ความคิดเห็นที่ 1 จริงๆ ก็ดีนะครับ แต่ปัญหาคือ คุณแม่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกจะเข้าโบสถ์ ถ้าลูกไม่เข้าโบถส์ คุณแม่ก็ต้องให้ลูกเปลี่ยนเป็นอิสลามต่อไหมครับ... ผมว่าเปลี่ยนศาสนาก็เหมือนเปลี่ยนเสื้อ ถ้าใจคนไม่รับ เสื้อตัวไหนเขาก็ไม่อยากใส่ครับ หรือใส่ตัวไหนไป ถ้าคนไม่เปลีย่น ก็เท่านั้นครับ เห็นใจคุณแม่ แต่ก็ไม่รู้จะ่ช่วยยังไงเหมือนกันแหะ แต่ผมเคยไปฟังคุณแม่คนนึงที่เขาปฎิบัิติธรรมนะครับ จากที่ลูกไม่กล้าไม่ชอบมานั่งกินข้าวด้วย เพราะว่าแม่ขี้บ่น เจ้าระเบียบ และคิดว่าตัวเองเป็น "แม่" สั่งได้ทุกอย่าง ...แต่พอคุณแม่ปฎิบัติธรรมจนเ้ข้าใจรูป-นาม ทุกอย่างเปลี่ยนไป ครอบครัวรักกันมาก เพราะว่าแม่กล้าที่ขอโทษลูกแม้ว่าตัวเองจะไม่ผิด ครอบครัวคุยกันดีขึ้น รักกัน นอกจากนี้คุณแม่คนนั้นยังเข้าใจว่าเธอเปลี่ยนลูกไม่ได้ แต่เธอเปลี่ยนตัวเองได้ แต่ๆๆ หลังจากที่เธอเปลี่ยนตัวเอง ลูกเธอก็เปลี่ยนไปด้วยครับ.... :) อีกกรณีนึงที่ผมฟังมา เป็นคุณแม่อีกแล้ว หลังจากคุณแม่ปฎิบัติธรรมจนเข้าใจรูป-นาม เธอบอกว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และนั่นก็ทำให้ลูกเธอและสามีเธอเปลี่ยนไปด้วย จากสามีที่ชอบสูบบุหรี่กลายเป็นหยุดสูบ จากลูกที่เรียนไม่เก่ง กลายเป็นลูกที่เรียนดีขึ้น... สิ่งที่เหมือนกันสำหรับคุณแม่ทั้ง 2 คนนี้คือ เธอพัฒนาััตัวเองขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนตัวเอง สุดท้ายคนรอบข้างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วยไปโดยปริยายครับ ก็น่าคิดดีนะครับ ^________________________^ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 00:14:32 จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:05:57

ความคิดเห็นที่ 2 ขอเพิ่มเติม นะคะ  คือดิฉันมีความคิดว่า (ไม่ทราบถูกหรือผิด ) ศาสนาพุทธ  เหมาะกับผู้ที่สามารถอ่าน  ปฏิบัติ ฝึกฝน คิดด้วยตนเอง ซึ่งลูกสาวทำไม่ได้ ส่วนศาสนาคริสต์ มีพระเจ้า มีการสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า มีเพลงไพเราะ ( ลูกสาวชอบเสียงเพลง) น่าจะทำให้ลูกสาวเข้าถึงธรรมได้บ้าง ดิฉันคิดถูกไหมคะ  กรุณาแนะนำด้วยค่ะ จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:14:53

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าไม่ถูก ไม่ได้หมายถึงว่า ผมไม่อยากให้มาเป็นคริสต์นะครับ แต่การนับถือศาสนาใดเพราะ ยึดติดกับ วัต:-)ึดติดกับคน  หรืสถานที่  มากกว่าเป็นไปด้วยความศรัทธา ด้วยความเชื่อ เมื่อวันนึง ลูกสาวคุณไปเจอ คริสตชนที่เขาทำให้ไม่พอใจแล้ว คราวนี้คุณไม่ต้องพาเขาไปอิสลามหรือ  คุณต่างหากที่ ถ้าเขาไม่ไปวัด เป็นหน้าที่คุณที่จะต้องพูด สอน เรื่องธรรมมะให้เขาฟัง ต้องใจเย็นกับเขาบ้าง จากคุณ : orapronobis เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:36:13

ความคิดเห็นที่ 4 แต่ถ้าจะทำหใ้คนนึงดีขึ้นและถ้าคุณคิดจะลองพาไปดูก็ได้ครับ ว่าแต่จะเป็นนิกายไหนแค่นั้น ไม่ว่าโบสถ์นิกายไหน จะ คาทอลิก หรือ โปรแตสแตน ทุกโบสถ์ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว ขอแค่คุณเดินเข้าไปเถอะ จากคุณ : orapronobis เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:37:39

ความคิดเห็นที่ 5 ขอแสดงความเห็นแบบนี้นะครับ ผมไม่สามารถตอบแทนคริสต์ได้ครับ เลยขอข้ามไปนะครับ ส่วนพุทธต้องพูดจากประสบการณ์ตัวเองว่า ก็ถูกครับ ในตอนแรกๆ คงต้องฟังเพื่อจะได้รู้แนวทางในการปฎิบัติ แต่พอฟังไปแล้วต้องนำไปปฎิบัติด้วยตนเอง เพื่อจะได้เห็นเองและรู้ได้ด้วยตัวเอง การเปลีย่นแปลง--ที่แท้จริง--ถึงจะเกิดขึ้นครับ ผมว่าคนเราถ้าไม่ได้เห็นอะไรด้วยตัวเอง ไม่ได้ประสบอะไรด้วยตัวเอง การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่เกิดขึ้นนะครับ ถ้าได้แต่ฟัง ได้แต่เชื่อคนอื่นไปเรื่อยๆ สักวันมันก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม ว่าแต่วันนี้คุณแม่เตรียมใจให้พร้อมหรือยังครับ ^__________^ จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:41:42

ความคิดเห็นที่ 6 วัยรุ่นก็แบบนี้แหละครับ ไม่เห็นโลงศพ... ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นในเร็ววันครับ จากคุณ : สบายดีหรือเปล่า เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 00:57:55

ความคิดเห็นที่ 7 การมีลูกไม่ดีนี่เป็นความทุกข์ใจของพ่อแม่ มันเป็นเวรกรรมของพ่อแม่แท้ๆเชียว แต่ถ้ามองให้ดี มันก็เป็นความท้าทายในการแก้ปัญหาเหมือนกัน เคยอ่านหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมีตอนหนึ่งคือ มีลูกชายเศรษฐี ประพฤติแย่ๆ จนพ่อแม่ไม่อยากยกสมบัติให้ แต่แล้วเขาจ้างลูกเขาด้วยเงินจำนวนที่สูง โดยให้ลูกไปเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน เท่านั้นแหละนิสัยเปลี่ยนเลย... จากคุณ : TGDEV เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 04:43:39

ความคิดเห็นที่ 8 คุณlawandee99 พาลูกสาวไปที่คริสตจักรไหนครับ?  บางที่ความคิดคุณก็น่าจะลองดู  ในเมื่อที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาได้   อย่างไรก็ตาม  ตามความคิดผม ตัวคุณเองก็น่าจะเข้าไปในกลุ่มที่คิดว่าดีแล้ว  ไม่ต้องไปฟังความเห็นใครหรอกครับ  ทุกความเห็นก็ดีๆทั้งนั้น  ตัวเราเองต่างหากรู้ดีว่า ควร หรือไม่?  ลองดูไม่เสียหายครับ  ลองเข้าไปศึกษาดู  อาจจะพบความแตกต่างเกิดขึ้นก็ได้ครับ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 05:04:51

