ความคิดเห็นที่ 1 1.) ทำไมมุสลิมไม่กินหมู ? ใครที่ถามแบบนี้ถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ถูกต้องครับ เพราะมุสลิมไม่กินหมู แต่ถ้าใครถามว่า “ทำไมมุสลิมกลัวหมู?” แบบนี้ถือว่าตั้งคำถามผิดนะครับ เพราะมุสลิมไม่ได้กลัวหมู แต่คนไทยเรามักเข้าใจผิดๆโดยไปจดจำมาจากหนังตลกว่ามุสลิมกลัวหมู และต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อเห็นหมู! ส่วนคำตอบที่ว่าทำไมมุสลิมไม่กินหมูก็คือ พระเจ้าสั่งห้ามนั่นเองครับ และสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในบางเรื่องนั้นมนุษย์ก็ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ หรือในบางเรื่องมนุษย์ก็สามารถค้นพบหาเหตุผลได้ด้วยกระบวนการศึกษาธรรมชาติหรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ยุคปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ก็พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็กๆที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูมีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู่ ซึ่งความร้อนจากการหุงต้มไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น มุสลิมในยุคก่อนเขาไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และหมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ(กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน)ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก(นะญิส) ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่กินหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ดังนั้นถึงแม้ในอนาคตจะสามารถทำให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้าม แล้วถามว่าทำไมต้องห้ามน่ะหรือครับ? ก็เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความศรัทธาครับ มนุษย์ที่ศรัทธาในพระเจ้าเขาก็จะน้อมรับกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติไว้ เขาจะไม่กินตามปากอยาก แต่เขาจะเลือกกินโดยพิจารณาว่าพระเจ้าอนุญาตให้กินหรือไม่ และอาจมีบางคนตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้วพระเจ้าจะสร้างหมูมาทำไม? คืออย่างนี้ครับ พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิด จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมนุษย์นะครับ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทำหน้าที่ซับน้ำ, ผลิตออกซิเจน, รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ทำนองนี้เป็นต้นครับ ดังนั้นเราจึงต้อง เลือกครับว่าสิ่งใดพระเจ้าอนุญาตให้กิน สิ่งใดพระเจ้าไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งในเรื่องของอาหารแล้ว สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามสิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้กินได้โดยปริยายครับ ส่วนสิ่งอื่นที่พระเจ้าบัญญัติห้ามกิน ได้แก่ 1.)สิ่งมึนเมาทุกชนิด 2.)เลือด 3.)สัตว์บกที่ตายโดยไม่ได้ถูกเชือด 4.)สัตว์บกที่ไม่ได้กล่าวนามพระเจ้าขณะเชือด 5.)สัตว์บกที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวล่าสัตว์กินเป็นอาหาร 6.)เนื้อลา 7.)สัตว์ที่พระเจ้าระบุว่าเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ(นะญิส) เช่น หมา 8.)อาหารใดก็ตามที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เช่นขโมยมา หรือซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดหลักการศาสนา (เช่นเงินดอกเบี้ย เป็นต้น) ซึ่งทั้งหมดถูกบัญญัติในอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ..และนอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้รวมทั้งสัตว์น้ำทั้งหมดก็เป็นที่อนุญาตให้กินได้ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:18:17

ความคิดเห็นที่ 2 2. ทำไมมุสลิมมีภรรยาได้ 4 คน? ถ้าใครบอกว่าศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่อนุญาตมีภรรยาได้เยอะที่สุด ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อนุญาตให้มีภรรยาได้น้อยที่สุดต่างหากล่ะครับ! งงใช่ไหมล่ะครับ? ยังไม่พอแค่นั้นครับ ผมจะให้คุณงงเพิ่มเข้าไปอีก.. เนื่องจากสังคมปัจจุบันมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่กดขี่สตรีเพศ ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ยกฐานะของสตรีต่างหากล่ะครับ! งงว่าทำไมมันถึงกลับตะละปัดอย่างนี้ใช่ไหมครับ? สาเหตุที่คุณงงก็เพราะคุณไม่เคยดูคัมภีร์หรือบัญญัติศาสนาของคุณเลย ส่วนอีกประการคือคุณไม่เคยใคร่ครวญถึงอดีตเลย นอกจากมีประวัติศาสตร์ไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขานหรือไว้เรียนเพื่อให้สอบผ่านก็เท่านั้น ประการแรกเรามาดูเรื่องบทบัญญัติของคัมภีร์กัน.. คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติเรื่องแต่งงานไว้ว่า “หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว หรือไม่ก็สตรีที่มือขวาของเจ้าครอบครองอยู่(คือทาสหญิง) นั่นเป็นสิ่งดียิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (คำแปลบทอัน-นิซาอฺ โองการที่ 3) ดังนั้นคัมภีร์อัล-กุรอานของศาสนาอิสลามจึงเป็นคัมภีร์เดียวนะครับที่มีระบุประโยคที่บอกว่า “จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว” และศาสนาอิสลามได้จำกัดจำนวนของการมีภรรยาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการจำกัดจำนวนของการมีภรรยานั้นไม่มีในศาสนาอื่นนะครับ นั่นหมายความว่าศาสนาอื่นอนุญาตให้มีภรรยากี่คนก็ได้โดยที่ไม่จำกัดจำนวนไงครับ แต่สังคมเราปัจจุบันลืมข้อนี้ไปซะสนิท มนุษย์เราขี้ลืมจนถึงขั้นลืมประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษตน.. คนไทยในอดีตมีภรรยากันเป็นสิบ ยิ่งมียศศักดิ์สูงก็ยิ่งมีภรรยามาก แต่การมีภรรยาหลายคนของคนในอดีตเขาไม่ได้ให้ความเท่าเทียมแก่บรรดาภรรยา เขาจะยกย่องภรรยาคนแรกมากที่สุด ส่วนคนต่อๆมาจะถือว่าเป็นนางสนมหรือไม่ก็เมียน้อย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามไม่เห็นด้วย ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาที่มายกเลิกอนารยธรรมเหล่านี้ต่างหากล่ะครับ อิสลามไม่มีเมียหลวงเมียน้อย แต่จะมีกฎข้อบังคับให้สามีให้ความเท่าเทียมกับภรรยาทุกๆคน เราจะไม่เรียกว่าใครเป็นเมียหลวงเมียน้อย แต่จะเรียกเป็นภรรยาคนที่ 1..2..3..4.. นอกจากนั้นแล้วอิสลามก็เป็นศาสนาที่มายกสถานะของสตรี จากในอดีตที่ผู้คนถือว่าสตรีเป็นสินค้า แต่อิสลามได้เข้ามายกสถานะสตรีซึ่งเป็นเพศแม่ ให้ได้ถูกรับการปกป้องคุ้มครองจากสามีและกฎหมายอิสลาม ในขณะที่สังคมยุคปัจจุบันกำลังจะนำอนารยธรรมในอดีตกลับมาใช้คือ เห็นผู้หญิงเป็นสินค้าและมีหน้าที่ไว้บำเรอให้ความสุขแก่ผู้ชาย ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของโสเภณี, ดารานักร้อง, หรือนักเต้นโชว์ก็ตาม(ในอดีตกาลก็มีสิ่งเหล่านี้) ซึ่งสังคมเราก็กำลังนำสิ่งต่ำทรามในอดีตกลับมาใช้ใหม่ และสำหรับเรื่องสถานขายบริการทางเพศ(ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของสถานบันเทิงชนิดใดก็ตาม) นั่นก็คืออีกปัญหาหนึ่งของสังคม บรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรี(ที่เกลียดระบบเมีย 4 ของอิสลาม) เขาไม่เคยเล็งเห็นถึงโทษของการบังคับให้ผู้ชายมีภรรยาได้คนเดียว เขาคิดว่าสถานบริการต่างๆทั่วโลกที่ทำกำไรมหาศาลทุกวันนี้ได้ลูกค้ามาจากไหนกันนักหนาล่ะ? ก็สามีพวกคุณทั้งนั้นแหละ! เพราะความพอใจในผู้หญิงหลายคนนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของผู้ชาย ดังนั้นอิสลามจึงป้องกันปัญหาเรื่องความมักมากของผู้ชายไม่ให้ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ถูกต้อง จึงให้มีการแต่งงานซะ แล้วสตรีคนนั้นก็ถือว่าเป็นภรรยาของคุณ ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลให้ความรักและความคุ้มครองอย่างดี .. ศาสนาอิสลามได้วางระบบระเบียบไว้เหมาะสมแล้วสำหรับมนุษย์ ทั้งเรื่องการอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่า 1 แต่ไม่เกิน 4 และทั้งกฎหมายอิสลามที่ไม่อนุญาตให้มีสถานบันเทิงซักชนิดเดียว ซึ่งถ้าประเทศไหนรัฐไหนนำกฎนี้ไปใช้ สังคมนั้นก็จะเกิดความสันติสุข(ดังชื่อของศาสนา) จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:21:08

ความคิดเห็นที่ 3 - 3. ทำไมต้องคลุมหิญาบ? อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ยกย่องสถานะของสตรี ดังนั้นกฎระเบียบว่าด้วยการแต่งกายนั้นก็เป็นบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดีและหวังดีต่อมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วทั้งร่างกายของสตรีถือเป็นส่วนเย้ายวนต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้บัญญัติให้ทั้งร่ายกายของสตรีถือเป็นส่วนพึงสงวน(เอาเราะฮฺ) ที่ต้องปกปิด ยกเว้นหากจะเปิดก็อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนสำหรับผู้ชายนั้น ส่วนพึงสงวนที่ต้องปกปิดก็คือบริเวณตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเข่า โดยไม่มีการจำกัดว่าเครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดของวัฒนธรรมใดหรือชาติใด แต่หากต้องการจะได้รับผลบุญมากขึ้นก็ให้แต่งกายซึ่งเป็นรูปแบบที่นบีมุฮัมมัดเคยสวมใส่ไว้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อท่านนบี และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ซึ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายทั้งหญิงและชายก็ล้วนมาจากบทบัญญัติของอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าการที่มุสลิมแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมหรือประเพณีของชาติใดหรือท้องถิ่นใด แต่มันเป็นการแต่งกายตามบัญญัติศาสนาแต่สำหรับสตรีส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไนนั้นมีการแต่งกายที่ผิดหลักการศาสนา เช่น คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้ารัดรูป หรือคลุมศีรษะไม่มิดชิดเปิดผมและคอ หรือบ้างก็คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้าบางๆ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีการคลุมศีรษะแต่สวมเสื้อเอวลอย..! ทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งกายที่ผิดหลักศาสนา และทำให้คนต่างศาสนิกมีความเข้าใจเรื่องการแต่งกายของมุสลิมแบบผิดๆไปด้วย ในสังคมปัจจุบันได้มีมุมมองที่แสนจะไร้เหตุผลว่า การที่ให้สตรีคลุมผมคลุมหน้าและแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นการกดขี่สตรี! หรือเป็นการปิดกั้นสิทธิของสตรี! ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ขัดกับความเป็นจริงและสามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็รู้ดีว่าสตรีที่มีเกียรติคือคนที่รักนวลสงวนตัว มีกิริยาที่สุภาพและมีการแต่งกายที่เรียบร้อย ดังนั้นการปกปิดเรือนร่างของสตรีก็เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายของสตรีนั้นมีเกียรติ เป็นสิ่งพึงสงวนปกป้องปกปิดแม้จะเป็นแค่สายตาก็ตาม ส่วนผู้ชายคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการกดขี่สตรีนั้นถือว่าเขาพูดโกหก! เพราะจริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมองของเขามากกว่า! และสตรีคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการปิดกั้นสิทธิสตรี จริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นสิทธิในการทำชั่วนะครับ เพราะการที่เราเปิดส่วนพึงสงวนนั้นก็เท่ากับว่าเราไปเย้ายวนให้ผู้ชายนั้นเกิดตัณหา และสิ่งเหล่านี้ตามตรรกะเหตุผลแล้วไม่ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะตราบใดที่มันไปกระทบสายตาผู้อื่นนั่นก็ถือว่ามันเป็นสิทธิของผู้รับภาพนั้นด้วย ก็เหมือนกับคุณเปิดเพลงฟัง ตราบใดที่เพลงนั้นมันเสียงดังหนวกหูไปถึงข้างบ้าน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิทธิของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย ดังนั้นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้วไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยว่า เรือนร่างของสตรีนั้นก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นได้ในข่าวทุกๆวันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็คือตัวสตรีเอง ซึ่งความจริงมันได้ปรากฏให้เห็นว่าประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอย่างสะอุดีย์อาระเบียนั้นในรอบปีไม่มีข่าวอาชญากรรมทางเพศเลย (รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆด้วย) เพราะกฎหมาย อิสลามมีบทลงโทษที่เด็ดขาด แต่หากมีข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นข่าวดังในรอบ 2-3 ปีของประเทศเขาเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากประเทศไทยเราที่มีข่าวเหล่านี้ปรากฏแทบทุกวัน นั่นก็เพราะการแต่งกายที่แตกต่างกันนั่นเอง และสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ประเทศสะอุดีย์อาระเบียมีความสงบสุขกว่าไทยหลายเท่า ก็เพราะกฎระเบียบในการปกครองและความเชื่อทางศาสนา อิสลามจึงได้จำกัดในเรื่องสิทธิของทั้งหญิงและชายก็เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความสันติ(ตามชื่อศาสนา) ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่มีสิทธิในการทำชั่ว มันแตกต่างจากสังคมไทยและสังคมของคนในอดีตที่จำกัดสิทธิไว้เฉพาะผู้หญิง ส่วนสำหรับผู้ชายนั้นจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับอิสลามแล้วถือว่าทำชั่วไม่ได้ทั้งสองเพศ แม้แต่การมอง ผู้ชายจะจ้องมองผู้หญิงในลักษณะชู้สาวก็ไม่ได้ ซึ่งกรณีอย่างนี้ในอัล-กุรอาน (บทอันนูรฺ โองการที่ 30)ได้สั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย ให้พวกเขาลดสายตาพวกเขาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเขาไว้” ส่วนสำหรับสตรีนั้น อัล-กุรอานได้บัญญัติว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่ส่วนที่เปิดเผยได้ และให้เธอปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก” (คำแปลบทอันนูรฺ โองการที่ 31) จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:23:59

