เรียนคุณ เนตังมม (เนตัง มะมะ) ดังนี้นะครับ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า จริงๆเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ฆราวาสอย่างเราๆมาพูดกันเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงจะพูดกันอย่างไรก็คงได้เพียงแต่ข้อสรุปในเว็บบอร์ดนี้ ไม่สามารถไปสู่คณะสงฆ์ส่วนใหญ่ได้
แต่อยากให้ตั้งข้อพิจารณาว่า ในยุคสมัยก่อนๆ จนถึงปัจจุบัน ก่อนที่พระคึกฤทธิ์ท่านจะยกประเด็น ๑๕๐ ข้อ มาแยก "อุโบสถสังฆกรรม" กับสงฆ์ส่วนใหญ่ นั้น จะไม่มีพระมหาเถระบุรพาจารย์ท่านไหนๆเลยหรือที่จะบอกว่าให้สวดแค่ ๑๕๐ ข้อก็พอแล้ว ทำไมท่านจึงนำสืบมาด้วยการสวดพระปาติโมกข์ตามที่สวดกัน "ทั้งโลกพุทธศาสนาเถรวาท"
จะไม่มีท่านไหนเลยหรือที่มีสติปัญญาสามารถ ประกาศสวดแค่ ๑๕๐ ข้อ ทั้งๆที่ในพระสูตรเองก็ตามนั้น ไม่มีระบุเอาไว้เลยว่า "๑๕๐ข้อน่ะ สวดอะไรบ้าง??"
ก่อนอื่นอยากจะขอให้ช่วยตอบคำถามก่อนว่า "ท่านเอาเกณฑ์อะไรมาเลือกว่า ๑๕๐ ข้อน่ะ มีสิกขาบทข้อนี้ๆอยู่ "
ต้องบอกกันตามตรงนะครับว่า สิกขาบทแต่ละข้อนั้น ไม่ใช่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเรียงๆไปตามลำดับนะครับ เช่นพอทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ แล้ว ก็มีเรื่องพระสงฆ์ทำผิด ก็บัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ต่อ
เพราะฉะนั้นในวัชชีปุตตสูตรก็ดี ในเสขสูตรก็ดี และสิกขาบทอื่นๆนั้น ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไรเลยว่า สิกขาบท ๑๕๐ ข้อน่ะ อะไรบ้าง ต้องขอให้เอามาแสดงว่า ท่านเอาเกณฑ์อะไรมาเลือกว่า ๑๕๐ ข้อน่ะ อะไรบ้าง??
ขอให้ตอบข้อนี้ให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยว่ากันไปสู่เรื่องอื่นๆ
ต่อไปก็มาถึงคำถาม
คุณเนตังมะมะ ถามในข้อที่หนึ่งว่า
1. แปลความหมายของวัชชีปุตตและเสขสูตรในรายละเอียดพุทธพจน์ที่ทรงกล่าวไว้ว่าท่านเห็นเนื้อหานั้นอย่างไร
ตอบ พุทธพจน์ที่ทรงกล่าวไว้นั้น ผมเห็นเนื้อหาอย่างนี้ครับ ว่า่
" [๕๒๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้า ฯลฯ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิกขาบทที่สำคัญ ๑๕๐ นี้ ย่อมมาสู่อุทเทส (คือสวดในท่ามกลางสงฆ์) ทุกกึ่งเดือน ข้าพระพุทธเจ้าไม่อาจศึกษา (คือปฏิบัติรักษา) ในสิกขาบทมากนี้ได้พระเจ้าข้า.
พ. ก็ท่านอาจหรือไม่ ภิกษุ ที่จะศึกษาในสิกขา ๓ คืออธิสีลสิกขา
อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา."
ความเห็นของผมมีดังนี้ครับ
สิกขาบทที่พระภิกษุวัชชีบุตรกล่าวถึงนั้น มีอยู่ ๑๕๐ ข้อ และพระภิกษุวัชชีบุตร กล่าวว่า ท่านไม่อาจศึกษา (คือปฏิบัติรักษา) ในสิกขาบทมากนี้ได้ ก็แสดงว่า สิกขาบทในขณะนั้น ที่มีอยู่๑๕๐ ข้อ ท่านไม่อาจรักษาศึกษาได้
ก็ต้องแสดงว่า สิกขาบทในขณะนั้นที่ต้องศึกษารักษา มีเพียง ๑๕๐ข้อ ใช่หรือไม่? และสิกขาบทใดที่ต้องศึกษา ก็จะมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน
แต่ในพระสูตรนี้ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้เลยว่า อะไรบ้างที่เป็น ๑๕๐ ข้อ...?? แล้วจะเอาเกณฑ์อะไรมาวัดล่ะครับว่า จะเอาอะไรไปสวดบ้าง
2.เสขิยวัตร (แต่คุณใช้คำประหลาดๆเช่น เสขยวัตตสูตร ไม่รู้หมายถึงอะไร แต่คงหมายถึงเสขิยวัตรใช่ไหมครับ?) คืออภิสมาจาร ว่าด้วยเรื่องมารยาทและการโคจรของพระใช่หรือไม่
ผมมีข้อพิจารณาดังนี้
๑. เสขิยวัตร ไม่ใช่อภิสมาจาร
๒. คำว่า อภิสมาจารนั้น แม้มีในพระวินัยปิฎกก็จริง แต่ก็ไ่ม่ได้ระบุไว้เลยว่าอะไรบ้างเป็นอภิสมาจาร อะไรบ้างเป็นอาทิพรหมจรรย์
๓. อะไรบ้างเป็นอภิสมาจารนั้น.. ในพระวินัยไม่ได้แยกไว้ว่า "ส่วนนี้ชื่อว่าอภิสมาจาร" "ส่วนนี้ชื่อว่าสิกขาบทในพระปาติโมกข์" แต่พระอรรถกถาจารย์ท่านได้ให้อรรถาธิบายเอาไว้
