ำ จุลศักราชพันร้อยสี่สิบห้า (พ.ศ. ๒๓๒๖) ปีเถาะ เบญจศก
เดิมที ผมตั้งใจจะทำเป็นแถบสีเน้นข้อความที่สำคัญ ๆ แต่มีเวลาไม่มากพอ ขอปรับให้เป็นสีขาวทั้งหมดจะได้อ่านง่าย ๆ กันน่ะครับ