ความคิดเห็นที่ 4 4. ทำไมต้องขลิบ? ในยุคปัจจุบันเรื่องการขลิบเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับในทางการแพทย์ว่า เป็นการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศและป้องกันการเกิดกามโรค เพราะเชื้อโรคและสิ่งสกปรกหมักหมมทั้งหมดจะเกาะตัวอยู่ในบริเวณหนังห่อหุ้มของอวัยวะเพศซึ่งทำความสะอาดได้ยาก และหนังส่วนนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆเลยเมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นมา ดังนั้นการแพทย์จึงสนับสนุนให้มีการขลิบ และในประเทศอเมริกานั้นถือเป็นธรรมเนียมหรือค่านิยมโดยทั่วไปคือการให้มีการขลิบตั้งแต่แรกเกิด นอกจากมุสลิมแล้ว ชาวยิวก็มีบทบัญญัติให้ผู้ชายขลิบเช่นกัน เนื่องจากเป็นบัญญัติที่พระเจ้าสั่งต่อโมเสส(นบีมูซา) และก็เป็นบทบัญญัติสำหรับชาวคริสต์ด้วย เพราะคำสอนของโมเสสก็ถือเป็นบัญญัติสำหรับชาวคริสต์เช่นกัน (ดูบทเยเนซิศ) และพระเยซู(นบีอีซา)ก็ขลิบด้วยเช่นกัน (ดูบทลูกา) แต่ปัจจุบันมีชาวคริสต์หลงเหลืออยู่เพียงบางนิกายเล็กๆเท่านั้น ที่ยังคงปฏิบัติตามบัญญัติเรื่องการขลิบ ท่านนบีมุฮัมมัดได้ตั้งเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ชายทุกคน ให้มีการขลิบ ส่วนการรักษาทำความสะอาดร่างกายอื่นๆตามแบบฉบับที่ท่านนบีแนะนำไว ได้แก่ การตัดเล็บ, การถอนขนรักแล้, การโกนขนอวัยวะเพศ, การขลิบหนวดและไว้เครา ส่วนการขลิบสำหรับฝ่ายหญิงนั้นไม่เป็นที่บังคับ แต่ท่านนบีมุฮัมมัดได้แนะนำว่าการขลิบ(คลิตอริส)สำหรับฝ่ายหญิงจะช่วยเพิ่มความสุขทางเพศให้แก่เธอ แต่จากข้อแนะนำตรงนี้ได้ถูกบิดเบือนออกไปเป็นประเพณีของชาวอัฟริกันเผ่าหนึ่งซึ่งนับถืออิสลาม และได้นำเรื่องการขลิบสำหรับสตรีนี้ไปทำอุตริกรรม เป็นประเพณีของพวกเขาในการรักษาพรหมจารีด้วยการขลิบและเย็บปิดอวัยวะเพศ ซึ่งพิธีกรรมนี้ไม่มีในบัญญัติของศาสนาอิสลาม จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:25:38

ความคิดเห็นที่ 5 5. ทำไมต้องละหมาด? การละหมาดเป็นบัญญัติที่พระเจ้าได้สั่งให้ผู้ศรัทธาทุกๆยุค กระทำ(ไม่ว่าจะศาสดาท่านไหนๆก็ตาม) เพื่อแสดงความเคารพรักภักดีต่อพระองค์ โดยที่ผู้ศรัทธาห้ามไปแสดงความเคารพรักภักดีต่อวัตถุ หรือมนุษย์หน้าไหน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างมนุษย์ ไม่ได้เป็นผู้ให้ชีวิตและปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์ หากแต่มนุษย์เราต่างก็นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งพ่อแม่ของเราเองก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างอสุจิ ไม่ได้เป็นผู้สร้างมดลูก ไม่ได้เป็นผู้สร้างกระบวนการตกไข่ ไม่ได้เป็นผู้สร้างกลไกการปฏิสนธิ หากแต่กลไกทางธรรมชาติเหล่านี้ถูกสร้างมาโดยพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งอภิบาลสรรพสิ่งทั้งปวง การละหมาดเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นการเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ต้องมีสื่อกลางหรือนักบวชมาคอยทำพิธีให้ นอกจากนั้นแล้วผลดีที่เกิดขึ้นนอกจากได้รับผลบุญแล้วก็คือ การละหมาดเป็นอาหารทางด้านจิตวิญญาณด้วย มนุษย์เรากินอาหารสำหรับร่างกายวันละ 3 เวลา แต่สำหรับอาหารของจิตวิญญาณบางคนไม่มีเลย เขาจึงเป็นคนที่จิตใจไม่สะอาด หรือมีจิตใจที่อ่อนแอ(เป็นลักษณะหนึ่งของผู้ที่ไม่ศรัทธา) ซึ่งสำหรับมุสลิมแล้วถูกกำหนดให้ละหมาด เป็นข้อบังคับวันละ 5 เวลา ส่วนนอกจากนี้แล้วก็สามารถละหมาดได้เนื่องในสถานการณ์ต่างๆ(ตามที่ท่านนบีได้ทิ้งแบบฉบับไว้) แต่ไม่เป็นที่บังคับ การละหมาดยังเป็นการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาศีลธรรมตนเอง ให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำสิ่งลามกและความชั่ว” (บทอัลอังกะบูต โองการที่ 45) ดังนั้นใครที่ละหมาดด้วยความศรัทธา และความรักต่อพระเจ้า(ไม่ใช่สักแต่ละหมาดไปตามประเพณี) เขาก็จะได้รับการขัดเกลาทางศีลธรรมให้พ้นจากการมีจิตใจที่ชั่วช้า จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:27:05

ความคิดเห็นที่ 6 6. ทำไมต้องถือศีลอด? มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ก็ตรงนี้แหละครับ เมื่อสัตว์มันหิวมันก็กิน เมื่อมันง่วงมันก็นอน เมื่อมีอารมณ์ทางเพศมันก็ผสมพันธุ์ แต่มนุษย์เราใช่ว่าจะกินได้เมื่อหิว จะทำอะไรทำเมื่ออยาก เพราะมันต้องดูด้วยว่าทำได้หรือไม่? ถูกหรือผิด? การถือศีลอดจึงเป็นการฝึกหักห้ามใจ การถือศีลอดไม่ได้มีแต่เพียงการฝึกอดอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการงดเว้นการกระทำอื่นๆบางประการอีกด้วย ฉะนั้นการถือศีลอดจึงเป็นการฝึกให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ ให้รู้จักควบคุมตนเองว่าห้ามกินทั้งๆที่หิว สามีภรรยาห้ามร่วมประเวณีกันในเวลากลางวัน(ขณะถือศีลอด) ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ให้โกรธ ให้รู้จักควบคุมคำพูดไม่ให้พูดไร้สาระ ไม่นินทาว่าร้ายคน ถ้าหากเราระงับการนินทาว่าร้ายไม่ได้ การอดอาหารนั้นก็แทบจะเป็นการหิวฟรี! ไม่ได้บุญอะไร การถือศีลอดเป็นแบบทดสอบความศรัทธาอย่างหนึ่ง มนุษย์ที่ไม่มีศรัทธาเขาก็ไม่รู้ว่าจะอดไปเพื่ออะไร แต่สำหรับผู้ศรัทธาเขาก็จะมีความยำเกรงต่อพระเจ้าและไม่กล้าประพฤติผิดระเบียบวินัยที่พระเจ้าบัญญัติไว้ โดยมีการอดอาหารเป็นตัวควบคุมจิตใจและเตือนสติว่ากำลังถือศีลอยู่นะ.. อย่าทำผิดนะ.. พระผู้เป็นเจ้าได้บัญญัติให้มีข้อบังคับสำหรับมุสลิมคือ ให้ถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอนในทุกปีสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่คนชรา ไม่ใช่คนป่วยหรือคนท้อง ส่วนการถือศีลอดนอกเหนือจากเดือนรอมฎอนนั้นก็สามารถกระทำได้ตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัดแต่ไม่เป็นข้อบังคับ การที่มุสลิมถือศีลอดบ่อยๆ นอกเหนือจากเดือนรอมฎอนนั้นเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นการฝึกควบคุมพฤติกรรมให้พ้นจากความลามกและความชั่วช้าต่างๆ ซึ่งเมื่อมีการฝึกควบคุมร่างกายและจิตใจบ่อยๆก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่สามารถควบคุมความคิดและการกระทำของตนเองได้ อิสลามไม่มีการแยกสงฆ์ออกจากฆราวาส มุสลิมเป็นทั้งสงฆ์ทั้งฆราวาสในคนๆเดียว จะถือศีลหรือบำเพ็ญตนก็ไม่ต้องปลีกตัวออกจากทางโลกไปอยู่ป่า หรืออยู่ในศาสนสถานอย่างเดียว หรือจะฝึกควบคุมจิตใจก็ไม่ต้องไปใช้วิธีทรมานกาย หรือจะอดข้าวอดอาหารก็ไม่ใช้เวลาสั้นเกินไป และก็ไม่ยาวนานจนเกินไปจนทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมุสลิมจะใช้เวลาอดอาหารตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงดวงอาทิตย์ตก ก็ประมาณ 12 ชั่วโมงถูกต้องตามหลักการแพทย์พอดี นอกจากนั้นแล้วผลพลอยได้ก็คือ การถือศีลอดนั้นเป็นผลดีต่อสุขภาพกายและจิตด้วย จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:28:58

