ความคิดเห็นที่ 1 MARKETING...!!! จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด (Arltenis) เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 22:17:27

ความคิดเห็นที่ 2 ธรรมกายเก่ง (แต่อาจไม่ดี) จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 22:38:18

ความคิดเห็นที่ 3 (X) ถูกทุกข้อ จากคุณ : พระจันทร์คืนแรม เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 22:53:08

ความคิดเห็นที่ 4 หากมองในแง่ marketing  ขอบอกว่า เราชมสำนักจานบินนะคะ  การตลาดเจ๋งจริงๆ  ยอมรับเลยค่ะ แต่ในเมื่อ product ของสำนักจานบิน คือ พระพุทธศาสนา เราจึงขอคัดค้านเรื่อยไป แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 54 22:59:34 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 22:58:53

ความคิดเห็นที่ 5 Super Aggressive Marketing - ยอด Packaging - เยี่ยม Product - แย่ มิใช่ของแท้ จากคุณ : เสาริมทะเล (เสาริมทะเล) เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:09:21

ความคิดเห็นที่ 6 ในฐานะที่ผมปฏิบัติวิชชาธรรมกาย แต่ไม่ศรัทธาวัดพระธรรมกายเลย นึกตำหนิด้วยซ้ำไป ธรรมกายมีหลายแบบหลายสำนัก ไม่ได้มีเฉพาะวัดพระธรรมกายเท่านั้น อย่าเหมาไปหมดว่า ทุกแบบต้องเป็นแบบวัดพระธรรมกาย เหมือนอย่าง พระเทวทัตเคยปฏิบัติธรรมมีฤทธิ์ถึงขนาดเหาะเหินเดินอากาศ  แต่กลับกลายเป็นคนชั่วช้าไป ก็อย่าไปเหมาไปเสียหมดว่า "คำสอนของพระพุทธเจ้าเชื่อถือไม่ได้ ดูอย่างพระเทวทัตสิ"  นี่เปรียบเทียบให้เห็นอย่างง่ายๆ ส่วนที่ว่า "4.2 การเห็นดวงแก้ว เชื่อว่าคนที่เห็นนั้น เห็นจริง แต่เป็นการสร้างนิมิต ปั้นแต่งดวงแก้วขึ้นมาเอง เมื่อเรามองภาพลูกแก้ว แล้วจำภาพนั้นไว้ เราก็สามารถนึกภาพลูกแก้วขึ้นมาได้ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นก็จะคิดว่าวิชาธรรมกายศักดิ์สิทธิ์จริงยิ่งเชื่อยิ่งหลงงมงาย" นั้น ผมขอค้านครับว่า การนึกภาพดวงแก้วที่เราเห็นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกคนก็ทำได้ การเห็นอย่างนี้แล้วมาสรุปว่า ท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านเห็นดวงธรรมแล้ว ท่านเห็นธรรมแล้วแต่ท่านยังสงสัยอยู่ว่า เห็นจริงหรือนึกขึ้นเอง อย่าสงสัยเลย ท่านเห็นแล้ว   ใครสอนหรือบอกอย่างนี้  ขอบอกว่าผิดพลาดอย่างแรงครับ  เพราะท่านไปสรุปเอาว่า การนึกเป็นมโนภาพกับการเห็นด้วยใจนั้นเป็นอย่างเดียวกัน   ผมขอทำความเข้าใจว่า  การเห็นภาพในชั้นมโมภาพนั้น กับการเห็นจริงๆ นั้น มันคนละเรื่องกันเลยครับ  กล่าวคือ  เมื่อใจคุณหยุดนิ่งรวมเป็นหนึ่งไว้ที่จุดๆ เดียวได้แล้ว (ทำสมาธิได้) ดวงธรรมก็จะผุดเกิดขึ้นมาซึ่งจะเป็นคนละดวงกับที่คุณนึก  หรืออีกนัย คุณไม่ได้นึกดวงในลักษณะอย่างนี้ สว่างอย่างนี้ ใสอย่างนี้ ขนาดอย่างนี้  แต่ก็ปรากฏว่า มีดวงธรรมลักษณะนี้เกิดขึ้นมาเอง   และคุณบังคับให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย  มีเงื่อนไขว่า ใจคุณต้องหยุดนิ่งถูกส่วนเท่านั้น ซึ่งถูกส่วนเมื่อไหร่หยุดนิ่งเมื่อไหร่ คุณคาดไม่ได้ คุณกำหนดไม่ได้   นอกจากนี้ คำว่า "ดวงธรรมผุดขึ้นมา" นั้น  จะผุดขึ้นมาจากฐานที่ 6 ขึ้นมาประมาณสองนิ้วมือตัวเราเองนั่นคือ ผุดขึ้นมาตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ถามว่า การผุดขึ้นมานั้น อยู่ในขั้นตอนการทำสมาธิที่สอนหรือปฏิบัติหรือไม่  คำตอบคือ ไม่เลย   ไม่มีขึ้นตอนนึกให้ดวงธรรมผุดขึ้นมาแต่อย่างใด  การผุดขึ้นมานั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ  เราไปฝืนไปห้ามไปกำหนดหรือไปทำไม่ได้เลย และคำว่า "ตาใจ" หรือใช้ใจมอง  ก็ต่างจากใช้มโนภาพความคิดอย่างสิ้นเชิง ขณะคุณทำตาใจได้แล้ว  ตาใจจะเปิดเป็นจังหวะเดียวกับดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมา  คุณไปบังคับให้ตาใจเปิดก่อนดวงธรรมเกิดนั้นก็ไม่มีทางทำได้เลย  หรือบังคับให้ดวงธรรมผุดขึ้นมาก่อนแล้วตาใจจึงเปิด ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เมื่อตาใจเปิด คุณจะไม่สงสัยเลยว่า เห็นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการนึกมโนภาพขึ้นมา เพราะการมองเห็นชัดเทียบเท่ากับตาเนื้อมองวัตถุสิ่งของต่างๆ เลย แถมมองได้รัศมีกว้างกว่า นึกมองไกลก็เห็นได้ไกล นึกมองไกล้ก็เห็นใกล้  เห็นคุณไปอยู่ในโลกอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่ความสว่างโล่ง มีดวงธรรมลอยเด่นอยู่ดวงเดียว ส่วนการเห็นกายธรรมนั้น  ต่อให้คุณนึกคุณจินตนาการให้คุณนึกมโนภาพเห็นกายธรรมได้รอบตัวในการเห็นคราเดียวกัน  คือ เห็นหมดทุกด้าน ไม่ว่าจะมุมใด ด้านหน้าบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง (เห็นพร้อมกันหมดทั้งด้านหน้าหลังบนล่างซ้ายขวาขององค์พระธรรมกาย)   คุณไม่สามารถจินตนาการให้มองเห็นได้ทุกด้านได้เลย ไม่เชื่อลองนึกดูเองน่ะครับ ว่าทำได้หรือไม่ แต่ถ้าคุณเข้าถึงธรรมกาย คุณจะเห็นองค์พระธรรมกายได้รอบตัวขององค์พระในคราเดียวโดยอัตโนมัน โดยไม่ต้องนึกแต่อย่างใด สิ่งนี้เป็นธรรมชาติภายใน   ต้องฝึกครับ จึงจะเข้าใจ    วิธีการมีอยู่แล้ว ถ้าตั้งใจจริงต้องทำได้ทุกคนครับ จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:16:43

ความคิดเห็นที่ 7 ชมรมพุทธศาสน์สากล = วัดพระธรรมกาย ณ ปัจจุบัน ระวังไว้...เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด (Arltenis) เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:17:51

ความคิดเห็นที่ 8 มีจอมปลวกอันหนึ่ง มีรูหลายรู ในนั้นมีแย้อยู่ตัวหนึ่ง แย้ตัวนี้กำลังเจาะรูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อุดรูนี้ ก็ไปโผล่รูนู้น ไปดูเขาไล่แย้กัน ขำ ขำ นะครับ จากคุณ : msdossys เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:41:50

ความคิดเห็นที่ 9 เคยฟังท่านเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุ ท่านบอกว่า หลวงพ่อสด ก็ไปฝึกกรรมฐานกับท่าน หลวงพ่อยังบอกว่า สมาธิที่ท่านฝึกมันไม่ทำให้พ้นทุกข์ ปล. ถ้าจำไม่ผิดนะ จากคุณ : ต้นลูกตาล เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:44:38

ความคิดเห็นที่ 10 เคยฟังเหมือนกันครับ จากคุณ : msdossys เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 23:47:19

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้เป็นข้อสงสัยส่วนตัวครับ ถ้าธรรมกายไม่ถูกต้อง  ทำไมมหาเถรสมาคม  ไม่ออกมาจัดการละครับ จากคุณ : ScubaBall เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 03:25:03

ความคิดเห็นที่ 12 1. ทำไมถึงมีคนมากมายหลงเชื่อ  "ธรรมกาย"  ? 2. ทำไมถึงมีคนมากมายหลงใช้ " พันทิพ ดอท คอม "  ? น่าจะเป็นคำตอบเดียวกัน   หรือคล้ายๆ กัน   ใช่ไหม ?  หรือไม่ ? จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 05:25:33

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เหมือนกันซะทีเดียวครับ 1.ในลัทธิธรรมกาย มีแต่คนหลง ไม่มีอริยะบุคคล   ....แต่ผมคิดว่า.... 2.พันทิป ดอท คอม มีพระอริยะเข้ามาใช้งานด้วยความไม่หลง จากคุณ : msdossys เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 07:42:50

ความคิดเห็นที่ 14 เพราะ --- ไม่เชื่อ ไม่กตัญญูต่อ พระพุทธเจ้า ฯ เพราะ ยังไม่มี สัมมาทิฏฐิ ในฐานะ อริยสาวก ขั้นโสดาบัน  -- ผู้ไม่หวั่นไหว ต่อ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 07:48:09

ความคิดเห็นที่ 15 ยกให้.. จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 07:53:00

ความคิดเห็นที่ 16 แตกต่างกันนิดหนึ่ง ๑ ผมรู้จักหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เพราะวัดพระธรรมกาย (อ่า.. ผมอายุเกิน ๓๐นะ) คือรู้จักวัดพระธรรมกาย ผมก็เลยไปค้นหาหลวงพ่อสด คือแบบว่าชอบออริจินอล และผมรู้สึกว่าสวรรค์ไปไม่ยาก แต่ไปให้ได้แน่ๆนั้นยาก ๒ ตอนผมบวชวัดไม่ได้เก็บซักกะแดง แต่ที่ต้องเป็นค่าใช้จ่ายเพราะผ้าไตรจีวรและอุปกรณ์ส่วนตัวต่างๆ และแม่ก็ใจใหญ่ืคือใจดีมาก แขกมากี่คนเลี้ยงหมด..เกือบร้อยอะ แจกพระให้คนละองค์ อนุโมทนาบุญกันจริงๆ ไม่ได้ให้วัดสักกะบาท แต่มีไทยธรรมให้พระ(ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่เรานะครับ) ผมว่าบวชพระไม่ต้องใช้เงินมากหรอก วัดเยอะแยะที่ท่านไม่เอาเงินเลย หาให้เจอก็แล้วกัน ๓ อะไรที่เขาทำแล้วดี เราก็อนุโมทนาด้วย อันนี้ไม่ขัด แต่การเผยแพร่คำสอนผิดๆ อันนี้เราต้องกำหมัด ๔ อันนี้เป็นปัญญาที่เราสะสมกันมานะ เช่น จบด็อกเตอร์ยังเชื่อเลยนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรฟะ เกี่ยวเหรอ แล้วคนมาเยอะๆมันเกี่ยวอะไร ทฤษฏีคนเยอะนี่เจอมาเยอะแล้ว ลัทธิบางลัทธิเขาให้กินยาพิษฆ่าตัวตายกันเป็นพันๆคนยังเจอมาแล้ว ไม่เห็นแปลก ส่วนเรื่องนิมิตลูกแก้ว อันนี้มันเบสิคธรรมดาของสมถะภาวนา ใครศึกษากสิณก็รู้จัก ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธ์มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นของธรรมดาที่คนทุกคนก็ทำได้ ไม่เกี่ยวกับวัด ๕ มีคนเคยบอกว่า หลักฐานที่เขาแสดงในสภานั้นเป็นของจริงนะ แต่คำพูดและเรื่องราวที่เชื่อมโยง(ของส.ส.)กับหลักฐานนั้น ไม่แน่ เรามักจะเอาเรื่องๆหนึ่งหาเหตุไปเชื่อมโยงกับเรื่องๆหนึ่งได้เสมอ ส่วนเรื่องหาคำชี้แจง ผมภาวนาว่าอย่ามาชี้แจง เพราะว่าเหม็นขี้ฟัน และรำคาญกับการตอบนอกประเด็น จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:09:31

