|
ว๊ธีปฎิบัติแบบคร่าวๆ.... ๑.เมื่อผัสสะมากระทบ....จะเกิดเวทนาขึ้น...จะต้องมีสติระลึกรู้ว่ามีเวทนาอะไรเกิดขึ้น..เป็นเวทนาชนิดใด(เนกขัมมะเวทนา....หรือเคหะสิกตะเวทนา)..และเกิดจาก..ทาง..ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ.. ๒.เมื่อมีสติไประลึกรู้เวทนาดังกล่าวแล้ว..จะต้องพิจารณาภายในใจอย่างแยบคลาย..โดยพิจารณาว่าเวทนาที่เกิดขึ้นมานี้เกิดจาก...สาเหตุอะไร...ซึ่งจะรู้ได้ด้วยจากปัญญาจากการอ่านอยู่แล้วว่าเกิดจาก..ตัญหา..อุปาทาน.(หมายเหตุ..จะต้องดับอกุศลที่เป็นเหตุปลายก่อนนะครับ..ทั้งทางใจ..และทางกายนะครับ). ๓.พยายามลดละตัญหา..อุปาทานที่เราติดยึดอยู่นั้นๆ..ซึ่งในแต่ละอย่างจะมีวิธีการลดละแตกต่างกัน..ลดละได้ไวบ้าง..ลดละได้ช้าบ้างขึ้นอยู่กับความพยายามของเรา(หมายเหตุ..ตรงนี้ก็เช่นกัน..จะต้องดับอกุศลที่เป็นเหตุปลายก่อนนะครับ..เพราะมันจะผุดขึ้นมาอีกอยู่แล้ว..ทั้งทางใจ..และทางกายนะครับ). ๔.ในขณะที่พยายามลดละตัญหาอุปาทานอยู่นั้น...ให้พิจารณาองค์ธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตเราด้วยว่า..มันไม่เที่ยง...มันเป็นทุกข์..มันเป็นอนัตตาหรือไม่อย่างไร ๕.ในกรณีที่ ข้อ ๒ เรารับผัสสะมาสุขเวทนาเกิด..ก็ต้องพิจารณาว่า..สุขเวทนานี้เกิดจากตัญหา..อุปาทานใช่หรือไม่อย่างไร...ซึ่งบอกได้เลยเกิดจาก..ตัญหาอุปาทานแน่นอนครับ ๖.แล้วเราจะเห็นสิ่งที่มันสุขเป็นทุกข์ได้อย่างไร...คำตอบก็คือจะต้องไม่ตามใจเราขัดใจเราเข้าไว้เช่นอยากดูหนังก็ไม่ต้องดู...อยากกินไก่ก็ไม่ต้องกิน..อื่นๆอีกมากมาย..แล้วจะเห็นทุกข์..และตัญหา..อุปาทานของตนอย่างชัดเจนภายในจิตครับ ๗.สิ่งที่เราติด..เรายึดทุกๆอย่างต้องพยายามลดละให้ได้ครับแล้วจะรู้เองว่า ..ญาน ๑, ๒ ,๓...๑๖ ที่เขียนไว้..สอนกันไว้มีลักษณะอย่างไรครับ..และ.. ..ฌาน ๑ , ๒ , ๓, ๔ ที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกที่เกิดจาก..ปัญญา..หรือ..ฌานที่ปราศจากอามิส..มีลักษณะอย่างไรครับ(มี ฌาน ๑,๒,๓,๔ ที่เกิดจากสมถะด้วยนะครับ..แต่ตรงนี้มันเป็นฌานที่มี อามิสครับ)
หมายเหตุ...ทั้งหมดนี้ปฎิบัติได้แล้วเกิดมรรคผลจริงครับ..โดยวันหนึ่งๆปฎิบัติซัก 6 ชม.โดยทำอะไรอยู่ก็ปฎิบัติตามที่กล่าวมาครับ จะเห็นมรรคผล(หมายถึงจะรู้ว่ากิเลสเราลดได้จริง..อัตตาเราลดได้จริงครับ..และจะรู้ได้เลยว่าการไม่โกรธมันสบายจริงๆครับ)..ไม่น่าเกิน 6 เดือนครับ...และพอเรามาอ่านพระสูตรจะเข้าใจในพระสูตรได้เองด้วยครับ
