ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
ฉันไม่ต้องทำพื้นฐานรากในเบื้องล่างของเรือนดอก แต่ฉันจักทำตัวเรือนข้างบนได้
ดังนี้ : นี่ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้ฉันใด ; ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันนั้น
คือข้อที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
ฉันไม่ต้องรู้จักความจริงอันประเสริฐ คือ
ความจริงเรื่องทุกข์,
ความจริงเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ ,
ความจริงเรื่องความดับไม่เหลือของทุกข์
และความจริงเรื่องทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นั้นดอก
แต่ฉันจักทำความสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ โดยถูกต้อง ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! และเปรียบเหมือนผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
ฉันต้องทำฐานรากของเรือนตอนล่างเสียก่อน จึงจักทำตัวเรือนข้างบนได้ ดังนี้ :
นี่เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันใด ; ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันนั้น
คือข้อที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
ฉันครั้นรู้ความจริงอันประเสริฐ คือ
ความจริงเรื่องทุกข์,
ความจริงเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริงเรื่องความดับไม่เหลือของทุกข์
และความจริงเรื่องทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นั้นแล้ว
จึงจักทำความสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ โดยถูกต้อง ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
นี้เป็นทุกข์,
นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์
และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ดังนี้เถิด.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๔/๑๗๓๕-๖.
ภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้
ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว
ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค)
เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค)
เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค).
ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะกับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตติ
ขนฺธ. สํ. ๑๗ /๘๑ / ๑๒๕