ความคิดเห็นที่ 17 แต่คิดว่าคนไม่เชื่อจะมีเยอะกว่านาครับ ... จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:30:54

ความคิดเห็นที่ 18 ใช้ทุน นำ ธรรม......คนส่วนใหญ่ชอบ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:34:44

ความคิดเห็นที่ 19 ....หลอกคนโง่หลอกหลงตาม  หลอกง่าย    คนส่วนมากภาวนาไม่เป็น  การบอกว่า หลับตาแล้วสามารถมองเห็นภาพอัศจรรย์อะไรต่างๆ  ย่อมเป็นที่น่าทึ่ง น่าอัศจรรย์ใจสำหรับคนภาวนาไม่เป็น ที่หลับตาก็เจอแต่ความมืดตื๋อ  และเมื่อใดจิตรวมก็เจอภาพนิมิตแสนจะสวยสดนั้นจริงๆ  ยิ่งหลงติดอย่างถอนตัวไม่ขึ้น   เพราะการภาวนาเพื่อให้เกิดภาพนิมิตเป็นการภาวนาที่ง่ายที่สุด  และติดหนึบเหนียวแน่นที่สุด   แม้ท่านผู้รู้จะบอกว่าไม่ดี  ควรละภาพนิมิตนั้นออก คนที่ติดนิมิตก็ยังไม่อยากจะแก้ออก  อยากจะเห็นมันตลอดไป  ยิ่งถ้าไปส่งเสริมกันอีกว่าการเห็นนิมิตนั้นดี  แล้วแบบนี้ใครหรือจะยอมแก้  มีแต่จะเพิ่มการเห็นให้วิจิตรพิศดารมากๆๆขึ้น  ยิ่งติดจมเหนียวแน่นหนักๆขึ้น  เหมือนเอาภูเขาครอบไว้    จะหาทางออกได้ยังไงกัน ?   หมดหนทาง ...นี่แหละคือคำตอบว่า  ทำไมคนโง่จำนวนมาก  แม้ระดับมหาเศรษฐีจึงไปหลงพวกทำมะโกย จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:46:13

ความคิดเห็นที่ 20 การเ้ข้าไปฟื้นฟูวัดร้าง แล้วกลายเป็นสาขาของวัดธรรมกาย นี่เหมือนกับการเข้าครองงำหรือซื้อกิจการที่ล้มละลายในทางธุรกิจเลย ผมชอบคำว่าหน้าร้านขายของสุจริต แต่หลังร้านขายยาเสพติด เรียกว่าใครติดยาแล้วถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว และต้องไปขอเงินพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือกู้เงิน เพื่อมาซื้อยาเสพติด และอาจถึงขั้นไปขโมย หรือเป็นโจรเพื่อนำเงินมาเสพยา จากคุณ : Garcinia เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:54:13

ความคิดเห็นที่ 21 สอนผิดธรรมวินัย....สอนให้คนโง่ ตายไป...นอกจากตกนรกแล้ว ยังต้องมาโง่ต่ออีก 500 ชาติ น่ากลัวจริง ๆๆๆ คนใหญ่ในสามโลก จะกลัวไหมหน่ะ.... จากคุณ : *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:11:46

ความคิดเห็นที่ 22 คห.6 อันนั้นมิจฉาสมาธิแล้วมั๊งคะ เห็นดวงไฟ เห็นกายธรรมอะไรนั่น คือนิมิตที่จิตสร้างขึ้นมาทั้งนั้น ไม่มีอยู่จริง แต่โดนหลอกว่าเป็นของจริงต่างหาก สัมมาสมาธิจะไม่หลงกับนิมิตที่จิตสร้างขึ้นนี้ แต่จะได้เป็นจิตที่แน่วแน่ มีปัญญารู้ทันภาพนิมิตนี้ เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเมื่อออกจากฌาน เพราะยังเป็นภาพจากการปรุงแต่งของจิตอยู่ ไม่เชื่อตอนเห็นแล้วลองลืมตาออกจากสมาธิดู เห็นมันดับไปไหม ถ้ามันหายไปแสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง ถ้าลืมตาแล้วยังเห็นน่าจะปรึกษาจิตแพทย์ได้แล้วค่ะ จากคุณ : หมาชายหาด เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:57:00

ความคิดเห็นที่ 23 สาธุ จขกท ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ เก็บเข้าคลังกระทู้ด้วยครับ สักวันหนึ่งมีผู้ search หาข้อมูลจะได้พบความจริง ขอให้เจริญในธรรมครับ ปล......... "ชัยชนะที่แท้จริงอยู่ที่การลด ละ สละกิเลสภายในตนเอง" ... "ไม่ใช่ชัยชนะจากการโต้ตอบกัน".... ที่เห็นในกระทู้มีการใช้ตัวอักษรตั้งเป็นประโยคเพื่อโต้ตอบกันนั้น ก็ยังเป็นสมมติ เพียงแต่ผู้ที่อ่าน เข้าใจ "อรรถ"หรือความหมายที่ชาวพุทธแท้ๆสื่อออกไปว่า "ไม่ควรนำคำสอนที่ผิดแปลกออกไปเข้ามาปนเปในพระธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้กับพวกเรา" พระพุทธศาสนาสอนให้หมู่สัตว์ลดละ สละ กิเลส   มุ่งต่อพระนิพพาน แต่หากมีคำสอนในบางลัทธิที่ให้ทำบุญมากๆเพื่อไปสวรรค์วิมาน  ทำทานมากๆเพื่อคิดว่าสักวันจะได้ไปพระนิพพาน เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ? สอนไม่ถูกหลักพระพุทธศาสนา(และอาจจะไม่ถูกหลักในทุกๆนิกายในพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน เพราะการลด ละ กิเลสเป็นเป้าหมายที่ยอมรับกันทุกนิกาย) ทั้งๆที่ยังมีพระพุทธศาสนาแท้ๆดำรงอยู่  จึงเป็นเรื่อง "ธรรมดา"ที่มีปรากฎการณ์การพูดถึงสิ่งเหล่านี้  ไม่มีชาวพุทธคนไหนยอมรับได้ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิบากกรรมของเราๆท่านๆด้วยที่ต้องมาเจอเหตุการณ์เหล่านี้ครับ   เราๆท่านๆเองก็คงเคยทำสิ่งไม่ดีมาไว้ทำให้ต้องเจอแบบนี้ ในความเห็นผม ผมถือว่าหลายๆท่านมีความเสียสละในสิ่งนี้  รู้ทั้งรู้ว่า การเขียนออกไป ย่อมเกิดการโต้แย้ง และมีการล่วงเกินกัน แต่เขาเหล่านี้ก็อดทนและย้ำเตือนเสมอ ทำให้ให้ผู้ที่ยังใหม่หรือเข้ามาศึกษาได้รู้  ได้ตระหนัก ได้ปัญญาในการระมัดระวัง   "ติดอาวุธทางปัญญา" ผมขออนุโมทนาทุกท่านที่เสียสละสิ่งเหล่านี้ ------------------------------------------------------------------ กรณีธรรมกาย :บทเรียนเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาและสร้างสรรค์สังคมไทย ฉบับเพิ่มเติม-จัดลำดับใหม่ และพลาดไม่ได้ในเล่ม ภาค 2 บุญ-บารมีที่จะกู้แผ่นดินไทย ***เอกสารเพื่อธรรมวินัย*** http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10807358/Y10807358.html แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 13:47:23 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 11:50:48 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 11:48:12 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 11:34:42 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 11:31:15 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 11:31:00 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:22:59

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยตามความคิดที่19 ....  แต่อยากขอเสริมว่า เศรษฐีระดับกระจอกๆบางคนเท่านั้นที่อาจจะโง่จริง แต่บรรดาเศรษฐีตัวจริงของจริงเขาไม่ได้โง่ แต่พวกเขาแกล้งโง่ต่างหากละ     อะไรก็ตามที่ทำให้เคนหมู่มากศัทธา งมงายและกลายเป็นคนโง่ พวกเศรษฐีจะรีบเสนอหน้าเข้าไปสนันสนุนทันที  บรรดาพวกโง่ทั้งหลายก็จะรีบพากันยกย่อง นิยมชมชอบพวกเขา และทำตามโดยง่าย ก็เหมือนกับที่เคยอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อที่พวกเศรษฐีประชาสัมพันธ์ในทุกๆสื่อเป็นประจำอยู่แล้ว   แต่แท้จริงแล้วหารู้ไม่ว่าพวกเขาไม่อยากให้คนส่วนใหญ่ฉลาด ซึ่งจะทำให้การทำมาหากินของพวกเขาจะยากขึ้นตามมา .... ด้วยประการฉะนี้ จากคุณ : MM (ongchai_maewmong) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:43:17

ความคิดเห็นที่ 25 สังเกตใหมมีการตลาดคล่ายกันนี้ แต่หนักกว่าตามสื่อทุกวัน เห็นด้วยกับ จขกท. จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:44:26

ความคิดเห็นที่ 26 ประโยชน์อะไรเล่าในศาสนาทั้งหลาย ? - ใครตอบได้ย่อมเข้าใจ ว่าเหตุใด ธรรมกายจึงมีสาวกมาก เหตุใดเล่าเราจึงศรัทธาในพุทธศาสนา ? - ใครตอบได้ย่อมรู้ชัด ว่าพุทธศานาที่แท้คือสิ่งใด จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:00:40

ความคิดเห็นที่ 27 เหตุ 1. พุทธบริษัทไม่ได้การถ่ายทอดบอกสอนหลักธรรมที่ถูกต้องที่เป็นธรรมะจากพุทธโอษฐ์ ทั้งสงฆ์และคราวาส และเราปฎิบัติตามๆกันไปเป็นประเพณี 2. ถ้าเราศึกษาพุทธวจน และสืบทอดด้วยหลักธรรมและวินัยที่ถูกต้องดั่งที่ทรงบัญญัติเราจะเห็นพุทธศาสนาเจริญไม่มีทางเสื่อม ไม่มีการแตกแยก และการปฎิบัติที่แตกต่างกันแต่ละสำนักอย่างนี้ ทางแก้ไข เราต้องร่วมกันศึกษาธรรมะที่เป็นพุทธวจนและถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่พระพุทธองค์ทรงสอนและไม่ได้สอนออกมาเพื่อทำให้ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยได้มองเห็นหลักธรรมอย่างแท้จริงและเข้าใจว่าพระศาสดาทรงสอนอะไรและไม่ได้สอนอะไร ทางนี้ทางเดียวที่จะทำให้ศาสนาเข็มแข็ง  เราจะไปโทษคนไปวัดธรรมกายก็ไม่ถูกเพราะเขาก็คิดว่านั้นคือสิ่งที่ถูก แล้วใครล่ะพูดถูกในเมื่อทุกสำนักก็ว่าตนเองถูกทั้งนั้น มีคำเดียวที่ถูกต้องตรงจริงไม่จำกัดกาลเป็นอกาลิโกคือ "หลักธรรมจากพระพุทธวจน" จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:57:04

ความคิดเห็นที่ 28 กรณีธรรมกาย :บทเรียนเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาและสร้างสรรค์สังคมไทย ฉบับเพิ่มเติม-จัดลำดับใหม่ และพลาดไม่ได้ในเล่ม ภาค 2 บุญ-บารมีที่จะกู้แผ่นดินไทย ***เอกสารเพื่อธรรมวินัย*** http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10807358/Y10807358.html จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:46:16

ความคิดเห็นที่ 29 เพราะการสอนศาสนาพุทธแบบไทยๆมันโคตรห่วยครับ ถ้าไม่มีท่านพุทธทาส ไม่มีติช นัท ฮัน ผมก็รู้ศาสนาพุทธแค่ว่า เข้าวัด ทำบุญ ขึ้นสวรรค์ เข้าวัด สวดมนต์ ขอพร แค่นี้เลยจริงๆ ธรรมดากายเห็นตรงนี้เลยจัดให้ มาทำบุญที่ธรรมกาย ได้ขึ้นสวรรค์ชัวร์ คนก็เลยแห่กันไป แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 15:28:53 จากคุณ : Hippokib เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:19:06

