ความคิดเห็นที่ 1 โหวตให้ค่ะ จากคุณ : ใจขึ้น เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 14:16:52

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ขอแสดงความเห็น แต่อยากบอกว่าธรรมเนียมนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้เอง.... ก่อนนี้ไม่เคยมีการอนุโมทนาหรือให้พรหลังใส่บาตรแต่อย่างใด.... จากคุณ : หมู4X เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 14:51:12

ความคิดเห็นที่ 3 นึกอยู่แล้วเชียวครับ  ตีความกันตามตัวอักษรเป๊ะ ๆ ว่า " นั่ง " อย่างเดียวเลย  ซึ่งในความเป็นจริงร้อยทั้งร้อย เวลาเรารับพรพระหลังจากใส่บาตร เรานั่งยอง ๆ ประนมมือด้วยความเคารพกันทั้งนั้น  ไม่ใช่นั่งแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เป็นไปด้วยความเคารพ ซะหน่อย จากคุณ : รักษาจิต เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 14:53:18

ความคิดเห็นที่ 4 เอาไงกันแน่เนี่ย  สรุปยังไงคะ ไอ้เราก็อ่านความเห็นไม่ได้เยอะด้วย  อ่านเยอะๆน้ำตาจะไหล ไม่ใช่ซาบซึ้งนะ  แสบตา! จากคุณ : Pig_Rangsit เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 15:00:27

ความคิดเห็นที่ 5 ผมอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงตามไปอ่านในลิงค์ที่ยกมาด้วย ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ กับพระสูตร และพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าเป็นระยะๆ ใครขี้เกียจ ก็อ่านสรุปที่ คห 38 เลยนะครับ ผมจะสรุปให้ย่อๆว่า พระให้พรในขณะบิณฑบาตได้ พระสนทนาในขณะบิณฑบาตได้ แม้แต่แสดงธรรมก็ยังได้ การนั่งกระหย่ง หรือ การนั่งยองๆ ประคองอัญชลี ก็ถือเป็นท่านั่งที่แสดงออกว่าเคารพต่อภิกษุแล้ว หลักฐาน ก็ดังพระสูตรตามที่ท่านฐานาฐานะได้อ้างอิงไว้ครับ อนุโมทนา __/\__ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 15:33:36