ความคิดเห็นที่ 7 7. ทำไมต้องให้คนไปเหยียบกันตายที่เมกกะ? คงไม่มีใครตั้งใจจะไปตายหรอกนะครับ แต่เรื่องของอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งแล้วการไปประกอบศาสนกิจที่มีผู้คนเป็นจำนวนมากจากทั่วโลกก็ย่อมเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายถ้าเจ้าหน้าที่ไม่จัดระเบียบให้ดี แต่อย่างไรก็ตามการไปประกอบพิธีฮัจญ์นั้นไม่ได้น่ากลัวและไม่ได้เสี่ยงอันตรายอย่างที่สื่อตะวันตกได้สร้างภาพลบให้ สถิติเหตุการณ์คนตายจากการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นมีน้อยมากหากเทียบกับอุบัติเหตุอื่นๆ ที่เกิดจากกิจกรรมสนุกสนานไร้สาระของมนุษย์ อย่างประเทศไทยเราที่มีเทศกาลปีใหม่, สงกรานต์, ลอยกระทง ซึ่งนอกจากจะเป็นเทศกาลรื่นเริงแล้วยังเป็นเทศกาลแห่งความตายก็ว่าได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีใครนำเสนอในเชิงคัดค้านว่าจะมายกเลิกไม่ให้มีเทศกาลเหล่านี้ แต่ทีเวลาคนไปทำฮัจญ์แล้วตาย กลับนำเสนอข่าวในเชิงไม่สนับสนุนให้มีพิธีกรรมทางศาสนาแบบนี้! เราลองมาคิดดูด้วยสามัญสำนึกว่า การตายในสถานการณ์ไหนประเสริฐกว่า? บางคนตายในระหว่างกิจกรรมชั่วช้าลามก ..บางคนตายในระหว่างกิจกรรมรื่นเริงไร้สาระ ..บางคนตายในหน้าที่อาชีพการงาน ..บางคนตายในสมรภูมิ ..บางคนตายในขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา .. ซึ่งสำหรับศาสนาอิสลามแล้วถือว่าการตายที่มุสลิมพึงพอใจมากที่สุดคือการตายในหนทางของศาสนา และที่มุสลิมไม่พึงประสงค์เลยคือการตายในสภาพที่ทำชั่วหรือทำกิจกรรมไร้สาระ ..ตรงนี้ผมคงไม่ต้องมานั่งเลือกให้คุณนะครับว่าจะเอาแบบไหนดี เพราะสามัญสำนึกของมนุษย์แล้วมันรู้อยู่แก่ใจครับว่าอะไรดีอะไรไม่ดี การทำฮัจญ์นั้นก็เป็นบทบัญญัติหนึ่งซึ่งมุสลิมมีหน้าที่ต้องกระทำ ถ้ามีความสามารถไปได้ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้งในชีวิตต้องไปทำฮัจญ์ที่นครมักกะฮฺ(หรือที่ชาวตะวันตกเรียกเมกกะ) มันเป็นการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระเจ้าในดินแดนอันเป็นบ้านเกิดของท่านนบีมุฮัมมัด เป็นจุดศูนย์รวมของชาวมุสลิมทั่วโลก เป็นพิธีกรรมที่ทุกๆศาสดาในอดีตที่พระเจ้าส่งมาได้เคยกระทำ และที่สำคัญอีกประการคือการทำฮัจญ์นั้นเป็นการแสดงถึงความสามัคคีและความเสมอภาคของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นพ่อค้า หรือจะเป็นยาจกเร่ร่อน แต่ในที่นั้นคุณทำอะไรก็ต้องทำเหมือนๆกันและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน การทำฮัจญ์เป็นการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวของชาวมุสลิม เพราะไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติไหนภาษาไหนก็ตาม ต่างก็มารวมตัวกันแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้าร่วมกัน จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:31:03

ความคิดเห็นที่ 8 8. ทำไมต้องกราบกะบะฮฺ? ชาวต่างศาสนิกเองมีความสับสนก่อนที่จะถามคำถามนี้ ในเรื่องของหินดำกับกะบะฮฺ เพราะเขาได้ยินทั้งคำว่า “หินดำ” ได้ยินทั้งคำว่า “กะบะฮฺ” แล้วก็คิดว่ามันเป็นอันเดียวกัน ดังนั้นบางคนจึงตั้งคำถามว่ามุสลิมไม่เคารพรูปปั้นแต่ทำไมดันกราบหินดำ? ในขณะที่บางคนถามว่าทำไมต้องกราบกะบะฮฺ? แต่จริงๆแล้วมันคนละอันกันครับ กะบะฮฺนั้นเป็นอาคารที่สร้างโดยมะลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่าAngel) ซึ่งสร้างตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ต้องการให้มี“บ้านแห่งพระเจ้า”(บัยตุลลอฮฺ) เพื่อไว้ให้มนุษย์รำลึกถึงพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคนบีอาดัมมนุษย์คนแรกของโลก และพังไปในยุคที่น้ำท่วมโลก หลังจากนั้นก็ได้ถูกสร้างใหม่โดยนบีอิบรอฮีม(อับราฮาม) เนื่องจากมุสลิมนั้นจะไม่ปั้นรูปใดๆขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า อาคารหลังนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อรำลึกถึงพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกราบไหว้บูชาแต่อย่างใด อาคารกะบะฮฺนี้ได้ถูกตบแต่งประดับประดาเรื่อยมาในยุคของท่านนบีมุฮัมมัดและหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป(จนปัจจุบันเราเห็นมีผ้าสวยๆคลุมอยู่) และสำหรับเหตุการณ์ที่นบีอิบรอฮีมสร้างบ้านแห่งพระเจ้าหลังนี้ก็ถูกเล่าไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่นกัน แต่ชาวคริสต์โดยมากไม่รู้ว่าเป็นอาคารกะบะฮฺหลังนี้ .. จากที่กล่าวมานี้เราคงทราบกันแล้วว่ากะบะฮฺนั้นเป็นแค่อาคาร จึงตัดประเด็นออกไปได้เลยว่ามุสลิมจะกราบกะบะฮฺนี้ เพียงแต่จากภาพที่เห็นมุสลิมละหมาดนั้นจะมีการก้มกราบไปในทิศทางของกะบะฮฺและหินดำ.. หินดำนั้นวางอยู่ที่มุมหนึ่งของอาคารกะบะฮฺ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกำลังกราบอยู่ เพียงแต่ตำแหน่งมันอยู่บนจุดที่มุสลิมหันหน้าก้มกราบไปทางนั้น แล้วจุดนั้นมันคืออะไร? ..มันก็คือจุดที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เป็นทิศทางในการผินหน้าสำหรับมุสลิมในขณะละหมาดหรือขอวิงวอน ในเมื่ออิสลามห้ามสร้างวัตถุขึ้นมากราบไหว้แทนพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงให้มุสลิมผินหน้าไปทางจุดที่ถูกกำหนดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการกราบ หรือการละหมาด หรือการขอวิงวอน ซึ่งเราเรียกว่าทิศ“กิบลัต” และจุดๆนั้นเองเมื่อลองกางแผนที่ดูแล้วก็จะพบว่ามันช่างเหมาะเหลือเกินที่จะเรียกว่า จุดศูนย์กลางของโลก ดังนั้นไม่ว่ามุสลิมจะอยู่ส่วนใดของโลกก็ตาม เวลาละหมาดเขาก็จะหันหน้าไปยังจุดนี้แหละครับ Credit: www.mureed.com แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 54 14:42:17 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:33:40

ความคิดเห็นที่ 9 ทุกคนคงได้ความกระจ่างพอสมควรจาก จขกท. ขอบคุณสำหรับความจริงที่ทุกคนอยากทราบจากผู้เชื่ออิสลามโดยตรง..  ขอเรียนรู้เพิ่มอีกสักสองข้อ.... 1) ในพระบัญญัติห้ามกิน/รับเข้าร่างกาย นั้น ในข้อ 2 บ่งชี้ 'เลือด'รวมอยู่ด้วย              ถาม:      -ศาสนาอิสลามทั้งรับและบริจาคเลือดหรือไม่       *ขยายความ*  -รับเลือดไม่ว่าจะโดยการดื่ม/กิน/ทางเส้นเลือด                              -และ/หรือบริจาคเลือดของเราเองให้ผู้อื่นได้หรือไม่? 2) หินดำที่ว่านั้น มีประวัติอย่างไร  ผมไม่เคยเห็นรูปถ่ายไม่ว่าในวารสารใดๆ  พอจะให้ข้อมูลได้ไหม  แต่ถ้าเป็นกฎข้อห้ามในเรื่องรูปเคารพ/ไม่มีการเปิดเผย ก็ต้องขออภัยมาล่วงหน้า จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:32:25

ความคิดเห็นที่ 10 คคหท 8 กะบะฮฺนั้นเป็นอาคารที่สร้างโดยมลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่าAngel) ซึ่งสร้างตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ต้องการให้มี“บ้านแห่งพระเจ้า”(บัยตุลลอฮฺ) เพื่อไว้ให้มนุษย์รำลึกถึงพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคนบีอาดัมมนุษย์คนแรกของโลก และพังไปในยุคที่น้ำท่วมโลก หลังจากนั้นก็ได้ถูกสร้างใหม่โดยนบีอิบรอฮีม(อับราฮาม) เนื่องจากมุสลิมนั้นจะไม่ปั้นรูปใดๆขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า อาคารหลังนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อรำลึกถึงพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกราบไหว้บูชาแต่อย่างใด ผมมีข้อมูลในคัมภีร์ไบเบิลลองพิจารณาศึกษาดู  ผมว่าน่าจะแบบเดียวกัน........... Tabernacle and Temples  พลับพลา  จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:52:35

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อความถัดไปครับ.... จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:53:52

ความคิดเห็นที่ 12 แบบแปลนครับ....... จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:54:51

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ : Ms.Kohlanta เรื่องที่เค้าว่า '' มุสลิมกลัวหมู '' มีที่มาจากพวกมุสลิมบางพวกในเมืองใหญ่ๆ ในเมืองไทยสมัยก่อน เวลาพวกเค้าเห็นสุกรหรือซากสุกรในตลาด มักแสดงอาการหวาดกลัวและสอนลูกหลานให้รังเกียจเนื้อสุกร จนต่างศาสนิกเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันว่า ''แขกกลัวหมู'' จนกลายเป็นมุขตลกมุขหนึ่งไปเลย สมัยเรียนประถมโดนแกล้งเพื่อนเอาหมูย่างมาหยอก เราก็หยิบจากมือมันมโยนให้สุนัขใน ร.ร.กิน เลยโดนเพื่อนรุมว่า ว่า ''ไอ้ลวงโลก นายไม่ใช้อิสลามจริงนี้หว่า นายแค่ไม่ชอบกินหมู '' ผมต่างกับเด็กมุสลิมในร.ร.มาก เพราะที่บ้านไม่ได้สอนให้กลัวแค่ห้ามกิน พวกเด็กมุสลิมเค้าจะวิ่งร้องให้ไปฟ้องครู ปัจจุบันด้วยการที่มีครูสอนศาสนามาสอนที่ชุมชนเรื่องแบบนี้ก็ไม่มี ที่เล่านี้นานมากแล้วยี่สิบปีก่อนเห็นจะใด้ จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 16:04:23