ความคิดเห็นที่ 9 เจ้าของกระทู้คะ.... ลองหาข้อมูลที่ปฏิบัติธรรม สำหรับเยาวชนหรือยังคะ... อาจจะจ้างไปปฏิบัติก่อน ในตอนแรก... เอาคอร์สหลาย ๆ วันหน่อย  ... หรือไม่ ก็ลองโทรถามที่สวนโมกข์ เป็นกำลังใจให้นะคะ.... จากคุณ : ป้อม-ยาม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 06:36:28

ความคิดเห็นที่ 10 คุณลาวันดีเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัญเรื่อง  ลูกไม่ดีแก้ที่พ่อแม่  พ่อแม่ไม่ดีแก้ที่ลูก  หรือยังคะ  บางทีตอนนี้กรรมบังตาลูกคุณอยู่    ลองคิดว่ากฎแห่งกรรมกำลังทำงานอยู่ ปล่อยให้เป็นไปเถิดค่ะ  ค่อย ๆ หาทางแก้นะคะ ดิฉันเชื่อว่า ด้วยความดี และด้วยบุญของคุณ  เมื่อถึงเวลาส่งผล ก็จะมีเหตุให้ลูกคุณคิดได้เองค่ะ   เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยนะคะ จากคุณ : ใจซึ้ง (ใจขึ้น) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 06:55:49

ความคิดเห็นที่ 11 ดิฉันนับถือศาสนาพุทธและเป็นครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาด้วย ดิฉันมีความคิดว่าลูกสาวดิฉันไม่เหมาะกับศาสนาพุทธ   เพราะ เขาดื้อ  ขี้เกียจ  ตื่นสาย  ไม่ยอมไปวัด  ไม่อ่านหนังสือ  หลงใหลผู้ชายรูป หล่อ  ล่าสุด ( ดิฉันตั้งกระทู้แล้วค่ะ )  ปลอมลายเซ็นต์ดิฉันเบิกเงิน 37000 บาท  เพื่อให้สามีรูปหล่อที่ติดยาไม่ทำงาน คือดิฉันจะอธิบายว่า  เขาไม่มีโอกาสได้ฟัง  ได้ฝึกให้เป็นคนดี  จากพรพุทธ ศาสนาได้เลย  เพราะเขาไม่เข้าวัด  ไม่ฟังใคร ----------------------------- น่าเห็นใจ จขกท.ครับ ผมในฐานะคุณพ่อคนหนึ่ง เข้าใจความรู้สึกนี้ดี ลูกแต่ละคน เขามี "ของเก่า" ของเขามา อุปนิสัยจึงแตกต่างกันมาก และบางทีก็ไม่เหมือนคุณพ่อคุณแม่เอาเสียเลย ดังคำโบราณว่า "แหกคอก" แต่อย่างไรเสียผมคิดว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ "มหาบุรุษ" คือมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือสามารถเปลี่ยนคนได้อย่างรวดเร็ว ดูอย่างกรณีโจรองคุลีมาล ฆ่าคนไป ๙๙๙ คนแล้ว เมื่อได้พบพระพุทธเจ้ายังกลับใจบวชจนได้เป็นพระอรหันต์ได้ในไม่ช้า ปัญหาลูกสาวคุณผมว่าหากแก้ไขด้วยพุทธศาสนา คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงครับ ช่วงวัยรุ่น ลูกคุณคงเหมือนๆกับบรรดาเพื่อนๆเขา คือถึงวัยต่อต้าน ดื้อ อยากลอง (ช่วงเป็นวัยรุ่นผมก็เป็นครับ) ผมแนะนำให้คุณหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เหมือน คคห. ๑ แนะนำ เมื่อคุณมาฝึกภาคปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ตัวคุณเองจะเปลี่ยนก่อน เปลี่ยนจนคนรอบข้างเขาแปลกใจ และเปลี่ยนตาม บางทีการเป็นแม่ เมื่อลูกทำไม่ดี ย่อมหงุดหงิดเพราะไม่ได้ดังใจ เมื่อหงุดหงิดด้วยโทสะ น้ำเสียง คำพูด ที่พยายามสั่งสอนลูกจึงเหมือนยาขมสำหรับลูก เขาอาจปิดหูปิดใจไม่ฟังอะไรเลย เพราะเสียงแห่งโทสะของคุณแม่ผู้หวังดีมันอาจกรีดใจจนเขาทนไม่ไหว ดังนั้นหากจะเปลี่ยนลูก อาจต้องเปลี่ยนแม่ก่อน ผมคิดว่าถือเสียว่าเปลี่ยนวิกฤตินี้เป็นโอกาส โอกาสให้คุณแม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมจริงจัง คุณควรเริ่มที่การฝึกสติปัฏฐาน โดยตามรู้กายตามรู้จิตตามความเป็นจริง แล้วเมื่อกลับไปอยู่กับลูกพอเห็นหน้าลูกเกิดความรู้สึกหงุดหงิดก็รู้ทันความหงุดหงิดนั้น เมื่อรู้ทัน ความหงุดหงิดย่อมไม่สามมารถครอบงำการกระทำ คำพูด ความคิดได้ คุณจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เป็น "แม่พระ" สำหรับลูกสาวคุณ คุณจะเป็นที่รักของลูกสาวคุณยิ่งกว่าที่เขารักเพื่อนหรือรักแฟนเขา เมื่อนั้นแหละครับ ลูกสาวคุณจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยครับ เอาใจช่วยครับ ขอให้พระรัตนตรัยคุ้มครองทั้งครอบครัวครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 08:27:19

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนตัวเองคิดว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีค่ะไม่ว่าจะถือศาสนา อะไรถ้าใจยังไม่ปลงยังยึดติดกับความสนุกก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองได้ค่ะต้อง แก้ที่ใจเค้าก่อนวันนึงแล้วบุญจะนำพาให้เค้าคิดได้เองค่ะ มันเป็นไปตามวัยถ้ายังไม่เจอ เหตุการณ์ที่เค้าจะได้คิดขึ้นมาเค้าก็จะยังไม่เชื่อหรอกค่ะแต่คิดว่าไม่นานนะค่ะเค้าจะต้อง มีความประพฤติดีขึ้นมาได้แน่นอนเพราะคุณแม่ก็เป็นครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาเป็นชาว พุทธที่ดีและเผยแผ่ศาสนาให้ผู้อื่นได้ทราบถึงหลักธรรม กุศลที่ทำอีกไม่นานต้องทำให้ ลูกเป็นคนดีได้มากขึ้นแน่นอนค่ะใจเย็นๆค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : ผึ้งน้อย _เนม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 09:11:47

ความคิดเห็นที่ 13 ขอโทษนะคะ ขออนุญาตพูดตรง ๆ ณ ที่นี้เลยค่ะว่า ของอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนานะคะ มันอยู่ที่ตัวคนมากกว่าค่ะ แต่ถ้าวันนึงที่ลูกสาวของคุณครูได้กลับใจแล้ว คุณครูลองพาน้อง เขาไปเรียนคำสอนที่โบสถ์ใกล้ๆ ดูิสิคะ ตอนนี้คุณครูทำได้แค่เพียงสวดภาวนา อ้อนวอนขอพระ เจ้าให้น้องเขากลับใจค่ะ (ถึงเป็นพุทธ แต่ก็สวดขอได้นะคะ) ยังไงก็ตามจะช่วยเป็นอีกแรงนึงใน การสวดภาวนานะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ และขอพรจากพระแม่มารีค่ะ จากคุณ : proflex เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 09:39:52