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณคุณฮิมาวาริซซัง ที่สรุปให้ค่ะ ยกมาให้ค่ะ ความคิดเห็นที่ 38 -------- เรียน ท่านเจ้าของกระทู้และทุกท่าน   ผมได้เรียนท่านฐานาฐานะ ให้ท่านช่วยพิจารณาปัญหาในกระทู้ และได้คำตอบ ดังนี้ครับ -------------------------------- เรียนท่านฐานาฐานะ ที่เคารพ กระผมขอความกรุณา ท่านช่วยพิจารณากระทู้นี้ จะได้ไหมครับ กรณี พระ อนุโมทนาในเวลาบิณฑบาต ผิดหรือไม่ ด้วยมีที่ทรงอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉันไว้แล้ว http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10641960/Y10641960.html ขอบพระคุณครับ วงกลม ------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------- ตอบ คุณวงกลม [6 มิถุนายน 2554 02:10] คำถามว่า   กรณีพระอนุโมทนาในเวลาบิณฑบาต ผิดหรือไม่   ด้วยมีที่ทรงอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉันไว้แล้ว ตอบว่า ไม่ผิดอะไรเลย   ๓. เรื่องนางลาชเทวธิดา [๙๗] http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=3#จิตเลื่อมใสในทานไปเกิดในสวรรค์   แม้แต่สนทนาก็ทำได้   มหากัสสปสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=25&item=79   หากจะกล่าวว่า อนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉันไว้แล้ว   ควรทราบว่า บุคคลบางคนอาจสะดวกเพียงใส่บาตร ณ ที่อยู่ของตนเท่านั้น แต่บางคนอาจสะดวกเดินทางมาถวายถึงโรงฉันด้วย   เมื่อเป็นดังนี้ บุคคลที่ใส่บาตร ณ ที่อยู่ของตนเท่านั้น ก็จะไม่ได้รับคำอนุโมทนา.   การกล่าวอนุโมทนานั้น ไม่มีความผิดอะไรเลย. (2)   บางคนกล่าวความผิดว่า ภิกษุยืนแสดงธรรมแก่ผู้ไม่ป่วยและนั่งอยู่ บุคคลนั้นควรพิจารณาลักษณะการนั่งว่า   1. นั่งประนมมือ ประคองอัญชลี   2. การนั่งประนมมือ เป็นการนั่งเพื่อแสดงความเคารพด้วย เพื่อให้ต่ำกว่าพระภิกษุด้วย คือให้พระภิกษุผู้ยืนอยู่ เด่นขึ้น.   3. การนั่งประนมมือนั้น มีลักษณะคล้ายการนั่งกระโหย่ง   การนั่งกระโหย่ง เป็นการนั่งเพื่อทำความเคารพ เช่น http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=นั่งกระโหย่ง http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=นั่งกระหย่ง กุลบุตรนั่งกระโหย่ง เพื่อขอบรรพชาอุปสมบท http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=04&A=3321&Z=3399 (3)   4. การแสดงธรรมโดยธรรม ควรกระทำอย่างยิ่ง   แม้แต่ท่านพาหิยทารุจีริยะ เมื่อกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาค เพื่อโปรดแสดงธรรม ก็หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค   (ในขณะที่พระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี)   การหมอบลงแทบเท้า ควรเป็นการนั่งหรือยืน หมอบลงแทบเท้า? http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=1607&Z=1698 http://www.84000.org/tipitaka/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47   หญิงถวายข้าวตอก (นางลาชเทวธิดา) ก็ทำกาละในวันนั้น   แม้ท่านพาหิยทารุจีริยะก็ปรินิพพานในวันนั้น. ฐานาฐานะ 4:15 6/6/2554   ค้นคำว่า นั่งกระโหย่ง http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ----------------------------------------------------------------------------------------- ขอขอบพระคุณ ท่านฐานาฐานะ ไว้ในที่นี้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 13:59:51 จากคุณ : วงกลม     เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 13:32:17 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 15:47:50 จากคุณ : Pig_Rangsit เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 15:44:22

ความคิดเห็นที่ 7 คห.2 ครับ ผมเห็นพระให้พรเมื่อรับบาตรแล้ว มากว่า 40 ปีแล้วครับ คงไม่ใช่สิบกว่าปีนี้แน่ ๆ จากคุณ : นายจองชัย เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 15:45:29

ความคิดเห็นที่ 8 ถามจริงๆเหอะว่าพระไม่ให้ศีลให้พรจะไม่ได้บุญหรือคะ ที่ถามเช่นนี้มีเหตุผลตรงที่ ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทพาดิฉันไปทำบุญวันเกิดเลี้ยงพระทั้งวัดและถวายสังฆทานด้วยที่วัดแห่งหนึ่งแถวๆนนทบุรี  วันนั้นก็ไปหาซื้อของเตรียมทำและช่วยกันห่อทำสังฆทานอย่างดี ตอนถวายพระท่านก็สวดให้ศีลให้พรไปเสียเยอะ แต่ใจลึกๆดันไปมีความรูัสึกว่าตัวเองไม่ค่อยศรัทธาท่านเจ้าอาวาสวัดเท่าไหร่ ต่างกันกับความรู้สึกที่อีกครั้งหนึ่งเเพื่อนอีกคนลากไปทำบุญถึงวัดถ้ำแห่งหนึ่ง นอกอำเภอเชียงดาว เชียงใหม่ ขับรถไปตั้งไกลแรกๆก็นึกว่าโอ๊ยจะทำบุญต้องไปไกลกันขนาดนี้เลยเหรอ ก็ไปถวายสังฆทานให้หลวงตา แค่ท่านรับสังฆทานเท่านั้นความรู้สึกมันวาบเลยปลื้มและสุขใจขึ้นมาทันทีเลยทั้งๆที่ท่านก็ไม่ได้ให้ศีลให้พรอะไรเลยแม้แต่น้อยค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 19:14:54 จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 19:14:04