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 22 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน คห.6 อันนั้นมิจฉาสมาธิแล้วมั๊งคะ เห็นดวงไฟ เห็นกายธรรมอะไรนั่น คือนิมิตที่จิตสร้างขึ้นมาทั้งนั้น ไม่มีอยู่จริง แต่โดนหลอกว่าเป็นของจริงต่างหาก สัมมาสมาธิจะไม่หลงกับนิมิตที่จิตสร้างขึ้นนี้ แต่จะได้เป็นจิตที่แน่วแน่ มีปัญญารู้ทันภาพนิมิตนี้ เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเมื่อออกจากฌาน เพราะยังเป็นภาพจากการปรุงแต่งของจิตอยู่ ไม่เชื่อตอนเห็นแล้วลองลืมตาออกจากสมาธิดู เห็นมันดับไปไหม ถ้ามันหายไปแสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง ถ้าลืมตาแล้วยังเห็นน่าจะปรึกษาจิตแพทย์ได้แล้วค่ะ จากคุณ : หมาชายหาด [FriendFlock] [Bloggang] แหม ว่าไปนั่น  ผมขอเสริมแล้วกันครับ ว่า ผมไม่ได้ติดนิมิตแต่อย่างใด แต่เขียนอธิบายเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเห็นด้วยใจกับการนึกเป็นมโนภาพนั้นมันต่างกัน การมองเห็นด้วยใจ  เป็นคนละเรื่องกับติดนิมิตน่ะครับ   ถ้าเทียบกันก็เหมือนกับคุณใช้สายตามองสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตั้งแต่คุณตื่นนอน ออกจากบ้านไปทำงาน แล้วกลับเข้าบ้านนอนหลับต่อ  ถามว่า การที่คุณใช้สายตามองเห็นวัตถุต่างๆ ที่คุณพบพาน มันหมายความว่า คุณติดวัตถุที่คุณมองเห็นหรือเปล่า เห็นไหมครับ มันคนละอย่างกัน แต่บางคนอาจจะติดใจสาวสวยๆ ดอกไม้สวยๆ ที่คุณพบเห็น อย่างนั้น ก็ค่อยมาว่ากันว่า ติดภาพสวยงาม ผมไม่ตำหนิคุณหรอกครับ  เพราะมันเป็นเรื่องยาก ละเอียดอ่อนมาก เพราะแนวปฏิบัติกันในปัจจุบันมีหลายแนว (ถูกหรือผิด ต้องไปพิจารณากันเอาเอง) แนวแรก เชื่อว่า การบรรลุธรรรมนั้น พอเราเข้าใจแล้ว ก็ปุ๊ปปั๊ป บรรลุธรรมหรือหมดกิเลสไปเองโดยอัตโนมัติ เช่น แนวทางปฏิบัติแบบเซน แนวที่สอง เชื่อว่า การบรรลุธรรมหมดกิเลสนี้ ต้องบรรลุโดยความรู้สึกนึกคิดไตร่ตรองธรรมของกายมนุษย์หยาบเท่านั้น (คือ ใช้ปัญญาของกายมนุษย์หยาบ) ไม่ได้ใช้ความสงบนิ่งของใจในการบรรลุ เช่น แนวท่านพุทธทาส หรือนักปริยัติต่างๆ แนวที่สาม เชื่อว่า บรรลุธรรมโดยใช้อำนาจของสมาธิ ตลอดจนถึงชั้นปัญญา (แต่เป็นชั้นปัญญาในขณะที่ยังเป็นสมาธิอยู่ด้วย) เช่น แนวธรรมกาย แนวที่สี่ เชื่อว่า บรรลุโดยพยายามสื่อสารกับสิ้นเร้นลับต่างๆ เช่น มองเห็นเทวดา พรหม สถานที่อันเป็นทิพย์ต่างๆ เป็นต้น โดยอาศัยกายมนุษย์หยาบในการไปรู้เห็น อาทิเช่น แนวของวัดท่าซุง แนวที่ห้า เชื่อว่า ปฏิบัติสมาธิไปแล้วก็จะรู้ไปเอง แต่ให้บอกแนวปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน กลับบอกไม่ได้  เช่น แนวอาณาปาณสติ หรือแนววัดป่าต่างๆ แนวที่หก เชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น ปฏิเสธสิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้  เช่น พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นว่ามีนรกสวรรค์พรหมรูปพรหม พวกนี้ ก็จะบอกว่า เป็นเพียงปุคลาธิษฐาน, หรือพระพุทธเจ้ามีมารมาขวางมิให้ตรัสรู้แล้วก็ทรงชนะมาร ก็จะบอกว่า เป็นเพียงความนึกคิดไปเองของพระพุทธเจ้า หรือเป็นเพียงนิมิต หรือเขียนเพิ่มเติมขึ้นมาเอง   และแนวอื่นๆ อีกมากมาย ไม่รู้จบ จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:36:54

ความคิดเห็นที่ 31 เพราะ เขาโดดเด่นเรื่อง สร้าง ทานบารมี มีการจัดการองค์กรที่ดีมากๆ   ไม่ได้ทำแล้วแต่บุญแต่กรรม กิจกรรมทั้งหมดถูกกำหนดโดย ญาณทัศนะ ที่เป็นผลของสมาธิ เพราะฉะนั้น เขาจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สามารถดึงคนที่มีกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ (สายบุญสายกรรมเก่า) ให้กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง ถ้าใครได้อ่านขั้นตอนการสร้างวัด จะพบวิธีการที่น่าสนใจมากๆ ทั้งหมดมาจากผลของสมาธิวิชชาธรรมกายทั้งสิ้น ถ้าจำไม่ผิด คนทั้งหมดที่เข้าววัดจะเคยเกิดร่วมกันมาในอดีตชาติ สมัยเดียวกับพระราชาองค์ที่ออกบวช (ลองเดาสิ) เพราะฉะนั้นถ้าว่าเรื่องกฏแห่งกรรมมีจริง คนกลุ่มนี้เคยอธิษฐานร่วมกันมาหลายภพหลายชาติแล้วครับ   อย่าไปด่าเขาว่าโง่เลยครับ เพราะมันทำให้นึกถึงศาสนาอื่น ลัทธิความเชื่ออื่นๆ แม้แต่พุทธแท้ๆ ยังทำลายความโง่ตัวเองไม่สำเร็จเยอะแยะครับ เมื่อไหร่ที่ทำลายความโง่สำเร็จ นั่นคือพระอรหันต์แล้วครับ วัดเขาก็มีข้อดีมากๆ แล้วมีข้อที่ไม่ถูกจริตกับบางกลุ่มบางพวก แต่ว่าตอนนี้ในมหาเถรสมาคม ก็ไม่มีใครออกมาค้านสักรูปเลย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:42:53

ความคิดเห็นที่ 32 วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสด ได้ถูกวัดพระธรรมกายทำให้ผิดเพี้ยนไป สอนก็ผิดเพี้ยนไปจากวิชชาดั้งเดิมมาก ผมจึงไม่ศรัทธาวัดนี้ครับ ท่านใดที่อยากศึกษาวิชชาธรรมกายที่ถูกต้องนั้น ให้ลองศึกษาตำราของวัดปากน้ำดูครับ ได้แก่ คู่มือสมภาร  หนังสือสิบแปดกาย หนังสือมรรคผลพิศดาร วิชาสะสางธาตุธรรม แล้วท่านจะเห็นว่า มีเพียงวิชชาธรรมกายเท่านั้น ที่เขียนตำราในการปฏิบัติสมาธิได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน  ตอบความสงสัยในใจไปได้เยอะ แต่ตำราดังกล่าวนี้ เขาว่ากันในทางปฏิบัติน่ะครับ  ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้หรือไม่ปฏิบัติ ก็จะนึกภาพไม่ออกว่า ผลการปฏิบัติจะเป็นอย่างไร   อย่างไรก็ตาม หากได้ลองอ่านดู แม้ยังทำไม่ได้ ก็ได้อนิสงค์มาก เป็นความรู้ติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปเลยครับ น่าเสียดายตำราที่ว่านั้น หายาก เพราะมีน้อยมาก เมื่ออ่านตำราของวัดปากน้ำแล้ว จะเห็นชัดเจนว่า หลวงพ่อสดท่านไม่ได้เน้นเรื่องการทำทาน  แต่ท่านเน้นการปฏิบัติสมถะวิปัสสนาเป็นสำคัญตลอดชีวิตของท่าน  ท่านนั่งสมาธิแทบไม่ได้หลับได้นอนทุกวัน จนกระทั่งมรณภาพ  ขนาดป่วยเจียนตายก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งสมาธิทั้งที่ยังป่วยอยู่โรงพยาบาล  ไม่ทันจะครองจีจร  (มีภาพถ่ายยืนยันได้) จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:03:49

ความคิดเห็นที่ 33 ^^ขออนุญาต คุยกับผู้ชื่นชอบ วิชชาธรรมกายด้วยกัน ไม่เกี่ยวกับท่านอื่น... ไม่ทราบว่าคุณ bodymind เคยฟังหรืออ่าน เรื่องทานวัตถุ-ฉากหลัง ของท่านหรือเปล่า รวมทั้ง เรื่อง พระของขวัญ ที่เป็นเสียงจริงของหลวงปู่ฯ ที่วัดปากน้ำในยุคนั้น จะเปิดให้โยมที่ไปรับพระของขวัญรุ่นแรกฟัง ถ้าเคยฟังเสียงท่าน หรือเคยอ่านถามว่า.... 1.ท่านสรุป เรื่องทานวัตถุ ว่าอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร 2.เรื่อง พระของขวัญ ท่านมอบให้กับผู้ที่ร่วมบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติ มีตอนหนึ่ง ท่านกล่าวถึง อานิสงส์ ของผู้ที่สร้างโรงเรียนพระปริยัติ และพระของขวัญรุ่นแรก ว่าจะได้รับผลหรืออานิสงส์ อย่างไร 3.ท่านทราบหรือไม่ว่า มูลค่า ของการสร้างโรงเรียนพระปริยัติ ในยุคนั้น เป็นเงินเท่าไหร่ ปล. อย่างไรก็ตามเห็นด้วยกับคุณเป็นอย่างยิ่ง หากผู้ที่สนใจ จะเริ่มต้นที่วัดปากน้ำ แต่ต้องเป็นที่วัดปากน้ำจริงๆไม่ใช่ที่อื่น ในส่วนวัดพระธรรมกาย แม้อาจจะมองว่ามีการสร้างวัตถุ แต่ก็ไม่หนีหลักการ เช่น หอฉัน โรงทาน โรงงานทำวิชชา เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่า จึงยอมรับว่ามีการทำทานกันจำนวนมาก แต่การสอนสมาธิ วิชชาธรรมกาย ยังเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การสวดมนต์บูชาพระ การกล่าวขอขมาพระรัตนตรัย การอาราธนาพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ ไปจนถึง การวางฐานที่ตั้งของใจ และคำภาวนา... และที่แน่นอนคือ ยังไปมาหาสู่ติดต่อครูอาจารย์ เดิมเสมอ คุณลองไปฟังที่บุคคลยุคต้นวิชชา ท่านพูดเองก็ได้>> http://www.youtube.com/results?search_query=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2&aq=f จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:43:31

ความคิดเห็นที่ 34 ถึง จขกท. คห.33 ผมแสดงความเห็นไว้ใน คห.32 ว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้เน้นเรื่องการทำทาน  ไม่ได้หมายความว่า ท่านไม่ทำทาน หรือท่านห้ามทำทาน แต่อย่างใด แต่หมายถึงว่า ท่านไม่ได้เน้นเรื่องนี้  ตลอดชีวิตของท่านๆ เน้นเรื่องปราบมาร ผมฟังเทปเสียงคำบรรยายของหลวงพ่อหมดแล้ว หนังสือบุคคลยุคต้นวิชาก็เคยอ่าน วัดพระธรรมกายก็เคยหลงเข้าไปอยู่หลายปี  ยิ่งนานวันไปความเพี้ยนก็ยิ่งมากเพิ่มขึ้น สุดท้ายรับไม่ได้  ก็เลยถอยออกมาค้นหาความจริง การสอนสมาธิในงานบุญต่างๆ ไม่ว่าจะโดยท่านธัมมชโย หรือพระอาจารย์ หรือกัลยาณมิตร  เป็นต้น  ก็สอนแบบเดียวกัน   แต่มันไม่มีประสิทธิภาพอะไรเลย คนบรรลุธรรมน้อยมาก   แต่คนไหนที่บรรลุธรรมแล้ว ก็ไม่สอนวิชาให้ลึกซึ้งขึ้นไป  แต่มอมเมาให้ไปบอกบุญ ไปเรี่ยไรให้คนมาทำบุญ  จนคนที่บรรลุธรรมนั้นเองก็เกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากบรรลุธรรมที่ลึกซึ้งขึ้นไป ขอบรรลุธรรมเพียงเท่านี้พอ แล้วก็ทุ่มเทบอกบุญเรี่ยไรเงินชาวบ้าน ผู้นำของวัดพระธรรมกาย ถูกมารหลอกรู้จูงญาณอยู่ครับ ท่านไม่รู้เท่าทันเหลี่ยมมาร เห็นอะไรในรู้ญาณ ท่านก็เชื่อเสียแล้ว แล้วก็รับบัญชามารที่แฝงตัวมา  เป้าหมายการปฏิบัติธรรมของวัดพระธรรมกายจึงเป็นเช่นนี้  ไม่มีการตรวจสอบรู้ญาณของกันและกันแต่อย่างใด ท่านธัมมชโยบอกว่า เห็นธรรรมกายเจดีย์ในละเอียด ท่านก็ไปหลงเชื่อ แท้จริงแล้วภาพที่ท่านเห็นนั้น มารเค้าฉายหนังให้ดู  มีใครไปตรวจสอบรู้ญาณของท่านบ้างว่า ท่านธัมมชโยไปรู้ไปเห็นมานั้น ถูกต้องหรือไม่   ท่านธัมมชโยเคยอธิษฐานไว้ว่า "จะเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย"  ถามว่า การอธิษฐานดังกล่าวมีค่าเทียบเท่ากับการอธิษฐานว่า "ขอเวียนว่ายตายเกิดตลอดไป" ใช่หรือไม่ เพราะสังสารวัฎนั้นไม่มีที่สิ้นสุด แล้วคุณจะเข้านิพพานเป็นคนสุดท้ายได้อย่างไร ขอให้ใช้เหตุผลไตร่ตรองดูเอาเถอะครับ ทุกวันนี้ ทางวัดพระธรรมกายยังคงทำพิธีบูชาข้าวพระกันอยู่ ถามว่า ท่านทำถึงพระพุทธเจ้าหรือไม่  ท่านตรวจสอบหรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าที่ท่านเห็นนั้นเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือมารเค้าจำแลงแปลงกายมาเป็นพระพุทธเจ้าขาวใส มารับข้าวพระนั้น จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:34:57