ความคิดเห็นที่ 14 ขอโทษค่ะ  ดิฉันลืมบอกไปว่า ลูกสาวไม่ใช่สายเลือดดิฉันค่ะ  เอามาเลี้ยงแจ้งเกิดเป็น ลูกถูกต้องตามกฏหมายค่ะ  จึงสอนยากเย็นกว่าธรรมดาสักหน่อยค่ะ จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 11:27:30

ความคิดเห็นที่ 15 ความเห็นผมจะครับ เดาๆว่า ลูกคุณต่อต้านคุณ อะไรที่คุณให้เขาทำ ให้เขาเป็นอย่างที่คุณต้องการเขาจะไม่ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้ น่าจะต้องปรับเปลี่ยนบ้างแล้วครับ ยิ่งเขามีสามี มีลูกแล้ว คุณแม่ยิ่งไปบังคับไปอยากให้ที่เขาเป็นให้เขาไปนับถือศาสนาต่างๆ ยิ่งไปกันใหญ่ครับ เขายิ่งต่อต้านครับ   คุณสอนศาสนาพุทธ แล้วให้ลูกไปนับถืออีกศาสนา เขายิ่งไม่เชื่อมั่นในตัวคุณเขาไปอีก ยิ่งไปกันใหญ่ครับ เขาโตแล้ว  เราทำหน้าที่ได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น  เราต่างหากควรไปศึกษาเข้าใจแก่นของศาสนาให้ลึกซึ้งที่สุดแล้วปฎิบัติตาม แล้วธรรมะจะช่วยเราได้ครับ แล้วอย่าเอาความที่เราเป็นครูสอนพุทธศานาไปสอนไปบังคับลูก แต่เอาความเป็นแม่ที่เข้าใจในตัวลูก โดยยึดหลักทางศาสนาไปสอนลูกน่าจะดีกว่า จากคุณ : Poonoi เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 11:43:14

ความคิดเห็นที่ 16 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของความรัก.. คุณปรารถจะให้ลูกมีการเปลี่ยน(ด้วยความรัก)?.. หากคุณไม่มีรักให้เขา?(ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ยากเพราะเค้ายังขาดความรัก).. แน่นอนว่าวัยรุ่นทุกคนที่ช่วงเวลานี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญย่อมต้องมีปัญหา(ขาดรักจากพ่อแม่).. กันเกือบทุกคน.. เค้าย่อมไปหาความรัก(เค้าคิดว่าหรือใครที่คิดว่า)รักเค้าจริง.. ผมเชื่อเรื่องความรักความอบอุ่นภายในบ้าน.. ครับ ... แต่หากคิดว่าจะส่งเค้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัย.. ควรที่คุณจะมากับเค้าเพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นกำลังใจให้เค้าด้วย.. ครับ หากคิดว่าโบสท์มีความรักความอบอุ่นเพียงที่เดียวคงช่วยได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นตัวคุณเองน่าจะมาเรียนรู้เรื่องความรักด้วยกันกับเค้าอีกคน นะครับ ... ขอพระเจ้าคุ้มครอง จากคุณ : คริสต์ (christ_kit) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 11:58:32

ความคิดเห็นที่ 17 ๕๕๕ อยากบอกแต่เพียงว่า คุณใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตน้องทำอะไรอยู่ครับ.. มันเหมือนกับว่าคุณปั้นหม้อที่ไม่สวยมา แล้วคาดหวังว่าเมื่อเข้าเตาเผาแล้วมันจะออกมาสวย การที่ คุณบอกว่า ดิฉันนับถือศาสนาพุทธและเป็นครูสอนวิชาพระพุทธศาสนาด้วย ไม่ได้หมายความว่าคุณรู้จักศาสนาดีหรอกนะ ถ้าคุณไม่ปฎิบัติตาม ถ้าตราปใดที่คุณเชื่อว่าปราติหาร (เขียนผิด) มีจริง ผมว่าคุณก้อสอนตามหนังสือบอก ไม่ได้อ่านว่าลูกขอมาเลี้ยง มาเลี้ยงตอนอายุเท่าไหร่ครับ... ผมก้อขอเด็กมาเลี้ยง เหตุที่ขอคือ พอมีฐานะที่จะช่วยเหลือสังคมได้ แล้วเด็ก พ่อแม่ตาย ขอมาตอน 6 ขวบ (อ้อผมมีลูก 1 คนนะ) ก้อแสดงให้เค้าเห็นว่าเรารักเขา ... แต่ในขณะเดียวกัน แสดงให้รู้ว่า เราเข้มงวด ล่าสุด ขโมยเงินหลานที่บ้าน มา 300 กินขนม เลยตีและทำโทษ อยู่ ว่าสินปีนี้ ถ้าเค้าทำตัวดี ก้อจะดีกับเค้า (ให้รางวัล) ถึงอย่างไรก้อตาม ผมยังเชื่อว่าการเลี่ยงดู เป็นสิ่งสำคัญ มี คนรู้จัก ขอมาเลี้ยงเหมือนกัน เด็กโตขึ้นทำอะไรไม่เป้นเลย แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 12:12:43 จากคุณ : Jedcon เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 11:59:33

ความคิดเห็นที่ 18 คุณเจ้าของกระทู้ รู้ที่ตั้งของโบสถ์คริสต์แล้ว ก็เพียงไปโบสถ์วันอาทิตย์ หลังพิธมิสซา คุยกับคุณพ่อเจ้าอาวาส ขอเรียนคำสอน และอาจจะขอร่วมพิธีในฐานะผู้สังเกตการณ์ก่อน พอเรียนคำสอนครบกำหนด 1 ปี ค่อยมาดูว่า สนใจจะเปลี่ยนศาสนาหรือไม่ ถ้าถึงตอนนั้น มีศรัทธา ก็รับศีลล้างบาปได้เลย แต่ถ้าคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่ต้องเข้าพิธีก็ได้ครับ ไม่ได้บังคับว่า เรียนคำสอนแล้ว ต้องเปลี่ยนศาสนาทุกคน คนที่พระเจ้าทรงเลือก ช้าหรือเร็วก็จะกลับมาหาพระเจ้าเอง ไม่มีใครแย่งชิงลูกแกะของพระองค์ ไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ครับ ขอภาวนาให้ลูกคนเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่ครับ จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 12:15:27

ความคิดเห็นที่ 19 อยู่ที่กลุ่มคนครับ  ไปโบสถ์แล้วมีคนวัยเดียวกับลูกสาว  เค้าก็จะยอมรับ ง่ายกว่าครับ   ไปวัดแล้วเจอแต่คนแก่ คนนิ่ง ๆ ลูกสาวคุณก็เลยไม่ชอบมั้งครับ พุทธศาสนาปัจจุบัน ไม่ได้ตอบแนวคิดคำสอนให้เหมาะสมกับวัยรุ่นครับ ยิ่งในเมืองไทย ดันไปเน้นสร้างวัตถุ   ให้ทำบุญสะเดาะห์เคราะห์ มีแต่หาเงิน  คือกลายเป็นพุทธที่โดนเปลือกวัตถุนิยมครอบนั่นเอง จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 12:27:34