ความคิดเห็นที่ 14 เอาข้อมูลแบบละเอียดไปแล้วกันนะคะ จากท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "หินดำถูกประทานลงมาจากสวรรค์ ซึ่งความขาว (ของหินดำนั้น), ขาวยิ่งกว่า (ความขาวของ) น้ำนมเสียอีก, (แต่ที่เปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจาก) ความผิดต่างๆ ของลูกหลานอาดัมทำให้หินดำนั้นเป็นสีดำ" บันทึกโดยติรฺมิซีย์ ...ซึ่งจากบันทึกประวัติศาสตร์ เข้าใจได้ว่า หินเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะ การที่ชาวอาหรับในสมัยก่อนนั้นชอบนำสัตว์ไปเชือดบูชายัญบนหิน และเอาเลือดสัตว์ชโลมลงบนหิน พอนานเข้าหินจึงมีสีดำ ถ้าอ้างอิงหลักฐานจากกุรอาน จะพบว่า หินดำนั้นเป็นเครื่องหมายกำหนดตำแหน่งการสร้างวิหารกะบะห์(วิหารทรงลูกบาศก์ อยู่ตรงกลางมัสยิดอัล -ฮะรอม) ในสมัยท่านนบีอาดัม...ต่อมาในสมัยนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) หินดำก็มีส่วนในช่วยในการบูรณะวิหารกะบะห์ เนื่องจากมีหลักฐานว่า หินดำลอยจากพื้นได้ และท่านนบีอิบรอฮีมก็ขึ้นไปเหยียบบนหินนั้น เพื่อบูรณะวิหาร ...ในช่วงเวลาต่อมาแห่งการตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับ หินดำถูกถือเสมือนว่าเป็น สมบัติของแผ่นดิน (คล้ายตราประทับแผ่นดิน) คืออาหรับเผ่าไหนได้ครอบครอง ก็ถือว่าเผ่านั้นมีอำนาจในการปกครอง และเป็นเผ่าที่มีเกียรติ หินดำจึงกลายเป็นศักดิ์ศรี และเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจแห่งการปกครองคาบสมุทรอารเบีย ในต้นศตวรรษที่ 7 เกิดไฟไหม้วิหารกะบะห์ทำความเสียหายให้ตัววิหารเป็นอันมาก อาหรับแต่ละเผ่าจึงพร้อมใจกันบูรณะวิหารใหม่จนเสร็จเรียบร้อย แต่ปัญหาคือ ใครจะเป็นผู้ได้รับเกียรติให้ยกหินดำกลับไปไว้ที่เดิม...จากความขัดแย้งนี้ ได้ส่งผลให้เกิดข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นชอบคือ ให้ท่านนบีมูฮัมมัด(ศ.ล.) เป็นผู้ยกกลับไปไว้ที่เดิม เนื่องจากในตอนนั้นท่านยังไม่ได้เผยแพร่ศาสนาอิสลาม ประกอบกับเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากทุกฝ่ายว่าเป็นคนมีคุณธรรมและเป็นกลางที่สุด ...ต่อมาเมื่อท่านนบี ประกาศศาสนาแล้ว จนกระทั่งพิชิตเมกกะฮ์ได้ ท่านก็ได้ทำความสะอาดและปรับปรุงวิหารให้กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยอีกครั้ง หินดำก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม...ในปี ค.ศ.682 เกิดความขัดแย้งในคาบสมุทรอาหรับ มีการกรีฑาทัพเข้าตีนครเมกกะฮ์จนวิหารได้รับความเสียหายอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มีผลทำให้หินดำแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ประชาชนได้ทำการซ่อมแซมหินดำหลังจากสงครามจบลง โดยนำลวดเงินมารัดไว้ ...หินดำในปัจจุบันจึงมีสภาพที่เหมือนนำเศษหินมาประติดประต่อกัน และรัดไว้ด้วยวงแวนเงิน ถูกวางไว้มุมผนัง อยู่เหนือพื้นดินประมาณ 3 ฟุต จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 16:29:47

ความคิดเห็นที่ 15 รูปหินดำ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 16:31:26

ความคิดเห็นที่ 16 หาข้อมูลทางวิชาการมาให้ค่ะ ส่วนการบริจาคเลือด  หากเป็นการช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่งให้รอดพ้นจากความตายหรือการเจ็บป่วย  และบรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การรับรองว่า  การบริจาคเลือดนั้นไม่เป็นโทษแก่ผู้บริจาค  ไม่มีผลกระทบต่อชีวิต  สุขภาพของร่างกาย  และต่อการทำงาน  ก็ถือว่าไม่มีข้อห้ามใด ๆ ที่จะผ่อนปรนให้ทำการบริจาค  เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นถือเป็นสิ่งที่อนุญาตตามหลักของศาสนาเนื่องจากเป็นการเสียสละช่วยชีวิตผู้อื่น   ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ อะลี ญุมอะฮ์  มุฟตี แห่งประเทศอียิปต์ ได้วางเงื่อนไขการบริจาคเลือดไว้  ดังต่อไปนี้ 1. ต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดขณะที่ทำการบริจาค  เช่น  มีบุคคลบางส่วนมีความต้องการปริมาณของเลือดอย่างยิ่งยวดเพื่อกอบกู้ชีวิตของพวกเขาจากความเสียหายและความตาย  เช่น  เกิดจากอุบัติเหตุหรือเพื่อการผ่าตัด  เป็นต้น 2. การบริจาคเลือดต้องมีผลประโยชน์ที่แน่ชัดตามทัศนะของแพทย์และต้องไม่เกิดโทษแก่ผู้ที่บริจาค 3. การบริจาคเลือดต้องไม่ทำให้เกิดโทษต่อผู้บริจาค  ไม่ว่าจะเกิดโทษต่อร่างกายโดยรวมหรือว่าบางส่วนก็ตาม  หรือต้องไม่ทำให้ลดหย่อนสมถภาพในการดำเนินชีวิตทั้งด้านวัตถุและจิตใจ  หรือต้องไม่มีผลกระทบในเชิงลบต่อผู้บริจาคทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยการยืนยันที่แน่นอนทางการแพทย์ 4. ต้องแน่ชัดว่าจากการตรวจสอบทางการแพทย์ว่า  เลือดต้องไม่ติดโรคหรือทำให้เกิดโทษต่อมนุษย์คนอื่น   5. ผู้บริจาคเลือดต้องมีคุณสมบัติพร้อม  คือ  ต้องบรรลุศาสนภาวะ  มีสติปัญญาสมบูรณ์  เมื่อบริจาคได้ ย่อมรับเลือดได้เหมือนกัน โดยปริยาย จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 16:40:18

ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้นี้ดีนะครับ แสดงหลักการของศาสนา ได้เข้าใจ ขอถามนะครับ ขออภัยด้วย ถ้าใช้คำเรียกต่างๆ ไม่ตรงตามศาสนา 1. จากเรื่องที่เคยได้ยินมานะครับ อิสลามมีหลักการ เช่นไรครับในเรื่อง ... - การที่ต้องอยู่ร่วม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับ รูปเคารพ เช่นพระพุทธรูป กรณี เช่น ต้องเดินเข้าซอย (เป็นที่ของวัด) แล้วมีโค้งที่มีพระพุทธรูปอยู่ด้านบน หรือ - ใน office ที่ำทำงาน (ในชั้นชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ในห้องทำงานส่วนตัว) จะมีพระพุทธรูป วางเป็นโต๊ะประจำเป็นปกติอยู่แล้ว  แต่พอ มีหัวหน้างาน ที่เป็นอิสลาม เข้ามาทำงานใหม่ ท่านให้สั่งเอาพระพุทธรูปออกจาก office โดยที่ ลูกน้อง ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแต่อย่างใด เพราะเป็นสถานที่ทำงานแบบราชการ เช่นนี้แล้ว ตามหลักการของอิสลาม จะมีท่าทีเช่นไรครับ 2. พระภิกษุ ในศาสนาพุทธ  หรือบาทหลวง ในคริสต์ สามารถที่จะเข้าไปชม หรือสนทนา กับเพื่อนมุสลิม ในมัสยิด ได้หรือไม่ครับ? - รวมไปถึง เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ กับพระสงฆ์ หรือบาทหลวง เช่น มีอาจารย์มุสลิม ท่านหนึ่ง พอเจอพระสงฆ์ หรือบาทหลวง ก็ยกมือไหว้ เพราะนับถือ เป็นอาจารย์ด้วยกัน  เช่นนี้แล้ว ข้อบัญญัติในเรื่อง นักบวชตรงนี้เป็นเช่นไรครับ? ขอบคุณมากครับ  หากเราเข้าใจหลัก เราก็จะขัดแย้งกันน้อยลง แต่ทั้งนี้ เรื่องของ น้ำใจ หรือ ความเป็นปัจเจก ก็ต้องเคารพ ด้วยเช่นกัน  จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 17:11:15

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าโดยส่วนตัวแล้วคิดว่า ข้อ 1 - การที่ต้องอยู่ร่วม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับ รูปเคารพ เช่นพระพุทธรูป กรณี เช่น ต้องเดินเข้าซอย (เป็นที่ของวัด) แล้วมีโค้งที่มีพระพุทธรูปอยู่ด้านบน อันนี้ก็อย่างที่ทราบนะคะ เราคงทำความเคารพ หรือ กราบไหว้พระพุทธรูปไม่ได้อยู่แล้ว หากต้องเดินเข้าซอย คงไม่ต้องแสดงความเคารพโดยการยกมือไหว้แต่อย่างใดค่ะ คือ เดินผ่านไปเฉยๆค่ะ -ใน office ที่ำทำงาน (ในชั้นชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ในห้องทำงานส่วนตัว) จะมีพระพุทธรูป วางเป็นโต๊ะประจำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พอ มีหัวหน้างาน ที่เป็นอิสลาม เข้ามาทำงานใหม่ ท่านให้สั่งเอาพระพุทธรูปออกจาก officeโดยที่ ลูกน้อง ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแต่อย่างใด เพราะเป็นสถานที่ทำงานแบบราชการ ถ้าโดยความรู้สึกส่วนตัวคิดว่า การกระทำดังกล่าวนี้ออกจะไม่สมเหตุ สมผล เพราะถ้าดูถึงหลักความจริงแล้ว สถานที่ทำงานไม่ใช่ของเรา เราอยู่ในสถานที่เป็นส่วนรวมนะ  ก็ไม่ควรที่จะกระทำแบบนั้นได้ แต่ถ้าเป็นห้องทำงานส่วนตัว อันนี้น่าจะสามารถกระทำได้ค่ะ และถ้าหากว่ามุสลิมท่านนั้น ต้องทำการละหมาดในห้องทำงานส่วนตัวด้วยละก็ คงจำเป็นต้องเอาออกค่ะ ข้อ2 - พระภิกษุ ในศาสนาพุทธ  หรือบาทหลวง ในคริสต์ สามารถที่จะเข้าไปชม หรือสนทนา กับเพื่อนมุสลิม ในมัสยิด ได้หรือไม่ครับ? กรณีนี้สามารถกระทำได้ค่ะ ไม่ปรากฎหลักฐานการห้าม ต่างศาสนิกเข้าแต่อย่างใด ถ้าหากกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นไปในรูปแบบการเข้าไปทำพิธีกรรม คือ แค่เข้าไปเยี่ยมชมสถานที่เฉยๆ - รวมไปถึง เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ กับพระสงฆ์ หรือบาทหลวง เช่น มีอาจารย์มุสลิม ท่านหนึ่ง พอเจอพระสงฆ์ หรือบาทหลวง ก็ยกมือไหว้ เพราะนับถือ เป็นอาจารย์ด้วยกัน  เช่นนี้แล้ว ข้อบัญญัติในเรื่อง นักบวชตรงนี้เป็นเช่นไรครับ? ตรงข้อมูลส่วนนี้ขออ้างอิงคำตอบของผู้รู้มาตอบค่ะ อันนี้เป็นคำตอบ แบบ ภาพรวมค่ะ ดังนี้ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการ “ยกมือไหว้” ก่อนนะครับ ประเด็นแรก “การยกมือไหว้” นั้นผมยังไม่พบนักวิชาการท่านไหนระบุ หรือฟัตวาว่า ผิดหลักการของศาสนา เมื่อไม่พบว่ามีบุคคลใดระบุว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เช่นนั้นยังอนุญาต ให้มุสลิมกระทำได้ครับ ประเด็นที่สอง “การยกมือไหว้” ผู้คนทั่วไปนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น เมื่อไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่นนี้การยกมือไหว้ของมุสลิมต่อคนที่ไม่ใช่มุสลิม อนุญาตให้กระทำได้ครับ ประเด็นที่สาม หาก “การยกมือไหว้” ยกมือไหว้พระภิกษุ ,เณร หรือบุคคลที่เป็นตัวแทนของศาสนา หรือรูปปั้นรูปเจว็ดเช่นนี้ถือว่า มุสลิมห้ามกระทำนะครับ เพราะการยกมือไหว้พระภิกษุ และสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นเรื่องของศาสนานั่นเอง ประเด็นที่สี่ หาก “การยกมือไหว้” พร้อมกับก้มเท่ากับท่าทางของการรูกูอฺ เช่นนั้นถือว่าไม่อนุญาตให้กระทำ เพราะการก้มเท่ากับท่าทางรูกูอฺในนมาซถือว่ากระทำเทียบเท่ากับการอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ ข้างต้นถือว่าต้องห้ามเช่นกันนะครับ และจากคำถามที่ว่า อยากทราบว่ามุสลิมสวัสดีพระสงฆ์ที่เป็นคน ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโส เป็นครู ไม่ใช่ไหว้ในฐานะที่เขาเป็นพระจะทำได้หรือไม่ (การเรียนและการศึกษา) คำตอบ การที่มุสลิมยกมือสวัสดีให้แก่พระสงฆ์นั้น ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำนะครับ แม้ว่าก่อนที่เขาจะเป็นพระเขาจะเป็นครู หรือผู้มีบุญคุณกับเราก็ตาม สาเหตุที่ห้ามเพราะ 1. การที่เรายกมือสวัสดีบุคคลทั่วไปนั้น เขาก็จะตอบรับการสวัสดีด้วยการยกมือสวัสดีเราแทน แต่พระไม่ใช่ ฉะนั้นพระก็เปรียบเสมือนบุคคลที่ถูกเคารพภักดี หรือถูกอุปโลกน์ให้เป็นสิ่งที่ถูกเคารพภักดี เช่นนี้เป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดทางศาสนาที่จะเคารพภักดีสิ่งที่ถูกทำให้เคารพภักดีนั่นเอง 2. โปรดสังเกตเวลาพ่อแม่ไปพบลูกของตนเองบวชเณร หรือเป็นพระ พ่อแม่จะยกมือไหว้ลูก สาเหตุเขาอ้างว่า ที่เขาไหว้ไม่ใช่ไหว้ลูก (ซึ่งลูกอาวุโสน้อยกว่า) แต่เขาไหว้ผ้าเหลือง ฉะนั้นการที่อ้างว่า เราไหว้พระเพราะเขาเป็นครูของเรา หรือเป็นผู้อาวุโสของเรานั้นจึงไม่ใช่ประเด็น เพราะนั่นเรามิได้ไหว้ครูของเรา แต่เรากลับไปผ้าเหลือง ซึ่งตามหลักการถือว่าไม่อนุญาตเช่นกัน 3. พระสงฆ์เป็นตัวแทนของศาสนาพุทธ ซึ่งการเคารพตัวแทนศาสนาอื่น ไม่เป็นที่อนุญาตในหลักการศาสนาอยู่แล้ว 4. การยกมือไหว้พระนั้น จะมีกฎเกณฑ์เฉพาะ กล่าวคือ การไหว้พระสงฆ์หรือพระพุทธรูป และพิธีกรรมในการไหว้ครู รวมถึงวิธีการตั้งจิตอธิฐาน คือการประกบฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นจรดปลายคาง หรือวางที่ตำแหน่งหน้าอก (จะมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นองค์ประกอบการไหว้หรือไม่ก็ตาม) ซึ่งการไหว้เช่นนี้เป็นประเพณีและวิธีการทางศาสนา, ส่วนการแสดงความเคารพผู้ใหญ่ หรือผู้ที่อวุโสกว่า ด้วยการประกบฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นจรดหน้าผาก หรือระหว่างคิ้วแล้วก้มศรีษะเล็กน้อย สำหรับผู้แสดงความเคารพที่เป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะประกบฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นจรดปลายจมูกพร้อมทั้งก้มศรีษะเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้น การยกมือไหว้พระจึงไม่ใช่เป็นการทักทายบุคคลทั่วไป แต่เป็นกฎเกณฑ์ และเป็นคำสอนของทางศาสนาพุทธ เมื่อเป็นคำสอนของศาสนามุสลิมห้ามปฏิบัติตามอยู่แล้วนั่นเอง. ดังนั้นอยากให้เพื่อนต่างศาสนิกเข้าใจในหลักกาปฏิบัติตามหลักศาสนาบัญญัติ ด้วยเช่นกัน เพราะ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีกฏระเบียบ แบบแผนที่เคร่งครัด และระมัดระวังเป็นอย่างมากในเรื่องการทำชิริก(การยกสิ่งใดๆเทียบเท่าอัลลอฮ์ หรือ การเคารพบูชาสิ่งอื่นเช่นเดียวกับการเคารพภักดีอัลลอฮ์) ไม่ได้เด็ดขาด เพราะมุสลิมจะยกพระเจ้าเป็นสิ่งที่สูงสุด ค่ะ ข้อมูลข้างบนที่ให้ไปหากมีอะไรผิดพลาด มุสลิมท่านอื่นสามารถ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 54 22:24:31 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 19:58:05

