อนุโมทนากับคำถามสร้างสรรค์แบบนี้ของ จขกท.ครับ
ชาวพุทธควรทำความเข้าใจและเป็นมิตรต่อกัน สาธุครับ
--------------
ของผมพยายามเดินแบบสมถะนำวิปัสสนามา ๒๐ ปีครับ
ก็ได้ความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง (ผมชอบดูลมหายใจแต่ยอมรับว่าไม่ถึงฌาณครับ ได้แค่ขณิกะ และอุปจารสมาธิแบบเฉียดๆฌาณครับ)
ตอนหลังมาใช้แนววิปัสสนานำสมถะ
พบว่าถูกกับจริตมากกว่า
(ผมไม่ได้หมายความว่าแนววิปัสสนานำสมถะ
จะเป็นวิธีที่ดีกว่าสำหรับคนอื่นซึ่งจริตต่างกับผมครับ)
ที่สำคัญเมื่อเจริญวิปัสสนามากๆแล้ว สมถะที่เคยเป็นของยากแบบที่ว่าเดี๋ยวก็สงบง่ายเดี๋ยวก็ไม่สงบนั้นเป็นอันเลิกเลยครับ เดี๋ยวนี้สงบง่ายกว่าเดิมมากครับ แทบไม่ต้องใช้ความพยายามก็สงบได้ง่ายมากๆ
ตอบคำถาม ๔ ข้อ ของ จขกท. ครับ
1.แนวทาง/ขั้นตอน/ผล เป็นยังไงครับ ผลคงไม่ต้องตอบเพราะเพื่อสิ่งเดียวกัน
แนวทางก็คือ "รู้รูป รู้นาม ตามความเป็นจริง"ดูรายละเอียดได้ที่มหาสติปัฏฐานสูตรครับ
ขั้นตอนคือปล่อยใจ ปล่อยกาย ให้เป็นธรรมดาที่สุด แล้วตามรู้กาย ตามรู้ใจ อย่างที่เขาเป็น คือตามดูกายตามดูใจ ในปัจจุบันขณะ ไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน ดูเท่าที่จะดูได้
ผลคือ เห็นกาย เห็นจิต เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา(ไตรลักษณ์) ดูไปมากๆจะเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรา มีแต่ธรรมชาติที่เกิดๆดับๆ ไร้สิ่งที่คู่ควรเรียกว่า"เรา"
2..และ แนววิปัสสนานำ จะรู้ได้ยังไงครับ ว่าเราผ่าน ขั้น หนึ่ง ขั้น สอง หรือ ขั้น สาม แล้วครับ คือ ถ้าเป็นสมถะแนวเดียวกันจะพอเช็คได้คร่าว ๆ อ้อนี่ถึงอุปจาระ ถึง อัปปนาแล้วนะ พิจารณาแถว ๆนี้ละน่ะ
ขั้นแรกๆก็จะจำปรมัตถสภาวะได้ เช่นรู้ว่าความโกรธหน้าตามันเป็นอย่างไร ความโลภ ความหลง มันเป็นอย่างไร กายยืน กายเดิน กายนั่ง กายนอน กายเคลื่อนไหว กายหยุดนิ่งเป็นอย่างไร
ขั้นต่อมาก็รู้ครับว่า กายก็อันหนึ่ง สิ่งที่เข้าไปรู้กายก็อีกอันหนึ่ง ความโกรธอันหนึ่ง สิ่งที่รู้ว่านี่ความโกรธ ก็อีกอันหนึ่ง
ขั้นต่อมา ก็เริ่มเห็นว่า กายไม่ใช่เราแน่ๆ มองลงไปก็เห็นว่าก้อนธาตุอันนี้ไม่ใช่เรานี่
ขั้นต่อมาจิตเขาจะทรงตัวอยู่ต่างหากจากอารมณ์ คือเห็นว่าจิตไม่ใช่กาย จิตไม่ใช่เวทนา จิตไม่ใช่กิเลส จิตเป็นแค่ผู้รู้อารมณ์ (อารมณ์ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ถูกจิตเห็น)
ต่อมาก็เริ่มกลัวครับ มันโหวงเหวง ระคนผิดหวังว่า สิ่งที่เคยรู้สึกมานานว่านี่เราๆ อยู่ๆมันก็หายวับไป เหลือแต่ก้อนธาตุอยู่อันหนึ่ง จิตก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะมันก็เป็นธรรมชาติอีกอันหนึ่งที่เกิดๆดับๆบังคับไม่ได้ ไม่มีตรงไหนที่มันจะเป็นเราเลยซักอย่าง
ขั้นต่อมาตอบไม่ได้ครับ ผมติดอยู่ตรงนี้แหละ
แต่พอทวนดูจะเห็นว่า "ความรู้สึกว่ามีตัวเรา" มันเกิดขึ้นเป็นระยะๆ พอมีสติ ตัวเราก็หายไป พอขาดสติ หลงเข้าไปในโลกของความคิด "ตัวเรา"ก็โผล่มาใหม่
3..ตัวที่จะนำมาวิปัสสนา การใช้วิปัสสนานำนั้นใช้ตัวใหนในการพิจารณาธรรมครับ คือ ถ้าสมถะเราก็พอจะเห็นตัวที่ใช้วิปัสสนาว่าเป็นตัวที่ไม่มีนิวรณ์5เกาะ(ตัวรู้หรือจิตผู้รู้)
ตัวที่จะนำมาดูก็คือสติครับ เขาจะจำสภาวะได้แม่นยำ และสติเมื่อเกิดถี่ๆ จิตเขาจะเข้าสู่โหมดการทรงตัวอยู่ต่างหากจากกาย เวทนา สัญญา สังขาร คือเขาจะสร้าง "ผู้รู้" คอยดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่กายที่ใจอย่างเป็นกลางไม่เข้าไปคลุกในอารมณ์ครับ
4..ขณะพิจารณาธรรมเราจะทราบได้ยังไงว่าจิตเรา(หรือใจ)ของเราเข้าใจธรรมนั้นจริง ๆ ไม่ได้คิดไปเอง หรือเป็นการเข้าใจเพราะอ่านตำรา ตำราว่าอย่างนั้นมันก็ควรเป็นอย่างนั้น คือ ถ้าสมถะนำเมื่อวิปัสสนา เราหลอกตัวรู้ไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจกระจ่างก็ไม่เข้าใจกระจ่าง
เหมือนกับจิตเห็นความโกรธ ไป ๑๐๐ หนครับ พอหนที่ ๑๐๑ จิตเขาไม่ตื่นเต้น เพราะเห็นแค่ว่าเดี๋ยวมันก็ดับไปเองแหละ มันไม่ใช่เราแหงๆ ตัวความโกรธนี้น่ะ
สำหรับอารมณ์อื่นๆก็แบบเดียวกันนี้ครับ มันเห็นว่าไม่เที่ยง มันไม่ได้คิดเอา แต่เห็นซ้ำไปซ้ำมาจนเดาทางถูกว่าเดี๋ยวมันก็ดับไปตามฟอร์มนั่นแหละ
ขอบคุณและอนุโมทนาสำหรับคำถามครับ