ความคิดเห็นที่ 1 รับแซบ อีกเรื่องที่ชาวพุทธควรทราบเกี่ยวกับกรรมก็คือ เวลาในการให้ผลของกรรม หรือวิบากกรรม เพราะจะทำให้มีทิฐิที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องกรรม ไม่ร้องหาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 11:12:20

ความคิดเห็นที่ 2 (ซ้ำ) แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 54 12:09:04 จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 11:31:01

ความคิดเห็นที่ 3 รับทราบ ฉนั้นพระท่านถึงว่า กรรมอยู่ที่เจตนา หากมีเจตนาแรงกล้าแล้ว กรรมนั้นจะส่งผลแรง จากคุณ : Brutal PoP เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 12:01:46

ความคิดเห็นที่ 4 อนุโมทนาสาธุครับ นึกถึงมหัคคตกุศลกรรมเลยครับ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 12:28:32

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อเกิดกรรม (การกระทำ) กรรมนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่น ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะนั่นเป็นกฏพื้นฐานของธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่ แต่ผลนั้นกรรมนั้นจะกระทบกลับมาถึงตัวผู้กระทำหรือไม่นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่เป็นตัวแปรล่ะครับ ดังจะเห็นว่าถ้าปลูกต้นขนุน ก็จะได้ผลขนุน ได้กินขนุน ถ้านำอาหารไปใส่บาตร พระก็จะได้ฉัน ผู้ให้ก็มีใจเบิกบาน ใจเป็นกุศล เมื่อเราทำร้ายผู้อื่น ผู้อื่นก็จะได้รับความทุกข์ จิตเราเป็นอกุศล และมักก่อให้เกิดความอาฆาต แต่ที่ผมเห็น มีเยอะมากที่เข้าใจกันไปว่า ถ้าเราปลูกต้นขนุน เราก็จะมีคนมาสนับสนุน ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ ถ้าเรานำอาหารไปใส่บาตร เราจะได้กินอาหารนั้นเมื่อเราตาย หรือไม่ก็ชาติหน้า เมื่อเราทำร้ายผู้อื่น ผู้อื่นก็จะมาทำร้ายเราแบบเดี่ยวกัน เช่น ไปตีหัวหมา ชาติต่อไปหมาก็จะกลับมาตีหัวเรา . . . อาจดูคล้าย ๆ กัน แต่ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 54 13:14:37 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 54 12:57:51 จากคุณ : NotBeSt เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 12:55:02

ความคิดเห็นที่ 6 เรียนถามต่อจาก จขกท นะคะ ว่า คำว่า บุญ / กรรม เก่า มีผลมั๊ยคะ? เพราะกับการที่คนที่ทำไม่ดี แต่อยู่เเบบไม่เดือนร้อน ไม่เห็นได้รับกรรมใดๆ ผิดกับคนที่ทำความดี ที่แทบจะไม่ได้เรียกร้อง สิ่งใดๆตอบแทน แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ได้รับคือ ความทุกข์ยาก ลำบาก ทั้งทางกายและใจ  จึงมักได้ยิน คนที่ไม่เชื่อเรื่อง เวรกรรม กล่าวกันว่า "ทำชั่วได้ดีมีถมไป" แต่แม่ดิฉันให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องของ บุญเก่า ที่เค้าทำมา หากบุญเก่าหมดลงเมื่อไร คงถึงเวลาที่เค้าต้องชดใช้กรรม หลายๆท่านคิดเห็นเป็นอย่างไรคะ?  แต่ดิฉันเอง ยึดมั่นในคำสอนของแม่เสมอมาว่า "ทำความดีใครไม่เห็นเราก็เห็น จะส่งผลเมื่อไรอย่าไปคิด อย่าไปเพ่ง ทบทวนอยู่ ให้รู้ไว้เถอะว่า ทำดีต้องได้ดีสิ" จากคุณ : คนหมุนโลก เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 13:04:46

ความคิดเห็นที่ 7 #6 กรรมย่อมมีลำดับก่อนหลังในการให้ผลครับ :) จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 13:30:42

ความคิดเห็นที่ 8 อะไรคือกรรมเก่าและกรรมใหม่ ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย ทั้ง ใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธ- คามินีปฏิปทา. ..... ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย. ! จักษุ (ตา) .... โสตะ (หู) .... ฆานะ (จมูก) .... ชิวหา (ลิ้น) .... กายะ (กาย) ..... มนะ (ใจ) อันเธอ ทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า) อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น) อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัยทำให้เกิด ความรู้สึกขึ้น) เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้). ภิกษุ ทั้งหลาย. ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด, อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่ ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม) เป็น อย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะ ความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด, อันนี้ เรียกว่า กัมมนิโรธ. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ? กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ความ เห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ) สัมมาวายามะ (ความ พากเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ). ภิกษุ ทั้งหลาย. ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า) กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่ เราก็แสดงแล้ว, กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว, กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวก ทั้งหลาย, กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง. พวกเธอ จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท, อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย. สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗ - ๒๓๑. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 13:36:38

ความคิดเห็นที่ 9 กายนี้ เป็น “กรรมเก่า” ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้ง ไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มี ความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย). ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ : เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้,สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ; เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ; เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แกสิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะมี ความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล. นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 13:37:13

ความคิดเห็นที่ 10 คุณคนหมุนโลก กรรมเก่ามีผล แต่ถ้าไม่ได้ฌานวิสัยและสองในวิชาสาม อย่าเอามาคิด จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 21:30:38

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบคห 6 บางคนทำดีแต่ไม่เห็นได้ดี ทั้งนี้เพราะ วิบากของกรรมดียังไม่ให้ผล และวิบากของกรรมไม่ดีส่งผลก่อน เรื่องวิบากกรรม พระศาสดาทรงบอกว่ามี สาม ระดับ คือ ให้ผลทันที ให้ผลในเวลาถัดมา และอย่างสุดท้ายคือให้ผลในเวลาถัดมาอีก กรรมดีที่เราทำอาจยังไม่ส่งผลทันที จึงมักเข้าใจว่าทำดีไม่เห็นได้ดีครับ ขอแนะนำให้ใช้ความเห็นพระศาสดาในการกระทำกรรมหนักฝ่ายดี ( ตรงข้ามกับอนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมหนักฝ่ายไม่ดี ) ซึ่งเมื่อทำแล้วจะส่งผลทันทีในปัจจุบัน กรรมอื่นๆต้องรอในการส่งผลไปก่อน นั่นก็คือการ ทำสมาธิ แปดระดับ ไล่ตั้งแต่ รูปสัญญา ได้แก่ฌาณ 1-4, และ อรูปสัญญา ได้แก่ อากาสานัญจายตน, วิญญานัญจายตน, อากิญจัญญายตน และ เนวสัญญานาสัญญายตน นี่คือกรรมหนักฝ่ายดีที่ทำแล้ววิบากส่งผลในทิฐธรรม คือให้ผลทันที ใครที่บอกว่าทำดีไม่เห็นได้ดี ลองทำตามความเห็นพระศาสดาดูนะครับ จากคุณ : opae ula เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 22:10:59