|
ที่ท่านเจ้าของกระทู้กล่าวมานั้น กล่าวในแง่ของวิบากกรรม หรือผลของกรรม
ผู้ใดเจริญกุศลจิตประเภทไหนให้บังเกิดขึ้น ย่อมได้รับวิบากจิต ในภายภาคหน้าตามแต่ประเภทของกุศลชนิดนั้นๆ
เรื่องการไปเกิดเป็นอะไรนั้น หากไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมไม่มีผู้ใดบังคับได้ เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย
ในอรูปภพนั้น ก็มีพระอริยเจ้าที่ไปเกิดเป็นอรูปพรหมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีที่เคยได้อรูปฌานในช่วงเวลาก่อนจะบรรลุมรรคผลนั้น ท่านย่อมได้อรูปาวจรกุศลจิต ดังนั้นท่านจึงมีอรูปาวจรวิบากจิตที่จะชักนำท่านให้ไปบังเกิดบนอรูปภพเป็นอรูปพรหม
และจะไม่เป็นผู้ที่ตกต่ำอีก มีแต่จะเกิดในชั้นที่สูง ยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะเป็นอรหัตตผลบุคคล และนิพพาน
ฌานไม่ใช่ออปชั่นเสริม วิชชานอกศาสนาพุทธ หรือตัวช่วยในการบรรลุธรรม หากแต่เป็นองค์มรรคที่สำคัญ
มีอริยบุคคลมากมายที่ไม่ได้ฌานก่อนบรรลุมรรคผล แต่ในขณะที่บรรลุมรรคผลทุกครั้ง มัคคจิต ผลจิต จะต้องประกอบด้วยเจตสิกของปฐมฌานร่วมเป็นภาคีด้วยเสมอไป
วิปสฺสนานิยาเมน สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโก โหติ ฯ (ตามธรรมเนียมของวิปัสสนามีหลักอยู่ว่า มัคคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ก็ย่อมประกอบด้วยปฐมฌาน)
แต่เจตสิกของปฐมฌานที่เกิดร่วมกับมัีคคจิต ผลจิต นั้น เป็นโลกุตตรฌานที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิตเพื่อทำหน้าที่ข่มนิวรณ์ทั้ง 5 ไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวาง รบกวนการทำหน้าที่ประหารกิเลสของปัญญา
ปฐมฌานที่เกิดพร้อมกับมรรคนี้ จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสร้างภพในรูปภูมิหรืออรูปภูมิเหมือนอย่างโลกียฌาน เนื่องจาก มัคคจิต เป็นโลกุตตรจิต ทำหน้าที่ประหารกิเลส สังโยชน์เครื่องร้อยรัด อนุสัยเครื่องหมักดองเท่านั้น
พระโสดาบัน พระสกทาคามี ที่บรรลุธรรมแบบสุกขวิปัสสกะ ท่านจึงปราศจากรูปาวจรวิบากจิต กับอรูปาวจรวิบากจิตอันเป็นผลจากโลกียฌานที่จะทำหน้าที่นำพาไปปฏิสนธิบนพรหมโลก ท่านจึงได้แต่ไปเิกิดในมนุษยโลกหรือสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งใน 6 ชั้นของกามภูมิ โดยอาศัยมหาวิบากจิตทำหน้าที่นำพาไปปฏิสนธิแทน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์
โลกุตตรกุศลฌาน จตุกกนัย
[๗๒๑] ฌาน ๔ คือ
๑. ปฐมฌาน ๒. ทุติยฌาน ๓. ตติยฌาน ๔. จตุตถฌาน
[๗๒๒] ในฌาน ๔ นั้น ปฐมฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก ให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ปฐมฌาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่าธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน
[๗๒๓] ทุติยฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก ให้เข้าไปสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ บรรลุทุติยฌาน อันเป็น ไปในภายใน เป็นธรรมชาติผ่องใส เพราะวิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น แก่ใจ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เป็นทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ทุติยฌาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่ สัมปยุตด้วยฌาน
[๗๒๔] ตติยฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก ให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ เพราะคลายปีติได้อีกด้วย จึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน ซึ่งเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ตติยฌาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่าธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน
[๗๒๕] จตุตถฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก ให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มี ทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิท ในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า จตุตถฌาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน
------------------------------------------------------------------------------------
สัมมาสมาธิ (องค์มรรคที่ ๘)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นชอบเป็นอย่างไรเล่า?
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ...................... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
วิวิจเจวะ กาเมหิ, ......................... สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย,
วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, ............. สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย,
สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง, ปีติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ,
เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร, มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่,
วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา, ............ เพราะความที่วิตก วิจารทั้ง ๒ ระงับลง,
อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง, อะวิตักกัง อะวิจารัง, สะมาธิชัง ปีติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ,
เข้าถึงทุติยฌาน, เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน, ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร, มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่,
ปีติยา จะ วิราคา, ............................ อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ,
อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน,
ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ,
สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ, .......... และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย,
ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ,
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย, ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า, “เป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้,
ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ, .. เข้าถึงตติยฌานแล้วแลอยู่,
สุขัสสะ จะ ปะหานา, .......................... เพราะละสุขเสียได้,
ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, ........................ และเพราะละทุกข์เสียได้,
ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา,
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้ง ๒ ในกาลก่อน,
อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ,
เข้าถึงจตุตถฌาน, ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข, มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า ความตั้งใจมั่นชอบ.
แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 54 13:42:31
จากคุณ |
:
คืนวันอันแสนดี
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ส.ค. 54 13:34:18
|
|
|
|
|