ความคิดเห็นที่ 35 ^^ ลีลาทำนองนี้ เข้าใจว่าท่านเป็นศิษย์ทาง คุณการุนย์ และจารย์มนัส ...งั้นรับทราบ..ขอไม่โต้แย้งตรงนี้... ไม่งั้นเค้าจะว่าได้ว่า ศิษย์สายวิชชาธรรมกาย มาแย้งกันเอง ในกระทู้ของคนอื่น... จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:14:55

ความคิดเห็นที่ 36 คุณทักษิณ ก็นำการตลาดมาใช้ในการเมืองจนประสพความสำเร็จมากนะครับ ผลประโยชน์มันเยอะมาก จะอยู่ฝ่ายไหนดีครับ ปล. อยากให้คนเก่ง เก่ง ช่วยประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ของคนในชาติเป็นหลัก       เขาจะได้รับคำสรรเสริญ แซ่ซ้อง ไปจนตาย       ทรัพย์สมบัติ ที่มี ใช้อีกกี่ชาติ ก็คงไม่หมด       แล้วคำสาปแช่งของผู้เสียหาย อีกกี่ชาติ ถึงจะหมด จากคุณ : จบสูงยังโดน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 23:12:39

ความคิดเห็นที่ 37 คือจริง ๆ วัด พธมก ชื่อเหมือนว่าจะสอนธรรมกาย ของหลวงพ่อวัดปากน้ำท่าน แต่เอาจริง ๆ คาบลูกคาบดอกยังไงก็ไม่รู้ครับ จะสอนก็เหมือนไม่สอน แต่จะว่าไม่สอนก็ไม่ได้เลย เห็นวัด พธมก สอนเรื่องแนวทางดวงกลมใสบริสุทธิ์ 072 อะไรทำนองนั้น ฟังเผิน ๆ ก็ว่าเหมือนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอน แต่ถ้าลงลึกถึงรายละเอียดอย่างจริง ๆ ผมว่ามันไม่ใช่ซะทีเดียว จะว่าถูกตามหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย ก็ถูกแค่บางส่วน แต่ส่วนที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักเดิม ก็มีไม่น้อย ซึ่งคนที่รู้จักแนวทางของหลวงพ่อวัดปากน้ำนิดหน่อย ก็มักจะเข้าใจว่า ที่วัด พธมก สอน นั่นคือหลวงพ่อวัดปากน้ำสอนมาแบบนั้น แต่จริง ๆ แค่คล้ายกันแค่บางส่วน ยังมีส่วนที่ไม่ใช่อีกมาก แต่ถ้าเป็นคนที่ศึกษาแนวทางของหลวงพ่อวัดปากน้ำมาจนเข้าใจดี ถ้าฟังที่วัด พธมก สอน ก็น่าจะรู้อย่างที่ผมบอกแล้ว ถูกบ้าง แต่ถูกไม่หมด คือในส่วนนี้ ผมจะชมว่าถูกก็ไม่ได้ จะด่าว่าผิดก็ไม่ได้ แต่แนวทางการปฏิบัติ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านวางไว้สืบมา ถ้าเขาแสดงตัวว่า เขาเป็นผู้สืบทอดแนวทางของท่ีานจริง ๆ สิ่งที่ควรทำ ก็คือการรักษาความถูกต้องของแนวทางนั้นไว้ โดยรายละเอียดปลีกย่อย อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง แต่โดยหลักการใหญ่ ๆ ทั้งในเบื้องต้น และเบื้องสูงต่อ ๆ ไป ก็ควรที่จะรักษาเอาไว้ ให้ครบและตรง 100% ซึ่งจริง ๆ มันต้องทำอยู่แล้ว ส่วนเรื่องแนวทางกิจกรรมของวัด พธมก ที่ทำอยู่ตอนนี้ จริง ๆ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านไม่ค่อยเน้นเรื่องอามิสทานเท่าใดนัก ถ้าจะว่าการตั้งหอฉัน เลี้ยงพระภิกษุสามเณรทั้งวัดทุกวันโดยไม่ต้องออกบิณฑบาต ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นอามิสทานที่ท่านให้ความสำคัญ ก็ใช่ แต่จุดมุ่งหมายของท่านจริง ๆ ท่านต้องการให้พระภิกษุสามเณรไม่ต้องกังวลเรื่องบิณฑบาต เข้ามาวัดปากน้ำแล้ว จะได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในพุทธศาสนาได้เต็มที่ สิ่งที่ท่านเน้นจริง ๆ คือธรรมทาน การให้ธรรมะทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ไม่ใช่แค่กับพระสงฆ์ แต่ท่านให้กับทุกคนจริง ๆ ให้เปล่า ให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผมก็ว่า วัด พธมก ควรจะลดความสำคัญของอามิสทานลง แล้วหันมามุ่งเน้นธรรมทานจริง ๆ ให้มากขึ้น ผมบอกว่า วัด พธมก ก็ควรต้องยอมขาดทุนบ้าง ไม่ใช่เอากำไรกันอย่างเดียว เรื่องการก่อสร้างต่าง ๆ อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ควรให้ฟุ่มเฟือย ไม่ต้องคิดหา project ระดมทุนใหม่ ๆ ก็อยู่ได้ วัดใหญ่ ๆ หลายวัดเขาก็อยู่กันได้ ไม่จำเป็นต้องระดมทุนแบบองค์กรการเงิน ส่วนเรื่องโครงการอบรมศีลธรรมต่าง ๆ จริง ๆ วัด พธมก ก็ทำได้ดีนะ แต่ว่ายังติดเอากำไรอยู่ เขาเอาคนมาอบรม แต่เขาดันเอาคนพวกนั้น มายืนเรียงแถวแบบ ร.ด. แล้วถ่ายรูปให้คนเยอะ ๆ ไว้ก่อน แล้วก็เอารูปพวกนั้น เอาจำนวนคนที่เข้ามาอบรม ไปเชิญชวนให้คนมาเข้าวัด มาชื่นชมว่าสามารถเป็นศูนย์กลางพุทธโลก เอามาขายต่อ ผมมองว่าแบบนี้ไม่ได้ให้กันแบบฟรี ๆ ดูผิวเผินไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จริง ๆ เข้ามาก็จ่ายให้เขาแบบไม่รู้ตัวแล้ว อย่างน้อยก็จ่ายด้วยการเป็น presenter ให้ คือโครงการพวกนั้นไม่ได้แจกฟรีจริง ๆ กลายเป็นการส่งเสริมการขายซะมากกว่า ไม่ได้คิดจะให้จริง ๆ คิดแต่จะเอา แล้วกลบเกลื่อนด้วยการให้ฟรี ซึ่งธรรมทานอย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำทำ ก็ไม่ใช่แบบนี้ จริง ๆ ผมว่าท่านก็ไม่ได้แคร์อะไรด้วยซ้ำ ท่านตั้งใจจะให้จริง ไม่มีการถอนทุนคืน ถึงเวลาถ้าดีจริงคนก็ยอมรับเอง ไม่ต้องเสียค่าประชาสัมพันธ์ คือถ้าวัด พธมก ทำดี ๆ ทำดีจริง ๆ บริสุทธิ์ใจ ก็ไม่มีใครด่าหรอกครับ ถ้าปรับปรุงกันสักหน่อย ทำแบบบริสุทธิ์ใจ คนก็เลิกด่าแล้ว ชื่นชมเสียด้วยซ้ำ คนที่เขาอยากเตือน ก็มีเยอะ ทั้งในสายหลวงพ่อวัดปากน้ำและนอกสาย วัด พธมก ก็ควรฟัง ๆ เขาบ้าง ฟังแล้วมาปรับปรุงทันที ไม่ใช่คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ไม่ฟังใคร ทู่ซี้ทำต่อไป คิดว่าตัวทำถูกแล้ว คนที่ทำผิด ถ้าเขาเตือนแล้วไม่รู้ตัว ก็จะผิดไปเรื่อย ๆ แล้วจะแก้ไขยาก ผมไม่ได้อยากจับผิดนะว่าวัด พธมก ทำผิดตรงนั้นตรงนี้ แต่ผมอยากจะบอกว่าวัด พธมก ก็ยังมีดีอยู่บ้าง แล้วยังดีได้อีก ถ้าแก้ไขในสิ่งที่ควรแก้ ก็อยากจะฝากถึงวัด พธมก ด้วยความหวังดี จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 02:41:43

