เป็นเรื่องของกฎหมายครับ แต่ละประเทศมีสิทธิ์เลือกที่จะใช้กฎหมายฉบับใด
ผมเชื่อว่า ในประเทศมุสลิมทั้งหลาย ก็หาใช่ว่าทุกประเทศจะใช้กฎหมายฉบับนี้เหมือนกันหมดทุกประเทศ มีเพียงบางประเทศที่เลือกที่จะนำมากำกับบังคับใช้
ดังนั้นในเมื่อมีข้อตกลงกันแล้วว่า ประเทศนี้ ใช้กฎหมายฉบับนี้ ก็จำเป็นต้องยอมรับแหล่ะครับ
ในสมัยอยุธยาของเราเอง การลงโทษ ก็ทารุณโหดร้ายมิใช่เล่นเลยนะครับ เช่น....
-จับเอานักโทษใส่เข้าไปในตะกร้อหวายขนาดใหญ่ ภายในตะกร้อนั้น มีเหล็กแหลม ๆ คอยทิ่มแทง แล้วให้ช้างเตะลูกตะกร้อ ( คล้าย ๆ ให้คนเล่นกีฬาเตะตะกร้อ ) จนนักโทษตายไป เพราะแรงกระแทก และเหล็กแหลมระดมแทง จากการเตะของช้าง ตายด้วยความทรมาน คนนั่งดูก็คงเหมือนกับนั่งดูกีฬา สนุกสนานไป แถมยังโดนตัดเอาหัวมาประจานซะอีก จนหัวของนักโทษนั้นเน่าไปคาหลักประจาน ประจานทั้งคนตาย ประจานทั้งญาติคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ (ในทางอิสลาม แม้จะตายด้วยทรมานเช่นกัน แต่เขาไม่ดูหมิ่นศพ หากตายแล้วก็จะได้รับการฝังโดยได้รับเกียรติ)
- จับนักโทษ มาถลกหนังศีรษะ ทั้งเป็น และแล่เนื้อเถือหนัง จนตายไปด้วยความทรมาน
อีกสารพัดความโหดร้ายทารุณที่พิศดารมากที่สุดเท่าที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าจะคิดกันไปได้
แม้ในสมัยพุทธกาลก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ทรมานนั้น (พระองค์ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง) ก็ยังมีการทรมานอย่างน่าสยดสยองก่อนฆ่าให้ตายเช่นกัน
- เช่นกรณี พระนางมาคันธิยา และบริวารจำนวนมาก ก็ถูกพระราชาสวามีสั่งประหารชีวิต ด้วยวิธีการดังนี้
* จับเปลื้อผ้า ฝังร่างลงไปครึ่งตัว ให้เหลือท่อนบน โดยฝังเรียบตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
* ให้เพชฆาตร หั่นเนื้อส่วนบน เช่น ใบหู ลิ้น จมูก เนื้อที่แก้ม เนื้อหน้าอก ฯลฯ แล้วตั้งกะทะ ทอดด้วยน้ำมัน ต่อหน้าเจ้าของเนื้อนั้น ที่ยังไม่ตาย แต่กำลังได้รับการทรมานอยู่
* เมื่อทอดจนสุกได้ที่แล้ว ก็เอาเนื้อทอดนั้น มาใส่ปาก บังคับให้เจ้าตัวกินเนื้อของตนเอง
*ในขณะที่กินเนื้อของตนเองนั้น ก็ให้เอาฟางมาสุม แล้วก่อไฟอ่อน ๆ จุดไฟเผาไปเรื่อย ให้ไฟลุกไหม้ร่างกายที่เหลืออยู่ พยายามไม่สุมไฟให้แรงมาก เพราะเดี๋ยวจะตายไปเสียก่อน ไม่สะใจท่านผู้ชม
*ในระหว่างที่ ไฟกำลังลุกไหม้ กลิ่นเนื้อมนุษย์คละคลุ้ง และเสียร้องที่โหยหวลระงมอยู่นั้น ก็ให้เพชฆาตอีกกลุ่มหนึ่ง ใช้วัวเทียมไถ เริ่มไถ เหมือนกับไถปรับผืนนา โดยผาลไถที่คมกริบนั้น ก็จะตัดเฉือน เนื้อหนัง ที่กำลังไหม้เล็กไหม้ใหญ่ นั้น (ยังทรมานอยู่ไม่ทันตายดี บ้างก็เพิ่งตายสด ๆ ร้อน ๆ ) ไถกลบไปพร้อมกับดินนั้น จนละเอียด แล้วคราดอีกครั้ง จนเศษเนื้อมนุษย์ ที่ไหม้พองเหล่านั้น เละเทะ ผสมกับมูลวัว และดินเลน เพราะหลังจากไถไปได้สักพัก เขาก็จะเอาน้ำมาราด ให้ดินเป็นเลน พร้อมเพราะปลูก เรียกว่าเอาทำปุ๋ยนั่นแหล่ะ
เห็นไหมครับ สภาพนี้ มันนรกชัด ๆ นั่นแหล่ะ
ถามว่าพระราชาพระองค์นั้น เป็นใครก็คือพระเจ้าอุเทน ก็เป็น หนึ่งในพุทธบริษัท ที่ดีพระองค์หนึ่ง และได้รับการยกย่องในภายหลังว่า เคารพนับถือพระพุทธองค์อย่างยิ่ง ทรงมีการปกครองที่ทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น อย่างยิ่งพระองค์หนึ่ง
แต่ดูวิธีการฆ่าเมียของพระองค์สิ ทำไมถึงได้โหดร้ายถึงปานนั้น
ก็กฎหมายไงครับ ในเมื่อกฎหมายสมัยนั้นว่าไว้อย่างนั้น แม้แต่พระพุทธองค์ ทรงประทับอยู่ในวัดที่ไม่ไกลจากเมืองนั้น พระองค์ ก็ทรงต้อง มี อุเปกขธรรม คือทรงต้องวางเฉย เพราะกฎหมายเขาตราไว้อย่างนั้น
หากท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ก็อาจจะ นึกสยดสยอง และตำหนิ ผู้กระทำ แต่ ผมขอให้ท่านที่คิดอย่างนั้น ลองไปอ่าน เรื่อง นางมาคันทิยา ดูให้ดี ๆ นะครับ ว่า หล่อน และบริวาร ได้ทำกรรมใดเอาไว้ กับพระนางสามาวดี และได้ทำผิดในโทษสถานใดเอาไว้ ถึงได้โดนลงโทษสถานนั้น
ผมจึงขอยกเอา ข้อสรุป สองสามบรรทัด ของคุณ Ms.Kohlanta ในความเห็นที่ 1 ที่ว่า...
...ลองถามตัวเองว่า .... ขณะที่ เราเรียกร้องความเมตตา และ ความยุติธรรมแก่ผู้ต้องหา (จำเลย ) ... เราได้ละเมิดความเมตตา และ ความยุติธรรม ต่อ ผู้ที่ถูกกระทำ (โจทย์) บ้างหรือ ไม่ ???
นี่คือ ปรัชญาเบื้องต้นของหลักกฎหมายอิสลาม ที่ต้องการผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย