|
5. ชนะความทะนงตน ด้วยความกรุณา
ความทะนงตนก็คือมานะ มานะในทางตำราของเรามี 9 อย่าง แต่โดยย่อ เอาเพียงแค่ 3 ก็ได้
1. มานะว่าสูงกว่าเขา 2. มานะว่าเสมอเขา 3. มานะว่าต่ำกว่าเขา ก็แจกไปอย่างละ 3 คือ ตนสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา, เสมอเขา, ต่ำกว่าเขา ตนเสมอเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา, เสมอเขา, ต่ำกว่าเขา ตนต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา, เสมอเขา, ต่ำกว่าเขา ก็รวมเป็น 9 พอดี เรียกว่ามานะ 9 ความทะนงตนก็มา คู่กับการดูหมิ่นผู้อื่น มานะแล้วก็อติมานะ อยู่ในอุปกิเลส 16 มี มานะแล้วก็อติมานะ อติมานะ คือดูหมิ่นผู้อื่น บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไม ตนสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา จึงเป็นมานะด้วย น่าสงสัยไหมครับ คือโดยปกติท่านไม่ต้องการให้นำตนไปเทียบกับใคร ไม่ต้องการให้นำใครมาเทียบกับตน หมายความว่า เป็นตัวของตัวเอง เราคือเรา เขาก็คือเขา ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะสูงกว่ากันโดยประการทั้งปวง แล้วก็ไม่มีใครเสมอกันโดยประการทั้งปวง ไม่มีใครต่ำกว่ากันโดยประการทั้งปวง มันอยู่ที่แง่ในการเปรียบเทียบ คือเปรียบเทียบในแง่ไหน ถ้าเอามาตรฐานบางอย่างไปเปรียบเทียบมันก็อาจจะ ก ต่ำกว่า ข แต่ถ้าเอามาตรฐานบางอย่างไปเทียบ ข จะต่ำกว่า ก เช่นว่า อธิบดีกับคนถางหญ้าหน้ากระทรวง ถ้าเอามาตรฐานในการปกครองคือทางวิชาการไปอธิบดีก็เด่นกว่า แต่ถ้าให้ไปถางหญ้าแข่งกัน อธิบดีก็สู้คนถางหญ้าไม่ได้ ด้อยกว่าคน ถางหญ้า
พอคิดได้อย่างนี้ ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่จะเด่นกว่าผู้อื่นด้วยประการทั้งปวง หรือต่ำกว่าผู้อื่นด้วยประการทั้งปวง อาจจะดีในบางแง่ เด่นในบางแง่ ด้อยในบางแง่ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว อติมานะจะหมดไป จะไม่มี อย่างคนขับรถเมล์เราไปขับอย่าง เขาก็ไม่ได้ มันต้องมีคนอย่างนั้นอยู่ คนกวาดถนน คนขนขยะ เว้นแต่ว่าใครจะไปอยู่ตรงนั้น คือให้มองว่าแต่ละคนเขาก็มีความ สำคัญของตัวเอง เมื่อเรามองเห็นความสำคัญของคนอื่นเราก็ไม่ ไปดูถูก ไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ฉะนั้น ถ้าจะให้เอาชนะความทะนงตนแบบนี้ ก็ต้องใช้ธรรมะข้อ 1 คือ ความกรุณา เข้าใจ เห็นใจผู้อื่น เปรียบว่าในบ้านถ้าจะสะอาดมันต้องมีไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว แต่พอถึงเวลารับแขก เราก็เอาดอกกุหลาบมาวางบนโต๊ะสวยๆ สิ่งที่ทำให้โต๊ะสะอาด คือผ้าขี้ริ้วกับไม้กวาด แต่ผู้ที่ออกหน้าคือดอกกุหลาบ ก็ไม่ใช่ว่าผิด แล้วก็ผ้าขี้ริ้วจะประท้วงดอกกุหลาบไม่เห็นทำอะไร พอถึงเวลาก็มาออกหน้า มันคนละอย่างคนละหน้าที่
ในปัจจุบัน บางทีผ้าขี้ริ้วอยากเป็นดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบอยากเป็นผ้าขี้ริ้ว ทีนี้ในเรื่องของการถือตัว บางทีเราก็สอน กันว่า ลูกเอ๋ย เราจะต้องเรียนให้สูงๆ เพื่อจะเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะนี้สอนให้เป็นคนถือตัวหรือเปล่า