ความคิดเห็นที่ 9 จะอย่างไรก็ตาม ก็ควรทราบว่า มติเถรวาทเป็นอย่างไร พระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่าอย่างไร เพื่อการเข้าใจให้ตรงกันครับ ส่วนจะให้หรือไม่ให้พร ก็สุดแล้วแต่พระท่านครับ ผมเคยถวายปัจจัยพระธุดงค์ ท่านรับแล้วก็เดินไปเลย ไม่ได้ให้พร แต่ผมกลับรู้สึกอิ่มเอิบใจมากกว่าตักบาตรแถวบ้านซะอีก จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 19:35:01

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 8                  ถามจริงๆ เหอะว่าพระไม่ให้ศีลให้พรจะไม่ได้บุญหรือคะ              ที่ถามเช่นนี้มีเหตุผลตรงที่ ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทพาดิฉันไปทำบุญวันเกิดเลี้ยงพระทั้งวัด และถวายสังฆทานด้วยที่วัดแห่งหนึ่งแถวๆนนทบุรี  วันนั้นก็ไปหาซื้อของเตรียมทำและช่วยกัน ห่อทำสังฆทานอย่างดี ตอนถวายพระท่านก็สวดให้ศีลให้พรไปเสียเยอะ แต่ใจลึกๆดันไปมีความรูสึกว่าตัวเองไม่ค่อยศรัทธาท่านเจ้าอาวาสวัดเท่าไหร่              ต่างกันกับความรู้สึกที่อีกครั้งหนึ่งเพื่อนอีกคนลากไปทำบุญถึงวัดถ้ำแห่งหนึ่ง นอกอำเภอเชียงดาว เชียงใหม่ ขับรถไปตั้งไกลแรกๆก็นึกว่าโอ๊ยจะทำบุญต้องไปไกลกันขนาดนี้เลยเหรอ ก็ไปถวายสังฆทานให้หลวงตา แค่ท่านรับสังฆทานเท่านั้นความรู้สึกมันวาบเลยปลื้มและสุขใจขึ้นมาทันทีเลย ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้ให้ศีลให้พรอะไรเลยแม้แต่น้อยค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 19:14:54 จากคุณ : Rinta     เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 19:14:04              คำถามว่า                  ถามจริงๆ เถอะว่าพระไม่ให้ศีลให้พรจะไม่ได้บุญหรือคะ                  ตอบว่า                  ต้องถามกลับไปว่า ถ้าพระภิกษุให้ศีลให้พร                  บุญที่ทำแล้วจะหายไปหรือ? --------------------------------------------------              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔              อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต              ๒. ธัมมัสสวนสูตร              [๒๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้              ๕ ประการเป็นไฉน คือ              ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑                   ย่อมเข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑                   ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑                   ย่อมทำความเห็นให้ตรง ๑ จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส ๑              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้แล ฯ              จบสูตรที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=5757&Z=5763                            ฟังพระสูตรนี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/listen/?b=22&item=202              คำว่า บุญกิริยาวัตถุ http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=บุญกิริยาวัตถุ                 หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html                      เรื่อง                           ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก                           การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ                           มหาทาน                           ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑                           ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒                           กาลทาน ๕ อย่าง                           ให้ทานในที่ใดมีผลมาก                           ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท                           สังฆทาน ๗ ประเภท                           ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน                           ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน                                       เรื่องเศรษฐีเท้าแมว                           ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔                           อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง                           ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖                           ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 19:43:00