ความคิดเห็นที่ 19 ครับ คำถามต่อเนื่อง  จาก: คคหท 14.... ถ้าอ้างอิงหลักฐานจากกุรอาน จะพบว่า หินดำนั้นเป็นเครื่องหมายกำหนดตำแหน่งการสร้างวิหารกะบะห์(วิหารทรงลูกบาศก์ อยู่ตรงกลางมัสยิดอัล -ฮะรอม) ในสมัยท่านนบีอาดัม...ต่อมาในสมัยนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) หินดำก็มีส่วนในช่วยในการบูรณะวิหารกะบะห์ เนื่องจากมีหลักฐานว่า หินดำลอยจากพื้นได้ และท่านนบีอิบรอฮีมก็ขึ้นไปเหยียบบนหินนั้น เพื่อบูรณะวิหาร ถาม:แสดงว่าหินดำมีมาตั้งแต่สมัยอาดาม  ถูกใช้เพื่อกำหนดตำแหน่งการสร้างวิหาร   1)เนื่องจากคงมีการสร้างวิหารมาตลอดยุคตั้งแต่อาดามหลายหลังจากการย้ายถิ่น  ดังนั้น หากสร้างวิหารใหม่  ยังคงใช้หินดำก้อนเดิม  หรือได้หินดำก้อนใหม่อีกครับ? 2)เรื่องหินดำมีประวัติในคัมภีร์ไบเบิลไหม? ตอนไหน? ****************************************** ในช่วงเวลาต่อมาแห่งการตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับ หินดำถูกถือเสมือนว่าเป็น สมบัติของแผ่นดิน (คล้ายตราประทับแผ่นดิน) คืออาหรับเผ่าไหนได้ครอบครอง ก็ถือว่าเผ่านั้นมีอำนาจในการปกครอง และเป็นเผ่าที่มีเกียรติ หินดำจึงกลายเป็นศักดิ์ศรี และเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจแห่งการปกครองคาบสมุทรอารเบีย ถาม: 1) ชาวอาหรับแยกจากชาวยิวช่วงไหน? ก่อนโมเซออกจากอียิปต์หรือหลัง? 2) ถ้าหินดำมีหลายก้อน คำถามจะผ่านไป     แต่ถ้าหินดำพระเจ้าประทานให้เพียงก้อนเดียวเพื่อสร้างวิหาร หินดำควรตกอยู่ในมือชาวยิวจวบจนปัจจุบัน   แต่ไฉนจึงมีแต่ในประวัติของชาวอาหรับ? ใครเป็นผู้มอบหินดำผ่านไปยังชาวอาหรับ?   จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 22:17:45

ความคิดเห็นที่ 20 ประเด็นที่สาม หาก “การยกมือไหว้” ยกมือไหว้พระภิกษุ ,เณร หรือบุคคลที่เป็นตัวแทนของศาสนา หรือรูปปั้นรูปเจว็ดเช่นนี้ถือว่า มุสลิมห้ามกระทำนะครับ เพราะการยกมือไหว้พระภิกษุ และสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นเรื่องของศาสนานั่นเอง  1. การที่เรายกมือสวัสดีบุคคลทั่วไปนั้น เขาก็จะตอบรับการสวัสดีด้วยการยกมือสวัสดีเราแทน แต่พระไม่ใช่ ฉะนั้นพระก็เปรียบเสมือนบุคคลที่ถูกเคารพภักดี หรือถูกอุปโลกน์ให้เป็นสิ่งที่ถูกเคารพภักดี เช่นนี้เป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดทางศาสนาที่จะเคารพภักดีสิ่งที่ถูกทำให้เคารพภักดีนั่นเอง  ******************************* นี่เป็นคำตอบ ที่อิงหลักการ และการวิเคราะห์่ว่า ทำได้หรือไม่ได้ ที่เยี่ยมมากนะครับ  ผมชอบหลักการที่มีเหตุผลเช่นนี้ ซึ่งที่ถามนี่คือ พระอาจารย์ผมได้ไปพบกับเพื่อนท่านเป็น อาจารย์มุสลิม พอเจอกัน อาจารย์มุสลิมก็ไหว้ พระอาจารย์ผม ผมก็ตกใจถามท่านว่า อ.แล้วเค้าไหว้ อ.ได้เหรอ พระอาจารย์ก็บอกว่า เค้าไหว้เพราะผมเป็นอาจารย์เค้าอีกที  (เป็นความเคารพในฐานะผู้ที่มีความรู้  ไม่ใ่ช่อาจารย์สอนธรรมแต่อย่างใดนะครับ) ซึ่งตรงนี้ หาก อ.มุสลิมท่านนั้น จะไม่ไหว้ พระอาจารย์ของผม ผมก็ยังรู้สึกว่า เป็นเรื่องปกติ ที่ทำได้อยู่แล้ว  แต่นี่ก็ยังไหว้ด้วย ปฏิสัมพันธ์การทักทายก็ตาม  ผมกลับรู้สึกนับถือน้ำใจของ อ.มุสลิมท่านนั้นจริง แม้ว่า ถ้ามุสลิมด้วยกันเองจะมองว่า ถูกหรือไม่ถูกก็ตามทีครับ ส่วนข้ออื่นๆ นั้นที่ผมถาม  ได้รับคำตอบมา  ผมเคลียร์ทุกข้อครับ ขอบคุณมาก  จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 22:27:59

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท "....มุสลิมที่จะกระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งหรืออนุญาตให้กระทำ และมุสลิมจะไม่กระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งห้ามไม่ให้กระทำ...." ขอถามว่า - มุสลิมกินเนื้อคนได้ไหมครับ เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้ห้าม และเนื้อคนก็ไม่ได้สกปรก - สมมุติว่าเอาหมูตายไปฝังใต้ต้นมะม่วง ซากหมูกลายเป็นปุ๋ยและต้นมะม่วงก็ดูดซึม   ไปหล่อเลียงผลมะม่วง แล้วผลจากต้นมะม่วงนั้นกินได้หรือไม่ - สมมุติว่ามีซากหมูหล่นไปในทะเล ปลาก็มากินซากหมู แล้วจะกินปลาเหล่านั้นได้ไหม - หากมุสลิมได้ครองโลก จะกำจัดหมู, หมา, ลา ให้สูญพันธ์ไปจากโลกไหมครับ - กินแมลงได้ไหมครับ - กินกบได้ไหมครับ - กินแย้ได้ไหมครับ - มุสลิมเชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนครับ - พระเจ้าอนุญาตให้เล่น BB, Facebook, Tweeter ไหมครับ - พระเจ้าอนุญาตให้ใช้ Windows เถื่อนไหมครับ - พระเจ้าอนุญาตให้แทงหวยไหมครับ - พระเจ้าอนุญาตให้ซื้อสโมสรฟุตบอลด้วยหรอครับ - พระเจ้าสร้าง "ยุง" มาทำไมครับ จากคุณ : นกแคปหมู เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 00:13:37

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่รู้นะ ผมเจอพระที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ผมก็ ไหว้สวัสดี เหมือนไหว้ คนอาวุโสกว่า แต่ถ้าเป็นพระที่อายุน้อยกว่า ผมก็ไม่ไหว้ ไม่ได้มองเป็นเรื่องทางศาสนานะครับ อันนี้เลยไม่แน่ใจว่าอย่างไรกันแน่ ส่วนคำถามของ นกแคปหมู แนะนำไปถามที่นี่ครับ www.sunnahstudent.com ครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 01:13:52