ความคิดเห็นที่ 20 สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก นะคะ  ทุกท่านที่กรุณาดิฉัน ดิฉันไม่ได้บังคับลูกหรอกค่ะ  เพียงแต่ดิฉันเห็นว่า  ลูกสาวไม่กลัวบาป  ไม่กลัวผลแห่ง กรรมที่ดิฉันสอนเลย  ดิฉันจึงคิดว่าถ้าเขาเข้าไปร่วมกิจกรรมกับพี่ๆ(เขารู้จักกันตอนที่ ดิฉันให้ไปเข้าคอร์ส  ตอนเด็กๆ)  แล้วเขาค่อยๆสอนไปโดยไม่รู้ตัว  อาจจะช่วยได้ค่ะ   เพราะเขาชื่นชมครูฝรั่งที่เคยสอนเขาตอนเข้าคอร์สมาก ( เขาจะชอบทุกคนเลยค่ะ ) บางคนกลับประเทศแล้วยังเขียนจดหมายมาถึงเขาค่ะ สำหรับดิฉัน  ดิฉันมั่นใจในศาสนาพุทธ  เพราะดิฉันได้ศึกษาและได้ดีเพราะศาสนาพุทธ ค่ะ  แต่นำมาใช้กับลูกสาวไม่ได้เลย  ดิฉันไม่อยากอธิบายมาก  เพราะเดี๋ยวจะเกิดความ เข้าใจผิดค่ะ จริงๆแล้วดิฉันมักจะคิดถึงพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  กับบัวสี่เหล่าค่ะ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เข้าถึงยากค่ะ  สำหรับบัวในโคลนตม  (ดิฉันขออภัยนะคะ ถ้าดิฉันเข้าใจผิด  )  ลูกสาวดิฉันสมองทึบค่ะ ( ผลตรวจจากโรงพยาบาลค่ะ) ดิฉันจึงคิดไปเองว่า  เขาไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาหรอกค่ะ และเขาไปไปวัด  ไปตอนเด็กๆ ก็ต้องจ้าง  ต้องหลอกล่อ ไปแล้วก็ไปเล่น  ไม่ยอมนั่ง ฟัง  เขาบอกว่าเมื่อยขา จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 12:32:45

ความคิดเห็นที่ 21 คล้ายกับหลานผม.. เค้ามีปัญหาเรื่องจิต (ตอนนี้ก้อกินยาอยู่) เค้าสวย และชอบผู้ชายง่าย แต่คาดว่าเค้าไม่มีเรื่องชู้สาว อาจเป็นเพราะ หลายคนที่เค้าชอบ.. รักเค้าแบบน้องสาว ส่วนบางคนที่ชอบเค้า เค้าไม่ชอบ.. เค้ารัก แฟนผม เพราะแฟนผมใจดี ผมว่าเค้าพยายามแสดงให้เห็นว่าโตแล้ว.. เข้าจะเข้าคริสต์ ครั้งหนึงแต่รู้สึกว่าบาดหลวง ไม่ยอมทำพิธีให้.. ถ้าเรื่องคล้ายกันละก้อ ... ไม่มีความเห็นครับ.. ขอโทษ จากคุณ : Jedcon เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 12:58:15

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีค่ะ   ดิฉันขออนุญาตเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับศาสนาคริสต์  สักนิด  นะคะ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  ดิฉันมีลูกศิษย์ที่หน้าตาสวยงามมากและเด่นเรื่องการรำบนเวที จน เป็นที่รู้จักไปทั่ว เมื่อเธอเรียนจบชั้น ม.ศ.3  ก็เดินทางสู่กทม. เพื่อศึกษาต่อ  ระหว่าง ทางเกิดอุบัติเหตุ  แถวๆทับสะแกค่ะ  แขนขาดไป 1 ข้าง  เมื่อเธอกลับมารักษาตัวใน จังหวัดบ้านเกิด  ดิฉันและเพื่อนๆครูเดินทางไปเยี่ยมเธอ   ทุกคนทำใจไม่ได้   ไม่กล้า เข้าไปบ้าง  ไม่กล้าพูดกับเธอบ้าง  แต่เธอกลับยิ้มแย้มแจ่มใส  ทักทายครู แถมพูดตลก อีกว่า  วันนี้ไหว้ไม่ได้แล้วนะคะ  ไม่มีแขน   ก่อนกลับดิฉันอดไม่ได้  จึงถามไปว่าเธอทำใจได้เร็วมากอย่างนี้เพราะอะไร  เธออธิบาย ให้ฟังว่า   ตอนที่เกิดอุบัติเหตุได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแถวที่เกิดเหตุ ได้เจอบาท หลวงมาเยี่ยมเด็กที่ใกล้ตายอยู่ข้างเตียงเธอ  และได้แวะมาเยี่ยมเธอด้วย  และขอให้ เป็นเพื่อนกัน  จากนั้นก็ได้ขอให้พระเจ้าช่วยเธอและอื่นๆอีก  ดิฉันจำไม่ได้แล้ว ต่อมาเธอก็นับถือศาสนาคริสต์  ทำงานกับ ศาสนาและล่าสุด  ดิฉันก็ทราบข่าวว่า เธอสูญเสียแขนอีกข้างค่ะ  ดิฉันเล่ามาเพราะ ประทับใจเรื่องการทำใจได้รวดเร็วของเธอค่ะ  จึงติดใจมาจนถึงเดี๋ยวนี้ว่า  ศาสนาคริสต์ น่าจะมีวิธีที่ทำให้เด็กทำใจได้เร็ว จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 13:20:57

ความคิดเห็นที่ 23 เราเป็นพุทธนะคะ แต่เท่าที่สัมผัสมา ศาสนาคริสต์มีมุมมองเชิงบวกต่อชีวิตค่ะ ซึ่งเป็นจุดเด่นและเป็นเรื่องดี ทั้งยังเน้นเรื่องความรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสและเข้าใจได้ง่าย เหมาะสำหรับการสอนเด็กและวัยรุ่น แต่การสนับสนุนให้ลูกนับถือคริสต์ โดยคุณแม่เป็นพุทธค่อนข้างอันตราย เพราะลูกอาจไม่เชื่อในสิ่งที่คุณสอนอีกต่อไป ทางที่ดี คุณแม่น่าจะเปลี่ยนเป็นคริสต์ด้วยถ้าเป็นไปได้ ไปเรียนด้วยกัน เข้าโบสถ์ด้วยกัน คุณจะได้เข้าใจว่าเค้าสอนอะไร เพื่อจะได้รู้ว่าลูกเราได้เรียนรู้อะไรบ้างและจะมีมุมมองต่อเรื่องราวในชีวิตอย่างไร ทั้งยังนำคำสอน มาสอนลูกในเรื่องที่ต้องการได้ด้วย จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 14:47:53

ความคิดเห็นที่ 24 คุณแม่ต้องหาข้อมูลก่อนเพราะดูท่าทางลูกจะไม่ค่อยเข้าใจอะไระเลย คุณก็เดินเข้าไปในโบทถ์ใกล้ๆบ้าน ไปถามบาทหลวงและทำความเข้าใจกับศาสนาของเขาทุกด้านก่อนเช่น พิธีกรรม การสอน รวมทั้งกิจกรรมที่เขาทำประจำ เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็จะช่วยให้คุณตัดสินใจรวมทั้งได้รู้ข้อดีข้อเสียได้ว่า ศาสนาคริสต์จะช่วยให้ลูกคุณดีขี้นเหมือนที่คุณคิดหรือไม่ จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 15:53:15