ตัวอย่างนะครับ...เช่น..เรากินก๋วยเตี๋ยวเราอร่อย.. ๑.เรารับผัสสะมา..เกิดเวทนาขึ้นคือ..เคหสิตะเวทนา(สุขที่เกิดจากการได้รับอามิส...) ๒.เรามีสติไปรู้เวทนาว่าเป็น..เคหะสิกตะเวทนา..แล้วเราพิจารณาภายในใจแล้วรู้ได้ว่า...รสชาติแบบนี้...เค็มขนาดนี้..อร่อย..ซึ่งหมายถึงเรายึดมั่นถื่อมั่นใน..รสแบบนี้..เค็มแบบนี้..(อร่อยมันไม่มีครับ..มีแต่เค็มขนาดนี้..รสชาติแบบนี้..คนทั้งโลกก็รู้ได้ไม่ต่างกันหากตัวรับรสมีคุณภาพเท่ากัน..แต่จะอร่อยไม่อร่อยขึ้นอยู่กับอุปาทานในแต่ละคนครับ)..จึงเกิดตัญหาพร้อมขึ้นมาคืออยากกินนั้นเองครับ ๓.เราต้องลดละตัญหา..อุปาทานตัวนี้แหละครับซึ่งมันจะทำให้พ้นสักกายะทิฎฐิเรื่องนี้ด้วยครับ...วิธีการคือ..ไม่กินรถแบบนี้ลองรถที่ไม่ชอบบ้าง...กินไปครับจะเห็นทุกข์อย่างชัดเจน..และเห็นตัญหา..อุปาทานอย่างชัดเจนครับ ๔.หากปฎิบัติเรื่องนี้ต่อเนื่องก็พิจารณาถึง..เอ๊..ไอ้สิ่งที่เรายึดนั้นตอนนี้เป็นยังไง..มันก็เริ่มกินของไม่ชอบได้แล้วนี้..มันไม่เที่ยงนี้(อนิจานุปัสสี)..มันลดลงแล้วนี้(วิราคานุปัสสี)..จนถึงมันดับไปแล้วนี้(เก่งขึ้นกินอะไรก็ได้แล้ว..นิโรธานุปัสสี)..หรือเก่งกว่านั้นก็มี..การสลัดคืนหรือปฎินิสัคะ... ๕,๖,๗...พอปฎิบัติไปปฎิบัติไป..จะทำได้ทั้งที่เป็นสุขเวทนาและทุกขเวทนา..ทำเก่งขึ้น.ก็สั่งสมเป็น..ญาน..เป็น..ฌาน...ครับ
ส่วนในกิเลสอื่นๆ เช่น..ความเห็นไม่ตรงกันเราโกรธ..โดนขับรถปาดหน้าเราโกรธ.....ดูหนังเราชอบ...เจอคนถูกใจเรารัก..อื่นๆอีกมากมาย..ก็ปฎิบัติในลักษณะเดียวกันครับ...จนมันเกิดมรรคผล(ยังไม่ถึงโสดาบันหรอกครับ)..และจะเริ่มเข้าใจ..เนกขัมมะสิกตอุเบกขาเวทนามีสภาวะจิตต่างจาก..เคหสิกตะอุเบกขาเวทนาอย่างไร..จะเริ่มเข้าใจว่าสังขารใดควรสังขาร..สังขารใดควรละ..สัมมาทิฎฐิจะเริ่มตรงขึ้นเรื่อยๆ..และจะสามารถมั่นใจได้เลยว่าชาตินี้แหละเราก็สามารถ..บรรลุโสดาบันได้ครับ(เพราะเราใช้สติปัฎฐาน ๔ เข้าไปเรียนรู้อาการของจิต(ธรรมวิจัย)..และมีความเพียรพยายามลดละอกุศลอยู่เนืองๆ)
จากคุณ |
:
โกวิทย์ (โกวิทย์)
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ค. 54 23:54:01
|
|
|
|
|