Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ว่าด้วยความหมายวิชาโหราศาสตร์ ติดต่อทีมงาน

หลังๆเห็นสังคมไทยมองวิชาโหราศาสตร์ไปคลาดเคลื่อนจากความหมายของครูท่านวางไว้  จึงนำความหมายของวิชาโหราศาสตร์มาอธิบายเพื่อวาดหวังว่าคนไทยจะได้เข้าใจหลักแห่งวิชาโหราศาสตรืมากขึ้นเพื่อสืบสานความเป็นไทย ซึ่งเป็น"รากเหง้า"ของคนไทยนะครับ


ประวัติความเป็นมาของโหราศาสตร์ไทย โดย อาจารย์วาสนา จันทภาษ

ความหมายของคำว่า โหราศาสตร์

คำว่า “โหรา” นี้มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ส่วนที่ ๒๔ แห่งโหราต์ร”ตรงกับคำมคธว่า “อโหรัตตะ” แปลว่าวันกับคืนหรือ๒๔ ชั่วโมง ฉะนั้นคำว่า”โหรา” จึงแปลความหมายว่าชั่วโมง คำว่า “โหราศาสตร์” ก็แปลว่าเป็นวิชาที่ว่าด้วยโมงยาม เกี่ยวกับดวงดาว ธาตุ และโลกมนุษย์ โหราศาสตร์เป็นวิชาที่มีหลักเกณฑ์การคำนวณตามความดึงดูดของกระแสธาตุแห่งดวงดาวในจักรวาลหรือกล่าวได้ว่า วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่กล่าวถึงอำนาจหรืออิทธิพลของดวงดาว ที่มีต่อขุมธาตุในชั้นบรรยากาศที่หุ้มห่อโลก เกิดการรวมตัว ทำให้เกิดการดึงดูดจนมีผลกระทบต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกมนุษย์ทางนามและรูป แสดงกาลเวลา ความสว่าง ความมืด ความร้อน ความเย็น การดึงดูด พลังงาน ความรุ่งโรจน์และความอับปางที่มีต่อพฤติกรรมของมนุษย์(Human Behavior)

ประวัติความเป็นมา

           ประวัติความเป็นมาของวิชาโหราศาสตร์ไทยนั้น นับได้ว่ามีมานานก่อนพุทธกาลนับด้วยกัลป์ อาจารย์ที่เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับดาวงดาวในท้องฟ้าพวกแรกที่สุดได้แก่พวกดาบสหรือฤษีที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์แถบภูเขาหิมาลัยหรือป่าอื่นๆ ดาบสทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้สำเร็จวิชานั้นสมาบัติ สามารถเข้าฌานส่งกระแสจิตขึ้นไปยังดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าแล้วถามเรื่องราวความเป็นมาและอำนาจอิทธิพลของดวงดาวแต่ละดวง อันมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระเสาร์ พระราหู พระเกตุและดาวอื่นๆ ตลอดจนการสัมพันธ์ของการโคจรของดาวต่างๆ เมื่อดาบสตนหนึ่งได้ประวัติของดาวใดมา ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง ดาบสตนอื่นๆ ก็เข้าฌานส่งกระแสจิตขึ้นไปถามบ้างจนครบหมดทุกดาว แล้วนำมาเล่าสู่กันฟังและสั่งสอนจดจำกันต่อๆ มา โดยมิได้มีการบันทึก เพราะในเวลานั้นยังไม่มีอักขระใดๆ จะบันทึกไว้ได้ แม้ในสมัยพระพุทธเจ้าของเราขณะที่ยังมิได้ตรัสรู้ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ในชาติต่างๆ เรียกว่าพระโพธิสัตว์ ในอดีตภพพระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นดาบสมาหลายร้อยหลายพันชาติ และในภาพหนึ่งได้บังเกิดเป็นสุเมธดาบสไปพบพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีนามว่า”พระพุทธทีปังกรเจ้า” ได้ตั้งความปรารถนาไว้ ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ท่าน จนในที่สุดท่านก็ได้ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจ้าชายสิตธัตถะประสูติได้ ๗ วัน มีอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบสได้เข้าเฝ้าเยี่ยม พอเห็นเจ้าชายก็ก้มลงกราบเจ้าชายราชกุมารทันที ด้วยเห็นแล้วรู้ว่าจะต้องได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตแน่นอน เช่นเดียวกับที่โกณฑัญญะพราหมณ์ถวายคำพยากรณ์เจ้าชายสิทธัตถะว่า พระราชกุมารนี้จะไม่อยู่ในราชสมบัติ จะเสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกในโลกแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ส่วนพราหมณ์อื่นๆ อีก ๗ คนนั้นได้ถวายคำพยากรณ์เป็น ๒ คติว่า พระกุมารนี้ถ้าอยู่ครองราชสมบัติจะได้เป็นพระเจ้าจาตุรันต์จักรพรรดิมหาราชาธิราชเจ้า ถ้าออกผนวชจะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกในโลก ปรากฏว่าคำพยากรณ์ของพราหมณ์หนุ่มชื่อโกฑัญญะเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำตรงต่อความเป็นจริงดังปรากฏแล้ว อันการพยากรณ์ของดาบสก็ดี ของพราหมณ์ก็ดีมิได้มีการคูณหาเลขใดๆ หากแต่เป็นการพยากรณ์จากพระศิริลักษณะของพระสิทธัตถะกุมารซึ่งเพิ่งประสูติใหม่เท่านั้นเอง และเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ด้วย ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งใน ๑๘ วิชาที่โอรสกษัตริย์จะต้องศึกษา ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงผนวชได้ศึกษาอยู่ที่สำนักอุทธกะรามบุตรดาบส ได้สำเร็จวิชาชั้นสมาบัติแปด ซึ่งเป็นวิชาสูงสุดของท่านอุทธกะดาบสซึ่งพระองค์ท่านก็ได้นำวิชานี้มาช่วยเป็นวิชาเบื้องต้นในการไปสู่ทางตรัสรู้ของพระองค์ท่านด้วย