ความคิดเห็นที่ 25 ลูกแบบนี้ยิ่งต้องให้อยู่ในศาสนาพุทธ ศาสนาครีสเค้าจะสอนอีกแบบ ซึ่งส่วนตัวแล้วรู้จักกับคนศาสนาครีสหลายคน บอกได้เลยว่านิสัยจะแปลกต่างจากศาสนาพุทธอยู่หลายอย่าง จากคุณ : พี พสิษฐ์ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 18:03:10

ความคิดเห็นที่ 26 ปลูกต้นมะม่วง จะเอาให้ได้ผลแอปเปิ้ลมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คุณแม่เองยังไม่รู้เลยว่าลูกที่เก็บมานั้นมาจากต้นอะไร(เพราะไปเอาเขามาเลี้ยง)ยิ่งเป็นการยากใหญ่ ที่จะบ่งบอกถึงนิสัยใจคอของเด็กคนนั้น ถ้าเป็นลูกแท้ๆของเราเองเรายังพอเดาทางออก บอกทางได้ใช่มั้ยครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม..เด็กจะดีหรือไม่ดีนั้นให้เปรียบตัวเราเองเป็นดั่งกระจก เพราะการแสดงออกของเค้าก็เปรียบดั่งตัวคุณที่สะท้อนออกไปนั่นเอง การเอาเค้ามาเลี้ยงเป็นเรื่องยาก..ไม่ทราบว่าคุณแม่ได้บอกเด็กหรือเปล่าว่าเค้าเป็นเด็กที่คุณเอามาเลี้ยง อันนี้สำคัญมาก...ปีๆหนึ่ง หรือทุกๆวันสำคัญ คุณควรจะพาเค้าไป ณ สถานที่ที่คุณขอเค้ามา อาจจะเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา จะที่ไหนก็แล้วแต่ให้เค้าได้รับรู้ความจริง ให้เค้าได้ไปตอบแทนสถานที่แห่งนั้น เช่นอาจจะพาเค้าไปแจกอาหารสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าที่คุณนำเค้ามา หรือไปกราบพ่อแม่ที่แท้จริงของเค้า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต การที่เด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นมาได้โดยไม่เกเรนั้น ย่อมต้องมีคุณธรรมขั้นพื้นฐานทางจิตใจคือ ความอดทน และ ความกตัญญู เมื่อเค้าได้รู้จักต้นกำเนิดของชีวิตเค้าและคุณได้พูดให้เขาเข้าใจ เขาจะรู้จักความอดทน อดกลั้น เขาจะได้เรียนรู้ว่าชีวิตเขามีค่า และมีโอกาสมากกว่าใครอีกหลายๆ คน เค้าจะมีน้ำอดน้ำทนต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น และการที่คุณพาเค้าไปแสดงน้ำใจต่อใครเหล่านั้น เค้าย่อมเกิดความกตัญญูขึ้นในจิตใจ เมื่อคุณเพาะบ่มเค้าอย่างนี้ ก็เท่ากับคุณได้ปลูกเมล็ดพันธุ์พืชให้เติบโตขึ้นแล้ว แม้เมล็ดพันธุ์นั้นอาจไม่สมบูรณ์ แต่จากการที่คุณรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอนี้ คุณย่อมได้ไม้ที่เติบใหญ่แข็งแรงแน่นอน หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น..... ....ที่ผมกล่าวมานี้ไม่ทราบว่าคุณได้เคยทำอย่างนี้หรือเปล่าครับ ถ้าไม่เคยทำถือว่าคุณได้ทำพลาดไปเสียแล้ว แต่หากว่าคุณทำถึงขนาดนี้แล้วเค้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ทีนี้คุณก็ต้องถามตัวคุณเองกลับแล้วหล่ะว่า คุณได้เอาใจใส่ เขามากแค่ไหน มากไปหรือน้อยไปหรือเปล่า อันนี้ถ้าหากตามใจเขา เอาใจเขามากไปหรือน้อยไป ย่อมไม่เกิดผลดี ควรให้พอดีๆ เป็นไปด้วยหลักเหตุและผลครับ เด็กสมัยนี้ต้องใช้เหตุผลคุยกับเขา ไม่ใช้อารมณ์ ...ส่วนการเฟ้นศาสนาให้เขานับถือด้วยหวังว่าเขาจะดีขึ้นอย่างที่คุณหวังจึงเป็นเหมือนการผลักภาระ ไปให้ศาสนาโดยแท้ นั่นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ พ่อแม่คือครูคนแรกของลูกไม่ว่าลูกของคุณ จะเป็นลูกโดยสายเลือดหรือไม่ก็ตามแต่คุณก็ได้รับผิดชอบชีวิตเค้าแล้ว ที่นี้สิ่งที่ผมพอจะแนะนำคุณได้ในอันดับแรกก็คือ ..การจับเข่าคุยกันอย่างเปิดอกระหว่างคุณกับลูก บอกเขาว่าคุณรักเขามากแค่ไหน พูดด้วยความจริงใจ ..บอกสิ่งที่เขาต้องการก่อน พิจารณาด้วยเหตุผลว่าคุณให้เขาได้หรือไม่ หรือพบกันครึ่งทาง ..จากนั้นบอกสิ่งที่คุณต้องการ ให้เค้าพิจารณาข้อดีข้อเสียโดยคุณเป็นคนแนะนำ และให้เขาให้คำตอบ ..ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นคือเครื่องพิสูจน์ถึงความรักที่เขามีต่อคุณ และที่คุณมีต่อเขา ..พยามพูดกันบ่อยๆ ให้เค้ารู้ว่าคุณใส่ใจเขา ทุกครั้งที่มีปัญหา คุณต้องตั้งสติ อย่าใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด ..คุณต้องใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา นี่คือสิ่งสำคัญ ..ส่วนตัวคุณเองสอนพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ก็ให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน รักษาศีล5 นั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้เขาทุกวันอย่าได้ขาด ..ผมเชื่อว่าความดีของคุณและเส้นบางๆเส้นหนึ่งที่เรียกว่าสายใยแห่งความรักความผูกพันที่คุณมีต่อเขานั้น ย่อมทำให้เขาสำนึกตัวและกลับตัวกลับใจได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณและเขาเท่านั้น และสำคัญที่สุดอย่าให้มีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาดเพราะนั่นจะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น สุดท้าย...ถ้าหากเขาสบายใจที่จะนับถือศาสนาอะไรก็คงต้องตามใจเขา หากจะมีใครคนใดคนหนึ่งมาตักเตือนลูกคุณให้เขาได้คิดได้แล้วละก็ นั่นก็ถือว่าเป็นบุญของลูกคุณ ให้เขาได้เลือกทางเดินโดยที่คุณคอยทักท้วงและแนะนำพร่ำสอนด้วยรักและเมตตาเขาให้มากที่สุดครับ จากคุณ : อวตาร เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 18:05:59

