ความคิดเห็นที่ 2 นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์  ผีสางเทวดา  อดีตชาติ  ชาติในอนาคต  ชีวิตหลังความตาย ก็มีมากมาย   การทำโพลสำรวจคนอเมริกัน  ทุกๆครั้ง  จะได้ตัวเลขมาระหว่าง 80-90 % ที่เชื่อในเรื่องผีสางเทวดา  นรกสวรรค์ คนอเมริกันกว่า ๕๐ ล้านคน  บอกประสบการณ์ว่า  เคยเจอหรือมีประสบการณ์ในเรื่องการเจอผีสางอะไรต่างๆ คุณลองไปค้นหาใน google.com   จะเจอลิ้งค์ต่างๆมากมาย เช่นใช้คำค้นว่า  percentage  of  american  believe  in  reincarnation(life  after  death, heaven & hell....etc.  เป็นต้น ฯ) จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 19:09:25

ความคิดเห็นที่ 3 จะเชื่ออย่างไรก็ได้ครับ ถ้าคิดว่าไม่มีอะไรต้องกลัว - ความตายมีจริงหรือไม่ - ความแก่มีจริงหรือไม่ - ความเจ็บป่วยมีจริงหรือไม่ - สักวันทุกคนต้องเผชิญหน้าความตายและความพลัดพรากหรือไม่ - สมบัติที่แสวงหาในโลกนี้ มีค่ากับเราหรือไม่ หากเราตายไป - ตัวตนของเราไปอยู่ไหน เมื่อเราตายไป - เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เลี้ยงตัวเองไปเพื่อตาย เลี้ยงทำไม - เขาจะคิดเรื่องนรกสวรรค์ขึ้นมาทำไม คิดแล้วได้อะไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก - คิดไม่คิดเปล่า แถมบรรยายไว้อย่างละเอียดว่ามีลักษณะอย่างไร ทำอย่างไรจึงได้ไป - แถมยังสอนเรื่องราวของอดีตชาติ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน เป็นเหตุและผล เช่น คนจนเพราะไม่เคยทำทาน คนรวยเพราะทำทานมามาก คนสวยเพราะรักษาศีล คิดว่าการสอนเรื่องพวกนี้จะทำให้คนลุกขึ้นมาทำทาน รักษาศีลกันหรืออย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นผลของมัน คิดว่าสอนแล้วคนจะเชื่อหรือ เขาสอนไปเพื่ออะไร - หนำซ้ำหลาย ๆ คนยังอุตส่าห์ฝึกสมาธิจนไปนรกสวรรค์ได้ ถึงจะถูกกล่าวหาว่าอุปทาน แต่เอาเข้าจริง ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าทำไมเขาเห็น เขาเห็นได้อย่างไร เห็นเหมือนกันด้วย ที่สำคัญ หลาย ๆ เรื่องที่เห็น พิสูจน์ได้ เว้นแต่ไม่อยากพิสูจน์ เพราะกลัวความจริง - เรื่องพวกนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยบังคับให้เชื่อ ศาสนาพุทธจึงไม่เคยมีเรื่องราวของความรุนแรงในการเผยแผ่ เพียงแต่ใครเชื่อก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง เพราะฉะนั้น ลองนึกดูว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงต้องนำเรื่องพวกนี้มาสอน ก็เหมือนพ่อแม่ที่พร่ำสอนลูกนั่นแหละ บอกให้เรียนหนังสือ ลูกก็บอกว่าไม่เห็นมีประโยชน์ ไม่สนุก แล้วก็ไร้สาระ หาว่าพ่อแม่สร้างเรื่อง อยากได้ตังค์ก็ขอแม่ ไม่เห็นต้องทำงาน เด็ก ๆ จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องพวกนี้จนกว่ามันจะสายเกินไป ซึ่งหากใครแม้ไม่เข้าใจ แต่ฟังพ่อแม่ ก็พอเอาตัวรอดได้ ส่วนใครที่ประมาท เอาแต่เที่ยวเตร่ ไม่เรียนหนังสือ ไม่ขยันทำงาน สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด เพราะไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับขีวิตนั่นเอง จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 19:10:38

ความคิดเห็นที่ 4 พระเจ้าปายาสิกล่าวว่า คำตอบของท่านพอฟังได้โดยอุปมา แต่ข้าพเจ้ายังไม่เชื่ออยู่ดี เพราะถ้านรกสวรรค์มีจริงข้าพเจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ นี่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง พระกุมารกัสสปะตอบว่า คนตาบอดตั้งแต่กำเนิดไม่เคยเห็นสีแสงเลย ไม่เคยเห็นพระจันทร์ พระอาทิตย์ เขาก็มักกล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่ามีสีต่างๆ ไม่เชื่อว่ามีพระจันทร์   ไม่เชื่อว่ามีพระอาทิตย์ เพราะเขามองไม่เห็น คำพูดนี้ฟังขึ้นไหม ไม่ขึ้นแน่นอน เพราะคนตาดีเขามองเห็นและรู้ว่าสีต่างๆ มีจริง พระจันทร์ พระอาทิตย์มีจริง พระเจ้าปายาสิอ้างว่า ข้าพเจ้าเคยทดลองโดยนำนักโทษประหารมาใส่หม้อใหญ่ทั้งเป็น เอาหนัง เอาดินเหนียวพอก ปิดให้มิดชิดแล้วยกขึ้นตั้งบนไฟ คอยเฝ้าดูว่าคนตายแล้วชีวะ (วิญญาณ) เขาจะออกจากร่างไปไหน ก็ไม่เห็น ครั้นกะเทาะดินออกดู ก็ไม่เห็นชีวะเขาแต่อย่างใด แสดงว่าตายแล้วสูญ พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า คนนอนหลับฝันว่าไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ คนที่อยู่ใกล้ๆ เห็นชีวะเขาหรือไม่ ขนาดชีวะของคนเป็นๆ ยังไม่มีใครเห็นเลย ชีวะของคนตายแล้วจะเห็นได้อย่างไร พระเจ้าปายาสิกล่าวว่า ข้าพเจ้ามิได้ทดลองเพียงแค่นั้น ยังทดลองวิธีอื่นอีก คือจับนักโทษประหาร มาฆ่า โดยมิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ของเขาช้ำ เมื่อเขาจวนจะตายก็ให้นอนหงาย นอนตะแคง คว่ำหน้า ฯลฯ เพื่อเฝ้าดูว่าชีวะของเขาจะออกมาทางไหน ก็ไม่เห็นเลย พระกุมารกัสสปะตอบว่า ชาวบ้านมุงดูชายคนหนึ่งเป่าสังข์เสียงไพเราะ ชาวบ้านถามว่า เสียงอันไพเราะนี้มาจากไหน คนเป่าสังข์บอกว่าออกมาจากสังข์นี้ ชาวบ้านจึงจับสังข์มาหงายบอกให้เปล่งเสียง สังข์เงียบ จับมันคว่ำแล้วบอกให้มันเปล่งเสียงสังข์ก็เงียบอีก จับตะแคง เอาไม้เคาะ เอามือทุบ สั่งให้มันเปล่งเสียง มันก็เงียบเหมือนเดิม คนเป่าสังข์จึงยกสังข์ขึ้นเป่าให้ดู เสียงอันไพเราะก็เปล่งออกมา ชาวบ้านก็จ้องดูว่าเสียงมันออกมาทางไหน ก็ไม่เห็น ชาวบ้านโง่ๆ ไม่รู้ว่าวิธีจะให้เสียงเปล่งออกจากสังข์ทำอย่างไร และโง่จนไม่รู้ว่าเสียงสังข์นั้นมันมิใช่สิ่งที่มองเห็นได้ ไม่ต่างอะไรกับบางคนที่ต้องการพิสูจน์วิญญาณออกจากร่างกายอย่างไร ทำไมจึงมองไม่เห็น จากคุณ : artinfinity เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 19:10:44

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับคนไม่เชื่อ ก็ลองตั้งจิตอธิฐานสิครับ ว่าขอให้ตายไปแล้วอย่าให้ขึ้นสวรรค์ ขอตกนรกไม่มีวันผุดวันเกิดอีกเลย....อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มีใครกล้าบอกผมด้วยจะยกนิ้วให้จริงๆ ว่าใจคุณเด็ดเดี่ยวและตั้งมั่นในความเชื่อจริงๆ นับถือๆ จากคุณ : พิกุลแก้ว (nslife2514) เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 19:25:53

ความคิดเห็นที่ 6 นรกสวรรค์ มีจริงค่า คนทำชั่ว ตายไปแล้ว ต้องไปรับผลกรรมชั่วต่อในนรกแน่นอน คนทำดี ตายไปแล้ว ต้องได้รับผลกรรมดีต่อในสวรรค์แน่นอน เหล่านี้เป็นความเชื่อ พิสูจน์ไม่ได้หรอกค่า ดังพระเจ้าปายาสิ #4 พยายามพิสูจน์มาแล้ว แต่ถึงเป็นความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นความจริงของโลก เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 19:42:35

ความคิดเห็นที่ 7 กลับกันนะครับ ถ้า ควานตั้ม - เอกภพ ไม่มีจริง เป็นเพียงอุบายเพื่อให้ คนตอบคำถามที่ตอบไม่ได้ด้วยอย่างอื่น (วิทย์บริสุทธิ์ มีไว้เพื่อตอบคำถาม ส่วนที่เอามาพัฒนากัน คือ วิทย์ประยุกต์) จะบอกว่า มีคนหัววิทย์ คิดอย่างนี้จริงๆด้วยนะครับ ทำไมน่ะเหรอ เพราะว่า ทั้ง ควานตั้ม และ เอกภพ เป็นสิ่งที่เป็นทฤษฏีล้วนๆ ใช้หลักฐานเทียบเคียงสนับสนุน ไม่มี หลักฐานตรงๆ เลย ไม่มีใคร รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสตรงๆ กับ ระดับสภาพ ควานตั้ม และ เอกภพ ได้ ได้แต่ เทียบ เคียงๆ และ เจอคำถาม ต่อไปๆ โดยเอา ควานตั้มและเอกภพ ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อน เรื่อง นรก และ สวรรค์ - พระเจ้า และ ธรรมชาติ (ที่แยกตรงข้ามอย่างนี้เพราะ พระเจ้า อยู่เหนือธรรมชาติ ดังนั้น จึงขัดกับธรรมชาติ ที่ว่าด้วย ทุกอย่างมี เหตุปัจจัย เกิดดับ) ก็เหมือนกันครับ มันอาจจะเป็น ทฤษฏี ในสายตาของคนที่มีคำถาม มันจะเป็น แนวทาง สำหรับผู้หาคำตอบ และมันจะเป็น คำตอบ ก็ต่อเมื่อ คนๆนั้นได้ลงมือพิสูจน์ จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 20:29:59

ความคิดเห็นที่ 8 นรกจะมีหรือไม่มี .. แค่ทุกข์ในปัจจุบัน มันก็เตือนสติทำให้ไม่กล้าทำชั่วแล้ว จากคุณ : palmgang เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:07:03

ความคิดเห็นที่ 9 จักรวาลนั้นมีอยู่มากมายเป็นเอนกอนันต์ ถ้าจะกล่าวแบบดิบๆก็พูดได้ว่าวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็ยังให้การรับรอง จักรวาลที่เราอยู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ 1 ในอนันตจักรวาล เท่านั้น ตัวเราจึงเปรียบได้แค่เศษผงธุลีน้อยๆในอนันตจักรวาลเท่านั้น เราจึงเป็นผู้ไร้เดียงสาต่อการเกิดมาเป็นมนุษย์ยิ่งนัก แต่เราก็มักคิดว่าเรานี่สิ..ยิ่งใหญ่...แน่...รู้ดี..ทั้งๆที่ตัวเองเป็นเศษผงธุลีที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในชีวิต นอกเสียจากเรียนรู้เรื่องของความเห็นแก่ตัว เรียนรู้เรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสวยงาม ฯลฯ ดังนั้น..การปฏิเสธสิ่งที่เราเองนั้นไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้...จึงไม่ใช่เรื่องของผู้ที่มีปัญญาทำเอาเสียเลย เมื่อก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน แต่จริงๆโลกกลับกลม(พระพุทธองค์กล่าวถึงโลกและจักรวาลไว้เมื่อ2,500ปี) เช่นเดียวกันกับตาเนื้อของมนุษย์ไม่อาจมองเห็นเชื้อไวรัสหรือจุลินทรีย์ได้หากไม่อาศัยกล้องจุลทัศน์ขยาย แม้ไฟที่ลุกโซนอยู่ดับไป ความร้อนก็มิได้หายไปไหน เพราะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไหลหมุนเวียนอยู่ใน วัฏจักร(ตาเรามองเห็นมั้ย) เสียงที่เราตะโกนออกไปมิได้หายไปไหน แต่ตาเรามองเห็นมั้ย...จะเห็นได้อย่างไรเพราะเป็นคลื่นพลังงาน แต่พลังงานเสียก็ไม่ได้หายไปไหน ดังเช่น เราตะโกนบนยอดเขาแล้วได้ยินเสียงสะท้อน เจ้าเสียงสะท้อนนี่ก็ไม่ได้เกิดขื้นเองหากแต่ะเกิดการกระทบบางสิ่งแล้วสะท้อนกลับมา "...คนที่ตาบอดมองไม่เห็นนี่ ถ้าเกิดหิวน้ำขึ้นมามากๆ ไปขอน้ำใครเขากิน เกิดไปเจอพวกใจทรามปัสสาวะ ใส่แก้วเอาให้กิน ก็คงรีบกินด้วยความหิวหล่ะนะ เพราะขาดสตินี่ตาบอดแล้วยังไม่รู้จักดมก่อนกินซะอีก ที่นี้..ไอ้พวกตาดีมาเห็นเข้าก็เลยขำเอา เรื่องมันเป็นซะอย่างนี้..." ที่นี้...วกกลับมาที่มนุษย์มือดีตาดีอย่างเราๆ อะไรก็ตามที่มนุษย์ไม่สามารถรู้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ โลกอื่นๆ ที่เราไม่อาจรับรู้ได้ว่ามีจริงหรือไม่ เราจึงไม่ควรประมาท ตัดสินใจไปว่ามันไม่มีจริง...หากไม่ได้รับการพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียก่อน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา และเป็นศาสนาเดียวในโลก...ที่ทนต่อการพิสูจน์ เพราะอะไร??? เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กล่าวมาอย่างลอยๆ...พระพุทธองค์ทรงแนะแนวทางสำหรับค้นคว้าซะด้วย และไม่ทรงให้เชื่อหากไม่ใช้ปัญญา...ไม่ทรงให้เชื่อหากไม่รู้เห็นผลนั้นด้วยตนเอง พระพุทธองค์ ได้แสดงแนวทาง แห่งการปฏิบัติไปสู่มรรค ผล นิพพานเอาไว้ โดยมีวิธีปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน และขั้นตอนในการปฏิบัตินั้น ยังสามารถพิสูจน์ถึงความเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยการปฏิบัติสมาธิในขั้นต้น หรือที่เรียกว่า สมถะภาวนา เจริญไปจนถึงฌาน4 หรือให้มากกว่านั้น ซึ่ง...สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่ว่า  "คุณ" ว่าจะเลือก 1.ยังไม่เชื่อ แต่ขอศึกษา ค้นคว้า และ ปฏิบัติ เสียก่อน           หรือ 2."ไม่เชื่อ" และ "ไม่พิสูจน์" เพราะเชื่อใจในผงธุลีแห่งใจตน  ^^ .....................มันก็เท่านั้น....................... ..............สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม................... จากคุณ : อวตาร เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:14:21

ความคิดเห็นที่ 10 ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าใครเป็นคนแรกที่อยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน แล้วก็อยากรู้อีกเหมือนกันว่า ใครเป็นคนแรกที่บอกว่า ตายแล้วไปนรก สวรรค์ หรือดับสูญ หรือว่า ทำไมต้องตาย หรือ... หรือ.... ตกลง ว่าในที่สุดก็มี กฏหมาย มีตำรวจ มีกรงขัง อยู่ดี หรือว่า สังคมมนุษย์มันซับซ้อนเกินกว่าที่จะใช้แค่กฏหมายจัดการเท่านั้น ... หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น... จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:28:14

ความคิดเห็นที่ 11 มี.. จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:33:20

ความคิดเห็นที่ 12 คุณจะคิดจะเชื่ออะไรก็ได้ร้อยแปด แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นตลอดไป ความเชื่อความคิดของคุณมันไม่สามารถไปเปลี่ยนความเป็นจริงให้เป็นเหมือนความคิดและความเชื่อของคุณได้ แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 54 21:55:41 แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 54 21:55:05 จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:54:30

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าไม่มีนรก สวรรค์ และการเวียนว่ายตายเกิด  ทำไม คนบางคนถึงเกิดมาบนกองเงินกองทอง  แข็งแรงและมีความสุข  แต่บางคนกลับเกิดมายากจนข้นแค้น  สุขภาพไม่ดี  ชีวิตมีแต่ความผิดหวัง  คุณ จขกท พอจะตอบได้ไหมว่า  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 21:56:31

ความคิดเห็นที่ 14 ทำไมเราต้ิองแคร์นักวิทยาศาสตร์ด้วยละครับ...? ผมเรียนจบวิทยาศาสตร์มา ผมพูดอะไรไปจะเชื่อดีมั้ยหนอ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 22:25:56

ความคิดเห็นที่ 15 สวรรค์ อยู่ในอก นรก อยู่ในใจ อันนี้มีจริง แน่นอน ส่วนที่เป็นสถานที่ต่างหากไม่น่าจะมี ธรรมชาติ คือ ปรากฏการที่เราพบเห็นแล้วไม่ทราบใครสร้างใครกำหนด เลยสมมุติคำว่าธรรมชาติขึ้น ว่าเป็นเช่นนั้นเอง หรือธรรมชาติสร้าง กำหนด แท้จริงคือมนุษย์จนคำตอบ ธรรมชาติจึงเป็นคำตอบสุดท้าย พระเจ้า เช่นเดียวกับคำว่าธรรมชาติ สรุป มนุษย์มีความรู้ ความสามารถที่จำกัดมาก ๆ จึงไม่สามารถหาคำตอบได้มากนัก แต่มนุษย์อวดเก่ง คิดว่าจะเอาชนะธรรมชาติได้ จึงมักจะผิดหวังเสมอ แต่ถ้าเข้าใจให้ถูกต้องแล้วว่าไม่สามรถหาคำตอบในทุกข้อสงสัยได้เพราะข้อจำกัดดังกล่าว แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจว่ามนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นผลผลิตของธรรมชาติ และพยายามมีชีวิติอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็จะอยู่อย่างเป็นสุขได้ และจากการที่มนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ถ้าทำตัวกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้แล้ว ธรรมชาติยิ่งใหญแค่ใหน เขาคนนั้นก็จะยิ่งใหญ่ตามธรรมชาติไปด้วย แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 54 23:03:21 จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 22:46:29

