จริงๆแล้วกสิณนั้นอย่างที่บอกว่าฝึกง่ายสมาธิเร็ว ถ้าเป็นโทสะจริตก็เหมาะกับกสิณสีต่างๆ เขียว เหลือง แดง ขาว วิปัสสนาก็ง่าย เพราะการเกิดดับของนิมิตนั้นง่าย
ที่ว่าเสียเวลาไปเล่นวิชชา นั้นมันก็ถูก แต่พอได้วิชชาแล้วมันวิปัสสนาได้เร็วมันก็มี และเร็วมาก เพราะวิชชา เช่น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ แล้วเขาทำกันอย่างนี้นะ เขาเจอคนจนเขาก็ลองใช้วิชชาดูสิว่าเคยจนแบบนี้มั้ย เขาเจอคนรวยเขาก็ใช้วิชชาดูว่าเคยรวยแบบนี้มั้ย เขาเจอสัตว์อะไรเขาก็ใช้วิชชาสอบดู เขาเล่นกันแบบนี้ เล่นแบบนี้สักพัก มานะถือตัวถือตนก็หมดลง เพราะมันเล่นซะจนเจอว่าเราก็เคยมีสภาพแบบนี้มาหมดแล้ว จะมาถือตัวถือตนทำไม อย่าลืมว่าเมื่อได้อัปปนาสมาธิแล้ว ปัญญาวิปัสสนามันแรง หรือจะเป็น ทิพจักขุญาณ ขอดูสภาพศพของเราทุกๆชาติ ขอจงมากองรวมกันข้างหน้า ดูอย่างนี้มันก็เบื่อ เห็นเทวดา ก็เบื่อ เห็นพรหมก็เบื่อ เห็นนรกยิ่งเบื่อ(เพราะอยู่มานาน) นี่เอาแบบใช้วิชชานะ เห็นเร็วและแรง
ถ้าคุณเคยไปทำบุญร่วมคณะกับทางสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คุณจะไม่กล้าคิดอะไรเลวๆเลย เพราะว่าทางสายนั้นเขาฝึกญาณ๘ อ่านใจได้ ถ้าลองไปอยู่ด้วยสักปี สงสัยใจของเราจะดีไม่น้อย อันนี้คิดเล่นๆนะ เพราะไปอยู่ด้วยไม่ได้
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยกเรื่องของพระพุทธเจ้าสอนกสิณให้พระจนจบกิจเป็นพระอรหันต์ดีกว่า
พระลูกชายนายช่างทอง
ภิกษุสามเณรทั้งหลาย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้มาคุยกันก่อนหลับตามเดิม วันนี้เอาเรื่องสัทธิวิหาริก ท่าน พระสารีบุตร พูดไทย ๆ เขาเรียกว่าลูกศิษย์ของ พระสารีบุตร ก็แล้วกัน ใช้ศัพท์ภาษาบาลีจะไม่ใคร่รู้เรื่อง บางทีท่านผู้ฟังท่านรู้มากกว่าผมนะ ไม่แน่นอนนะ ผมก็ไม่ใช่ผู้วิเศษวิโสอะไร
ความมีว่าเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ พระเชตวัน พระเชตวันสวนเจ้าเชต เขต เมืองพาราณสี ทรงปรารภ สัทธิวิหาริก พระสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อุจฉินทะ เป็นต้น
เนื้อความในท้องเรื่องมีว่า บุตรของนายช่างทองคนหนึ่งมีรูปร่างสวย บวชในสำนักของ พระสารีบุตร พระสรีบุตรท่านก็ดำริว่า คนนี้เป็นคนหนุ่ม รูปร่างหน้าตาสวยมีราคาจริตหนาคือ มีราคะหนา เข้าใจว่าอย่างนั้น แล้วท่านก็ให้เอา อสุภกรรมฐาน แก่เธอเพื่อกำจัดราคะ แต่พระกรรมฐานไม่เป็นที่สบายใจของท่าน คือไม่เหมาะแก่จริต เพราะฉะนั้นท่านเข้าไปสู่ป่าแล้ว พยายามอยู่สิ้น 3 เดือน เอาเจริญ อสุภกรรมฐานไม่ได้
พระสารีบุตร จึงได้นำพระองค์เข้าไปหาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอประทาน กราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาแล้วก็ทราบว่า องค์นี้ไม่ใช่มี ราคะจริต เป็นคนที่มี โทสะจริต นี่มันผิดกันอย่างนี้ แล้วเวลาเจริญพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนต้องระมัดระวังให้ดี การที่หวังผลจริง ๆ ในพระกรรมฐานต้องเข้าใจในจริตของตัวเอง มีหลายคนมาถามผมว่า ผมควรจะปฎิบัติจริตกองไหนก่อนครับ ผมก็ส่ายหน้าแล้วบอกไปดูเอาเอง จริตของคนมันมีด้วยกันทั้งหมด 6 อย่าง แต่ว่ามันหนักอย่างไหนทำลายอย่างนั้นก่อน