ความคิดเห็นที่ 27 ขอขอบพระคุณ ทุกคนมากค่ะ ปัญหาใหญ่ของเขาตอนนี้คือ เขาพยายามสนองความต้องการของสามีเขา  คือเงินค่ะ แฟนเขาคงจะติดยาไอซ์  ล่าสุดที่เขาปลอมลายเซ็นต์ถอนเงินสามหมื่นแปดพันบาทนั้น ก็เพื่อเอาไปให้แฟน ( ดิฉันซักถามเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ด้วยตลอดเวลา เพื่อนได้ยิน จากการพูดคุยโทรศัพท์กับแฟนว่า  ปลดหนี้ให้หมดแล้ว  จะเอายังไงอีก  ) และเพื่อน เขาแอบถามว่าแฟนเสพยาม้าหรือไอซ์  เขาบอกว่าไอซ์ค่ะ แฟนเขาพูดทางโทรศัพท์ว่า  อย่าให้เรื่องถึงเขานะ แม่ที่แท้จริงของเขาเป็นเด็กที่มีลูกตอนอายุน้อย ( จบ ป. 6 ได้คนแรก  ผู้ชาย ) ตัวเขา เป็นคนที่ สอง  ขณะตั้งท้องมีปัญหากับสามี(สามีไม่ทราบว่าท้อง )  จะเอาเด็กออก  แต่ ไม่ออก ไม่เคยฝากท้องเลย  พอคลอดญาติเขาซึ่งเป็นศิษย์เก่า (นิสัยดี)โทรให้ดิฉันไป ดูและเอามาเลี้ยง  ดิฉันก็เอามาค่ะ  ยอมรับว่าไม่สบายใจเหมือนกันแต่เอามาง่ายๆเพราะ คนที่ไปกับดิฉันเป็นหมอดูเทวดา  เขาบอกให้เอาไป  ไม่งั้นเขาจะเอาเอง  ดิฉันก็ใจง่าย ค่ะ ต่อมาดิฉันก็สืบห่างๆว่าครอบครัวเขาเป็นอย่างไร  ก็พอจะทราบว่า   แม่เขามีแฟนใหม่มี ลูกใหม่อีกแล้ว  ไปอยู่ต่างจังหวัด   ดิฉันไม้กล้าบอกความจริงลูกสาวหรอกค่ะ  กลัวว่าจะแย่กว่าเดิม  เพราะครอบครัวเขา   พี่ๆของแม่เขาก็ติดยาค่ะ  ตายายโดนรถชนเสียชีวิตหมดแล้วค่ะ ขอบคุณ คุณ อวตาร นะคะ  ที่คิดถึงเรื่องนี้  ดิฉันจะนำไปคิดอีกที่ค่ะ จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 18:30:46

ความคิดเห็นที่ 28 โดยส่วนตัวนั้น ก้เข้าใจจขกท. และเชื่อว่าจขกท.พิจารณาแล้วว่า สิ่งใดดีสำหรับลูกของตน ยอมรับตามจริง ผมว่าวัดในพระพุทธศาสนาของไทยในปัจจุบัน ส่วนมาก วิธีการ ยังไม่ตอบสนองความต้องการของชาวพุทธ หรือตอบสนองแต่ก็ไม่ค่อยตรงจุดเท่าใด ไม่เหมือนศาสนาคริสต์ที่มีวิธีการที่หลากหลายในการสื่อเพื่อให้เข้าถึงคำสอน แต่สำหรับผม ขอแนะนำให้ใช้หลายๆวิธีในการสอนลูก ไม่แนะนำให้ใช้วิธีเดียวแล้วมาบอกว่า ไม่ได้ผล การให้เขาไปลองไปศึกษาแบบคริสต์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าลอง แต่การเปลี่ยนศาสนานั้น ควรยกให้ลูกสาวเป็นผู้ตัดสินใจ จะดีกว่า เผื่อวันหนึ่งข้างหน้า จขกท.หรือลูกสาวจะได้ไม่มานั่งเสียใจและโทษกันทีหลัง โดยความเชื่อส่วนตัวนั้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เหมาะสมกับทุกคน ไม่ว่าโง่หรือฉลาด แต่วิธีการถ่ายทอดคำสอนให้ได้ผล เหมือนพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนคนโง่ที่สุดคือพระจุลปาลที่ไม่สามารถจำคำสอนได้แม้แต่บรรทัดเดียวให้บรรลุธรรมได้นั้น เรายังมีความสามารถและเรียนรู้ได้ไม่เพียงพอ... จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 19:02:42

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องแบบนี้ มีสองเรื่อง ซ้อนกันอยู่ 1).บรรพบุรุษ ลูกบุญธรรมคุณ มีพันธสัญญากับเจ้าที่(ในศาสนาคริสต ก็มีผู้ปกครองตามสถานที่ต่างๆ) ซึ่งบรรพบุรุษนั้นคงทำพันธสัญญาขออะไรบางอย่างและผูกมัดตระกูลของตนถ้าทำผิดพันธสัญญาต้องได้รับผลร้าย ขอส่งก่อนครับกลัวไฟดับ จากคุณ : Chukiet_pr เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 20:02:33

ความคิดเห็นที่ 30 2).โบสถ์คริสต ก็มีหลายนิกาย ผู้มีของประทานการรักษา(คำทางคริสเตียน) หรือ ทางฝั่งคาทอลิคก็มี คุณพ่อโคซี่ ถ้า คุณวาสุลาไลเด็น(คนนี้เป็น นิกายออโทดอก) จะรักษาทางด้านกายภาพ แต่ อยู่ที่พระเจ้าจะให้ใครหายจากโรค หรือ ไม่หาย เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง และสิ่งที่คุณออกความเห็นว่า"ตอนลูกสาวเป็นเด็กเล็กๆ  ดิฉันเคยให้เขาไปเข้าคอร์สภาคฤดูร้อนกับคริสต์ จักร ดิฉันก็ไปด้วย  ดิฉันรู้สึกว่า  ลูกสาวชอบมาก  เพราะทุกคนจะยิ้มแย้ม  แจ่ม ใส  ออกมาต้อนรับ  ทักทาย  เหมือนเราเป็นคนสำคัญ  รู้สึกอบอุ่นมากค่ะ จึงคิดว่า  ถ้าไปโบสถ์คริสต์  ลูกสาวน่าจะดีขึ้น ... ทำอย่างที่คุณมีความเห็นครับ แต่ขอแนะนำว่า อย่าไปโบสถ์เดียว หรือ นิกายเดียว เพราะเรื่องนี้ ต้องมีความตัดพันธสัญญาจากบรรพบุรุษลูกสาวที่ได้ทำไว้ครับ 2).เรื่องการประพฤติของแฟน ต้องให้ลูกบุญญธรรมคุณรู้ความหมายแฟนที่ดี(ที่พระเจ้าให้พร) และ ความหมายของแฟนที่ไม่ดี เรื่องแบบนี้ต้องให้พี่เลี้ยงทางวิญญาณที่(พระเจ้าประทานพรให้)เป็นพี่เลี้ยงวิญญาณลูกบุญธรรมคุณ และเพื่อลูกคุณได้รู้เรื่องพรของพระเจ้าและผลของบาป สามารถส่งต่อให้แฟนของเขาด้วยครับ เรื่องแบบนี้อยู่ที่จังหวะ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ แต่ลูกบุญญธรรมคุณต้องจับพระเจ้าให้มั่นครับ เรื่องทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขไม่ได้ แต่ทำสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อมนุษย์เปลี่ยนเป็นให้มนุษย์ดีขึ้น...นี่คืองานพระเจ้าครับ ขอพระเจ้าอวยพรท่าน แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 20:34:24 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 20:28:35 จากคุณ : Chukiet_pr เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 20:27:41

ความคิดเห็นที่ 31 ทำไมต้องเปลี่ยน? ก็เพิ่มไปเลยอีกหนึ่งศาสนาไม่ดีกว่าเหรอ? ลูกของ จขกท. มีพื้นฐานนิสัยที่ไม่ค่อยดี เพราะพ่อแม่ของเขาก็มีนิสัยแบบนั้น ก็เป็นอะไรที่เขาได้รับมาจากพ่อแม่คนก่อนของเขา บางคนสอนยังไงก็ไม่เอา ไม่รับเลย แต่ก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดก่อนค่ะ พยายามชักชวนเขาไปในที่ คนทำดีเขาอยู่กัน บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ไปทำงานให้มูลนิธิปอเต๊กติ๊ง ให้เขาลำบากและเห็นคุณค่าของชีวิตบ้าง จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 04:31:59