ความคิดเห็นที่ 16 มันคือทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้ ไม่ใช่นรกที่ท่านต้องเจอแบบเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สวรรค์ที่มีนางฟ้าเทวดาลอยอยู่บนอากาศ แต่หากเป็นทางสายที่กลางที่เห้นชอบว่าดีแล้วที่จะใช้กับมนุษย์ทั้งหลาย ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ในกรอบความดี พระพุทธเจ้าถึงเตือนว่าอย่าเชื่อใคร..แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง แต่ทุดอย่างมันดีที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์เรา จากคุณ : พี พสิษฐ์ เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 23:23:35

ความคิดเห็นที่ 17 มิอาจกล้าอธิบายครับ ให้ท่าน ว.วชิระเมธี อธิบายดีกว่า จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 01:29:25

ความคิดเห็นที่ 18 ลองกดดูนะครับ จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 01:30:38

ความคิดเห็นที่ 19 อาจเป็นดอกบัวในโคลนตมก็เป็นได้ เคยสงสัยตนเองหรือไม่ เรื่องราวของธรรมชาติล้วนๆ จากคุณ : usagi-mizu-nagas เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 02:00:09

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าเชื่ออย่างนี้ ก็ไม่ต้องทำดีก็ได้ ทำชั่วตามใจไปซิ ก็ไม่กลัวนรกนิ จากคุณ : ดับเบิ้ลเอ็ม เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 09:00:32

ความคิดเห็นที่ 21 ผู้ใดอยากรู้ความจริงของชีวิตถึงที่สุด ต้องปฏิบัติ สติปัฏฐานสี่ จึงจะเข้าใจ การดับทุกข์ เป็นเรื่องของผู้มีปัญญา คนที่ไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักวิธีที่จะต่อสู้กับกิเลส คนนั้นก็ต้องเป็นทาสของกิเลส ตลอดกาลนาน ตาสีจะตาใส ก็ต่อเมื่อ เข้าใจ ธรรม     ตอนนี้ขุ่นๆไปก่อนก็แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 09:55:22 จากคุณ : นพนครสวรรค์ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 09:17:05

ความคิดเห็นที่ 22 เชื่อค่ะ แค่พูดถึงนรก ก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆ กลัวมากกก คุณได้เข้าห้องนี้ ก็แสดงว่าชาตินี้ได้เจอทางที่ดี ควรรีบขวนขวายไว้นะคะ จะได้ไม่ตกนรก จากคุณ : แมวส้มตาหวาน เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 09:26:37

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ เวียนว่ายตายเกิด ก็ได้ แต่ได้อย่าประมาท คิดว่าไม่มี แล้วทำชั่ว ก็แล้วกัน จากคุณ : KONICHIWA เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 10:42:22

ความคิดเห็นที่ 24 ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาตอนหนึ่งนะคะว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว ยังไม่พอท่านยังท้าทายให้พิสูจณ์คำสอนด้วยตัวเอง คือ โอปนยิโก  ในบทพุทธคุณลองไปดูนะคะว่าแปลว่าอะไรบ้าง      ที่แน่ ๆ นักวิทยาศาสตร์เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิสูจณ์กันก่อน  แล้วทำไมจะไม่เชื่อซะก่อนที่จะพิสูจณ์ล่ะค่ะ    พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังทรงอยู่ปัจจุบันนี้ก็มากนะคะ  ท่านพบธรรมพุทธองค์แน่นอนแน่ ๆ อัฐธาตุกลายเป็นพระธาตุก็เยอะ      ก็เหมือนอาจารญ์คนหนึ่งที่จบด๊อกเตอร์จากต่างประเทศ  ท่านมีเวลาน่าจะสัก 1 เดือน  ท่านก็ไปบวชเพื่อพิสูจณ์คำสอนพุทธองค์ เรื่อง นรก สวรรค์และอื่น ๆ ปรากฏว่าท่านก็ออกมายืนยันว่าที่พุทธเจ้าท่านสอนนั้น มันมีจริง ๆ       ทำไม จขกท ไม่ลองบ้างล่ะค่ะ จะได้รับคำตอบชัด ๆ แบบไม่ต้องฟังจากประสบการณ์คนอื่น  เราเอาประสบการณ์ตรงเลย  เจอด้วยตัวเองเลยนั่นน่าจะดีที่สุดเลยค่ะ จากคุณ : ใบไม้และขุนเขา เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 11:04:12