ความคิดเห็นที่ 38 ===== "โสดาปัตติมรรค" ก็ชัดแจ้งอยู่แล้ว ===== ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า...ถ้าหากว่ามุ่งหมายไปที่ความ "หลุดพ้น" ยังไงเสียก็จะได้ "สุคติภูมิ" เป็นของแถมระหว่างทาง...แต่ทว่าถ้าหาก ปรารถนา "สุขคติภูมิ" ด้วยความ "ยึดมั่นถือมั่น" ตามแนวทางของธัมมชโยอลัชชีโมฆะบุรุษ ผลลัพธ์อาจจะจบอยู่ที่ทุคติภูมิด้วยเหตุจากการกระทำชั่ว ด้วยว่าหลงระเริงไปกับอานิสงส์แห่งบารมีที่ไร้ปัญญา "มิจฉาทิฏฐิ" ที่ร้ายแรงที่สุดประการหนึ่งที่ลัทธิธัมมชโยเป็นตัวต้นตอแพร่เชื้อโรคทางจิตวิญญาณ...ก็คือ "การคิดว่าการปฏิบัติธรรม เพื่อประกันชาติภพ...แยกออกต่างหากจากการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น" ทั้งที่จริงๆแล้ว...ตามหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านทรง บัญญัติให้ไว้ ทั้ง 2 สิ่งนี้มันไม่ได้แยกออกจากกัน...หนำซ้ำ มันยังจะเป็น 2 สิ่งที่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไปอย่างที่ว่าจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปเสียไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากว่าการบำเพ็ญบารมีไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม จำเป็นที่สุดที่จะต้องมี "ปัญญาบารมี" มากำกับเอาไว้อย่างใกล้ชิด (ขั้นต่ำสุดก็คืออย่างน้อย "ทิฏฐิ" ก็ต้องถูกต้อง) เพราะว่าถ้าหากว่าเราไม่มี "ปัญญาบารมี" ก็มีโอกาสสูงมากที่เราจะลุ่มหลงระเริงไปกับ "อานิสงส์แห่งบารมี" ประเภทอื่นๆ...อันเป็นเหตุให้ไหลลงไปสู่ทางเสื่อม ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดกับกรณีที่มีบารมีประเภทอื่นๆสูงส่ง หากแต่ว่าไม่มี "ปัญญาบารมี" ก็ดังเช่น "พระเทวทัต" ที่ได้เกิดมาเป็นถึงชนชั้นปกครอง ครั้นเวลาบำเพ็ญเพียรก็ได้ถึงขั้นอภิญญา...ทว่าสุดท้าย ด้วยความยึดมั่นถือมั่นอันแรงกล้าจนกลายเป็นความริษยาต่อพระพุทธเจ้า...อยากมีตัวฉันอยากมีของฉันที่ทัดเทียมกับพระพุทธเจ้า ก็เลยได้ก่ออนันตริยกรรมแล้วก็ต้องรับผลกรรมกันไปตามระเบียบ...นะ นี้แหละ...ภัยอันตรายอันร้ายแรงของการที่เอาแต่สั่งสมบารมี ประเภทอื่นๆโดยไม่สนใจที่จะขัดเกล่า "ปัญญาบารมี" ไม่มี "ปัญญาบารมี" มากำกับ "ปัญญาบารมี" จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในพระพุทธศาสนา...เป็นจุดมุ่งหมายที่ต้องเริ่มต้นก้าวเดินไปในทันทีของพุทธศาสนิกทุกคน แต่กระนั้น...ลัทธิธัมมชโยกลับไม่เคยเลย ที่จะเผยแผ่แนวทางที่เป็นการขัดเกลา "ปัญญาบารมี" หนำซ้ำ...ยังจะจับแยกออกต่างหาก แยกออกจากวิธีการปฏิบัติธรรมตามปกติ ของลัทธิของตน...หลอกลวงพุทธศาสนิกว่าพุทธศาสนิกยังมีบารมีไม่สูงพอที่จะขัดเกลา "ปัญญาบารมี" ให้สั่งสมบารมีประเภทอื่นๆไปก่อ ขอบอกเลยนะ...ว่ามันหลอกลวงทั้งเพ มันเป็นการล้างสมองให้พุทธศาสนิกมอมเมาอยู่แต่กับอานิสงส์แห่งบารมี...ดักดานอยู่แต่กับธรรมแบบโลกีย์ (โลกียธรรม) อย่างที่ไม่มีโอกาสเลยที่จะหลุดรอดออกมาพบกับธรรมแบบหลุดพ้นจากโลก (โลกุตรธรรม) นะ...ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านทรง บัญญัติแนวทางเอาไว้ชัดเจน แต่ลัทธิธัมมชโยกลับหมกเม็ด ทำเบลอ...ทำมึนส์ ปกปิดและบิดเบือนหนทางอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? ก็เพื่อผลประโยชน์ อาศัยเครดิตของพระพุทธเจ้า...อาศัยเครื่องแบบของพระพุทธเจ้า ไปใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งในรูปแบบของ เงินทอง อำนาจ และแม้แต่ ศรัทธา นะ...มันเลวร้ายกันขนาดนี้ ถ้ายังจะไปสนับสนุน...ผลกรรมอะไรที่รออยู่ ไม่อยากจะนึก ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ===== เล่ห์กลอีกบางประการที่ลัทธิธัมมชโยนิยมใช้ ===== 1. ด้วยเหตุที่ว่าลัทธิธัมมชโยนั้นอาศัยเครื่องแบบของพระพุทธเจ้าในการแสวงหาผลประโยชน์...สาวกลัทธิจึงมีลักษณะภายนอกที่เหมือนเป๊ะๆ กับพระสงฆ์ ด้วยเหตุนั้น...ลัทธิธัมมชโยจึงยกระดับอำนาจของตนเอง ด้วยกลวิธีการเชิดชูพระสงฆ์ (และ/หรือคนที่แต่งกายเหมือนพระสงฆ์) ให้มีฐานะที่ "สูงส่งสูงลิ่ว" จน "เกินพอดี" เพื่อให้พุทธศาสนิกเกิดความเกรงกลัว...ไม่กล้าที่จะแสดงความขุ่นข้องต่อพระสงฆ์ (และ/หรือคนที่ แต่งกายเหมือนพระสงฆ์) ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ...ไม่กล้าแม้แต่ที่จะนำเสนอข้อคิดเห็นใดๆหรือว่าท้วงติงข้อสงสัยใดๆต่อพระสงฆ์ (และ/หรือ คนที่แต่งกายเหมือนพระสงฆ์) เพราะว่าลัทธิธัมมชโยใส่ไฟเอาไว้เยอะว่า เดี๋ยวบาปอย่างนี้...เดี๋ยวบาปอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าพระสงฆ์ (และ/หรือคนที่แต่งกายเหมือนพระสงฆ์) พูดอะไรบอกอะไร...ก็พากันหลับหูหลับตาเชื่อกันหมดถือกันหมด ไม่เคยเลยที่จะขบคิดสงสัย เพราะว่าเกรงกลัวจากการถูกใส่ไฟว่าถ้าขบคิดสงสัยพระสงฆ์ (และ/หรือคนที่แต่งกายเหมือนพระสงฆ์) แล้วจะเป็นบาปหนัก...บ้อบอ ขอบอก เลยจริงจังนะ...ว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง...ท่านยังทรงอนุญาตให้ซักไซ้ไล่เลียงได้อย่างถึงพริกถึงขิงในทุกกรณีได้จนคลายความสงสัย ไม่ได้หวงห้าม แต่ลัทธิธัมมชโย กลับพยายามทำให้พุทธศาสนิกเข้าใจว่ามันหวงห้าม...นะ แล้วพอมีคนจริงเข้าไปซักไซ้ไล่เลียงค้นหาความจริง...ก็จะเปลี่ยน ไปใช้มุกที่ว่าประมาณว่า เรื่องที่ถามมันเป็นเรื่องที่ละเอียด...เรื่องที่ถามมันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง อธิบายไปตอนนี้ยังไงก็ไม่เข้าใจ...ให้ไปเร่งบำเพ็ญ บารมีก่อน (เข้าอีหรอบย่อหน้าแรก) หรือว่าถ้าไม่ใช้มุกนี้...ก็จะแถกแถไปยังอะไรที่มันเป็นนามธรรมจ๋า ศัพท์เทคนิคเยอะๆ...ศัพท์เฉพาะแยะๆ ให้มันทำความเข้าใจยากเย็นเข้าไว้ จะได้ไถลเถลือกเอาตัวรอดได้ง่ายๆ...นะ แล้วก็ไม่ได้คำตอบอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน 2. เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของพุทธศาสนิก...เพื่อไม่ให้พุทธศาสนิกจับไต่ได้ว่าลัทธิธัมมชโยปกปิดและบิดเบือนแนวทางของพระพุทธเจ้า ก็เลยอุปโลก "ภัยภายนอก" สรรค์หาสร้างเสริมเรื่องว่าศาสนิกอื่นจะมาล้มล้างพระพุทธศาสนา ว่ามีการแก่งแย่งศาสนิกบ้าง...ว่ามีการกดขี่ศาสนิกบ้าง นะ...จากนั้นพอพุทธศาสนิกผู้ที่ตลอดชีวิตไม่เคยได้สดับรับฟังกาลามสูตรกำลังตื่นตระหนกกันได้ที่ จังหวะต่อไปก็เลยสถาปนาลัทธิของตนเองว่าเป็น พระเอกปกป้องพระพุทธศาสนา จนกลายเป็นว่าถ้าใครก็ตามมาต่อต้านลัทธิธัมมชโย...หมายความว่าใครคนนั้นจ้องที่จะล้มล้างพระพุทธศาสนา (เข้าอีหรอบประเด็น "โกหัญวิธี" ที่มีการใส่ร้ายป้ายสีท่านพระพรหมคุณาภรณ์ว่า "รับจ้างคริสต์มาล้มพุทธ") ทั้งที่จริงจัง "ภัยภายนอก" นั้น...เล็กน้อย มากมายเมื่อเทียบกับ "ภัยภายใน" อ้างอิงจากพุทธวัจนะที่ว่า "พระพุทธศาสนาจะเสื่อมลงก็เพราะพุทธศาสนิกไม่สนใจธรรมที่แท้...จากพระสงฆ์ที่แท้ แต่กลับไปลุ่มหลงอยู่กับสัทธรรมปฏิรูป...จากอลัชชีโมฆะบุรุษ" ใครล่ะ? ก็ใครล่ะ? ที่ไม่เคยเลยที่จะส่งเสริม "โลกุตรธรรม" ไม่เคยเลยที่จะเทศน์สอน "ปฏิจสมุปบาท" ไม่เคยเลยที่จะเทศน์สอน "อิทัปปัจยตา" ไม่เคยเลยที่จะเทศน์สอน "อริยสัจ 4" เอาแต่กระหน่ำวางแผนโปรโมชั้นบิ๊กบุญระดมทุนทรัพย์ ระดมศรัทธา...ล่อหลอกด้วยอามิสทิพย์ ทำให้พุทธศาสนิกลุ่มหลงงงงวยอยู่แต่กับธรรมแบบโลกีย์ๆ นี้แหละ "ภัยภายใน" ที่ร้ายแรงแซงทางโค้งยิ่งกว่า "ภัยภายนอก" เยอะแยะ 3. ลัทธิธัมมชโยเองก็รู้ตัวดีว่าหลักการปฏิบัติของลัทธิของตนเองนั้นผิดเพี้ยนไปจากหลักการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า (ดังเช่นย่อหน้าแรก) หนำซ้ำยังเทียบกันไม่ได้ ทั้งในแง่ของจุดหมายและความปลอดภัยระหว่างทาง ถ้าหากว่าพุทธศาสนิกท่านใดลองได้ศึกษาค้นคว้าลงลึกไปในระดับของ "โลกุตรธรรม" แล้ว...แน่นอนว่า จะสังเกตุเห็นได้ถึงความ "วิปริต" จากนั้นก็จะถอยห่าง...อันจะนำความเสียหายมาสู่ลัทธิของตน ลัทธิธัมมชโยก็เลยใช้กลวิธีการ "เอาแนวทางแห่งความเจริญ มาครอบบังแนวทางแห่งความเสื่อม" ให้กิจกรรมทุกกิจกรรม...เป็นไปในลักษณะ "กึ่งทางเจริญ...กึ่งทางเสื่อม" เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนและเป็นการกระจายความสนใจ ทำให้ฝ่ายที่จะทัดทานก็ไม่อาจทัดทานได้อย่างเต็มปาก...ทำให้องค์กรที่มีอำนาจจะลงดาบก็ลงดาบได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งเวลาที่มีใครมา Comment หรือ Complain จะได้มีข้ออ้าง...ดังเช่นที่เราๆท่านๆได้เห็นได้ยินกันอยู่ ก็คือ "อย่างน้อยเค้าก็ชวนพุทธศาสนิกให้หันมาทำความดีกันได้เยอะนะ" หรือ "อย่างน้อยเค้าก็ทำให้ วัดร้างในประเทศไทยมีจำนวนที่น้อยลงนะ" หรือ ฯลฯ เป็นต้น อันนี้ไม่เถียง...เพราะว่าลัทธิธัมมชโยสามารถทำได้จริงจัง ก็เห็นอยู่...ก็รู้อยู่ แต่...อย่าลืมนะว่า ลัทธิธัมมชโย เอ่ยอ้างตัวเองว่าจะเป็นถึงศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในระดับโลก...ดังนั้น จุดโฟกัสสำคัญที่สุดที่เราๆท่านๆที่เป็นพุทธศาสนิกทั้งหลายควรจะ ให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรกเลยก็คือ "ความถูกต้องของแนวทางทั้งการปริยัติและการปฏิบัติ" ต้องสนใจจุดนี้จุดเดียวเลยอย่างจริงจัง ถ้าหากว่าจุดนี้ล้มเหลว ไม่ว่าลัทธิธัมมชโยจะสรรค์สร้างปรากฏการณ์อะไรได้ก็ตาม...ก็ต้องถือว่าล้มเหลว เนื่องจากว่าอย่าลืมนะ...ว่าลัทธิธัมมชโยเอ่ยอ้างเอาไว้ว่าจะเป็น "ศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนาในระดับโลก" นะ...ไม่ใช่ "องค์กรสังคมสงเคราะห์" แต่เป็น "บริษัทของพระพุทธเจ้า" เพราะฉะนั้นนโยบายและหลักการรวมถึงกลยุทธ์ก็จะต้อง อ้างอิงมาจากพระพุทธเจ้าให้เป๊ะๆ...ไม่ใช่ว่าหยิบมาแค่ส่วนหนึ่งแล้วแต่งแต้มเติมเอาเองอีกส่วนหนึ่ง จะใช้เครดิตของพระพุทธเจ้า...จะใช้เครื่องแบบของพระพุทธเจ้า ก็ต้องหยิบมาทั้งหมด...ก็ต้องหยิบมาทั้ง 100% นะ...เราๆท่านๆควรจะโฟกัสกันที่จุดนี้จุดเดียวกันให้มากมาย ไม่อย่างนั้น...ผลลัพธ์ก็อย่างที่เราๆท่านๆได้เห็นได้ยิน กันอยู่ ถูกตบตา...ด้วยกิจกรรมอลังการมากมาย ถูกตบตา...ด้วยการจัดฉากให้มีภาพลักษณ์อันงดงาม ถูกมอมเมา...ด้วยเมืองแก้วเมืองสวรรค์ ถูกมอมเมา...ด้วย ธรรมแบบโลกีย์ๆอานิสงส์บุญนั้นบุญนี้ ฯลฯ เป็นต้น โดยไม่ได้เอะใจเลย...ว่าสิ่งที่ตนเชื่อถือว่าสิ่งที่ตนศรัทธานั้นน่ะ มันมี "หน้าตา" คล้ายกับพระพุทธศาสนาก็จริง แต่โดยเนื้อหาสาระในเบื้องลึก มันใช่พระพุทธศาสนาจริงจังรึเปล่า? มันเหมือนแค่หน้าตาหรือเปล่า? มันเหมือนแค่เปลือกหรือเปล่า? ระวังนะ...ฉุกคิดกันให้ได้ ก่อนที่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะต้องตกอยู่ในสภาพอันน่าสมเพชเป็นที่สุดดังเช่น "ต้นไม้ที่ยืนต้นตาย" จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด (Arltenis) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 08:55:50