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตแนะนำเจ้าของกระทู้นะคะ การสอนลูกวัยรุ่นโดยตรงนั้น บางทีอาจทำได้ยากเพราะความต่างระหว่างวัยที่มีมาก   ลูกคุณอาจมีความคิดต่อต้านอยู่ลึกๆว่า  "คุณไม่เข้าใจ"  เพราะอายุต่างกันเกินไป อย่าไปด่วนตัดสินลูกว่า "โง่" หรือ "เอาดีไม่ได้" เพราะถ้าคุณคิดอย่างนี้ ลูกคุณก็จะไม่มีโอกาสพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ ถ้าคุณคิดว่าลูกคุณ "โง่": ก็ต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ  ใหู้้เรียนรู้ความคิดของคนที่ชาญฉลาดและเป็นคนดี  ว่าคนพวกนี้คิด หรือมองโลกอย่างไร   ไม่มีใครเกิดมาแล้วฉลาดเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้น่ะค่ะ   คุณเป็นครูก็น่าจะรู้ได้ว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากขึ้น  ย่อมเปิดมุมมองหรือเปลี่ยนความคิดคนได้ ถ้าคุณคิดว่าลูกคุณ "ไม่ดี": ก็ต้องชี้ทางให้ลูกได้รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาชีวิตโดยไม่ต้องทำความชั่วได้อย่างไร ดิฉันมีความคิดว่าบางทีสิ่งที่ลูกคุณทำอยู่นั้น เช่น ขโมยเงินของคุณ อาจเพราะมีปมปัญหาที่ยากที่จะแก้ไขด้วยสติปัญญาของเขาเอง ลูกคุณอาจได้รับการกดดัน รบเร้า อยู่ก็ได้  จึงต้องทำอย่างนั้นไป แฟนเค้าทุบตีลูกคุณไหม ถ้าเขาไม่ได้เงินไปเสพยา? แฟนเค้าบังคับลูกคุณอยู่หรือไม่? ลูกคุณกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าไม่ได้เงิน? มันอาจมีปมปัญหาที่ลูกคุณกำลังแก้ไม่ตก  ต้องการการช่วยเหลือ ต้องการทางออก  แต่ไม่รู้จะปรึกษาใคร ดิฉันเชื่อว่าลูกคุณไม่ได้มีพฤติกรรมชอบขโมยของตั้งแต่เด็กนะคะ แต่น่าจะเริ่มขโมยเงิน หลังจากคบกับแฟนคนนี้ คุณต้องสามารถชี้บอกทางแก้ไขปัญหาให้กับลูกได้  ต้องให้ลูกรู้ว่าเค้ายังมีทางออกที่ดีที่จะไม่ต้องทำความชั่ว บางทีลูกคุณอาจไม่ยอมบอกปมปัญหากับคุณง่ายๆ  ดังนั้นอาจต้องมีใครคนอื่นในวัยใกล้เคียงกันที่เค้าไว้ใจได้  มาคอยรับฟังปัญหาและช่วยบอกทางแก้ไขปัญหาให้ ดิฉันแนะนำว่าต้องเปิดโอกาสให้ลูกคุณมีคนปรึกษาที่ฉลาดและเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อที่จะสอนลูกคุณให้แก้ไขปัญหาชีวิตได้โดยไม่ต้องทำความชั่ว แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรพลักภาระการอบรมสั่งสอนไปให้คนอื่นเป็นหลัก คุณเองควรหาโอกาสสอบถามถึงปัญหาที่เค้ามี ช่วยคิดแก้ไขปัญหา และอบรมสั่งสอนในทางที่ถูกที่ควรให้กับเค้าด้วยหากเป็นไปได้ ขอให้โชคดีน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 54 05:34:14 จากคุณ : SL เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 05:13:03

ความคิดเห็นที่ 33 ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพระพรคุณและลูกสาวด้วยครับ... จากคุณ : greenpapayasalad เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 06:26:25

ความคิดเห็นที่ 34 ขอขอบพระคุณ ทุกท่านที่มีน้ำใจต่อดิฉัน  นะคะ ขอบอกคุณ  SL ว่า  จริงๆด้วยค่ะ  ลูกสาวดิฉันถูกกดดันจากแฟนเขามาก ถ้าไม่ให้เงิน  เขาขู่  จะตบตี จะไปหาคนใหม่ที่ตอบสนองความต้องการเขาได้เรื่องการเงิน จะเลิก จะไม่มาหา  และอีกหลายอย่างค่ะ ดิฉันฟังจากเขาพูดโทรศัพท์บ้าง ฟังจากตัวเขาเอง บ้าง ฟังจากเพื่อนสนิทบ้างค่ะ และลูกสาวก็กลัวเขาจะทิ้ง กลัวจะไม่มีแฟนหน้าตาดีแบบ นี้อีก  จึงทำตามทุกอย่างค่ะ ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงอยากให้ลูกสาวได้เจอผู้ที่สามารถสอน และแนะนำวิธีคิดของเขาค่ะ จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 19:11:42

ความคิดเห็นที่ 35 อืม...ที่คุณบอกมาทั้งหมดเป็นอย่างที่ดิฉันคาดเดาไว้จริงๆน่ะค่ะ ลูกคุณมีความกังวลใจหลายอย่าง หาทางออกไม่ได้ ลูกคุณนั้นยังอ่อนต่อโลกนัก มองผู้ชายไม่ออกว่าผู้ชายบางคนเราต้องหนีไปไกลๆ  ต้องสังเกตพฤติกรรมหลายๆอย่าง ว่าถ้าเค้าทำอย่างนี้กับเราได้ เค้าก็ทำกับคนอื่นๆได้เหมือนกันไม่จำเป็นต้องเป็นเรา ผู้ชายแบบนี้อย่าไปเสียดาย การขู่ว่าจะไปมีคนอื่น ถ้าเราไม่ทำตามที่เค้าต้องการ เป็นการใช้"เล่ห์เหลี่ยม"อย่างหนึ่งที่ลูกคุณตามเค้าไม่ทัน ถ้าเค้าใช้วิธีนี้เรียกเงินกับลูกคุณได้ผล  เดี๋ยวเค้าก็จะใช้วิธีนี้ซ้ำๆอีกในเรื่องอื่นๆเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าขู่ว่าจะไปมีคนอื่น  ก็ต้องปล่อยไปเลยค่ะ  ผู้ชายที่ไร้จิตสำนึกความดีความชั่ว  มักมาก ไม่สนใจจิตใจผู้อื่นอย่างนี้ ไม่ควรคบเป็นอย่างยิ่ง   ดิฉันชอบพุทธพจน์บทหนึ่งมาก   "อเสวนา จ พาลานํ"   ไม่คบคนพาล พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ในมงคลสูตรข้อแรกสุด คนพาลนั้นมักคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว  ขาดความละอายและเกรงกลัวต่อบาป  มักทำผิดศีล5   มีความโลภ โกรธ หลง รุนแรง  ชอบเพ่งโทษผู้อื่น และมักชอบชักจูงคนไปในทางชั่ว ถ้าให้ดิฉันเดา  ดิฉันเดาว่าลูกคุณน่าจะมีความต้องการลึกๆที่อยากจะเลิกกับผู้ชายคนนี้  แต่กังวลว่าไม่สามารถเลิกราได้ง่ายๆ  เพราะอีกฝ่ายเป็นคนติดยา อารมณ์รุนแรง อาจทำสิ่งอื่นๆที่ลูกคุณกังวลว่าอาจเกิดขึ้น หากลูกคุณเป็นฝ่ายบอกเลิก ถ้าจะเลิกกับคนแบบนี้(ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลิกแน่นอน)  ดิฉันแนะนำว่าต้องหนีไปอยู่ไกลๆอย่างเช่นต่างประเทศเลยน่ะค่ะ (พูดจริงๆไม่ได้พูดเล่นน่ะค่ะ) ลูกคุณlawandeeอายุเท่าไหร่แล้วเหรอคะ  แล้วคบกับผู้ชายคนนี้มานานเท่าไหร่แล้ว  มีลูกด้วยกันหรือไม่? แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 03:21:24 จากคุณ : SL เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 02:53:40