ความคิดเห็นที่ 23 วิหาร กะบะ นั้นอยู่ดินแดนอาหรับครับ หินดำจะอยู่ที่วิหารนั้น โดยการดูแลของพวกอาหรับก็ไม่แปลก ครับ ส่วนยิวนั้น คือลูกหลานของ นบีอิสฮาก หรือไอแซค ครับ น่าจะแยกกันตั้งแต่ ท่านนบีอิสมาเอล (อิชมาแอล) กับท่านนบีอิสฮาก หรือไอแซคแล้ว และไม่ใช่ การแยกออกมาจากยิวครับ เพราะอับราฮัมไม่ใช่ยิว อับราฮัมนั้นน่าจะมาจากดินแดนแถบอิรัก น่าจะเป็นอาหรับซะมากกว่า แล้วแยกมาเป็นยิว ชั้นลูกหลานด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะถ้าให้ตอบก็คือ อาหรับกับยิว น่าจะแยกกันตั้งแต่แรกแล้ว ในสมัยลูกของท่านนบีอิบรอฮีม หรืออับราฮัมนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 01:17:42

ความคิดเห็นที่ 24 ดูผ่านๆข้อมูลเยอะมากเลยครับ  ว่างๆต้องมาอ่านอย่างจริงจังแล้วครับกระทู้นี้ จากคุณ : ScubaBall เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 03:04:31

ความคิดเห็นที่ 25 จริงๆแล้วกระทู้นี้ที่ตั้งขึ้นมาไม่ได้เผื่ออื่นใดเลยนอกจาก เห็นว่าป็นคำถามที่ส่วนใหญ่ได้ยินได้ฟังกัน จาก ชนต่างศาสนิก จขกท เลยนำความรู้เหล่านี้มาฝากกัน เพื่อให้ได้รับทราบเหตุผลและความเข้าใจกันที่ดีต่อกัน ส่วนคำถามเจตนาอื่นๆ ที่เป็นไปในเชิง  ถาม - ตอบ ปัญหาศาสนา ที่ค่อนข้างดูเหมือนจะออกนอกแนวของกระทู้ ก็ต้องขออนุญาตเรียนว่า อยากจะให้เข้าไปฝากคำถามที่เวปอิสลาม ซึ่งตรงนี้จะมีการ ให้ความรู้ในเรื่องของ บทความาและสาระต่างๆเกี่ยวกับศาสนา และ สามารถที่จะฝากคำถามในความสงสัยต่างๆได้ดีกว่า  จาก ท่าน อ. ผู้รู้ และ นัก วิชาการ จากเวปนั้นๆค่ะ เจตนาในการตั้งคำถามใดใดนั้น หากวิเคราะห์จากปัญญาแล้วสามารถรู้ได้ว่าคำถามแต่ละอย่างพยายามจะสื่อให้เห็นถึงอะไร อยากเรียนรู้จริงไหม อยากเข้าใจอิสลามจริงหรือเปล่า หรือแค่ เจตนาไปในเชิงส่อเสียด  ก็คงจะต้องขออนุญาตงดเว้น คือ จะดูที่เจตนาเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นที่อาจจะตามมาค่ะ ส่วนคำถามที่อื่นบางอย่างที่จะสามารถ ตอบได้ หรือไม่ออกจากเนื้อหากระทู้มากนัก ก็จะยินดีตอบ และหาข้อมูลมาให้ค่ะ ตอบช้าบ้าง เร็วบ้าง  ตราบเท่าที่มีเวลา อิสลามส่งเสริมให้ทำความดีต่อต่างศาสนิกค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาคิดร้าย และไม่มีอคติต่ออิสลาม พระองค์ทรงชอบให้เราทำดี และเอื้อเฝื้อค่ะ ดังอัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า لَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ "อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม" อัลมุมตะฮินะฮ์ : 8.. แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 06:28:38 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 09:00:33 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 06:25:55

ความคิดเห็นที่ 26 ทำไมต้องใช้วิธีสกปรกเผยแผ่ศาสนา? จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 07:38:08

ความคิดเห็นที่ 27 ท่านนบีมุฮัมมัดได้ตั้งเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ชายทุกคน ให้มีการขลิบ ส่วนการรักษาทำความสะอาดร่างกายอื่นๆตามแบบฉบับที่ท่านนบีแนะนำไว ได้แก่ การตัดเล็บ, การถอนขนรักแล้, การโกนขนอวัยวะเพศ, การขลิบหนวดและไว้เครา ----------------------- มีคำถามเรื่องการไว้หนวดเคราของมุสลิมครับ ว่ามันมีรูปแบบเฉพาะหรือข้อบังคับว่าอย่างไรครับ เพราะบางครั้งเราจะสามารถทราบได้ว่าการไว้เคราแบบนี้เป็นชาวมุสลิม  ในบัญญัตกล่าวว่าอย่างไร และวัตถุประสงค์คืออะไรครับ จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 08:23:18

ความคิดเห็นที่ 28 วิธีอะไรครับ คุณแมวเก้าแต้ม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 08:44:34

ความคิดเห็นที่ 29 ตรงส่วนนี้มีหลายทรรศนะค่ะ บ้างก็ว่า เป็นข้อปฏิบัติที่จำเป็นต้องกระทำ นักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าการโกนเครา เป็นสิ่งต้องห้าม โดยพวกเขาใช้พี้นฐานจากการให้เหตุผลของท่านศาสดา ในทรรศนะของพวกเขาจึงจำเป็นต้องไว้เครา ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวไว้ว่า "แท้จริงท่านนบีสั่งใช้ให้เล็ม (ตัด) หนวด และปล่อยเครา" (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 381) และ "พวกท่านจงทำตัวให้แตกต่างจากพวกมุชริก (พวกที่ตั้งภาคี) โดยที่พวกท่านปล่อยเครา และเล็มหนวดของพวกท่านเถิด" (บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5442) แต่ก็มีบางทรรศนะ กล่าว่า เรื่องนี้เป็นข้อแนะนำมากกว่าข้อควรปฏิบัติที่ต้องกระทำ คือ หากจะทำก็ได้บุญ เพราะได้ตามแบบอย่างศาสดา และ หากไม่ทำก็ไม่ถือว่า มีความผิด หรือ บาปหนักแต่อย่างใด ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า การโกนเคราเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้ตามสภาพแวดล้อม เช่น ถ้าเป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ แล้วไว้เครายาวเฟื้อย หนวดเฟิ้ม อันนี้มันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะ คือ แล้วแต่สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 09:22:40 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 09:21:35

ความคิดเห็นที่ 30 คคหท 23 ผมอ่านแล้วครับ  ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ให้........ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 09:51:52

ความคิดเห็นที่ 31 คห.26 คุณแมวเก้าแต้ม กระทู้สะอาดๆ อย่าทำสกปรกเลยครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 10:32:29

ความคิดเห็นที่ 32 กระทู้แบบนี้ซิ ค่อยน่าสนใจหน่อย ผมสงสัยอยู่เรื่องนึง เรื่องสุนัข  คือ คืออ่าน  ๆ จากหลาย  ๆ ที่ รวมทั้งในนี้ด้วย ทำนองว่าสุนัขก็เป็นสัตว์ต้องห้าม สำหรับมุสลิม  ถ้าถูกตัวสุนัข หรือเผลอถูกมันเลียเข้า ต้องล้างด้วยน้ำที่อยู่บนดินเจ็ดน้ำ หรือเจ็ดครั้ง อะไรทำนองนี้นี่แหละ  คืออ่าน ๆ  ดู ถึงแม้จะ งง และจับความได้ไม่ชัดนัก  แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าน่าจะสร้างความยุ่งยากให้กับมุสลิมที่สัมผัสถูกสุนัขพอสมควร สำหรับคนที่เคร่งครัด เมื่อหลายปีก่อน  เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศตุรกี ซึ่งเป็นประเทศที่มีคนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม  และจัดว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างเจริญแล้ว ประเทศนึง  ผมเห็นภาพข่าวในทีวีที่หน่วยกู้ภัยและตำรวจตุรกี เค้าใช้สุนัขฝรั่ง แบบที่ตำรวจ-ทหารทั่วโลกนิยมใช้กัน ในราชการ  ทำการดมซากตึกหรือบ้านที่พัง  เพื่อค้นหาว่ามีผู้รอดชีวิตติดอยู่หรือไม่  เลยสงสัยว่า  ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้สุนัข เพื่องานราชการ เช่น ค้นหายาเสพติด วัตถุระเบิด กู้ภัย อะไรทำนองนี้  ในทางศาสนาอิสลามเค้าอนุญาตให้เลี้ยงไว้ใช้ได้หรือไม่  แล้วมุสลิมที่ต้องเลี้ยงสุนัขพวกนั้น  ไม่ลำบากที่ต้องหาน้ำล้างมือ เพื่อให้ถูกกับหลักศาสนากันแย่หรือ  เพราะสุนัข ถึงเลี้ยงไว้ใช้งานอย่างไร  ถ้าใครเมตตาเลี้ยงดูมัน มันก็รัก  และหนึ่งในวิธีแสดงความรักของมันคือ การดม เลีย หรือใช้ตัวเสียดสีกับคนที่เลี้ยงมัน ซึ่งตรงนี้มันมักจะชอบทำตอนเราเผลอเสียด้วยซิ  อันนี้เป็นนิสัยปรกติของสุนัข  จะไปโกรธมันก็ใช่ที่ เคยถามเพื่อนที่เป็นมุสลิม เค้าก็บอกแค่ว่า ถ้าเลี้ยงไว้ใช้งานเหมือนที่เลี้ยงวัว เลี้ยง ควายไว้ใช้งานละก็ ทำได้  แต่ไม่ได้ตอบชัดเจนนักในเรื่องที่จะเลี้ยงมันอย่างไรไม่ให้ถูกตัวมัน เลยสงสัยนะครับ จากคุณ : ckman เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 11:07:37

ความคิดเห็นที่ 33 แชร์ประสบการณ์เรื่องสุนัขนิดนึงน่ะคะ  มีเพื่อนที่เป็นมุสลิมใหม่มาเล่าให้ฟังว่าที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขอยู่ตัวนึงคือเลี้ยงอยู่ในบ้านค่ะ เพราะเป็นสุนัขแบบน่ารักค่ะนอนด้วยกันเลย พอมารับอิสลามก็คงต้องเลี้ยงตัวนี้อยู่เพราะคนที่บ้านยังนับถือศาสนาเดิม  เค้าก็บอกว่าก็ยังคงเลี้ยงปกติเพราะว่าเวลาแต่งตัวอยู่บ้านก็ใส่ชุดยาวอยู่แล้ว เวลาสุนัขมาคลอเคลียก็จะไม่ได้สัมผัสตัวเรา เวลาจะอาบน้ำให้ก็ใส่ชุดกันฝนพลาสติกแล้วก็ถุงมืออ่ะค่ะ  แต่ถ้ากรณีถูกน้ำลายจริง ๆ หรือโดนตัวเวลาที่ตัวมันเปียกจริง ๆ ก็ต้องล้างน้ำดินค่ะ ส่วนวิธีล้างน้ำดินที่ทราบก็คือ  น้ำแรกเราก็เอาดินมาใส่น้ำให้เปียกค่ะ แล้วก็เอาดินถูๆตรงที่เราเปื้อนรอยน้ำลายสุนัขค่ะ  เสร็จแล้วก็ล้างน้ำเปล่าอีก6ครั้ง รวมเป็น 7 ครั้งค่ะ ไม่ได้ยุ่งยากเลยค่ะ  ส่วนเรื่องของดินนั้น เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ค่ะว่า ถ้าหากเราอยู่ในป่าแล้วถูกสัตว์มีพิษกัดเช่น งู แล้วเรายังไม่สามารถออกจากป่าได้ให้เราขุดหลุมและฝังตรงที่ถูกงูกัดนั้นเพื่อให้ดินดูดพิษออกค่ะ  แล้วก็การที่เราจะเอาประจุไฟฟ้าออกจากตัวเราก็ต้องให้เราเหยียบบนดินค่ะแล้วเอาหน้าผากแนบกับดินค่ะ(เหมือนท่าสุยูดของมุสลิมค่ะ) ประจุไฟฟ้าก็จะออกจากตัวเราค่ะ จากคุณ : zilmee1447 เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 13:38:56