ต่อมาองค์สมเด็จพระชินวรก็ตรัสกับพระสารีบุตร ดูกรท่านสารีบุตร กุลบุตรที่มีศรัทธาที่ตถาคตสงเคราะห์ไม่ได้นั่นไม่มี ฉะนั้นเธอจงกลับไป เป็นหน้าที่ของตถาคตเอง ต่อมาพระพุทธเจ้าจึงให้บทกรรมฐานแก่พระองค์นั้น โดยให้กรรมฐานเกี่ยวกับโทสะจริต เพื่อเป็นการทำลายโทสะจริต ก็ได้แก่ กสิณ 4 กสิณ 4 กสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าพรหมวิหาร 4 แต่เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงเลือกเอา กสิณสีแดง เป็นที่ถูกใจของเธอ กสิณ ทั้ง 4 อย่างนี้ ทำทั้ง 4 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งถูกใจเราทำแบบนั้น
แต่พระองค์นั้นจิตใจชอบใจกสิณสีแดง ซึ่งจะถูกกับใจ พระพุทธเจ้าทรงให้กสิณสีแดง ที่เรียกว่า โลหิตกสิณ คือเนรมิตดอกบัวทองคำขึ้นดอกหนึ่งแล้วให้เป็นสีแดง อธิษฐานให้เป็นสีแดงก็เป็นสีแดง แล้วมอบให้แก่พระองค์นั้น ให้ไปที่กองทรายหน้าวิหาร หลังจากนั้นให้มองกองทราย โดยเอาก้านดอกบัวจิ้มลงไปในกองทรายแล้วก็ลืมตาดู จำภาพสีแดงให้ได้ หลังจากนั้นก็หลับตา ภาวนาว่า สีแดง สีแดง สีแดง โลหิตกสิณัง โลหิตกสิณัง เป็นต้น บาลีเรียกว่า โลหิตกสิณัง แล้ว โลหิตกสิณัง ก็ได้ กสิณัง ก็ได้ แปลว่าสีแดง นึกในใจว่าสีแดง จำไว้สีแดง สีแดง สีแดง จะได้เป็นสมาธิในคำภาวนา แล้วใจก็จับภาพสีแดง พอภาพเลือนไป ก็ลืมตามาดูใหม่
ไอ้แบบนี้ผมเคยบอกไป บางคนบอกว่าเพ่งซะน้ำตาไหล แสบตา อันนี้ไม่ถูก คือลืมตาตั้งใจจำแล้วก็หลับตานึกถึงภาพ วิธีปฎิบัติกสิณจริง ๆ เขาทำแบบนี้ คือเรามีที่ใดที่หนึ่งตั้งกสิณไว้ ก็ไปนั่งหลับตาลืมตานึกถึงภาพกสิณ จนกระทั่งติดใจ พอติดใจแล้วกลับมานอนที่เดิม นั่งที่เดิม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ เดินก็ได้ นึกถึงภาพกสิณกองนั้นให้ขึ้นใจ อย่างกสิณสีแดงนี่ กสิณทุกกองหรือกรรมฐานทุกกองจะมีสภาพเหมือนกัน มันจะคลายจากสีเดิม สีแดงคลายจากสีแดงลงมา สีจะค่อย ๆ คลาย ถ้าจิตเข้าถึง อุปจารสมาธิ ถ้ายังเป็น ขณิกสมาธิ อยู่มันก็เป็นสีแดงตามเดิม
ถ้าเริ่มเป็น อุปจารสมาธิ จะคลายจากสีแดงอ่อนลง อ่อนลงจนกระทั่งกลายเป็นสีเหลือง จิตดีขึ้น อุปจารสามาธิเข้มขึ้น จะค่อย ๆ ขาวขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งขาวโพลนหมด เมื่อขาวโพลนหมดทีนี้เมื่อกำลังจิตดีขึ้นกว่านั้น ก็จะบังคับสี ขยายให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ อยู่สูงก็ได้ อยู่ต่ำก็ได้ อยู่ข้าง ๆ ก็ได้ อยู่ข้างหน้าก็ได้ อยู่ข้างหลังก็ได้ จิตจะเห็นภาพอันนั้นอยู่ที่ๆ เราต้องการ อย่างนี้ถือว่าเป็น อุปจาระ เต็มที่