ที่จริงอันนี้เอากิเลสไปล่อนะครับ คือเอาตัวมานะไปล่อ ข้างหน้า ในภาษาไทยก็ใช้คำว่า มานะพยายาม จริงๆ ไม่ค่อย ถูกนักถ้ามองในแง่ของทางธรรม แต่มันก็เอามาใช้ประโยชน์ให้มี ความเพียรพยายาม แล้วก็เอาตัวนี้ไปล่อเอาไว้เป็นเหยื่อ
เหมือนกับตอนที่เด็กๆ เล่นกัน ที่บอกว่า เต่าไม่ไปเอาไม้แหย่ตูด เต่าไม่พูดเอาตูดลนไฟ ก็หมายความว่า เต่าปกติมัน จะไม่เดิน ก็เอาไม้ไปแหย่ตูดมันก็จะรีบเดิน เอาของร้อนไปลน เพราะฉะนั้น คนเราถ้าไม่ขยัน ก็ต้องเอาอย่างนี้เข้ามาพูดเพื่อให้ เกิดความตั้งใจ ความมานะที่จะเรียน หรือต้องการมีความตั้งใจที่จะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง คือเอาเหยื่อไปล่อ เอาเหยื่อไปเป็น motive เป็นแรงเร่ง แรงจูงใจ ที่จริงถ้าสอนกันทางแนวพุทธ ไม่ต้องสอนแบบนั้นก็ได้ สอนให้เขารีบทำความเพียร รีบทำความดี เขาจะได้เป็นตัวของตัวเอง เขาจะได้มีความสุข ทำนองนี้ก็ได้ ไม่ต้องเป็นเจ้าคนนายคนก็ได้
มีพระเถระอยู่รูปหนึ่ง ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว ตอนนั้นท่านเป็นพระครู ท่านเจ้าคณะภาคเรียกท่านมา ท่านก็บอกให้ทำอย่างนั้นๆ แล้วผมจะให้เป็นเจ้าคุณ เป็นพระราชาคณะในสมัยหน้า ท่านลุกขึ้นบอกว่า จะใช้อะไรผมก็ใช้เพราะว่าท่านเป็นผู้บังคับบัญชา อย่าเอาของพวกนี้มาล่อ ท่านพูดตรงๆ เลย
มีเจ้าคณะจังหวัดอยู่รูปหนึ่ง ท่านอยู่ทางภาคใต้ ก็มี สามเณรลามาเรียนที่กรุงเทพฯ ท่านก็บอกว่า ไปก็เรียนไม่สำเร็จ หรอก ท่านพูดอย่างนี้ แล้วสามเณรก็จำไว้ตลอด เวลาท้อทีไรก็ นึกถึงคำนี้ ก็เรียนไปๆ เรียนได้เป็นเปรียญ 5 ประโยค เพราะนึกถึงคำที่ว่าไปก็เรียนไม่สำเร็จ เกิดความวิริยะ เกิดความมุขึ้น มานะจะเอาชนะคำปรามาสให้ได้
ผมขอพูดถึงความกรุณาต่อไป ที่ว่าเอาชนะความทะนงตน ด้วยความกรุณา คนที่มีมานะทะนงตน และคนที่มีอติมานะ คือ ดูถูกผู้อื่น เพราะว่าขาดความกรุณา ผู้ที่เปี่ยมด้วยความกรุณาจะมีจิตใจอ่อนโยนต่อคนทั้งปวง แม้ในคนชั่วหรือคนบาป ท่านก็มีใจกรุณาปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ดูหมิ่น ไม่เหยียดหยาม
ตัวอย่างในพรหมวิหารในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านพูดถึงเอาไว้ตอนที่ว่าด้วยกรุณาพรหมวิหาร ท่านสอนว่า พึงแผ่กรุณาไปยังบุคคลผู้ตกยากก่อน ถ้าไม่มีบุคคลเช่นนั้นก็แผ่ไปยังบุคคลที่ ทำชั่ว คนบาป ท่านว่าคนเช่นนั้น แม้มีอาการภายนอกเสมือนหนึ่งว่ามีความสุข แต่ที่แท้แล้วเขามีความทุกข์ที่ควรได้รับความกรุณา
เปรียบเหมือนโจรปล้นทรัพย์ที่กำลังจะถูกฆ่า แม้จะประดับประดาไปด้วยพวงดอกไม้และของหอม หรือมีคนนำโภชนะที่ประณีตมาให้ก็ตาม แต่โจรนั้นก็ไม่มีความสุข
ฉะนั้นคนที่มีความกรุณามาก จึงสามารถเอาชนะคนที่มีความทะนงตนได้ แม้ผู้อื่นจะต่ำต้อยกว่าก็ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามเขา คอยหาทางช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์อยู่เสมอ นี่เอาชนะความทะนงตนด้วยความกรุณา การที่ทำอะไรด้วยความกรุณา ปรารถนาให้ ผู้อื่นพ้นทุกข์ ด้วยความอดทน ทีนี้ถ้าไม่สำเร็จด้วยกำลังของเรา ก็จะสำเร็จด้วยกำลังของผู้ที่มีกำลังมากกว่า ซึ่งมีความกรุณาต่อเรา
เพื่อประกอบเรื่องนี้ ผมขอเล่าเรื่องหนึ่ง นานมาแล้วมีคนจีนชื่อ ยือคุง เป็นคนแก่ที่โง่เขลา ใช้ชีวิตอยู่ในเทือกเขาสูง ยากลำบากอยู่ระหว่างภูเขาไทจิงและหว่างหู