ความคิดเห็นที่ 34 คห 32 เรื่องสุนัข มุสลิมโดนน้ำลายสุนัขได้ แต่ต้องล้าง 7น้ำ +1น้ำดิน(น้ำผสมดิน) ซึ่งมุสลิมเลี้ยงไว้ใช้งาน ไว้เฝ้าบ้านได้ แต่ไม่ควรให้อยู่ในบ้าน เพราะจะทำให้บ้านสกปรก ไร เห็บ หมัด ต่างๆค่ะ และ ถูกตัวได้ไม่มีปัญหาค่ะ โดยไม่ต้องล้าง 7น้ำ +น้ำดินแต่อย่างใดค่ะ แต่ถ้าโดนน้ำลาย ก็แค่ทำความสะอาด แต่ต้องล้างตามที่กล่าวไว้ข้างต้นค่ะ มันก็คล้ายๆกับคุณไปจับของสกปรก ซึ่งคุณจับได้  แต่หลังจากจับก็ไปล้างมือโดยมีน้ำดินล้างรวมอยู่ด้วยเท่านั้นล่ะคะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 15:07:43

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องเครา ขออีกนิดครับว่ามีระบุรูปทรงหรือรูปแบบเฉพาะที่เป็นของมุสลิมมั้ยครับ แล้วก็ เรื่องของนิกายในประเทศไทยหลักๆมีกี่นิกาย คือนิกายไหนบ้างครับ ** พอดีกิฟท์หมด เอาเป็นขอบคุณในคำตอบนะครับ จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 15:51:54

ความคิดเห็นที่ 36 โกหกล่อลวงอย่างน่าไม่อายและไม่สำนึก คงไม่สะอาดไปได้หรอกนะ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 16:20:42 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 16:23:34 จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 16:18:01

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 10:25:54

ความคิดเห็นที่ 39 มาว่ากันต่อค่ะ หลังจากกระทู้เดี้ยงไปเมื่อวาน + กับ อะไรๆที่มันไม่มีสาระ อ้อ ลืมตอบค่ะ ส่วนรูปทรงการไว้หนวดเครา อันนี้ จำเป็นต้องมีการตัดแต่งออกมาให้ดูดี สวยงาม คงต้องสอบถามคุณผู้ชายด้วยดีกว่านะ  ว่ามีวิธีการจัดการตกแต่งอย่างไร ให้ดูดี   ส่วนรูปแบบเฉพาะของมุสลิมคงไม่มีกฎตายตัว เพราะเห็นบางท่านก็ไว้สั้น บางท่านก็ไว้ยาว   เพิ่มเติมจาก นิดนึงค่ะ จาก ฮาดิษข้างบน เหตุผลการไว้เครานั้นท่านนบี มูฮำหมัด บอกไว้ว่าเพื่อ เป็นการจำแนกความแตกต่างระหว่างผู้ ที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม และก็เพื่อให้แตกต่างจากเพศหญิง หรือ หลีกเลี่ยงการเลียนแบบเพศหญิง นั่นเองค่ะ ส่วนนิกายใหญ่ๆ มี 2 นิกายค่ะ นิกาย ซุนนี และ นิกาย ชีอะห์ ค่ะ แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 11:24:25 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 10:34:37

ความคิดเห็นที่ 40 คุณแมวเก้าแต้มเป็นไรมากรึป่าว ครับ จากคุณ : Lyuk! เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 11:03:50

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นกระทู้ที่ดีครับ  แต่ถ้าจะให้ครบถ้วนควรแยกด้วยว่า คำสอน หรือ การตอบคำถามนั้นส่วนไหนอ้างอิงมาจากฮะดิษ ส่วนไหนอ้างอิงมาจากอัลกุรอาน ไม่ควรด่วนเหมารวมว่า ทั้งหมดนั้นเป็นอิสลาม เพราะ อย่างน้อยตอนนี้อิสลามของผม และของคุณก็ไม่ได้สอนเหมือนกันแล้ว และการตอบแบบนี้ ดูเหมือนกับการมัดมือชกว่า ฮะดิษ เป็นอิสลามด้วย ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ส่วนคำถามยอดฮิตที่ผมขอถามเพื่อให้แน่ใจอีกคร้ง ซึ่งคำสอนเหล่านี้มาจากฮะดิษ ดังต่อไปนี้ 1.) อิสลามสอนว่า การปาหัวปีศาจที่แปลงร่างเป็นหมาดำ ได้บุญจริงหรือไม่ 2.) อิสลามสอนว่า การมีเซ็กและขับถ่ายกลางแจ้งเป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะพระเจ้าทรงเห็นอยู่ดีจริงหรือไม่ 3.) อิสลามสอนว่า ถ้าหญิงชายมีชุ้ ให้รุมปาหินจนตายจริงหรือไม่ 4.) อิสลามสอนว่า ให้ฆ่าคนที่เปลี่ยนศาสนาจริงหรือไม่ 5.) อิสลามสอนว่า ฆ่าจิ้งจกแล้วได้บุญจริงหรือไม่ 6.) อิสลามสอนว่า ถ้าผู้หญิงโดนข่มขืน ต้องหาพยานเป็นชายสี่คน ถ้าไม่มีพยาน เท่่ากับฟ้องตัวเองต้องโดนโบยจริงหรือไม่ 7.) อิสลามสอนว่า ทาสหญิงที่จับได้สมสู่ โดยไม่ต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานได้จริงหรือไม่ 8.) ต่อเนื่องจากข้อ 7 อิสลามสอนว่า ทาสหญิงที่ยอมเป็นให้สมสู่ ลูกจะไม่ต้องเป็นทาสจริงหรือไม่ ค่อนข้างเยอะ แต่ให้ตอบสั้นๆ แต่ละข้อว่า จริง หรือ ไม่จริง เพราะอะไร   ถ้าตอบเป็นอย่างอื่นหรือ เลี่ยงที่จะตอบ แต่โจมตีตัวบุคคล แสดงว่าคุณยอมรับว่า เรื่องทั้งหมด อิสลามในรูปแบบของคุณยอมรับได้ ส่วนคำตอบของผมมีอยู่แล้วคือ มันไม่จริง เรื่องเล่านี้ไม่เคยมีมในอิสลาม ไม่มีในอัลกุรอาน มีแต่ในเรื่องเล่าที่เรียกว่า ฮะดิษ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 54 20:57:59 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 20:56:57

ความคิดเห็นที่ 42 ผมละเบื่อพวกอยากดังเสียจริง อิสลามต้องตามฮะดีษครับ เพราะอัลลอฮฺให้ตามนบี และการตามนบีนั้นทำได้ทางเดียวคือ จากฮะดีษ เพราะไม่มีบันทึกอืนใดที่จะสืบถึงท่านนบีได้นอกจากฮะดีษครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 21:23:21

ความคิดเห็นที่ 43 อ้าวคุณเจ้าของกระทู้ ก็เข้ามาถูกใจ แล้วทำไม่ตอบคำถาม ทั้ง แปดข้อ ของผมละครับ นั่นคำถามยอดฮิตเลยนะนั่น หรือว่าคีย์บอร์ดเสียกดได้แต่ถูกใจแต่พิมพ์ไม่ได้ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 02:50:54

ความคิดเห็นที่ 44 คห.25 "เจตนาในการตั้งคำถามใดใดนั้น หากวิเคราะห์จากปัญญาแล้วสามารถรู้ได้ว่าคำถามแต่ละอย่างพยายามจะสื่อให้เห็นถึงอะไร อยากเรียนรู้จริงไหม อยากเข้าใจอิสลามจริงหรือเปล่า หรือแค่ เจตนาไปในเชิงส่อเสียด  ก็คงจะต้องขออนุญาตงดเว้น คือ จะดูที่เจตนาเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นที่อาจจะตามมาค่ะ"       จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 05:54:20

ความคิดเห็นที่ 45 ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่เจตนาของผมหรอกครับ มันอยู่ ความละอายใจที่ตอบมากกว่า ถ้ามีคนถามคุณว่า อิสลามสอนเรื่องสันติหรือไม่ คุณคงยกมือตอบอย่างรวดเร็วว่าใช่ ในทางเดียวกัน คำถามนี้ ถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นคำสอนในศาสนาอิสลามอันประเสริฐเป็นทางนำของมนุษย์ชาติ คุณก็จะตอบด้วย"ความภาคภูมิใจ" ว่าใช่ มันดีจริงๆนะ มันเป็นแบบนี้นะ แต่สิ่งที่ทำกับตรงกันข้าม 1.)ไม่ตอบ 2.)ให้ถูกใจ โพสไร้สาระที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหา 3.)พอถูกบี้หน่อย ก็ตั้งประเด็นว่าส่อเสียด ตกลงละอายใจอะไรครับ ที่ตอบอย่างหนักแน่นว่า อิสลามในแบบของคุณสอนให้สมสู่กับทาสโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ทำไมคุณถึงตอบอย่างเต็มปากไม่ได้ หรือ คุณไม่มั่นใจในฮะดิษ? ก็ไหนบอกว่า ใครไม่เชื่อฮะดิษซอะเฮี้ย คือ ไม่ใช่มุสลิม งั้นก็ตอบให้เต็มปากซิครับว่าใช่ มันถูกต้อง ตอบซิครับ หรือให้ผมต้องไปตั้งห้องใหม่ คำถามยอดฮิตของอิสลาม ภาคสอง เพื่อที่คุณจะได้ชี้แจงว่า คำสอนทั้งแปดของที่ผมยกมามันดียังไง แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ควรละอายใจ  เวลายกความเชื่อมาแนะนำคน ควรจะแยกว่าส่วนไหนมาจากอัลกุรอาน ส่วนไหนมาจากฮะดิษ ไม่ใช่ มัดรวมกันเป็นขนมเข่ง ตามใจชอบ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 06:50:16

ความคิดเห็นที่ 46 ผมอ่านทวนย้ำให้นะครับ ในความเห็ฯที่ 41 " ค่อนข้างเยอะ แต่ให้ตอบสั้นๆ แต่ละข้อว่า จริง หรือ ไม่จริง เพราะอะไร   ถ้าตอบเป็นอย่างอื่นหรือ เลี่ยงที่จะตอบ แต่โจมตีตัวบุคคล แสดงว่าคุณยอมรับว่า เรื่องทั้งหมด อิสลามในรูปแบบของคุณยอมรับได้ " จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 06:53:46

ความคิดเห็นที่ 47 เอ่อ  คนละนิกายกันหรือเปล่าครับ บางอย่างเลยเข้าใจไม่ตรงกัน ? อ้อ พอดีไม่ใช่มุสลิมนะครับ แต่เห็นถกกันแบบนี้เลยสงสัยตามนะครับ จากคุณ : ckman เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 08:39:25

ความคิดเห็นที่ 48 ที่ไม่ตำเป็นต้องตอบ เพราะคุยกันไปหลายกระทู้แล้วครับ กระทู้เก่าก็มี แล้วคุณก็เกรียนไม่ออกเพราะโดนถลกหนังหน้าไปทั้งหมด ที่เอาถามซ้ำก็เพราะไม่มีอะไรทำ อยากดังเลยเอามาถามใหม่ก็แค่นั้น กระทู้เรื่องการสังหารสุนัข http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/12/Y9983978/Y9983978.html การขับถ่ายกลางแจ้ง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/03/Y10371079/Y10371079.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/12/Y9984597/Y9984597.html การประหารชีวิตด้วยก้อนหิน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10648853/Y10648853.html การฆ่าคนที่เปลี่ยนศาสนา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kheedes&date=03-12-2005&group=4&gblog=1 ฆ่าจิ้งจก http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/07/Y9474882/Y9474882.html การข่มขืน http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/07/Y9460167/Y9460167.html ทาสหญิง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/03/Y10401577/Y10401577.html (เรื่องนี้มีอีกกระทู้ที่ Yaoharee มั่วกุรอ่าน จนได้ความว่า ทาสหญิงสามารถมีสามีได้หลายคนนะครับ กำลังหา)  ทั้งหมดมุสลิมได้ตอบไปแล้ว ทั้งสิ้น แต่ที่ Yaoharee ถามอีก แล้วอยากได้คำตอบสั้นๆ เพราะ Yaoharee โง่ครับ ไม่สามารถโต้เถียงด้วยเหตุผลได้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ ตัวเองได้แสดงความโง่มาบ่อยๆ Yaoharee จึงต้องการคำตอบสั้นๆ เพื่อเอามาบิดเบือน สร้างภาพต่อนั่นแหละครับ นี่แหละสันดาน Yaoharee  จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 09:14:16

