ความคิดเห็นที่ 1 นิพพานมีอยู่แล้วในขันธ์ ๕ หรือ ?? ขันธ์ ๕ ไม่อาจหยั่งลงได้ในนิพพาน ?? “สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของ วิญญาณ ดังนี้” //สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓ จากคุณ : ไม้มณฑารพ เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 54 21:51:28

ความคิดเห็นที่ 2 สนฺติ ลกฺขณา  อจฺจุต รสา อนิมิตฺต ปจฺจุปฎฺฐานา วา นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 54 22:18:45

ความคิดเห็นที่ 3 แปลหน่อยสิครับคุณ สายลมเหงาแห่งขุนเขา ินิพพานจะมีในขันธ์๕ได้ไง จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 54 23:16:00

ความคิดเห็นที่ 4 ลองฟังจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์อธิบาย นิพพาน นะ http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=5475.0 จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 54 23:22:34

ความคิดเห็นที่ 5 จากการละสังโยชน์ทั้ง 10 นั้นจะพิจารณาได้ว่านิพพานนั้นไม่มีรูป พระพุทธเจ้าเคยเทศนาให้พระสารีบุตรฟังว่า แม้แต่ความว่างเปล่านั้นก็ยังมีรูป แต่ไม่เคยกล่าวว่านิพพานนั้นเป็นรูปนามใด เมื่อนิพพานนั้นไม่มีรูป นิพพานก็จะไม่เกิดเวทนา จะไม่มีการผูกสัญญาใดกับนิพพาน ไม่เกิดสังขารผูกรั้ง ไร้ซึ่งวิญญาณผูกมัด จะอยู่ในขันธ์ 5 หรือไม่ก็เชิญพิจารณาดูได้ครับ จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 54 23:52:52

ความคิดเห็นที่ 6 นิพพานอยู่นอกเหนือจากขันธ์ ๕ แต่ก็อยู่ในขันธ์ ๕ นี่แหละ .... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 00:01:37

ความคิดเห็นที่ 7 ตัดร่างกายได้ก็ไปนิพพาน ไม่ปรารถนามีร่างกายก็ไปนิพพาน จากคุณ : ลิงพญาไท (artpom99) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 01:58:01

