พุทธพจน์เดียวที่ทรงให้สวดปาฎิโมกข์ ทุกกึ่งเดียวจาก 4 พระสูตร ตรัสซ้ำกันจากวัชชีปุตตและเสขสูตร
พระปาฏิโมกข์จาก วัชชีปุตตสูตรและเสขสูตร มีอยู่ ๑๕๐ ถ้วน ไม่ขาดไม่เกิน
อีกทั้ง เสขิยวัตร หรือ อาภิสมาจาร ย่อมมิใช่ สิกขาบทเล็กน้อย เนื่องจาก
ไม่มีอาบัติกำกับอยู่ในพระบัญญัติ จนแม้แต่ที่มีการระบุอาบัติเอาไว้ใน
สิกขาบทวิภังค์ ของเสขิยวัตร ๗๕ ข้อ นั่นก็มิใช่อาบัติของเสขิยวัตรเอง
แต่กลับเป็นการนำอาบัติจากบทภาชนีย์ของสิกขาบทอื่นมาวางเอาไว้
๒. สิกขาบท มีอยู่ ๓ ประเภท คือ ....
๒.๑ สิกขา อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
๒.๒ สิกขาบทเล็กน้อย และ
๒.๓ อภิสมาจาร(หรือก็คือ เสขิยวัตรนั่นเอง)
การที่พระสูตรแต่ละที่ แสดงสิกขาบทไว้แตกต่างกัน มิได้หมายความว่า
สิกขาบทเล็กน้อย เป็นอย่างเดียวกันกับ อภิสมาจาร(หรือ เสขิยวัตร)
หากแต่ความแตกต่างดังกล่าวนั้น มีความหมาย ดังนี้ว่า ....
กรณีที่ ๑ การที่บางพระสูตร ตรัสถึงสิกขาบท ๒ อย่างคือ
.
สิกขาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ กับ อภิสมาจาร(เสขิยวัตร)
นั่นย่อมหมายความว่า เป็นการตรัสกับ(หรือปรารภถึง)ภิกษุบวชใหม่(นวกะ)
เช่นที่ปรากฏใน อาปัตติภยวรรคที่ ๕
กรณีที่ ๒ การที่บางพระสูตร ตรัสถึงสิกขาบท ๒ อย่างคือ
.
สิกขาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ กับ สิกขาบทเล็กน้อย
นั่นย่อมหมายความว่า เป็นการตรัสกับภิกษุที่บวชมานานพอสมควรแล้ว
เช่นที่ปรากฏใน วัชชีปุตตสูตรและเสขสูตร (ในกรณีปัญหา)
(๗) สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ การที่แสดงหลักฐานว่า
สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง อภิสมาจาร(หรือ เสขิยวัตร)
ออกจาก สิกขาบทเล็กน้อย จะเป็นการกระทบกระเทือนต่อ มติ
ของพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป เมื่อครั้งปฐมสังคายนา หรือไม่ (?)
การพิจารณาประเด็นดังกล่าวนี้ ต้องเริ่มต้นด้วย พุทธานุญาต
ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้กับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า
.
ดูกรอานนท์ เมื่อ เราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่
จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ท่านพระอานนท์มิได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า
สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย (?)
การที่ปรากฏความว่า พระอรหันตเถระในที่ประชุม
ได้เสนอความคิดเห็นที่หลากหลายนั้น
ขอให้ทำความเข้าใจให้ดีๆว่า นั้นเป็นเพียงแค่
การนำเสนอความคิดเห็นต่อที่ประชุมสงฆ์(ตามปกติธรรมดา)
อย่าเข้าใจผิดไปว่า นั่นเป็นความแตกแยกทางความคิด(เป็นอันขาด)
แต่กระนั้น ท่านพระมหากัสสปะกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป
กล่าวคือ ท่านเห็นว่า คณะสงฆ์ ไม่ควรเพิกถอนพระธรรมวินัยเด็ดขาด
มิฉะนั้น ชาวบ้านที่เขา(ก็)รู้ดีอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะตำหนิติเตียนเอาได้
ดังนั้น เมื่อท่านเสนอญัตติว่า จะไม่เพิกถอนหรือเพิ่มเติมพระธรรมวินัย
ประเด็นเรื่อง สิกขาบทเล็กน้อย คือ สิกขาบทข้อไหน จึงเป็นอันตกไปโดยปริยาย
หมายความว่า มิใช่ว่าพระอรหันตเถระทั้ง ๕๐๐ รูป
จะไม่ทราบว่า สิกขาบทเล็กน้อย คือสิกขาบทไหน