ความคิดเห็นที่ 49 ที่คุณ carroth รวบรวมเป็นดัชนีเอาไว้เปิดโปงความเท็จคนประเภทนี้ดีมากๆเลยครับ ไม่ต้องพิมพ์เนื้อหาเดิมๆบ่อยๆ ใครสนใจรายละเอียดจริงๆก็ย้อนอ่านดูได้ ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:07:15

ความคิดเห็นที่ 50 ที่ไม่ตอบเพราะทราบเจตนาคุณไง คำถามเหล่านี้คุณถามมากี่รอบแล้วในห้องนี้ และคุณก็ได้รับคำตอบอธิบายกลับไปก็ทุกครั้ง คุณไม่ละอายใจบ้างเหรอคะ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ แต่ก็ยังถามอยู่นั่นแหล่ะ เบื่ออ่านอะไรๆที่มันซ้ำๆ ซากๆ บ้างไหม คุณ Yaoharee จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:10:45

ความคิดเห็นที่ 51 ตามไปอ่านมาแล้ว พอเข้าใจมากขึ้นครับ กับคำอธิบายของคุณCarroth ได้ความรู้ดีครับ ดีกว่าไปถามในเว็บมุสลิมหลาย ๆ เว็บซะอีก ที่เคยไปมอง ๆ ถาม ๆ ก็เน้นตอบแบบ ภาษาศาสนาอิสลาม ที่คนนอกศาสนาแบบผมเข้าใจยากทั้งนั้น  ขอบคุณครับ  ที่นำ link เก่ามาให้ดู แต่เรื่องที่ยังเข้าใจไม่ตรงกันตามกระทู้นี้ ระหว่างพวกคุณ ผมขอมองเฉย ๆ ละกัน ไม่สันทัดในเรื่องที่คุณคุยกัน *********************************************** อ้อ มาเพิ่มเติมนิดนึงครับ  ของคุณ Yaoharee จาก link ที่ตามไปอ่าน ผมก็พอเข้าใจน่ะ ว่าคุณ Yaoharee จะบอกถึงทัศนะของคุณว่าอย่างไร  อ่าน ๆ ดู ในสายตาคนนอกอย่างผม ก็...ไม่มีใครผิดหรอกครับ  แค่บางอย่างเข้าใจไม่ตรงกัน เท่านั้นเอง ขอบคุณมุสลิมทุกท่านที่ช่วยกันแสดงทัศนะอย่างมีเหตุมีผล และให้ความรู้คนนอกอย่างผมคร๊าบ ใจร่ม ๆ ค่อย ๆ คุยกันครับ คนกันเองทั้งนั้น ไปหละ................... ฟิ๊ว........... แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 54 13:07:15 จากคุณ : ckman เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:40:15

ความคิดเห็นที่ 52 การซับเซ็ต ของ คุณ Yaoharee http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10413360/Y10413360.html จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:43:49

ความคิดเห็นที่ 53 ^ ^ Yaoharee สับขาหลอกช่วงแรกดูพริ้วดีครับ แต่สุดท้ายก็สะดุดขาตัวเอง ล้มไม่เป็นท่า เอาเรื่องเซตมาประจานตัวเองได้ตลกดี ^^ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:53:52

ความคิดเห็นที่ 54 จริงๆ แล้ว เรื่องทาส เรื่องสุนัข บัญญัติขึ้นเพื่อจัดระเบียบเมื่อเกิดสงคราม หรือเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น เช่นเรื่องทาสหญิงนั้น ที่ต้องทราบคือ "ห้ามข่มขืน หรือละเมิดต่อเธอครับ" และมีข้อบัญญัติหลักการ ที่ต้องปล่อยทาสเสมอ บางคนเจตนาเสียศีลอด การชดใช้ในบางกรณี ต้องปล่อยทาส การกระทำบางอย่างที่ผิดหลักศาสนา บางเรื่องก็ต้องปล่อยทาส และทาสกับลูกจ้างคนละอย่างกัน ทาสนี่จะได้จากการทำสงครามที่ประกาศแล้วอย่างถูกต้อง ส่วนมากก็เป็นผู้ชายอยู่แล้ว สงครามนั้น มุสลิมต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้สงครามปะทุขึ้น เมื่ออีกฝ่าย ขอสันติภาพ มุสลิมก็ให้ครับ เป็นหลักการอยู่แล้ว สงครามคือประการสุดท้ายแล้วที่ต้องทำ นี่เป็นตัวอย่างครับ แต่ Yaoharee ก็ยกมาด้วนๆ เน้นแค่คำว่า ร่วมกับทาสหญิงโดยไม่แต่งได้ ทั้งๆที่ ทาสหญิงนั้น เป็นกรณีที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก จะขืนใจก็ไม่ได้ด้วย ถ้ามีบุตรแล้วก็พ้นสถานะทาสทันทีอีก ซึ่งบาง ความเชื่อ ไม่ใช่แค่ทาส อิสระชน กับอิสระชนนี่แหละ ร่วมกันโดยไม่แต่งงานก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้ร่วมกับสามีภรรยาใคร แต่เอามาให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยความมักง่ายของ yaoharee เอง แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 54 11:05:45 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 10:55:08

ความคิดเห็นที่ 55 รู้สึกเหนื่อย แทนคุณ Carroth อ่ะ จากคุณ : Lyuk! เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 11:13:19

ความคิดเห็นที่ 56 ^ ^ เห็นด้วยอย่างแรงค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 11:17:01

ความคิดเห็นที่ 57 แมวเก้าแต้มนี่อะไรของเค้าหว่า จากคุณ : zuka1 เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 15:12:25

ความคิดเห็นที่ 58 ที่บอกว่าความเท็จนี่ประโยคไหนละครับ?เนียนเอาพวกมามาแปะลิงค์แล้ว บอกว่าความเท็จนี่มันไม่ใช่การคุยด้วยเหตุด้วยผมหนะครับ แล้วคุณเจ้าของกระทู้ ผมยังเรียกว่าเลี่ยงที่จะตอบนะครับ ให้เพื่อนในแกงค์ปาหินเอาลิงค์มาแปะมันยังไม่ตรงประเด็นนะครับ  เพราะบางเรื่องคุยกันร่วมสิบกระทู้   แล้วทำไม ไม่ตอบละครับว่าจริงหรือไม่จริง? เฉพาะการหรือไม่ก็อธิบายไปซิครับจะอายอะไร แค่ เอาทาสเป็นเมียแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ยอมรับอัลกุรอาน แถมแต่งเพิ่มซะเองอีก แล้วอธิบายซะจะอธิบายอะไรเค้าจะได้ไม่ต้องไปตามอ่าน เฉพาะ ลิงค์ที่ตัวเองเลือกมาจากลิงค์เป็นร้อย ^^ แค่แปดข้อ ตอบสั้นๆ ก็ได้ แต่เลือกไม่ตอบ เอะ มันมีอะไรหรือเปล่าครับ? จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 19:56:52

ความคิดเห็นที่ 59 อ่อ ส่วนคุณแมวเก้าแต้ม ช่วยแยกเรื่องคน กับเรื่องศาสนาออกจากกันด้วยนะครับ   อิสลามไม่เคยใช้วิธีสกปรกเผยแพร่ศาสนาครับ แต่คนมุสลิม อาจไปทำ ทำแล้วไม่่ยอมรับผิด พวกนี้ควรใส่กระโปรง โทษคนอย่าโทษศาสนาครับ เพราะ แต่ละศาสนิก ก็มีพวกคลั่งกันทั้งนั้น จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 20:05:27

ความคิดเห็นที่ 60 อ่านเอาเองแล้วกัน ถ้าไม่เกรียน คงไม่ิพิมพ์แบบนี้ แล้วทำไม ไม่ตอบละครับว่าจริงหรือไม่จริง? เฉพาะการหรือไม่ก็อธิบายไปซิครับจะอายอะไร แค่ เอาทาสเป็นเมียแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ยอมรับอัลกุรอาน แถมแต่งเพิ่มซะเองอีก ใครไม่ยอมรับกุรอ่าน ใครแต่งเอง? เพราะความปากพล่อยแบบนี้แหละครับ มันแสดงถึง อาการเกรียน พูดไม่รู้จักคิด พูดก่อนคิด ชอบแต่ง ชอบเติม ชอบพูดให้เว่อร์เข้าไว้ คนที่ไม่ยอมรับกุรอ่าน แถมแต่งเพิ่มเนี่ย ผมว่าเป็นพวกที่ เอากุรอ่าน มาซับเซ็ตไปมา จนได้ว่า ทาสหญิงสามารถมีสามีหลายคนได้ต่่างหาก แบบนี้ ทาสหญิงจะกลายเป็นโสเภณีเอานะครับ ส่วนลิงค์ที่นำมา ให้คนเข้าไปอ่านกันได้เลยครับว่ามันจบไหม แล้วใครกันแน่ ที่ถูกจับได้ว่ามั่ว จนหนีหายไปจากกระทู้ ผมว่ามันเห็นกันชัดๆ นะครับ ความเท็จน่ะ เอาแค่ บอกว่า ไม่ยอมรับกุรอ่าน แถมแต่งเพิ่มเองเนี่ย มันก็กล่าวเท็จใส่อยู่แล้ว ใครไม่ยอมรับกุรอ่าน ใครแต่งเพิ่มอย่างไร? ผมบอกแล้วนิสัยพวกเกรียนมันก็แบบนี้ เอาแค่ คำถามแรก ปาหัวปิศาจที่แปลงร่างเป็นหมา อ่านแค่ประโยคนี้ ผมก็ต้องถอนหายใจแล้วล่ะครับ ว่าเจอพวก เกรียน อวดฉลาดอีกแล้ว ชอบมาก แต่งเติมประโยค เพื่อใส่อารมณ์ถ่อยๆ ตามสันดานตัวเอง ปาหัว? สงสัยชีวิตคุณคง ปาหัวคนที่บ้านบ่อย ถึงฝังใจกับการปาหัวมาก เอาเป็นว่า ถ้าคิดว่า ลิงค์ไหนที่ผมแปะมีปัญหา ยกมาเลยครับ คนที่นี่เขาเบื่อที่จะต้องคุยซ้ำเดิมประเด็นเก่า กับพวกเกรียนอยากดัง แต่หาทางดังไม่ค่อยได้ อย่างคุณนะครับ ในเมื่อคุยแล้ว คุณจนแต้ม ในกระทู้เก่า แล้วอยากแก้ต่างให้ตัวเองก็ยกมาเลย ว่าคาใจประเด็นไหนอย่างไร ลิงค์ก็หามาให้แล้ว ให้มาต่อสิ่งที่คาใจ หรือจริงๆ มันก็แค่อยากดังจริงๆ ล่ะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 20:58:52

ความคิดเห็นที่ 61 คุณก็อ่านจากลิงค์ที่เค้าเอามาแปะนั่นแหล่ะคะ อ่านหลายๆรอบสักฮีด จะได้ไม่ต้องถามอีกให้มันเปลืองพื้นที่ ถ้ายังยอมรับไม่ได้ คุณก็ยืนกระต่ายขาเดียวต่อไปแล้วกันค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 13:01:27

ความคิดเห็นที่ 62 yaoharee เขาเป็นมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามหรือเปล่าครับ ถ้าใช่นี้ เอาความรู้ของตัวเองเป็นแกนกลาง.... ในความเข้าใจของผมนี้มัน ตะกับโบร นะครับ ถ้าไม่ใช่ อธิบายแล้วไม่เข้าใจก็ต้องปล่อยผ่านไปนะครับ ถ้าจะถกกันเรื่องศาสนาตามหลักอิสลาม ก็ต้องถกที่ กุรอาน กับ ฮะดิษ เป็นหลัก ผมก็ไม่เก่งเรียนมาน้อย ไม่เข้าใจอะไรก็ หาหนังสือ มุสลิมเบื้องต้นมาอ่านไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ จากคุณ : metalfinal เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 19:23:28