ลักษณะของจิต ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
...ฯ...วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป ย่อมไม่เลยไปอื่น...ฯ...
นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๑
...ฯ...สิ่งที่เรียกกันว่า จิต ก็ดี มโน ก็ดี วิญญาณ ก็ดี นั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น
ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวันตลอดคืน...ฯ...
นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๔-๑๑๕/๒๓๐-๒๓๒
...ฯ...นามรูปมีเพราะปัจจัยคือวิญญาณ...ฯ...
...ฯ...วิญญาณมีเพราะปัจจัยคือนามรูป...ฯ...
มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘.
แสดงว่า
กายที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕ นี้ วิญญาณขันธ์เป็นตัวเข้าไปรู้อีก ๔ ขันธ์ที่เหลือ(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
พระผู้มีพระภาคทรงเปรียบ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ด้วยผืนนา
พระผู้มีพระภาคทรงเปรียบ วิญญาณ ด้วยเมล็ด
พระผู้มีพระภาคทรงเปรียบ น้ำรด ด้วยความเพลินในอารมณ์
เมื่อ เริ่มอานาปานสติ ขณะนั้นวิญญาณ(ผู้รู้)จะเป็นตัวเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ในรูปขันธ์
*เปรียบเหมือนวิญญาณมีที่เกิดรูปคือลม
" เราย่อมลมหายใจเข้า-ออก ว่าเป็นกายอย่างหนึ่งๆ ในบรรดากายทั้งหลาย "
(อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕-๑๙๗/๒๘๙)
เมื่อ การปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดขึ้น วิญญาณก็ดับจากลม(รูป) เข้าไปรู้การปรุงแต่งนั้น
*ขณะที่เรากำลังเพลินไปกับความคิดฟุ้งซ่านบ้าง เสียงนู้นบ้าง สัมผัสนี้บ้าง
เปรียบเหมือน น้ำที่กำลังยังเมล็ดพืชให้เจริญงอกงาม ดังนั้น เราจึงต้องรีบกลับมารู้ลมเพื่อตัดการเกิด
เมื่อ รู้ว่าการปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว รีบกลับมารู้ลม เมื่อรู้ลมอยู่ นั้นคือ
วิญญาณดับจากการปรุงแต่ง แล้วเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ที่รูปแล้ว
(ระหว่างนี้ หากเสริมคำบริกรรม รู้หนอ รู้หนอ ระหว่างที่ฟุ้งซ่าน เพิ่มเข้าไป
ก็จะเปรียบเหมือน ผู้รู้ดับจากสังขารหนึ่งไปรับรู้อีกสังขารหนึ่ง
เมื่อคิดว่า ความฟุ้งซ่าน หมดไป ก็กลับมารู้ลม นี่ผู้รู้ได้ดับจากสังขารกลับมารูป
ไฉนไม่ดับสังขารที่ฟุ้งซ่านอยู่ กลับมาที่ลมเลย เพื่อไม่เป็นการสร้างการเกิดเพิ่ม)
ภิกษุ ท. ! คูถ แม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,
ภิกษุ ท. ! สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
แม้มีประมาณน้อยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.
เอก. อํ. ๒๐ / ๔๖ / ๒๐๓.
เพราะ ภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย จึงมี ชรา มรณะ ...
*อาจจะเข้าใจยากสักนิดหนึ่ง เพราะเป็นธรรมชั้นโลกุตระ เป็นความหมายลึก มีความหมายซึ้ง
อานาปานสติเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา
เมื่อจิตเราจะตั้งมั่นอยู่กับลม (วิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยในรูปขันธ์) นี่เรียก สมถะ
เมื่อจิตหลุดจากลม ไปคิดอนาคตบ้างหรือปรุงแต่งตามผัสสะบ้าง(สังขาร)
ไปคิดอดีตบ้าง(สัญญา)
เกิดความรู้สึกทางกายบ้างจิตบ้าง(เวทนา)
นี่คือ จิต ดับจากรูปขันธ์ไปแล้ว เกิดขึ้นใหม่ไปรับรู้ขันธ์อื่นที่เกิดขึ้น
เมื่อเราได้สติกลับมารูปลมอีก นี่เรียก วิญญาณดับไปแล้วจาก สังขารบ้าง สัญญาบ้าง เวทนาบ้าง
ถ้าเห็นการเกิดดับของจิตได้ตรงนี้ เรียก วิปัสสนา
นี่คือการยกเอาคำพระศาสดามาวิเคราะห์ อย่าได้ถือว่าเป็นความถูก
ควรถือเรียนเอา สำคัญเอา แต่คำของพระศาสดาเถิด