ความคิดเห็นที่ 8 เคยได้ยิน วาทะที่กล่าวว่า นิพพานมีอยู่แ้ล้ว (๑) เจ้าชายสิทธัตถะ  --- (น่าจะ) เคย ได้ ยินว่า นิพพาน คือ ?  มาก่อน พวกเราตั้ง 2554+80 ปี ฯ (๒) เจ้าชายสิทธัตถะ -- ทรงแสวงหาว่า อะไร เป็นกุศล ไม่มีอะไรยิ่งกว่า มาตั้ง ฯ (๓) เมื่อ 2554 +45 ปี  เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ฯ ตามพุทธประวัติ (ตรัสเล่าเอง -- ท่าน เคย ผ่าน ตาแล้ว หรือยัง)   แล้ว ทรง อุทาน ออกมาว่า ฯลฯ  ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน (๔) ตรัสสอนให้ ผู้อื่น รู้ตรงตาม ดังที่ทรงอุปมา "ใบไม้กำมือเดยว" กลับมาที่ประเด้น กระทู้นี้-- ชาวพุทธสมยันี้ " ไม่เคย ผ่านตา ผ่านหู วึ่ง พุทธประวัติ ตรัสเล่าเอง (ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา) หรือ อย่างไร หนอ จึง ตั้งกระทู้ เช่น --นิพพาน มีอยู่แ้ล้ว จริงหรือ? แล้ว อ้างอิง  "ใคร"  ตาม ข้อความว่า --- เคยได้ยิน วาทะที่กล่าวว่า นิพพานมีอยู่แ้ล้ว ซึ่งผมจำไม่ได้ว่า ใครกล่าววาทะนี้ โดยท่านนั้นได้อธิบายสนับสนุนความที่ว่า นิพพานมีอยู่แล้ว ในขันธ์5 ของเรานี่แหละครับ แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่เห็นนิพพาน โดยเฉพาะข้อความ ---"โดยท่านนั้นได้อธิบายสนับสนุนความที่ว่า" แล้ว ทำไม ไม่ สอบทาน "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา พระพุทธวจนะ  ที่ ท่าน คือ จอมศาสดา ตรัสไว้ อุทานไว้ "เสียก่อน"  ก่อน  ตั้ง คำถามว่า ขอเรียนถามว่า : ฯ สรุป ไม่ได้ อะไรๆ กับ  ท่าน จขกท . นะครับ  ข้อความข้างบน เพราะ (๑) เป็น เช่นนั้นเอง "เสียแล้ว" ในสมัยนี้  ใน ห้องนี้ กระดานนี้ ฯ -- นั่นคือ กระดาน สาธารณะ  ที่ ท่านสมาชิก เข้ามา สื่อสาร ฯ (๒)  แต่ คคห ที่ผม เสนอ ----- น่าจะ พอมี เหตุ มี ผล อยู่  ไม่มากก็น้อย กล่าวคือ คำว่า -- นิพพาน มีอยู่แ้ล้ว จริงหรือ? -- แค่  อ่าน จูฬสุญญตาสูตร --- สำนวนตแปล ของ "สำนักไหน" ก็ได้ ผม เดาว่า ปัญญาชน ผู้วิญญูชนเช่น ท่าน จขกท  และ ท่าน สมาชิก -- ย่อม มี คำตอบได้ว่า "จริงหรือไม่   ตาม พระพุทธวจนะแปลไทย" ตัวอย่างเช่น  คคห 1  นั่นแหละ  คือ  ตัวอย่างที่ เนื่องกับ คคห นี้ **********************************************************  ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน                    พระพุทธภาษิตนี้ --- คือ คำตอบ ต่อ คำถามกระทู้นี้ --- ไม่ว่าจะมี สากลจักรวาล เป็นปรากฎการณ์ ขึ้นหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะมี พระเจ้า หรือ เทพผู้บันดาล หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่า พระตถาคต พระองค์นี้ จะ ทรงอุบัติแล้ว เมื่อ 2554 +45 ปี หรือไม่ก็ตาม มีอยู่ แน่ๆ คือ --- ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน -----   (ภพ คือ อะไร  ตาม พระพุทธภาษิต ใดนัุ้น -- ดูเอง โดนเฉพาะ จูฬสุญญตาสูตร) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 07:40:12

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าพิจารณาขันธ์5  ไม่ใช่แต่ของเราอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาอย่างไม่เลือกของคนอื่นก็ด้วย ท่านว่า ตัณหาอยุ่ที่ใด  จะดับก็ดับที่นั้น ทีนี้จะเอาอะไรไปดับตัณหาละ ท่านว่าก็วิชชา ความรุ้แจ้งว่า นี้คือทุกข์ อะไรละคือทุกข์ ธรรมชาติที่เกิด มีปัจจัยปรุงแต่ง ตามกระบวนการปฎิจจสหุหบาท สภาพที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถถือเอาแล้วจะมีความสุขได้ สภาพที่ทะยานไปตามตัณหา สภาพที่เป็นไปตามอุปทาน สภาพที่เป็นไปตามภพ สภาพที่เป็นไปตามอวิชชา สภาพที่เป็นไปตามสังขาร วิญญาณ นามรูป ผัสสะ อาตยนะ กาย เวทนา จิต  ธรรม นี้คือสมุทัย เพราะว่า ตัณหาในสิ่งที่ไม่เที่ยง หรือสิ่งที่เที่ยง เพราะมีตัณหาจึงมีอุปทานเพราะมีอุปทานจึงมี ภพ จึงมีความเกิดแก่เจ็บตาย ความรู้แจ้งว่า เพราะเหตุอย่างนี้เราจึงรู้ทุกข์ รู้ตัณหา ละตัณหา เรียกว่า มรรค ทางปฎิบัติ ความรุ้แจ้งว่า ทุกข์ ดับแล้ว ตัณหาดับแล้ว มรรคปฎิบัติแล้ว จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:00:27