ความคิดเห็นที่ 11 ธรรมเนียมทางภาคเหนือ  ถ้าใส่บาตรแล้วไม่ได้รับพร  หรือพระไม่ให้พร  ชาวบ้านถือว่าไม่ได้บุญ ใันวันต่อไป  ไปบิณฑบาตรอีก  อาจไม่มีคนใส่บาตรเลย พ่ออุ้ยแม่อุ้ย  ถ้าใส่บาตรกับพระแปลกหน้า  มักจะบอกพระเสมอว่า  ปันพรตวยเน้อ (ให้พรด้วยนะ) จากคุณ : คอแก้ง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 21:17:48

ความคิดเห็นที่ 12 เอ่อบางคนมีอคติ หรือเปล่า แค่เราให้ทาน ก็ได้บุญแล้ว แต่ประเด็นที่พูดคือเรื่องการให้พร หลังจากที่เราทำบุญใส่บาตรแล้ว นั้นผิดวินัยสงฆ์ หรือเปล่า? นั่นคือประเด็น อย่าตอบด้วยอคติเลยนะคับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 23:26:22 จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 23:25:29

ความคิดเห็นที่ 13 โปรดพิจารณาดังนี้ (เรื่องยาว) -------------------------- พระสงฆ์จำเป็นต้องให้พรหลังรับบิณฑบาตแล้วหรือไม่? เนื่องจากมีชาวพุทธจำนวนมากเข้าใจว่า พระสงฆ์เมื่อรับอาหารบิณฑบาตแล้วก็ต้อง ให้พร  พระรูปไหนไม่ให้พร  เป็นอันใช้ไม่ได้ หรือไม่ถูกต้อง  ไม่ทำหน้าที่ของพระสงฆ์  และเชื่อกันจนคิดว่า "ถ้าพระไม่ให้พร จะไม่ได้บุญ"  จนเป็นเหตุตำหนิพระเลยก็ว่าได้ พระคุณเจ้าที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ก็อยากจะฉลองศรัทธาญาติโยม ก็เลยให้พรตามที่ญาติโยมต้องการ จนบางทีก็เกินไป เช่น ให้พรเสียงดังบ้าง ให้พรจนยืดยาวบ้าง บางรูปให้ยถา - สัพพี แล้วต่อด้วย ภะวะตุสัพฯ เลยก็มี  บางทีก็แทบจะกลายเป็นพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารแบบย่อมๆ เลยทีเดียว ความจริงแล้วการให้พรขณะบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าพระท่านจะให้หรือไม่ก็ตาม บุญก็สำเร็จตั้งแต่เมื่อผู้มีศรัทธา ได้ถวายอาหารนั้นไปแล้ว  การให้พรของท่าน ก็เป็นเพียงการอนุโมทนาในทานที่ถวายเท่านั้น  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องว่าจะได้บุญหรือไม่ได้บุญ จากคำให้พรเหล่านั้นเลย อีกอย่างหนึ่ง สาเหตุที่พระสงฆ์บางรูปท่านไม่ได้ให้พรหลังจากรับอาหารบิณฑบาต  ท่านทำแต่เพียงยืนสงบนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็เดินต่อไป  ก็เป็นเพราะท่านปฏิบัติตามพระวินัยว่า     "พระภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จะไม่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่เป็นไข้ นั่งอยู่" พระวินัยข้อนี้ อยู่ในเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติของพระ  ว่าด้วยเรื่องการแสดงธรรม  คือพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ให้พระภิกษุ ที่ยืนอยู่ ไม่แสดงธรรมให้กับผู้ไม่เจ็บป่วย ที่นั่งอยู่   ถามว่าสิกขาบทข้อนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการให้พร  ก็เพราะการให้พรนั้น มักให้พรเป็นภาษาบาลี และเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยธรรม คือการแสดงธรรมอยู่แล้ว และบทให้พรบางบท ก็เป็นการแสดงธรรมโดยตรงเลยทีเดียว เช่นบทที่เรียกกันว่า "สัพพีฯ"  ในตอนท้ายเป็นคำแสดงธรรมแบบหนึ่ง ที่ว่า "อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง"  ซึ่งแปลว่า  ธรรมะสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญ บังเกิดขึ้นแก่ผู้มีปกติกราบไหว้ และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ เนื่องจากการให้พรนั้น เป็นการแสดงธรรมแบบหนึ่ง  และชาวบ้านผู้มาใส่บาตร เมื่อใส่เสร็จแล้ว ก็นั่งยองๆ อยู่  ซึ่งถ้าหากท่านให้พรไป ก็จะเป็นการแสดงธรรมแก่ผู้นั่งอยู่  โดยที่ตัวท่านเองก็ยืนอยู่  การแสดงธรรม (ให้พร) ไปในลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นการไม่เคารพพระธรรม  ดังนั้นพระคุณเจ้าหลายๆรูปที่รู้พระวินัยดี จึงกระทำเพียง ยืนสงบนิ่ง ตั้งจิตเมตตาปรารถนาดี อนุโมทนาทาน ต่อผู้ถวายอาหารบิณฑบาต แล้วก็เดินต่อไป จนชาวบ้านที่ไม่เข้าใจ ก็นึกตำหนิว่า " พระอะไรใช้ไม่ได้ รับอาหารแล้วก็ยืนนิ่ง ไม่ยอมให้พร " ดังนั้นถ้าหากผู้มีศรัทธา มีจิตเป็นบุญกุศล ถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็ควรเอื้อเฟื้อพระคุณเจ้าตามพระวินัยของท่านด้วย ไม่ควรให้ท่านต้องฝ่าฝืนพระวินัย แม้จะเป็นข้อเล็กน้อยก็ตาม การที่เราได้ถวายอาหารบิณฑบาต บุญกุศลก็เกิดขึ้นแก่เราอยู่แล้ว จะได้รับพรหรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน อนึ่ง โดยปกติพระภิกษุท่านมารับอาหารบิณฑบาต ท่านก็ต้องตั้งจิตเมตตาปรารถนาดีเป็นเบื้องหน้ากับทุกผู้คนอยู่แล้ว   โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากให้พรเสียยืดยาว สำหรับท่านที่ยังต้องการจะรับพรอยู่ (อาจเพื่อความสบายใจ หรือเพื่อเจริญศรัทธามากขึ้น)  ก็ควรกระทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาพระวินัยของท่าน โดยเมื่อถวายอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรถอดรองเท้า (บางท่านถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนใส่บาตรแล้ว) หุบร่ม  ถอดหมวก (ถ้ามี)  แล้วยืนพนมมือ กล่าวกับพระคุณเจ้าว่า  "ขอนิมนต์พระคุณเจ้าได้โปรดอนุโมทนา ให้พร แก่กระผม / ดิฉัน หรือ ให้พรแก่โยม ด้วย"  แล้วก็ยืนพนมมือรับพร หรือถ้าจะรับในท่านั่ง ก็หาเก้าอี้มาให้พระคุณเจ้าได้นั่ง แล้วผู้จะรับพรก็นั่งคุกเข่า หรือนั่งกระโหย่ง พนมมือรับพร การทำแบบนี้ นอกจากจะเป็นการเคารพในพระธรรม ในพรที่ท่านให้มาแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยเอื้อเฟื้อให้พระสงฆ์ไม่ต้องผิดพระวินัยอีกด้วย ----------------- จากหนังสือ (ที่กำลังเขียนอยู่ ถึงหน้าที่ 208 แล้ว) เรื่อง ศาสนพิธี-บุญกิริยา  : การถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 54 00:33:18 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 00:23:18