ความคิดเห็นที่ 39 ลัทธิธรรมกาย ไม่ใช่หรอกค่ะ ชื่อที่ถูกต้องคือ วัดพระธรรมกาย คนมากมายที่คุณพูดถึงไม่ได้หลงเชื่อวัดพระธรรมกายหรอกค่ะ แต่เขาศึกษา แล้วปฏิบัติ ชีวิตมีแต่ดีขึ้น ไม่ได้งมงาย ********* ถ้าฟัง DMC แล้วจับผิดทุกประเด็น อย่าฟัง อย่าดูเลยค่ะ เสียเวลา สิ่งดี ๆ มีตั้งมากมาย แต่แปลเป็นความอคติหมด อย่าทำลายคนอื่นค่ะ จะมีกรรมติดตัวไปเปล่า ๆ จากคุณ : ขอตอบบ้าง (paw_tankun) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 13:25:31

ความคิดเห็นที่ 40 อย่ามีแต่จิตที่คิดจะทำลายคนอื่นอย่างเดียว สิ่งที่พวกคุณเขียนมาโจมตีก็ไม่ได้น่าเชื่อถืออะไร ไม่เชื่อหรอกค่ะ ใช้ปัญญาพิจารณา และศึกษาถึงความเป็นจริง ถ้าเชื่อสิ่งที่พวกคุณให้ข้อมูลมา ก็ไม่ต้องมีสมองไว้คิดอะไรแล้ว แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 54 13:31:58 จากคุณ : กิเลสหนาก็ปัญญาหยาบ (paw_tankun) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 13:31:22

ความคิดเห็นที่ 41 ปุจฉา      แมลงเม่า ชอบบินเข้าหาอะไร ?? วิสัชชนา  ชอบบินเข้าหาแสง !!! ใครๆ ก็กลัวตก  นรก    ....เขาว่ามาอย่างนั้นน่ะ แต่ที่นี่ซื้อบุญได้  ซื้อสวรรค์ได้ ซื้อมาก ก็ได้บุญมาก มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้ขึ้นสวรรค์  จริงหรือ?? ท่านทำมะชะโย ?? โพธิปักขิยธรรม 37 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทำให้มาก เช่น อานาปานสติ ไม่ต้องสอน สติปัฏฐานสี่ ไม่ต้องสอน สัมมัปปธานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด... อริยมรรค มีองค์ แปด ..ไม่เน้น เพราะว่ามันยาก แมลงเม่าบินเข้ามายาก แต่ที่สอนมากคือ... เน้นให้หลงติดในรูปนิมิต เห็นแสง......มันง่ายมากเลย แมลงเม่าชอบบินเข้าหาแสง กรรมของเขาเหล่านั้นเป็นเช่นนั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นโดยประการอื่น  เมื่อกลัวตกนรกเป็นปัจจัยจึงถูกหลอกให้ซื้อบุญเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งหลงบุญจึงเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์นั้นเอาดีได้แม้ในวินาทีสุดท้ายก่อนตาย ท่านที่ศึกษาจากพระไตรปิฎก  คงพอทราบว่า มีหลายท่าน สำเร็จเป็นโสดาบัน หรือสูงขึ้นไป ก่อนเสียชีวิต ดังนั้น สาวกธรรมกาย ทั้งหลาย แนะนำให้หันมาสนใจศึกษา คำสอนของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกให้มาก ปฏิบัติให้มาก ถ้าคิดว่าอายุเยอะแล้ว แต่มีเวลาน้อย ก็ศึกษา โพธิปักขิยธรรม 37 ก็ได้ (ไม่มากเกินไป) หรือศึกษา พระสูตร เพียง อนัตตลักขณสูตร ให้ถ่องแท้ และปฏิบัติตาม ก็น่าจะนำพาตน(ที่ถูกสมมติว่ามีอยู่) ให้ก้าวข้ามพ้นทุกข์ไปได้ หรือจะพิจารณา ตาม คุณของพระธรรมนี้ก็ได้ คุณแห่งพระธรรม ......วิญญูฮีติ....  วิญญูชนทั้งหลาย   จงเข้ามาดู มาพิจารณา ..... สวากขาโต-ภควตา ธรรมโม   พระพุทธองค์ตรัสไว้ ให้พิจารณา ธรรมเป็น อนัตตา                                      จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์แท้ ๆ สันทิฏฐิโก-  องค์แห่งมรรคหนึ่งคู่ของพระอริยเจ้า คือปัญญา 2 ประการ คือ                สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ   ปัญญาที่ทำให้สงบ เย็น อกาลิโก-    ปฏิบัติได้ พิจารณาได้ ไม่จำกัดกาลเวลา                  ที่จะส่งผลให้แก่  พระอาจารมรรค 4 องค์ เอหิปัสสิโก- กวักร้องเรียกให้เฝ้าดูเฝ้าพิจารณา รูปธาตุ นามธาตุ     โอปนยิโก-  น้อมเฝ้าดูเฝ้าพิจารณาในกาย   จิต เจตสิก รูป ในกาย เป็นอนัตตา                 เกิดสังขารุเปกขาญาณ ยื่นส่งให้มรรคสี่รับเอา ปัจจัตตัง   เวทิตัพโพ-มรรคสี่รับเอาแล้วตัดกิเลส อยู่กันตามลำพัง               ได้ผลเป็น อริยะ* ทั้งสี่ รู้ได้เฉพาะตน (อริยะ*ทั้งสี่ คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์) หมายเหตุ การแปล คุณแห่งพระธรรมนี้ นำคำว่า วิญญูฮีติ ไว้ขึ้นต้น ไม่ได้มีเจตนาให้แตกต่างออกไปจากที่อื่นๆ แต่เพื่อให้ อ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้น จึงนำขึ้นมาไว้เป็นคำแรก ...อย่าลืม โอปนยิโก... แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 54 16:12:25 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 54 16:01:45 จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 15:59:16

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ยอมมุ่งหมายที่จะสำเร็จโสดาบันในชาตินี้ (ตามแนวทางอันประเสริฐชองพระพุทธเจ้า) แต่กลับมุ่งหมายที่จะไปอยู่วงบุญพิเศษในชาติหน้า (ตามคำล่อลวง มอมเมาของธัมมชโยอลัชชีโมฆะบุรุษ) มันเรียกว่า "นอกรีต" นะครับ จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด (Arltenis) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 21:06:48

ความคิดเห็นที่ 43 อวิชชาตัวเดียว จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 21:49:04

ความคิดเห็นที่ 44 ดีใจจังเราเข้าใจความเห็น 14 ของท่านเซนแล้ว สรุปดูนะว่าถูกไหม ---ตัดไข่ปลาและคำอธิบายออก เรียงหัวข้อใหม่--- 1. เพราะ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า 2. เพราะ ไม่กตัญญูต่อพระพุทธเจ้า 3. เพราะ ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 22:23:22

ความคิดเห็นที่ 45 เค้าปล่อยแสงวูบๆวาบๆ ทำให้คนไร้สติปัญญาเชื่อกันถ้วนหน้า จากคุณ : มหาบุรุษแห่งกรุงสยาม เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 22:30:21

ความคิดเห็นที่ 46 ความเห็นที่42 การไม่ปรารถนาบรรลุโสดาบันในชาตินี้ไม่แปลกหรอกครับ เพราะหากปรารถนาพุทธภูมิ ก็ต้องสร้างบารมีเพิ่ม ไปศึกษาเรื่องของสุเมธดาบสดูนะครับ จากคุณ : ชายกลางสุดหล่อ (ชายกลางสุดหล่อ) เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 15:41:23

ความคิดเห็นที่ 47 คนส่วนมากมักสนใจฝักใฝ่ต่ออิทธิฤทธิ์หรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เลยกลายเป็นจุดอ่อนให้คนที่คิดไม่ดีหลอกได้ง่าย พระพุทธเจ้าท่านสอนคนให้พ้นทุกข์ ท่านไม่ได้เน้นที่อิทธิฤทธิ์หรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ท่านเน้นที่สุดคือที่ปัญญาเท่านั้น พระองค์ทรงตรัสพุทธภาษิตไว้ว่า"อันบุคคลจะล่วงทุกข์ได้ก็ด้วยปัญญา" ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ก็มีอยู่จริงแต่ไม่ใช่สิ่งสําคัญหรือสิ่งที่จําเป็น มันเป็นเพียงผลพลอยได้จากสมาธิก็แค่นั้นเอง ฉนั้นฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์จึงไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์ อย่าไปสนใจมัน ปัญญาเท่านั้นที่จําเป็นอย่างยิ่ง พระอรหันต์ผู้ที่เป็น "สุขะวิปัสสโก" ท่านไม่มีฌานไม่มีฤทธิ์ไม่สามารถแสดงสิ่งต่างๆที่เหนือธรรมชาติได้ แต่ท่านหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ท่านได้รู้ตามที่พระพุทธเจ้ารู้ ท่านได้ทําตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้อย่างสมบูรณ์ ฉนั้นผู้ที่เป็นสัตตบุรุษหรือผู้ที่มีปัญญาย่อมไม่ไปข้องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายอย่างแน่นอนครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 54 19:13:09 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 54 19:12:07 จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 19:09:25

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 46 ท่าน "ชายกลางสุดหล่อ" ครับ ตกลงสาวกลัทธิธัมมชโย...ปรารถนาพุทธภูมิกันหมดเลยเหรอครับ? ไม่หรอกมั้ง? เอาเป็นว่า 1. ถ้าหากว่าปรารถนาพุทธภูมิกันจริงจัง...ก็ลองไปศึกษาเรื่องของ "พระศรีอาริยเมตไตรย" ดูนะครับ...ว่าถ้าหากว่าบวชเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้ว แต่ปรารถนาพุทธภูมิ (ไม่ปรารถนามรรคผลนิพพาน) ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรต่อพระพุทธศาสนา (ที่ยังคงอยู่...ยังไม่ได้สูญสลายหายไปไหน) รวมถึง ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรต่อบรรดาพุทธศาสนิกและสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ถึงจะเป็นการสมควร...ถึงจะไม่ได้เป็นการล่อหลอกมอมเมา ให้พุทธศาสนิกเกิดศรัทธาด้วยมิจฉาทิฏฐิแล้วมาหลอกตบทรัพย์เอาภายหลัง 2. ถ้าหากว่าไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ...โดยหลักการแล้ว พระสงฆ์...ที่ถือได้ว่าเป็นพี่ใหญ่ของพุทธบริษัท ควรจะมุ่งหมายเผยแผ่หลักธรรมที่จะนำไปสู่ ความเป็นอริยบุคคล (ขั้นต่ำที่สุด...ก็คือ "โสดาบัน") ที่เป็นหลักประกันแน่นอนว่าจะไม่หลุดไปยังทุขคติภูมิ...ที่เป็นหลักประกันแน่นอนว่าจะมุ่งตรงไปสู่ มรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน (แน่นอนกว่าวงบุญพิเศษของลัทธิธัมมชโยเยอะแยะ) ถ้าหากว่ากระทำอะไรที่นอกเหนือจากนั้น...ถ้าไม่เรียกว่า "บกพร่อง ในหน้าที่" (ไม่อาจจะเป็นเื้นื้อนาบุญที่ดีได้) ก็ต้องเรียกว่า "นอกรีต" (ยิ่งไม่อาจจะเป็นเื้นื้อนาบุญที่ดีได้เข้าไปใหญ่) ล่ะครับ Ref: "มิจฉาทิฏฐิ" จาก....พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประศัพท์ โดย...ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%B7%D4%AF%B0%D4 จากคุณ : นักศึกษาธรรมมะฝึกหัด (Arltenis) เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 21:35:23

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 31 จากคุณ : venture “...กิจกรรมทั้งหมดถูกกำหนดโดย ญาณทัศนะ ที่เป็นผลของสมาธิ เพราะฉะนั้น เขาจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สามารถดึงคนที่มีกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ (สายบุญสายกรรมเก่า) ให้กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง ถ้าใครได้อ่านขั้นตอนการสร้างวัด จะพบวิธีการที่น่าสนใจมากๆ ทั้งหมดมาจากผลของสมาธิวิชชาธรรมกายทั้งสิ้น ถ้าจำไม่ผิด คนทั้งหมดที่เข้าววัดจะเคยเกิดร่วมกันมาในอดีตชาติ สมัยเดียวกับพระราชาองค์ที่ออกบวช (ลองเดาสิ)...” ู^ ^ ขนาดนั้นเลยหรือครับ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 08:43:43