วันหนึ่ง เขาเรียกคนทุกคนในครอบครัวเพื่อให้ทุกคนรวมกำลังกัน เพื่อมีกำลังเข้มแข็งทำการเคลื่อนย้ายภูเขา ทุกคนเห็น ด้วย เริ่มขุดดินทันที ทุบหินแล้วก็ขนหิน ก้อนหินทั้งหมดไปทิ้งทะเล ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึง 1 ปี ระหว่างภูเขากับทะเล ระหว่าง ทางยือคุงผ่านที่อยู่ของทิเชา ชายแก่ผู้ฉลาด ได้บอกเขาว่า เขาคงจะมีอายุไม่ยืนยาวนัก หมายถึงยือคุงมีร่างกายที่อ่อนแอเกินไปไม่แข็งแรง งานที่เขาทำก็จะเป็นการเสียเวลาสูญเปล่า
ยือคุงตอบว่า คนปราดเปรียวทั้งหลายเช่นท่าน ล้วน มีความเห็นเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ความสำเร็จอาจไม่เกิดในช่วงชีวิตของ ข้าพเจ้า ถ้าลูกหลาน ลูกของหลาน เหลนของหลาน เหลนของ เหลน จะทำงานนี้ต่อไปไม่หยุดด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็จะ บรรลุจุดมุ่งหมาย บรรลุจุดหมายปลายทางในวันหนึ่งข้างหน้า มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ จะไม่มีภูเขาใหม่งอกขึ้นมาแทนภูเขาเก่า
เทวดาสองตนที่สิงสถิตอยู่ที่ภูเขาทั้งสอง ได้ยินคำนี้รู้ถึงความตั้งใจจริงของยือคุง เป็นสัญญาณบอกว่าที่สิงสถิตของเทวดา พังแน่ เทวดาจึงขอให้จอมเทพในสวรรค์คือ ท้าวสักกะช่วย ท้าวสักกะเห็นใจเทวดาแล้วก็เคารพจิตใจที่แน่วแน่ของยือคุง จึงมีเทวบัญชาให้เทวดาที่มีพลังย้ายภูเขาไปไว้ที่ห่างไกลเพื่อความ ปลอดภัย
ชื่อยือคุงชายชราผู้โง่เขลานี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นคำประชด ประชันแดกดันหรือไม่ จริงๆ แล้วเขามีสติปัญญามองเห็นว่าสิ่งที่น่าจะสูญเสียกำลังเปล่า ถ้ามองในระยะยาวจะเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง คือว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกลยาวไกล การยืนหยัดความเพียร พยายามหรือความบากบั่นที่แท้จริงด้วยความกรุณา อยู่เหนือการทนทุกข์ในปัจจุบัน ยือคุงเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาที่ลุ่มลึก ประเภทหนึ่ง อันนี้ขอให้ท่านผู้ฟังโปรดจำให้ดีนะครับว่า ยือคุงเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาที่ลุ่มลึกประเภทหนึ่ง บุคคลประเภทยือคุงนี้ มีความสามารถมั่นคงที่จะดำเนินชีวิตไปให้ประสบความสำเร็จด้วยการตระหนักรู้ว่างานของเขาจะนำไปสู่ความหมายนิรันดร โดยไม่สนใจประโยชน์ผิวเผิน หรือประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นอย่างไร
คนส่วนมากจะมองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า ถ้ามองไม่เห็นประโยชน์เฉพาะหน้าก็จะไม่ทำ แต่คนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล บางทีดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ได้อะไร หรือตอนนี้จะไม่ได้อะไร แต่อนาคตที่ยาวไกลจะได้สิ่งที่ดีงาม
ผมขอย้อนกลับมาข้อความที่ว่า ถ้าเราทำอะไรด้วยความกรุณา ด้วยความอดทน ถ้าไม่สำเร็จด้วยกำลังของเรา ก็จะสำเร็จด้วยกำลังของคนที่มีกำลังมากกว่า ที่มีความกรุณาต่อเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่าเห็นความตั้งใจจริง ความยืนหยัด การไม่ยอมแพ้ต่อความตั้งใจที่ดีของเรา>>
จากคุณ |
:
โชติช่วงชัชวาล
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 54 14:44:59
|
|
|
|
|