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนที่ผมบวชเรียนอยู่ที่วัดชลประทานฯ ก็ได้รับคำสั่งสอนจากพระอาจารย์ที่วัดเช่นเดียวกับที่ คห. 13 กล่าวไว้ เพราะตอนที่บวชใหม่ๆ อ่านในหนังสือนวโกวาท ก็กล่าวไว้ว่า หากภิกษุ ยืนแสดงธรรมกับผู้ที่ไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ ถือเป็นอาบัติ ดังนั้นเวลาไปบิณฑบาตรแถวๆ ตลาดชลประทานฯ ชาวบ้านที่มาใส่บาตรก็จะรู้กันดีว่าพระวัดชลฯ จะไม่ให้พรหลังใส่บาตร แต่ก็จะมีญาติโยมต่างถิ่นที่นานๆ ทีใส่บาตรทีอาจจะงง ว่าใส่บาตรเสร็จนั่งลงคุกเข่าขอพรแล้วพระท่านกลับเดินไปเฉยเลย แต่ก็มีบางครั้งที่เจอญาติโยมบางท่าน ที่มาใส่บาตรตอนเช้าเนื่องในวันคล้ายวันเกิด หรือวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ แล้วนั่งลงขอพร ผมก็รู้สึกว่าจะไม่เป็นการเสียน้ำใจเหรอ ที่ผู้มาทำบุญตั้งใจใส่บาตรแล้วไม่ได้รับพร ก็เลยเก็บคำถามนี้ไปถามพระอาจารย์สมชาย (ท่านชายใหญ่) ท่านก็สอนว่า ญาติโยมที่มาใส่บาตรทำบุญนั้น เค้าได้รับบุญรับพรไปแล้วตั้งแต่ตอนที่คิดที่จะทำแล้ว แล้วเมื่อทำแล้ว เค้าก็ได้รับความสุขความอิ่มเอมใจจากการที่ได้ใส่บาตรทำบุญ นี่ก็นับว่าเป็นพรที่ได้รับไปแล้วอีกเช่นกัน โดยที่ไม่ต้องมีใครที่ไหนมาให้ แต่บางครั้งถ้าเจอญาติโยม ที่ยึดติดกับรูปธรรม หรือสิ่งที่จับต้องได้ คือคิดว่าทำบุญแล้วต้องได้อะไรกลับมาบ้าง อย่างน้อยพรจากพระก็ยังดี เราก็ให้ไปสั้นๆ เพื่อไม่ให้ญาติโยมเสียน้ำใจ ว่า "เอวัง โหตุ" ซึ่งก็แปลได้ประมาณว่า "ขอให้เธอสมปรารถนาเถิด"  คำสั้นๆ แต่ครอบคลุมหมด ไม่ว่าจะอยากได้อะไร ^ ^ ผมเลยเอามาใช้เวลาเจอญาติโยมหน้าใหม่ ที่ไม่ใช่ศิษย์วัดชลฯ คืออยากได้พรในโอกาสพิเศษ ก็จะกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "เอวัง โหตุ" และบางทีก็เจอญาติโยมที่บ่นเบาๆ พอให้ได้ยินว่า "สงสัยพระบวชใหม่ คงจะยังท่องพรบทยาวๆ ไม่ได้ เลยท่องแค่สั้นๆ ให้"  ^ ^'' จากคุณ : เทพกระบี่ไร้นาม เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 02:46:29