ความคิดเห็นที่ 50 ความคิดเห็นที่ 31 จากคุณ : venture "...วัดเขาก็มีข้อดีมากๆ แล้วมีข้อที่ไม่ถูกจริตกับบางกลุ่มบางพวก..." อันนี้จริงครับ ลัทธิธรรมกายก็มีข้อดีอยู่มาก แต่ข้อเสียก็มากมายเหมือนกัน ผู้ที่หลงเชื่อไปกับลัทธินี้ ก็เป็นวิบากกรรมของเขา พระธรรมวินัยของแท้ก็มี ไม่เอา กลับหลงไหลไปกับของปลอม "...แต่ว่าตอนนี้ในมหาเถรสมาคม ก็ไม่มีใครออกมาค้านสักรูปเลย..." ทางมหาเถรจะค้านหรือไม่คัดค้าน ไม่ใช่เหตุผล ไม่ใช่ประเด็น ในการรับรองการกระทำของลัทธิธรรมกาย ที่ผ่านมา เรื่องของสามเณรนิกร อดีตพระยันตระ อดีตพระภาวนาพุทโธ อุบาสิกาทศพรแก้กรรมด้วยกาม เรื่องเหล่านี้จบลงได้เพราะความร่วมมือร่วมใจของเหล่าพุทธบริษัท ไม่ใช่เพราะมหาเถรสมาคม ผลงานของมหาเถรเท่าที่จำได้ รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องสันติอโศกเท่านั้น จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 08:57:15

ความคิดเห็นที่ 51 จะว่าไปนะ เรื่องลัทธิธรรมกาย จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ว่าง่ายก็ตรงที่ ลัทธิธรรมกายทำสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลก็มากอยู่ เช่น ถวายทานแด่วัดอื่นทั่วประเทศ บวชพระ บวชอุบาสิกา ทั่วประเทศ เป็นที่พึ่งของคนจำนวนมาก ที่เคว้งคว้างอยู่ในห้วงทุกข์ ให้มีที่พึ่ง ให้รู้จักเศษเสี้ยวคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะแปลกๆผิดๆเพี้ยนๆ ก็ยังดีเสียกว่าไม่รู้อะไรเอาเสียเลย คนจะจมน้ำตายอยู่แล้ว เจอขอนไม้ลอยมาก็ขอเกาะเอาไว้ก่อน ถึงแม้บนขอนไม้จะมีงู มีสัตว์มีพิษเกาะอยู่ด้วย ก็ค่อยว่ากันทีหลัง บางคนโชคร้าย ไปเกาะขอนไม้ตรงที่งูมันอยู่พอดี โดนงูกัดตาย ก็เป็นวิบากกรรมของเขา ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน พิษงู เชื้อโรค ถึงแม้จะเป็นโทษ ถ้ารู้จักเอามาใช้ประโยชน์ ก็มีประโยชน์ นี่คือสิ่งที่ว่าง่าย ง่ายเพราะสิ่งที่ลัทธิธรรมกายเริ่มต้นไว้เกือบจะดี แต่หลังจากนั้น ไม่ไหว เข้าทำนอง ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา ที่ว่ายาก ยากตรงที่ มิจฉาทิฎฐิของท่านไชยบูลย์เจ้าลัทธิธรรมกาย ท่านก็รู้ทุกอย่างในสิ่งที่ท่านทำ รู้แล้วยังทำ กรรมหนักหนาสาหัสนัก กรรมดีส่วนกรรมดี กรรมชั่วส่วนกรรมชั่ว กรรมดีไม่อาจลบล้างกรรมชั่ว ทานทั้งหลายที่ทางลัทธิธรรมกายกระทำ อานิสงส์ที่ตกมายังท่านไชยบูลย์น้อยมาก เพราะวัตถุทานคือเงินที่ได้มานั้นไม่บริสุทธิ์ ใช้กลอุบายตบทรัพย์เขามา ทำนองเดียวกับโจรปล้นทรัพย์ แล้วเอาทรัพย์นั้นไปทำบุญ คนที่ไ้ด้บุญคือเจ้าของทรัพย์ไม่ใช่โจร ส่วนโจรได้บาป บิดเบือนพระธรรมวินัย ก็เป็นบาปหนัก เป็นอกุศลกรรมถึงขั้นอนันตริยกรรม สอนเขาไปผิดๆ นี่ก็บาปอีก กรรมหนักทั้งนั้นนะท่านไชยบูลย์นะ ทางแก้ ง่ายมาก ขอเพียงสอนให้เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าสอน เท่านี้จริงๆ ง่ายขนาดนั้นจริงๆ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 09:29:00

ความคิดเห็นที่ 52 #51 จริง ๆ ไม่ใช่แค่มิจฉาทิฏฐิของไชยบูลย์นะครับ ผมว่าไชยบูลย์ยังเป็น "มานถัทธบุคคล" ผู้กระด้างเำพราะถือตัวอีกต่างหาก ตอนแรก ๆ ที่บวช เขาอาจจะยังไม่เป็นขนาดนี้ ยังตักเตือนอบรมบ่มนิสัยได้ แต่นี่คงเป็นความผิดพลาดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระอุปัชฌาย์ด้วย ที่ปล่อยปละละเลยให้พระไชยบูลย์ทำตามความคิด ตามอำเภอใจของตนเอง บวชไม่ถึงพรรษา ก็จะไปดูแลศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม (ก่อนเป็นวัด พธมก) แล้ว ทั้งที่ตัวเองแค่จบปริญญาตรีมาใหม่ ๆ วุฒิภาวะอาจจะยังไม่เพียงพอ สำหรับการดูแลสำนักปฏิบัติธรรม และการวางตัวในฐานะพระภิกษุสงฆ์ จริง ๆ ก่อนหน้านั้น ไชยบูลย์เกือบจะไม่จบปริญญาตรี เพราะจะลาออกมาบวชก่อน แต่ยังดีที่แม่ชีจันทร์เบรกความคิดตรงนั้นเอาไว้ก่อน แต่นั่นก็ความ "วัยรุ่นใจร้อน" ของไชยบูลย์ตั้งแต่แกยังไม่บวช พอแกบวชมาแล้ว ก็เกิดอาการใจร้อน อยากจะไปเป็นเจ้าอาวาสเลย แต่ยังดีที่ศูนย์พุทธจักรฯ ยังไม่ขึ้นทะเบียนเป็นวัด และตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม ที่เจ้าอาวาสต้องอย่างน้อย 5 พรรษาขึ้นไป และต้องมีวุฒิ(สมัยนั้นรู้สึกจะ)นักธรรมโทขึ้นไป ถ้าจำกันได้ ตอนวางศิลาฤกษ์อุโบสถ ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเล่าไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่พระไชยบูลย์ได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่แล้ว ตามที่ควรจะเป็น แต่วันนั้นแกก็แสดงวุฒิภาวะต่ำของตัวเองออกมา ด้วยการรบเร้าขอต่อพระอุปัชฌาย์อีก ถ้าวุฒิภาวะของพระไชยบูลย์ในตอนนั้นสูงกว่านี้สักหน่อย เหตุการณ์ในวันนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด ผมมองว่า ตลอดชีวิตการเป็นพระภิกษุของพระไชยบูลย์ พระไชยบูลย์คงเป็นพระที่ดีได้ ถ้าไม่โดน spoil จากคนรอบข้างจนเกินงาม แค่ไม่กี่พรรษา จากหลวงพี่ แต่แม่ชีจันทร์"ยก"ให้เป็นหลวงพ่อ นี่คงเป็นความผิดพลาดหนึ่งของแม่ชีจันทร์ ที่ไปยกฐานะให้ไชยบูลย์ตั้งแต่ยังพรรษาน้อย กลายเป็นเด็กที่มีอำนาจมากที่สุด พูดอะไร สั่งอะไร ใครก็ต้องฟัง แม้แต่แม่ชีจันทร์เอง แล้วไม่มีใครมากล้า้เตือนพระไชยบูลย์ด้วย พอไม่มีใครมาคอยเตือน คอยดูแล ห่างไกลมือพระอุปัชฌาย์ คนที่ดูแลตักเตือนพระไชยบูลย์ ก็มีแค่แม่ชีจันทร์ แต่สภาวะความเป็นแม่ชีที่ต่ำกว่าพระ ทำให้การเตือนเป็นไปด้วยความลำบาก สุดท้ายก็เลยกลายเป็นว่า ไม่มีใครเตือนได้ มีแต่คนรอบข้างคอบ spoil พระไชยบูลย์ก็เิลยทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ไม่สนใจความถูกต้องที่ควรจะเป็น พอเห็นสีกา เห็นลาภสักการะมาก ๆ เข้า สุดท้ายก็รักษาความเป็นพระที่ดี รักษาความตั้งใจสมัยก่้อนบวชไว้ไม่ได้ ไหลไปตามกระแสโลกในที่สุด แต่ด้วยอำนาจ(ในวัด)ที่ล้นมือ ก็เลยไม่มีใครกล้าเตือน พอคนที่ใจเป็นธรรมคิดจะเตือน ก็อยู่ไม่ได้ โดนไชยบูลย์เพ่งเล็ง บางคนถึงกับตายคาผ้าเหลืองเลยทีเดียว นาน ๆ ไป พรรษาเยอะขึ้น มีอิทธิพล ทั้งทางสว่างและทางมืดมากขึ้น สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้แหละครับ จริง ๆ ใน #50 ที่อ้าง #31 ที่ว่าไม่มีใครในมหาเถรสมาคมออกมาค้าน น่าจะเป็นว่า ไม่มีใครในมหาเถรสมาคม "กล้า" ออกมาค้านมากกว่า หลาย ๆท่านอยากจะค้านเต็มประตู แต่พอเจอการใช้อำนาจมืดของไชยบูลย์ อย่างตอนท่านเจ้าคุณ ป.อ.ปยุตฺโต ออกมาชี้แจงความจริง แต่ท่านกลับเจอฝั่งไชยบูลย์ป้ายสีอย่างรุนแรงด้วยโกหัญวิธีต่าง ๆ แต่ละท่านก็ยังเป็นปุถุชนทั้งนั้น ยังห่วงฐานะของตัวเองอยู่ ก็เลยทำอะไรไม่ได้ คือไม่อยากขัดขา "มาเฟียคณะสงฆ์" ผู้มีอิทธิพลว่างั้น ส่วนท่านที่คุณธรรมเลยปุถุชนขึ้นไำป ถึงท่านจะมีหน้าที่มีตำแหน่งใหญ่ในมหาเถรสมาคม แต่ท่านก็รู้ดีว่าทิฏฐิมานะของไชยบูลย์เลยขอบเขตที่ท่านจะตักเตือนได้ไปแล้ว สุดท้ายก็เลยต้องวางอุเบกขา ไชยบูลย์อยากจะทำอะไรทำไป เขาจะเชิญไปงานไหนก็ไปตามมารยาทพระผู้ใหญ่ ไม่ได้ไปเพราะอยากไป จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 19:29:01

ความคิดเห็นที่ 53 นะจ๊ะ จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 19:29:38

ความคิดเห็นที่ 54 จากความคิดเห็นที่ 52 มิน่าล่ะ เป็นพระภิกษุสงฆ์มึศีล 227 แต่อยู่ในความดูแลของอุบาสิกาถือศีล 8 ก็ออกมาเป็นแบบนี้ มันเป็นเช่นนั้นเอง สำหรับท่านไชยบูลย์ ทุกวันนี้ เิงินพร้อม อำนาจพร้อม อาณาจักรพร้อม มารอดูกันว่า ท่านไชยบูลย์จะทำอะไรต่อไป จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 21:55:52

ความคิดเห็นที่ 55  สำหรับท่านไชยบูลย์ ทุกวันนี้ เิงินพร้อม อำนาจพร้อม อาณาจักรพร้อม มารอดูกันว่า ท่านไชยบูลย์จะทำอะไรต่อไป จากคุณ : ทุกวินาที ^^^ ทำอะไรต่อไป..??... ไม่เห็นรึ... ท่านก็กำลังทำอยู่นี่ไง http://www.youtube.com/watch?v=FXWOZuGe-ZI       แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 54 11:50:49 จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 11:49:38