ผมเองนั้นไม่ค่อยสะดวกใจที่จะอ้างอรรถกถา ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่เพราะถึงอ้างไปพวกคุณก็ไม่ยอมรับ และคณะวัดนาป่าพงก็รังเกียจอรรถกถาเสียยิ่งกว่าอะไร จะเอาแต่พระไตรปิฎกอย่างเดียว (แต่ไม่เอามหาวิภังค์ที่ระบุว่าให้สวดปาติโมกข์กี่ข้อ....??) แต่ก็จะเป็นต้องอ้าง เพราะพระอรรถกถาจารย์ท่านอยู่มาก่อนหน้าเราตั้งเป็นพันปี และผมเชื่อว่าท่านมีสติปัญญาสามารถ มากกว่าพระคึกฤทธิ์หรือใครๆที่มาปฏิเสธท่านเสียอีก
อรรถกถาตติยปาราชิกวรรณา ได้อธิบายอภิสมาจาริกวัตรไว้สั้นๆ ดังนี้ว่า
กุลบุตรควรชำระศีล ๔ อย่างให้หมดจดก่อน. ในศีลนั้น มีวิธีชำระให้หมดจด ๓ อย่าง คือ ไม่ต้องอาบัติ ๑ ออกจากอาบัติที่ต้องแล้ว ๑ ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสทั้งหลาย ๑. จริงอยู่ ภาวนาย่อมสำเร็จแก่กุลบุตรผู้มีศีลบริสุทธิ์อย่างนั้น. กุลบุตรควรบำเพ็ญแม้ศีลที่ท่านเรียกว่าอภิสมาจาริกศีล ให้บริบูรณ์ดีเสียก่อน ด้วยอำนาจวัตรเหล่านี้ คือ วัตรที่ลานพระเจดีย์ วัตรที่ลานต้นโพธิ์ อุปัชฌายวัตร อาจริยวัตร วัตรที่เรือนไฟ วัตรที่โรงอุโบสถ ขันธกวัตร ๘๒ มหาวัตร ๑๔. จริงอยู่ กุลบุตรใด พึงกล่าวว่า เรารักษาศีลอยู่, กรรมด้วยอภิสมาจาริกวัตรจะมีประโยชน์อะไร ? ข้อที่ศีลของกุลบุตรนั้นจักบริบูรณ์ได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. แต่เมื่ออภิสมาจาริกวัตรบริบูรณ์ศีลก็จะบริบูรณ์.
ในอภิสมาจารเหล่านี้ ไม่มีเสขิยวัตรครับ... เสขิยวัตร ไ่ม่ใช่อภิสมาจาร แต่เป็นสิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์
-----------------------------
ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง ที่คุณเนตังมม บอกว่า
"ที่ทรงบรรยายความหมายของศีลเหล่า อธิบายรายละเอียดข้อดีของศีลเหล่านี้ว่าทำไมต้องปฎิบัติและสวด "
แต่ความเป็นจริงแล้วในวัชชีปุตตสูตรก็ดี เสขสูตรก็ดี จุดสำคัญของพระสูตร ไม่ใช่การสวดพระปาติโมกข์ แต่เป็นพุทธดำรัสที่ตรัสถึงการปฏิบัติในไตรสิกขา เป็นสำคัญ
ควรจะดูให้ชัดว่า พระสูตรนี้มาในอังคุตตรนิกาย ไม่ใช่มาในพระวินัยปิฎก อะไรที่เป็นข้อปฏิบัติเป็นสิกขาของพระ ก็ชัดอยู่แล้วว่ามาในพระวินัยปิฎก ส่วนในพระสูตรนั้น จะมีเป็นศีลบ้าง ก็เป็นเรื่องข้อปฏิบัติในฐานะที่เป็นเพศภาวะของพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้โดยเฉพาะ เช่นมหาศีล มัชฌิมศีล จุลศีล ซึ่งบางข้อก็มาอยู่ในสิกขาบทพระปาติโมกข์ บางข้อก็เป็นรายละเอียดพิเศษ ที่ไ่ม่ได้อยู่ในสิกขาบทปาติโมกข์
จริงๆแล้วเราต้องระบุกันให้ชัดว่าเรากำลังพูดถึงอะไร พูดถึงพระวินัย หรือพูดถึงข้อธรรมในพระสูตร ไม่ใช่ว่าเห็น ๑๕๐ข้อ ก็ลากเอามาเลย โดยไม่มีอะไรชัดเจนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเน้นเนื้อหาอะไร
ในพระสูตรไม่มีระบุด้วยซ้ำไปว่า "พวกเธอจงสวดสิกขาบทในพระปาติโมกข์ ๑๕๐ข้อ ซึ่งมี ....ฯลฯ" คำว่าสิกขาบท ๑๕๐ ข้อ (ถ้วน, สำคัญ, เกินกว่า, สำเร็จ)นั้น เป็นเพียงคำเริ่มเนื้อหา แต่ใจความสำคัญอยู่ที่ไตรสิกขามากกว่าอย่างอื่น
-----------------------------
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 11:00:48
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:54:28
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:50:25
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:48:13
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:47:05
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:46:17
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 10:33:27