ความคิดเห็นที่ 10 ตัดร่างกายได้ ไปพรหมโลกครับ จากคุณ : msdossys เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:31:26

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องขันธ์ 5 เป็นเรื่อง สมมติ เป็นสิ่งที่เรียกว่า สังขตธรรม แต่นิพพานเป็นเรื่องของ วิมุติ คือ อสังขตธรรม นิพพานนั้นมีอยู่ จริง ความดับด้วยความจางคลายโดยไม่เหลือ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย ด้วยประการทั้งปวง เป็นนิพพาน จากคุณ : KONICHIWA เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:32:28

ความคิดเห็นที่ 12 เพื่อความยุติธรรม ไม่คลาดเคลื่อน ไม่เดาและไม่ไปตามทิฐิของตนของใคร คุณควรไปถามเจ้าของวาทะ หากไม่ทราบ พีงยกไว้ก่อน หรือละไป เพราะเพียงคำพูดสั้นๆนั้น ที่ไม่ได้แจงความหมาย ควรเห็นว่าเพียงพอแล้วที่จะตัดสิน หรือเปล่า ขนาดการพูดถึงของบางสิ่งบางอย่าง แต่ละท่านยังอธิบายและมโนภาพไปต่างๆไม่เหมือนกันได้ ซึ่งเป็นไปตามประสบการณ์และความเข้าใจของตนเอง ? ในกรณีเป็นคำพูดที่อธิบายแจงความหมายให้ทราบพร้อมสมบูรณ์แล้ว ค่อยยกมาเปรียบเทียบ กับคำของผู้รู้แจ้ง / กับของตน แบบนี้ก็พอว่าไปอย่าง จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 10:20:06

ความคิดเห็นที่ 13  เกวัฏฏสูตร พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้า 329 ข้อ 350 : แถลงปัญหามหาภูต ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ จากพระสูตร ข้างต้น ฟลุ๊ค ขอเสนอ ที่ตัวเองเข้าใจดังนี้ นิพพาน คือ นิพพาน มีอยู่ แล้วไม่เกี่ยวข้องกับ สมมุติ ขันธ์ 5 ก็ไม่หยั่งลงใน นิพพาน นิพพาน ก็ไม่ได้ หยั่งลงในขันธ์ 5 ฟลุ๊คเลยเชื่อ ทางว่า นิพพานไม่ได้มีใน ขันธ์ 5 ปล.ได้แต่เชื่อไว้ก่อน ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง? จากคุณ : น้องฟลุ๊คน่ารัก เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:32:39