ความคิดเห็นที่ 56 #55 ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... บวชแสนรูป เขาว่าบวชฟรี แต่จริง ๆ มันไม่ฟรีหรอก อย่างต่ำที่สุด ก็จ่ายด้วยการยืนให้ถ่ายรูปหมู่ ให้วัด พธมก โชว์พาวข่มวัดอื่น แล้วพระพวกนี้ ก็กลายเป็นสินค้าทางอ้อม เป็น Presenter ของวัด พธมก ต่อไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าวัด พธมก บวชให้แบบฟรีจริง ๆ ไม่เน้นผลประโยชน์ คงขาดทุนย่อยยับไปนานแล้วละครับ กว่าจะออกโครงการนี้ออกมา เขาคิดกำไรขาดทุนไว้เรียบร้อยแล้ว วัด พธมก มีหรือจะยอมขาดทุน คุณอยู่แต่ในวงจรของวัด พธมก คุณคิดเองไม่ได้หรอก ให้คุณออกมาจริง ๆ เสียก่อน แล้วค่อย ๆ มองเข้าไปข้างใน เดี๋ยวคุณก็คิดได้เอง จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 12:33:11

ความคิดเห็นที่ 57 เชิญต่อแถวกันมาทุ่มให้สุดตัวนะจ๊ะ เกิดชาติหน้าจะได้ฉลาดกว่านี้ จากคุณ : DR.สมานย์ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 14:58:47

ความคิดเห็นที่ 58 ชัด ใส ปิ๊ง ^^ จากคุณ : Yogi Playgirl เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 15:13:23

ความคิดเห็นที่ 59 ใส สายยย.. เย็น เยนนนนน... เบา บาววว.. สบาย ซาบายยยย.. นะจ้ะ นะจ้ะ ลูกๆทั้งหลายยย.. T_T จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 16:07:08

ความคิดเห็นที่ 60   ความคิดเห็นที่ 56   MsgStatus(Msv[56], 56); #55 ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... บวชแสนรูป เขาว่าบวชฟรี แต่จริง ๆ มันไม่ฟรีหรอก อย่างต่ำที่สุด ก็จ่ายด้วยการยืนให้ถ่ายรูปหมู่ ให้วัด พธมก โชว์พาวข่มวัดอื่น แล้วพระพวกนี้ ก็กลายเป็นสินค้าทางอ้อม เป็น Presenter ของวัด พธมก ต่อไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าวัด พธมก บวชให้แบบฟรีจริง ๆ ไม่เน้นผลประโยชน์ คงขาดทุนย่อยยับไปนานแล้วละครับ กว่าจะออกโครงการนี้ออกมา เขาคิดกำไรขาดทุนไว้เรียบร้อยแล้ว วัด พธมก มีหรือจะยอมขาดทุน คุณอยู่แต่ในวงจรของวัด พธมก คุณคิดเองไม่ได้หรอก ให้คุณออกมาจริง ๆ เสียก่อน แล้วค่อย ๆ มองเข้าไปข้างใน เดี๋ยวคุณก็คิดได้เอง จากคุณ : ABP@BDZ ^^^ ถ้าขาดทุน ก็แปลว่า เค้าตั้งใจจริง เพราะขนาดขาดทุน ยังจัดบวชแบบจำนวนมากแบบนี้ได้อีก หลายครั้ง... ถ้ากำไร (จริงๆเค้าไม่เรียก น่าเกลียดแบบนั้น) ก็แปลว่า ผู้คนให้ความสนับสนุนเป็นเจ้าภาพ ในการบวชจำนวนมาก...จะได้จัดบวชได้อีก.. แต่เสียดายที่ไม่มีของคุณซักสลึงเดียว..แล้วก็อยากจะบอกว่า ส่วนใหญ่งานใหญ่แบบนี้ มีแต่ขาด ไม่มีเกิน...อาศัยว่า ศิษย์วัดเค้าสู้ไม่ถอย ต่างหาก ...คุณเป็น เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของวัดหรือ ถึงรู้ว่าเค้าได้ เสียยังไง... ระบบการบริหาร ตรงนี้ไม่ใช่ดูแลกันเล่นๆ องค์กรใหญ่ขนาดนี้ ตุกติกนิดเดียว (โดยเฉพาะเรื่องเงิน) พังพินาศไม่เหลือ ไม่ใช่เพราะใคร นอกจากคนภายนอกที่พร้อมจะเล่นงานเรื่องนี้ ถ้าพลาดเมื่อไหร่ ยังมีศิษย์จำนวนมากนี่แหละ คุณไม่ต้องห่วงหรอก เงินที่เค้าร่วมบุญกัน บางคนเป็นแสนเป็นล้าน ถ้าวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง หรือเอาเป็นผลประโยชน์ของใครคนหนึ่ง...โดนกฐินสามัคคีแน่นอน.... แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 54 21:01:33 จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 21:00:30

ความคิดเห็นที่ 61 เท่าที่เคยคุยกับคนติดต่อการค้ากับที่นี่มา ก็โดนเก็บค่านายหน้าไปไม่ใช่น้อยนะครับ เส้นสายมันเยอะ ... จากคุณ : 7 minutes later เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 23:01:01

ความคิดเห็นที่ 62 เข้าพรรษาแล้ว ขอให้ทุกคนเจริญในธรรม อนุโมทนาสาธุด้วย ถือ ศีล ภาวนา เป็นกำไรชีวิต ทำใจให้สบาย พุทโธ..... จากคุณ : กว้างขวาง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 01:41:48

ความคิดเห็นที่ 63 ความคิดเห็นที่ 56     #55 ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... . . . คุณอยู่แต่ในวงจรของวัด พธมก คุณคิดเองไม่ได้หรอก ให้คุณออกมาจริง ๆ เสียก่อน แล้วค่อย ๆ มองเข้าไปข้างใน เดี๋ยวคุณก็คิดได้เอง จากคุณ : ABP@BDZ #56 โห... แปลกเน้อะ แปลว่าคุณอยู่แต่นอกวัด คุณคิดเองได้หมดเลย แหม... เก่งจริง ๆ ไม่ต้องใช้หลักกาลามสูตรเลย งัยก็อย่าลืมมองเข้าไปในใจตัวเอง ดูตัวเองให้มาก ๆ นะจ๊ะ คุณได้แต่มองคนอื่น  คุณอาจคิดเองไม่ได้หรอก ลองคุณออกมาตัวเองจริง ๆ เสียก่อน แล้วค่อย ๆ มองเข้าไปข้างใน เดี๋ยวคุณก็คิดได้เอง แต่อย่าลืมโยนิโสมนสิการด้วยล่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 54 08:23:01 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 08:21:02

ความคิดเห็นที่ 64   ความคิดเห็นที่ 61   MsgStatus(Msv[61], 61); เท่าที่เคยคุยกับคนติดต่อการค้ากับที่นี่มา ก็โดนเก็บค่านายหน้าไปไม่ใช่น้อยนะครับ เส้นสายมันเยอะ ... จากคุณ : 7 minutes late ^^^ ขอความกรุณา แจ้งหลังไมล์มาได้ทันที... ถ้าเช็คแล้ว เป็นความจริงและเป็นเจ้าหน้าที่วัดหรือผู้เกี่ยวข้อง.. มันผู้นั้น จะต้องระเห็จออกจากวัด..ในไม่เกิน 24 ชม. รบกวนด้วย ช่วยหาชื่อมาหน่อย ขอบพระคุณล่วงหน้า... จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 11:28:07

ความคิดเห็นที่ 65 #60 กำไรที่ว่าไม่ใช่ตัวเงินอย่างเดียวนี่ครับ อย่างน้อยก็ได้ presenter มาแล้วตั้งแสนตั้งล้า่นคน มากพอที่จะมี power ไปดูถูกวัดอื่นที่ทำไม่ได้(หรือทำได้แต่ไม่อยากทำ)อีก แล้วก็อาศัยภาพพวกนี้ไปหากินเพื่อทำลายแก่นพุทธศาสนาทางอ้อมอีก ขาดทุนที่ไหนละครับ ไม่มีทาง #64 คุณปลาโอเป็นเจ้าอาวาสวัด พธมก ปลอมตัวมาเล่น pantip หรือเปล่าครับ ถึงมีอำนาจไล่ใครก็ได้ออกจากวัด ผมเห็นคุณโพสต์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาไล่คนนู้นคนนี้ัออกจากวัด วัด "เป็นศาสนสถาน" นะครับ ไม่ใช่ "บริษัท" เขาจะเข้าจะออก ก็เรื่องของเขา คนทำงานให้วัด แล้วทำงานพลาด ถึงขนาดต้อง "ไล่ออก" เลยเหรอครับ แล้วถ้าคนที่โดนวัดไล่ แล้วไม่ยอมออก เขาจะเจอชะตากรรมแบบหลวงพี่ชิดชัยหรือเปล่า หรือว่าวัด พธมก มันไม่ใช่แค่วัดธรรมดา ๆ แล้ว หรือมันคือบริษัทที่ใช้ฉากหน้าเป็นวัด ภายใต้การควบคุมของ "มาเฟียคณะสงฆ์" และฉากหลัง จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 22:13:24

ความคิดเห็นที่ 66 คุณความเห็นที่42 การไม่ปรารถนาบรรลุโสดาบันในชาตินี้ไม่แปลกหรอกครับ เพราะหากปรารถนาพุทธภูมิ ก็ต้องสร้างบารมีเพิ่ม ไปศึกษาเรื่องของสุเมธดาบสดูนะครับ จากคุณ : ชายกลางสุดหล่อ (ชายกลางสุดหล่อ) .................................................................................... โอ้โห..หวังพุทธภูมิ เลยหรือนี่ เดี๋ยวนี้ได้ยินคำนี้บ่อย แต่วิธีการสร้างบารมีของสุเมธดาบส กับ ทำมะชะโย แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เอามาเทีบกันไม่ได้เลย แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 54 22:41:07 จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 22:39:05

ความคิดเห็นที่ 67 หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย รวมใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย ดั่งดวงตะวัน สว่าง ใส เย็น ภายใน ความสุขที่แท้จริงอย่างไม่มีใดปาน ............. " นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ " " สุขอื่นยิ่งกว่าการทำใจหยุด ใจนิ่ง ไม่มี " แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 54 03:20:11 จากคุณ : ทำแล้ว 'สบายใจ' ก็ทำต่อไป.. (รักษาบรรยากาศ) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 03:18:26

ความคิดเห็นที่ 68  ความคิดเห็นที่ 65 จากคุณ : ABP@BDZ ^^ อย่ามา เพ้อเจ้อ... เขาหมายถึง ผู้ที่ทุจริต หากินกับโครงการภายในวัด...ในความเห็นที่ 61 ไม่รู้เรื่อง รู้ราว..ดูให้ดีๆชัดๆ ก่อนจะวิจารณ์อะไร.. ถ้าอยากรู้ว่าทำได้ไม่ได้ ก็ส่งชื่อมาสิ คนที่ทุจริตหนะ..หลังไมล์ก็มี.. จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 12:12:37

ความคิดเห็นที่ 69 #68 คือคุณหมายถึง คนที่ทุจริต หากินกับโครงการภายในวัด ว่างั้น แล้วถ้าท่านเจ้าอาวาสดันทุจริต สมรู้ร่วมคิดกับคนอื่น หากินกับโครงการในวัดซะเองละครับ ท่านเจ้าอาวาส ต้องไล่ตัวเองออกจากวัดด้วยมั้ยครับ หรือว่ามันมี 2 มาตรฐาน เจ้าอาวาสทำผิด เจ้าอาวาสบริสุทธิ์ แล้วหาแพะมารับผิดแทน ถ้างั้น เดี๋ยวผมส่งชื่อตรงนี้เลยแล้วกันนะ คนที่ทุจริต 1.นายไชยบูลย์ สุทธิผล 2.นายเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ สังคมเขาเห็นกันตำตาอยู่ โครงการต่าง ๆ ในวัด ตะแกเอาผลประโยชน์ไปบำเรอความสุขส่วนตัว ทั้งลับและเปิดเผย ก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ตะแกไม่กล้าเปิดเผยให้คุณดูหรอก คุณทำได้มั้ยครับ อย่าบอกว่าทำไม่ได้ คุณพูดไปแล้วนะ ใน #64 น่ะ จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 14:14:15

ความคิดเห็นที่ 70  ความคิดเห็นที่ 69 จากคุณ : ABP@BDZ ^^^ อาว..อาวข้าวไป..หนักเข้าไปอีก...นอกเรื่องนอกราว...   จะนอกเรื่องก็ได้...หลวงพ่อทั้ง 2 ท่าน ยังอยู่วัด ท่านสบายดี..ศิษย์ก็เยอะขึ้น วัดก็เจริญขึ้น..ชาวบ้านเค้าก็เข้าวัดทำบุญมากขึ้น...  2 มาตรฐานก็ได้ ใครจะทำไม... ลำเอียงไง..เข้าข้างพระทุกรูปของวัดฯ  แน่นอน อยู่แล้ว...  แล้วจะทำไมเหรอ...???    ABP จะเข้ามาหางาน รับเหมาในวัดรึไง...??   จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 18:25:32

ความคิดเห็นที่ 71 พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วหรือยัง  หรือว่า ฟังข่าวลือต่อๆกันมา จากคุณ : pramecomix เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 00:36:41