ความคิดเห็นที่ 36 คุณเจ้าของกระทู้ครับ ถ้าความเชื่อของลูก ช่วยตัวเขาเองไม่ได้แล้ว ก็อาจจะต้อง อาศัยความเชื่อของพ่อแม่แล้ว คุณเองมีความเชื่อต่อพระเจ้าบ้างไหมครับ เคยคุกเข่าวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าหรือเปล่า เราคนคริสต์ เชื่อว่า พระเจ้าทรงบันดาลได้ทุกสิ่ง ตามพระประสงค์ของพระเองค์ ผมไม่ทราบว่าเป็น คุณเอง หรือ ลูกสาวคุณ ที่พระเจ้าจะทรงเรียกเป็นคนแรก จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 10:45:10

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก นะคะ คุณ SL  คะ  ลูกสาวดิฉันตอนนี้อายุ 19 ปี ค่ะ แฟนเขาอายุ  21 ปี ค่ะ เขามีลูกกับแฟนเขา  ตอนอายุ 16  ปี ค่ะ กำลังเรียนชั้น ม.4 ( แฟนเขา เดิมเป็นลูกศิษย์ดิฉัน ตอน ม.1 ไม่ค่อยเรียน ติดเกมส์ และออกกลางคัน ไม่จบ ม.1 เรียนกศน. ระหว่างเรียน ก็ถูกคุมประพฤติ คดีขโมยรถและแทงเพื่อน เมื่อมาจีบลูกสาว  ดิฉันก็เห็นว่าเป็นศิษย์เก่า  อายุ  19 ปี แล้ว ยังไม่จบ ม.3  ดิฉัน จึงยื่นมือเข้าไปช่วยทุกเรื่อง จนทำให้ลูกสาวท้อง  ดิฉันจึงให้ลูกสาวออกมาเรียน กศน. จนจบ ม.6 พร้อมกัน  ) ดิฉันเริ่มไม่ชอบแฟนลูกสาวตั้งแต่ก่อนที่เขาจะทำลูกสาวท้องค่ะ  เพราะเริ่มเห็น พฤติกรรมไม่ดี  พยายามพาลูกสาวออกห่างแต่ไม่ทันค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็ไม่พูดกับเขาค่ะ  เพราะเขาพูดไม่รู้เรื่อง  และต้องการเงินอย่างเดียวค่ะ ดิฉันเกรงว่าจะเล่าซ้ำ  เพราะดิฉันเคยเขียนกระทู้ที่นี่แล้วค่ะ   ขอโทษด้วยนะคะ จากคุณ : lawandee99 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 19:28:42

ความคิดเห็นที่ 38 ชวนลูกเข้าปฏิบัติธรรมหรือไปช่วยงานที่สถานปฏิบัติธรรมก็น่าจะดีนะคะ   เอาแบบเช้าไปเย็นกลับก็ได้น่ะค่ะ จุดประสงค์คือให้ลูกคุณเข้าไปหากลุ่มคนที่มีจิตใจดีค่ะ ลูกคุณนั้นขาดกัลยาณมิตรที่จะคอยตักเตือน  ถ้าอยู่ใกล้คนพาลที่ชอบดึงลงชั่วแล้ว ก็ควรจะมีกัลยาณมิตรมาคอยค้ำยัน มาช่วยเตือนสติบ้างน่ะค่ะ (ไม่อย่างนั้นก็โดนดึงลงเหวลูกเดียว) ดิฉันเห็นว่าคุณทำงานทางด้านพระพุทธศาสนา  น่าจะหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ลูกคุณไปพบปะกลุ่มคนดีๆได้ไม่ยากนะคะ ควรจะพาลูกไปพบปะกลุ่มคนดีบ่อยๆ  อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง  เพื่อให้ลูกคุณได้ทำความคุ้นเคย  ทำความสนิทสนมกับกัลยาณมิตรได้   เมื่อคุ้นเคยกันมาก  ดิฉันก็เชื่อว่าลูกคุณจะต้องไว้วางใจที่จะเล่าปัญหาต่างๆให้คนอื่นฟัง  กัลยาณมิตรนั้นย่อมตักเตือนห้ามปรามในทางชั่ว  ก็จะเป็นการขัดเกลาจิตใจหรือเตือนสติลูกคุณได้ในทางหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือการอยู่ในสถานที่ที่สงบทางกายและใจ จะสามารถทำให้ลูกคุณมีสติคิดอะไรได้รอบคอบมากขึ้น การอยู่กับความกดดันความทุกข์เค้าย่อมต้องการทางออก  หากหลักธรรม/กัลยาณมิตร/การปฏิบัติธรรม/สถานที่วิเวก  ทำให้เค้ารู้สึกว่างเว้นจากความกดดันหรือความทุกข์ได้  เค้าย่อมต้องเปรียบเทียบ  ย่อมต้องมองเห็นประโยชน์ในสิ่งเหล่านี้   เมื่อถึงเวลาหลุดพ้นจากบ่วงกรรมต่างๆ  ดิฉันก็เชื่อว่าลูกคุณจะย้อนกลับเข้าสู่ทางธรรมได้ง่ายค่ะ จากคุณ : SL เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 11:22:06

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเป็นคริสเตียนนะครับ วิธีที่ควรปฏิบัติมากที่สุดในตอนนี้ คืออย่างที่ คห.36 แนะนำครับ ถ้าอยากให้ลูกเป็นคริสต์ คุณก็ต้องอธิฐานกับพระเจ้า ว่าต้องการให้พระเจ้าช่วยในเรื่องอะไรบ้าง พระเจ้าเป็นพระบิดา ท่านทรงรักลูกทุกคนอยู่แล้ว หากเราทำดี ประพฤติดี พระเจ้าก็จะอวยพระพรเราอย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนเลยทีเดียว เริ่มจากการอธิฐานขอพระเจ้าดลใจลูกของคุณให้เข้ามายังโบสถ์ ให้ได้เข้ามาเรียนรู้สิ่งดีๆ แล้วก็เรื่องตัวคุณเองที่จะยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระบิดาที่แท้จริงของเรา พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีสำหรับลูกๆทุกคน บางทีเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้บางสิ่งบางอย่างในทันที เพราะแผนการของพระเจ้านั้นทรงเป็นทางที่ดีที่สุด ย่อมจะเกิดผลที่ดีต่อตัวเราได้อย่างล้นเหลือ ขอพระเจ้าทรงอวยพรคุณ และลูกของคุณนะครับ แล้วผมจะอธิฐานเผื่อคุณด้วย ให้เป็นอีกแรงที่จะมีพลังในการเทพระพรของพระองค์ จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 54 08:44:19