ความคิดเห็นที่ 14 ผมแปลไม่ได้ครับ ผมก๊อปเค้ามา แต่เข้าใจ(เอาเอง)ว่าน่าจะเกี่ยวข้องและใกล้เคียง จากพระอภิธรรม ------------------------------------------------------- สภาพของนิพพาน       เมื่อกล่าวโดยสามัญญลักษณะสภาพของนิพพานมีเพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ใด ๆ ทั้งสิ้น       แต่นิพพาน ไม่มีอนิจจลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรผัน และนิพพาน ไม่มีทุกขลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ทนอยู่ได้ ด้วยว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ และด้วยเหตุที่นิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จึงมีสภาพที่ทน อยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งให้ กลายเป็นไม่ว่างได้       วิเสสลักษณะ ของนิพพาน มีเพียง ๓ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน       สนฺติ ลกฺขณา                มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็นลักษณะ       อจฺจุต รสา                         มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ (สัมปัตติรส)       อนิมิตฺต ปจฺจุปฎฺฐานา             ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็นอาการปรากฏ       (วา) นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา        (หรือ) มีความออกไปจากภพ เป็นผล       ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ          ไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด (เพราะนิพพานเป็นธรรม                                       ที่พ้นจากเหตุ จากปัจจัยทั้งปวง)       สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พ้นแล้วจากตัณหาเครื่อง ร้อยรัด ตรัสรู้ ธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่เที่ยง (คือ พ้นจากกาลทั้ง ๓) ธรรมที่ปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐยิ่งกว่า ธรรมนั้น คือ นิพพาน      สภาพของนิพพาน ๕ ประการ ที่กล่าวข้างต้น มีความหมายดังนี้ คือ ๑. ปทํ แปลว่า นิพพานเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ และมีอยู่โดยเฉพาะ ไม่คลุกเคล้าด้วยโลกียธรรม ๒. อจฺจุตํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ตาย ไม่มีความเกิด และไม่มี ความตาย ไม่มีแตกดับ ๓. อจฺจนฺตํ แปลว่า ธรรมที่เที่ยง คือก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีต และ อนาคต หมายความว่า เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน ๔. อสงฺขตํ แปลว่า นิพพาน ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย หมายความว่า นิพพานนี้ไม่ใช่ จิต เจตสิก รูป เพราะ จิต เจตสิก รูป นั้นเป็น ธรรมที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง สภาวธรรมที่ปราศจากการปรุงแต่ง ชื่อว่า อสังขตะ ได้แก่ นิพพาน          บัญญัติ ก็เป็นอสังขตธรรมเหมือนกัน แต่ในที่นี้กล่าวเฉพาะ ธรรมที่เป็นปรมัตถ บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ฉะนั้นอสังขตธรรม ในที่นี้จึงหมายถึง นิพพาน แต่อย่างเดียว ๕. อนุตฺตรํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐอย่างที่ไม่มีธรรมใด ๆ จะเทียมเท่า ---------------------------------------------------------------------------------------- ที่มา: http://www.abhidhamonline.org/aphi/p6/084.htm http://reocities.com/SouthBeach/terrace/4587/6page121-133.htm จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:38:49

ความคิดเห็นที่ 15 เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนถึงสังขารุเปกขาญาณ แล้วจะเริ่มเข้าใจ เห็น รู้จัก อสังขตธรรม สันติธรรม สันติบถ วิสังขาร แบบรำไรๆ แล้วครับ สภาวะเหล่านี้แตกต่างจากทุกอย่าง ราวกับเป็นคนละฟากฝั่ง แต่ต้องละวาง สละคืน ถอดถอน ความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่อาลัยทั้งหลาย ลงให้หมด โสดาปัตติมัคคจิตถึงจะเกิด จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:45:23

ความคิดเห็นที่ 16 จากข้างต้นนั้น ก็ชัดเจนว่า นิพพาน มีอยู่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ 5 เลยครับ และไม่ใช่ต้องทำเหตุให้เกิดนิพพาน เพราะนิพพาน พ้นจากปัจจัย กล่าวคือไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด มีแต่ต้องทำเหตุเพื่อให้แจ้งนิพพานเท่านั้น แต่มีอยู่แล้ว และการมีอยู่ของนิพพานนั้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับขันธ์ 5 แต่นิพพานไม่ใช่สิ่งที่เกิดหรือดับ จึง มีอยู่ ไม่ว่าขันธ์ 5 เกิดหรือดับก็ตาม ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า "นิพพานมีอยู๋ในขันธ์ 5" นั้น(ต้องเก็บทุกพยางค์และนัยยะของทั้งพยางค์และคำ รวมถึงการกล่าวอย่างภาษาไทย แต่มีนัยยะทางบาลีอย่างไร) จึงต้องมีคำถามเพื่อขยายรายละเอียดเพื่อหาข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ 1. ใครเป็นผู้กล่าว 2. ผู้กล่าวนั้น มีนัยยะใจความเป็นไปอย่างไรในทางบาลี 3. ท่านจขกท เข้าใจนัยยะตรงกับผู้กล่าวหรือไม่ทั้งไทยและบาลี 4. เจ้าของกระทู้ "กล่าว" นัยยะตรงกับกับผู้กล่าวหรือไม่ทั้ง ไทยและบาลี ก็จะทำความเข้าใจกันต่อไป จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:52:09