แต่ท่านมีความมุ่งหมายว่า จะรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ทั้งหมด
ดังนั้น ถ้าหากท่านไปวินิจฉัยความหมายของ สิกขาบทเล็กน้อยเอาไว้
ภิกษุสาวกในสมัยหลัง อาจถือเป็นเหตุในการเพิกถอน
สิกขาบทเล็กน้อยนั้น ตามพุทธานุญาตที่ตรัสไว้กับท่านพระอานนท์
ซึ่งนี่ย่อมมิใช่ความมุ่งหมายของท่านพระมหากัสสปะ
แต่กรณีที่ผมแสดงหลักฐานให้เห็นนี้ แท้ที่จริงแล้ว
มิใช่การบอกว่า สิกขาบทเล็กน้อย มีอะไรบ้าง
หากแต่เป็นเพียงการบอกว่า อะไรบ้าง
ที่ไม่อาจเรียกว่า สิกขาบทเล็กน้อย
ซึ่งเรื่องนี้จะต้องทำความเข้าใจให้ดีๆนะครับ
จากพุทธานุญาตที่ตรัสกับท่านพระอานนท์นั้น
ปัญหาสำคัญที่จะต้องพิจารณาในกรณีการเพิกถอนสิกขาบท
ก็คือ การแยกแยะระหว่าง สิกขาบทอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
กับ สิกขาบทเล็กน้อย ซึ่งขอให้สังเกตให้ดีๆว่า สิกขาบททั้ง ๒ ประเภทนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นสิกขาบทที่มี อาบัติ กำกับอยู่ในพระบัญญัติทั้งสิ้น
ทั้งนี้ก็เพราะ ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆเลย ที่พระพุทธองค์จะตรัสอนุญาต
ให้สงฆ์สามารถเพิกถอนสิกขาบทที่ไม่มีอาบัติกำกับอยู่
อย่างพวกสิกขาบทประเภทเสขิยวัตร(หรืออภิสมาจาร) !!!!
หมายความว่า แท้ที่จริงแล้ว เสขิยวัตร(หรืออภิสมาจาร)
ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของสิกขาบท(เล็กน้อย)ที่พระพุทธองค์
ตรัสอนุญาตให้เพิกถอนนี้เลย ก็ในเมื่อเสขิยวัตรหรืออภิสมาจาร
ไม่มีบทลงโทษใดๆกำกับอยู่ ดังนั้น การที่จะมี เสขิวัตร หรือไม่มี
มันก็ย่อมไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร ต่อภิกษุสงฆ์ เลยแม้แต่น้อย
-----------------------------------------------------------
การที่ชาวพุทธคนใดก็ตาม ใคร่จะเชื่อถือตามธรรมเนียม
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ ว่าทุกถ้อยคำ
ในพระไตรปิฎกตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนั้น ....
๑. เป็นพุทธพจน์ทั้งหมด หรืออย่างน้อย
ก็เป็นภาษิตที่สอดคล้องกับพุทธธรรม
๒. เป็นของดั้งเดิมที่สืบทอดมาแต่เมื่อครั้งปฐมสังคายนา
นั่นก็ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวพุทธคนนั้นนะครับ
แต่ ความเชื่อ เหล่านั้นย่อมมิใช่เหตุผลที่ดีพอในการ
กล่าวหาผู้อื่นที่ไม่เชื่อถือตามว่าเป็นผู้มีความเห็นผิด
เป็น อัญญเดียรถีย์ ผู้ทำร้ายทำลายพระธรรมวินัย
หรือพระไตรปิฎก ได้เลยแม้แต่น้อย
------------------------------------------
สิ่งหนึ่งที่ควรเข้าใจก็คือ ถ้าหาก พระธรรมวินัย นั้นหมายถึง
ตัวหลักการ(ธรรมแท้) ที่พ้นไปจาก เหตุการณ์ ก็ยังพออนุโลมได้ว่า
นั่นเป็นพระธรรมวินัย แต่ถ้าจะเหมารวมไปว่า ทุกๆข้อความและถ้อยคำ
ในพระไตรปิฎก เป็นพุทธพจน์ อันนี้คงรับเชื่อในทันทีมิได้
จนกว่าจะผ่านการพิจารณาโดยแยบคายแล้วเท่านั้น
หรือแม้แต่การกล่าวว่า พระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้
เป็นของดั้งเดิมนับแต่สมัยปฐมสังคายนา .... ซึ่งความเชื่อเช่นนี้
ก็คงรับฟังไม่ได้เช่นกัน ดังที่เราย่อมมิอาจอธิบายได้เลยว่า
พระเถระ ๕๐๐ รูป จะมุขปาฐะ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ
การสังคายนาครั้งที่ ๒ และ ๓ ได้ด้วยอาการอย่างไร
แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 54 13:14:17