ความคิดเห็นที่ 15 ตามอ่านมาหลายกระทู้แต่ไม่เคยได้แสดงความคิดเห็น โดยความคิดเห็นส่วนตัว... เราคิดไปเองว่าพระท่านให้พร แต่ในความเป็นจริง บทสวดที่พระท่านสวดที่เราเข้าใจว่าให้พรนั้น ถ้าลองไปมองความหมาย นั่นเป็นคำสอนซึ่งเป็นการแสดงธรรม ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนนั้นแล้วถึงจะพบกับความสุขความเจริญ ดังบทที่ว่า "อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ" โดยความหมายคือ "บุคคลผู้มีปรกติไหว้กราบ มีปรกติอ่อนน้อม (ต่อผู้ใหญ่) เป็นนิตย์ ย่อมเจริญด้วยธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ" ดังนั้นโดยส่วนตัวผมจึงไม่มองว่า การแสดงธรรมหลังจากที่เราได้มีการตักบาตรนั้น จะมีความผิดโดยประการทั้งปวง ขอความเจริญในธรรมจงมีแต่ผู้ฝักใฝ่ในธรรมครับ จากคุณ : พ. พรพรหมรัตน์ (thanunnop) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 10:07:25

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับ 15 นะคับ แต่ก็มีเงื่อนไขคือ ผู้ใส่บาตร ควระถอดรองเท้าและยืนบนพื้นเท่าเทีบมกับพระ และพนมมือยืน ตั้งใจรับพร ก็น่าจะไม่ผิดวินัยสงฆ์แล้วนะคับ จากคุณ : ป๊อปปูล่า เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 11:10:50

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องนี้เป็นเรื่องของสงฆ์ นะคะ จะว่าผิดว่าถูก ต้องเอาธรรมวินัยสงฆ์ มาเทียบดู หลวงพ่อก็เคยพูดสอนให้ฟังว่า พระให้พร ยืนให้พร ผิด ช่วยกันบอกกล่าว ให้ญาตโยมเข้าใจกันด้วย จากคุณ : Alpha เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 11:36:31

ความคิดเห็นที่ 18 ดิฉันจะเตรียมเก้าอี้และนิมนต์ท่านนั่งหลังจากรับบาตร เสร็จท่านก็จะให้พร เท่านี้ก็ไม่ผิดพระวินัยแล้วค่ะ.. แต่ถ้าใส่บาตรนอกสถานที่ เช่น ที่ตลาด หรือข้างทาง รับเสร็จท่านก็เดินผ่านไปเลย..ก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ.. ถ้าเราตั้งใจทำบุญแล้ว แค่คิดก็ได้บุญแล้ว 50% ค่ะ.. พอได้ลงมือก็นะจะได้เต็มๆ จากคุณ : บัวบานที่ปลายนา เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 12:27:26

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่เคยเห็นต่างจากคุณฐานา ฐานะเลยนะ ยกเว้นครั้งนี้ อย่างคห.15  ถ้าแปลตามศัพท์ ผมก้ไม่เห็นว่าจะเป็นการแสดงธรรมอะไรเลย ส่วนที่ท่านยกตัวอย่างมา "กรณีพระอนุโมทนาในเวลาบิณฑบาต ผิดหรือไม่  ด้วยมีที่ทรงอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉันไว้แล้ว ตอบว่า ไม่ผิดอะไรเลย " นั่นก็คือการ " อนุโมทนา " ไม่ใช่ให้พร แล้วการอนุโมทนา ก็ต้องหลังจากพระฉันอาหารแล้ว เพราะอานิสงคฺ์เกิดแล้ว จึงอนุโมนทนาบุญได้  ไม่ใช่ขณะคนถวายบิณฑบาตรอยู่ดี แต่จะว่าไปเรื่องพวกนี้ไม่มีผลกับฆาราวาสอย่างพวกเราอยู่แล้ว ถูกหรือผิด อยู่ที่ภิกษุองค์นั้นต่างหาก จากคุณ : ~หูว เสี่ยวผิง~ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:45:49

ความคิดเห็นที่ 20 สาธุๆๆ เวลาตักบาตร ดิฉันจะถอดรองเท้าทุกครั้ง และเมื่อตักเสร็จก็จะพนมมือ พระท่านก็อนุโมทนา ดิฉันจึงเห็นว่าพระท่านไม่ทำผิดวันัยสงฆ์ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 22:11:24 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 22:09:57 จากคุณ : จิตพุทธ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 22:03:29