ความคิดเห็นที่ 17 ปรมัตธรรม ธรรมที่มีอยู่จริง มีอยู่แล้วจริงแท้แน่นอน มี 4 อย่างคือ 1.    จิต มี 89 หรือ 121 ดวง 2.    เจตสิก มี 52 ดวง 3.    รูป มี 28 รูป 4.    นิพพาน มีเพียง 1 ขันธ์ 5 ก็คือ รูป จิต เจตสิก เท่านั้น ไม่มีนิพาน ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน จากคุณ : Poonoi เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:26:05

ความคิดเห็นที่ 18 ความหมาย น่าจะเป็นว่าสามารถ รู้แจ้งซึ่งนิพพาน ด้วยขันธ์ 5 ที่มีนี่แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหนอื่นไกล จากคุณ : Garcinia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 13:36:39

ความคิดเห็นที่ 19 ก็เมื่อสติและสัมปชัญญะเข้าครอบครองจิตได้ทุกขณะจิตอย่างสมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น นิพพานก็อยู่ตรงนั้นแหละ แม้ว่าขันธ์ ๕ จะยังไม่แตกดับยังทํางานอยู่ จิตก็เสวยอารมณ์นิพพานตลอดเวลา แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 17:07:01 จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 14:05:08

ความคิดเห็นที่ 20 ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ แดนพระนิพพานมีจริง หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เสด็จมาเยี่ยมท่าน" จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:34:10

ความคิดเห็นที่ 21 คําถามอย่างนี้ผู้ที่ตอบได้ถูกต้องที่สุดต้องเป็นระดับพระอริยเจ้าเท่านั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นพระอริยเจ้า มีอยู่ทางเดียวคือเราต้องทําตนเองให้เกิดญานทัสสนะให้ได้ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นความสงสัยหรือคําถามข้อนี้ก็เป็นอันจบไป จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:20:53

ความคิดเห็นที่ 22 ...       ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับนิพพาน จากข้อมูลการทดสอบสมองล่าสุด http://www.nature.com/neuro/journal/v11/n5/full/nn.2112.html นักวิทยาศาสตร์พบว่า "ความคิด" ไม่ใช่ของเรา (สตีเวน ฮอคกิ้ง ก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน ว่า เราไม่มี Freewiil) เราทุกคนคิดว่า ความคิดทั้งหมดนั้นเป็นของเรา แต่ที่จริงแล้ว "เราถูกสั่งให้คิด"     แล้วอะไรคือสิ่งที่ต่อเถียงกันเสมอเช่น อีกใจหนึ่งอยากจะนอน กับ อีกใจหนึ่งอยาก อ่านหนังสือสอบ  สิ่งต่อสู้กันนั้น ไม่ใช่สมองต่อสู้กับสมอง แต่เป็นสมองกับอะไรสัก อย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะหมายถึง "จิต" ในความรู้ของพุทธ สรุปเบื้องต้น "จิต ต่อสู้อยู่กับ สมอง(ความคิด)"       "จิต" มีจริงหรือไม่ หรือว่าเราเหมารวมว่า จิตกับความคิดเป็นสิ่งเดียวกัน การทดสอบ        ตั้งสมุติฐาน ถ้าคิดว่าจิตไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความคิด แสดงว่า สองสิ่งนี้จะต้องแยก จากกัน       การทดลองเพื่อค้นหา "จิต" คือการหยุดสมองไม่ให้ทำงานหรือเรียกง่ายๆว่า "หยุดคิด"       การจะหยุดคิดได้ ก็คือการทำเข้าสมาธิ เมื่อสมองหยุดการทำงานทั้งหมด จิตก็จะ ผุดขึ้นมาให้เห็น (และตอบสนองการเห็นด้วยการแสดงแสงสว่าง)      จิต ถูกขังอยู่ในร่างกายโดยมีสมอง(ความคิด)เป็นผู้คุมขังและสั่งงานให้แล่นไป ตามเส้นทางที่กำหนดไว้แล้ว เพราะ "ความคิดไม่ใช่ของเรา"      ความคิดถูกโปรแกรมไว้ตั้งแต่ต้น เช่น ผู้หญิงสวย เสพกามแล้วมีความสุข ดังนั้น กิเลสก็คือสิ่งที่ถูกป้อนให้มาตั้งแต่ต้นเช่นกัน      ถ้าจิตหลุดพ้นจากกิเลส(ความคิด) ได้ทั้งหมด นั่นก็คือ นิพพาน ดังนั้น ถ้าจิต อยู่ในขันธ์ 5 นั่นก็หมายความว่า นิพพานก็อยู่ในขันธ์ห้าเช่นกัน      อย่างแรกที่จะต้องทำก็คือ ค้นหาจิตของตัวเองให้เจอก่อนครับ จากนั้น ก็พาจิต ให้หลุดพ้นจากห้องขังให้ได้                                                                                                             ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 18:48:46