               จะเห็นได้ว่าวิชาโหราศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นมาจากพวกดาบสหรือฤาษีดังกล่าวแล้ว แม้นิยายหรือนิทานที่กล่าวถึงความเป็นศัตรูหรือความเป็นมิตรของดาวพระเคราะห์ต่างๆ นั้น ก็เป็นเรื่องราวที่จดจำกันมาตั้งแต่สมัยดาบสหรือฤาษีต่อๆ กันมาจนกระทั่งมีการจารึกอักขระกันขึ้น  ในชั้นต้นที่ยังไม่มีอักขระเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ยังไม่มีการจารึกพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎก ต้องท่องจำกันไว้ จนกระทั่งมีอักขระเกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธกาลแล้วจึงได้จารึกกันไว้ให้ชนรุ่นหลังได้อ่านกันมาจนทุกวันนี้ เช่นเดียวกับที่หนังสือวิชาโหราศาสตร์ไทยก็เพิ่งจะมีแพร่หลายเมื่อไม่กี่ ๑๐๐ ปีมานี้เอง ทั้งมีการเสื่อมและเจริญสลับกันเรื่อยๆ มา

               ผู้ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยส่วนมากมักจะมีการคำนับครูหรือที่เรียกว่า ”ไหว้ครู” ครูในที่นี้คือรูปปั้นดาบสหรือฤาษีและพราหมณาจารย์ ที่เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาโหราศาสตร์ไทยนั่นเอง และผู้ที่นับถือครูและพราหมณาจารย์จริงๆ แล้ว เวลาพยากรณ์ดวงชะตามักจะเกิด”อุคหนิมิต” คือสิ่งที่เกิดขึ้นแบบญาณสังหรณ์ให้นำอิทธิพลของดวงดาวดวงนั้นดวงนี้มาทำนายโดยไม่รู้ตัว และมักจะทำนายได้แม่นยำถูกต้อง มิใช่เป็นความเชื่ออย่างงมงายไม่มีเหตุผลดังที่ผู้อื่นเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่มีเหตุผลและมีความจริงอยู่แล้วเพียงแต่ผู้พยากรณ์มองไม่เห็นเอง การเรียนวิชาโหราศาสตร์นี้ไม่ยากจนเกินไปแต่ก็ไม่ใช่ง่ายนัก บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา การนับถือและบูชาครูบาอาจารย์เท่านั้นจะช่วยปัดเส้นผมนั้นออกไปได้ แล้วท่านก็จะมองเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าท่านทันที

***คัดลอกมาจากหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโหราศาสตร์ไทย ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย อาจารย์วาสนา จันทภาษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ที่มา   http://sunwasa.wordpress.com/2011/05/10/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AB/

จากคุณ : axolot
เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 15:29:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com