ต่อไปสีขาวจะคลายไปทีละน้อย ๆ จนเป็นประกายขึ้นแวววาวเป็นระยับสะท้อนแสงพระอาทิตย์ ผมก็ไปจำเอาภาษานักประพันธ์เขามาพูด แพรวพราวเป็นระยับตอนนี้เป็นฌาน เป็นฌานนี่ต้องสังเกตว่า ถ้าฌานที่ 1 เห็นภาพแพรวพราวเป็นระยับ หูได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มภายนอกมาก จิตยังภาวนาเป็นสีแดง สีแดงอยู่แต่ว่าไม่รำคาญในเสียงนั้น อย่างนี้เป็น ปฐมฌาน แล้วจิตก็ยังรู้ลมหายใจเข้าออก
หลังจากนั้นเมื่อเข้าถึง ฌานที่ 2 คำภาวนาจะหายไป ลมหายใจเข้าออกจะเบา จิตจะมีความ ชุ่มชื่นดีกว่าเก่า ภาพชัดเจนดีกว่าเก่า แพรวพราวดีกว่าเก่า อันนี้เป็นลักษณะของฌานที่ 2
พอถึง ฌานที่ 3 ความอิ่มเอิบหายไป จิตสงัดมากขึ้น ลมหายใจเบา รู้สึกเบามาก เสียงภายนอกที่สะท้อน ที่สะท้อนเข้ามาถึงหูได้ยินเสียงแว่ว ๆ เบาลงไปทุกที อาการทางกายตึงเป๋ง เครียด นอน ธรรมดา นั่งธรรมดาเหมือนกับใครจับมัดติดกับเสาแน่น อย่างนี้เป็นอาการของ ฌานที่ 3
พอถึงอาการของ ฌานที่ 4 จิตจะผ่องใส กสิณจะโพลง แจ่มมาก จิตจะทรงตัว หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก ลมหายใจไม่รู้สึกหายใจ เป็นอาการของฌานที่ 4 ที่สุดของกสิณ ต้องทำให้คล่อง
พระองค์นั้นเข้าถึงจิตตอนนั้นพอดีสมเด็จพระชินศรี อยู่พระเชตวันวิหาร ก็ทรงพิจารณาว่า ฌานของเธอถึงที่สุดแล้ว ถ้าว่าเราจะไม่ช่วย จะทำวิเศษขึ้นได้ไหม เป็นพระอริยะได้ไหม ก็ทรางทราบว่าถ้าไม่ช่วย ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แล้วก็ทรงอธิษฐานว่าขอดอกบัวนั้นจงเหี่ยวแห้งไป ดอกบัวดอกนั้นก็เหี่ยว ความสดใสก็หายไป แล้วก็กลายเป็นสีดำเหมือนดอกบัวที่ถูกขยี้ด้วยมือ ภิกษุองค์นั้นออกจากฌานแล้วแลดูดอกบัวนั้น นึกถึงเป็นอนิจจัง ลักษณะนี้เป็นอาการไม่เที่ยง เอ๊ะ เมื่อกี้นี้ก็สดใสนี่นา แล้วทำไมก็เหี่ยวไปแล้ว ก็สีดำปรากฎขึ้นได้แปลกจริง ๆ ต่อมาเมื่อปรากฎว่า อนุปปาทินนกะ แม้สังขารมาเทียบกับร่างกายของตน ไอ้ร่างกายของเรามันก็เป็นแบบนี้ เมื่อก่อนเราเป็นเด็ก ตอนนี้เราเป็นหนุ่ม ไม่ช้าก็แก่เหมือนพ่อ ก็ย่ำแย่เหมือนยาย ผลที่สุดก็ตายแน่ ในที่สุดก็เห็นว่าไม่เป็นเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่าง ๆ ไม่ได้ความ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความแน่นอนไม่ได้ ไอ้ดอกบัวมันดีกว่า เนื้อหนังของเรายังเป็นแบบนี้ ผลที่สุดท่านก็ตัดอารมณ์ความรู้สึกในร่างกายเสียได้ เป็นพระอรหันต์ประกอบไปด้วยปฎิสัมภิทาญาณ
เรื่องนี้ที่ผมนำมาเล่าสู่ท่านฟัง บรรดาญาติโยมพระภิกษุทั้งหลาย อย่าประมาทในการปฎิบัติของตน คิดว่าเราได้มโนมยิทธิเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหมโลก เรื่องพระนิพพาน เรื่องเทวดา เรื่องนรก เปรต อสุรกาย สามารถทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เกิดขึ้นได้ ถอยหลังชาติได้ อะไรก็ตามทั้งหมดนี่เรายังดีไม่พอ อันนี้เป็นเรื่องของ สมถภาวนา ควบวิปัสสนาภาวนา ต้องเร่งรัดให้สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนาให้ขึ้นใจตามจริตของเรา
คำสอนของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากคุณ |
:
sirnitfi
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.ค. 54 07:37:03
|
|
|
|