ความคิดเห็นที่ 23 ลองนึกภาพสมมุติเทียบเคียงแบบนี้.... ...มีลูกแก้วกลมใสแข็งแกร่งที่ไม่มีอะไรจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อได้ลูกหนึ่ง  ...ลูกแก้วนี้อยู่ในสระน้ำที่มีน้ำใสเหมือนกัน  ดังนั้นใครๆย่อมมองไม่เห็นลูกแก้วนี้  เพราะสีเดียวกับน้ำในสระ  แต่ความจริงคือ  น้ำกับลูกแก้วนั้นก็แยกกัน  คือน้ำไม่อาจจะเข้าผสมกับลูกแก้วนี้ได้  จึงอาจจะพูดว่า  น้ำกับลูกแก้วก็อยู่ด้วยกันแต่ก็แยกกันไม่ผสมกัน  และลูกแก้วนี้ก็อยู่ในสระน้ำนั่นเอง  ไม่ได้อยู่นอกสระน้ำนั้น วันใดวันหนึ่งถ้าน้ำในสระแห้งเหือดหายไปหมด  ลูกแก้วก็ยังคงอยู่นิ่งๆตามเดิม  สภาพเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ลูกแก้ว เปรียบเสมือนนิพพาน   น้ำเปรียบเสมือนขันธ์ ๕ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:40:44

ความคิดเห็นที่ 24 พระพุทธเจ้า ยัง ทรงยังอยู่ --- หรือใคร ค้าน ครับ ถ้า ไม่ค้านว่า พระพุทธเจ้า ยัง ทรงยังอยู่ พระพุทธองค์ ทรงอุทานไว้ว่า ---ฯลฯ ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน แล้ว จะ กระทำอุปมา เอาเอง ทั้งๆ ที่ยังมี กิเลสคือ อนุสัย อาสวะ สังโยชน์ ไป ทำไม? ทำไม  ไม่ พิจารณา ตาม พระพุทธภาษิตเล่า? (๑) "ความดับแห่งภพ" --- คือ อย่างนี้ๆ ตามพระสูตรนี้ ---- เกจิอาจารญ์ ท่าน ไม่ สั่ง สอนไว้หรือ ว่า "ทรงหมายถึง อย่างนี้ๆ" (๒) "พราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง" ---- เกจิอาจารญ์ ท่าน ไม่ สั่ง สอนไว้หรือ ว่า "ทรงหมายถึง อย่างนี้ๆ" (๓) เมื่อ เข้าใจ ตามที่ตรัส + ตามที่ ---- เกจิอาจารญ์ ท่าน สั่ง สอนไว้ว่า "ทรงหมายถึง อย่างนี้ๆ" -- ก็ หมายรู้ได้ว่า นิพพาน คือ  -- เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง เพราะ ตัณหา มันก็คือ ภพ (ที่ได้แก่ ความมีความเป็น แบบ ที่ ตรัสในคำว่า ตัณหา นั่นเอง) ตกลง -- เคยได้ยิน วาทะที่กล่าวว่า นิพพานมีอยู่แ้ล้ว  ตรงกับ "-- เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง เพราะ ตัณหา มันก็คือ ภพ (ที่ได้แก่ ความมีความเป็น แบบ ที่ ตรัสในคำว่า ตัณหา นั่นเอง)  อย่างไร? ดู คคห 8 ไม่ว่าจะมี สากลจักรวาล เป็นปรากฎการณ์ ขึ้นหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะมี พระเจ้า หรือ เทพผู้บันดาล หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่า พระตถาคต พระองค์นี้ จะ ทรงอุบัติแล้ว เมื่อ 2554 +45 ปี หรือไม่ก็ตาม "สิ่งนั้น" "มีอยู่ แน่ๆ" คือ --- ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน ----- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 20:47:54

ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อขันธ์ห้าถูกสลัดคืนให้ธรรมชาติ นิพพานที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็น ก็ปรากฏให้ประจักษ์ เวลาเห็นจะเห็นด้วยใจ เป็นสิ่งที่ปุถุชน นึกไม่ถึง ว่าจะมีอะไรอย่างนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 23:22:58 จากคุณ : นพนครสวรรค์ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 23:04:21

ความคิดเห็นที่ 26 อืม...ผมมีความเห็นว่า นิพพานนั้น มีอยู่แล้ว เป็นสภาวะเดิมของทุกๆสิ่ง และแทรกซึมอยู่ในทุกทุกอณูในทุกทุกอย่างเสมอกัน ท่านลองนึกสภาพที่ว่า ทุกทุกอย่างในโลกเป็นเนื้อเดียวของกันและกัน นิ่งเฉย สะอาดสว่าง สงบเย็น นั้น...เป็นอย่างไร และมีความเห็นว่า จะเห็นนิพพานได้ครั้งแรกจากภายในใจของตนเอง ที่ตนเองมีความยึดมั่นถือมั่นในความรํ้สึก" ตัวเอง "และ มีตัวเอง  มีเรา มีเขา และจู่จู่ก็มีนิพพานแทรกออกมาจากภายในของตัวเอง ทำให้เห็นว่ายังมีสิ่งสิ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในตัวเอง และออกมาให้เห็นแล้ว ก็กลับหายไป แต่ได้ทำลายการมีตัวเอง มีเรา มีเขาสิ้นไป รู้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ในที่ใดใด จากคุณ : ฮูฮง เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 23:10:55

ความคิดเห็นที่ 27 พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ---- "สิ่งนั้น" "มีอยู่ แน่ๆ" (พระสูตรใดนั้น) คือ --- ความดับแห่งภพ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน ----- (อีกพระสูตร เป็น พุทธอุทาน) ส่วน สาวก สมัยนี้ "จะเสนออะไรๆ" เนื่องด้วย "นิพพาน ของพระพุทธเจ้า (แปลว่า นิพพาน ตาม พุทธปัญญาของจอมศาสดาพระองค์นี้) -- ก็ มี "สัมมา" สติ ว่า "พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ อย่างนี้ๆ " ------ จะชื่อว่า " ไม่ บาปใหญ่ ไม่ ฯลฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 07:45:23

ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา หรือ วิปัสสนาจากสติปัฏฐาน 4 ตามที่พระำพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เจริญขึ้น มรรคมีองค์ 8 ย่อมเจริญสมบูรณ์   1.ความดับ จากขันธ์ ทั้งหลาย นั้นมี 2.ความพ้นจาก อายตนะ และ สังขาร นั้นมี ส่วนการพิจารณานั้น พิจารณา ที่ กิเลสตัณหาแห่งตน ศีลแห่งตน พร้อมทั้ง พละ 5 แห่งตน. เพราะ ธรรมนั้น(นิพพาน) เป็นปัจจตัง. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 15:15:40

ความคิดเห็นที่ 29 เคยอ่านเจอคำพูดของพระอาจารย์องค์หนึ่งแต่จำชื่อไม่ได้นะค ท่านว่า นิพพาน เปรียบเสมือน ไฟ  เรารุ้ว่าไฟมีอยู่  แต่ไม่รู้มันอยู่ที่ไหน จากคุณ : อุ่นหล้า (อุ่นหล้า) เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 54 18:35:03