ความคิดเห็นที่ 26 เอาที่มี 100% เลยนะครับ คือระดับภพภูมิของจิต 31 ภพภูมิ มีแน่นอนขอยืนยัน จากคุณ : นิยมวัตถุ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 13:46:43

ความคิดเห็นที่ 27 นรก สวรรค์ อยู่ที่ใจของเราในปัจจุบันนี้ นรกไม่มีสมัย ไม่มีกาละ ไม่มีสถานที่ นรกอยู่ที่ปัจจุบัน ของความรู้สึก เมื่อตายจากร่างกายนี้แล้ว  นรก สวรรค์  ก็เหมือนเวลานอนหลับฝัน  แค่ฝันเรายังไม่รู้ตัวเลย  แต่จริงยิ่งกว่าฝันเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะให้ปฏิบัติธรรม  กระทำกรรมไม่ได้  ใช้วิบากอย่างเดียวจนกว่าจะหมดแรงวิบาก วิทยาศาสตร์ ที่มีกันอยู่ในทุกวันนี้ รู้แต่ "รูปธรรม" เท่านั้น ยังไม่เข้าเขต "นามธรรม" ที่เป็น "วิญญาณจิต" ที่แท้ นรก สวรรค์  เป็นนามธรรม  แล้วนามธรรมมีอยู่ที่ไหน  ก็มีอยู่ในร่างมนุษย์  อยู่ภายนอกไม่มีนามธรรม  อยู่ภายนอกไม่มี นรก สวรรค์ จากคุณ : toi (castertoi) เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 19:29:26

ความคิดเห็นที่ 28 คุณมีอวิชชาอยู่จึงเชื่อแบบนั้น เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ต้องทำอวิชชาให้แจ้ง  จะได้มีสัมมาทิฐิ จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:24:32

ความคิดเห็นที่ 29 อย่าเพิ่งเชื่อโดยยังไม่ลองพิสูจน์ อย่าเพิ่งปฏิเสธโดยยังไม่ลองกระทำ พวกจุลินทรีย์ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ต้องใช้เครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ นั่นคือรูปธรรม แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่าง ก็ต้องใช้จิตที่เป็นนามธรรมพิสูจน์ โดยการสร้างกำลังสติ พลังของจิตเพื่อเข้าไปในช่องว่างของมิติภพภูมิ จิตเสมอมิติภพภูมิใด กายละเอียดย่อมแทรกเข้าไปในภพภูมินั้นด้วยอำนาจฤทธิ์ทางใจ นรกไม่ใช่สิ่งที่ตั้งเงื่อนไขในการศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา แม้แต่สวรรค์ก็ไม่ใช่เป็นการบ่งบอกเพื่อเร่งทำบุญทำทาน เพราะหัวใจหลักอยู่ที่คำสอนที่ให้ต่อสู้กับกิเลสภายในจิตใจต่างหาก นรกสวรรค์เป็นเพียงองค์ประกอบที่มีอยู่ แม้จะไม่มีพระพุทธศาสนา นรกสวรรค์ก็คงมีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ที่มา:หนังสือ สวรรค์มีจริง แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 54 19:26:34 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 54 13:21:13 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 54 13:20:55 จากคุณ : ฟ้าอิงจันทร์ เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 54 12:41:47

ความคิดเห็นที่ 30 หากนรกสวรรค์ไม่มีจริง ก่อนที่จะเกิดมาเราอยู่ที่ไหนครับ เมื่อตายไปแล้วเราอยู่ที่ไหน และทำไมเราทุกคนจึงแตกต่างกัน จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 54 12:52:02

ความคิดเห็นที่ 31 วิทยาศาสตร์เกิดเมื่อวานนี้ แต่พระพุทธศาสนาเกิดมาแล้ว2000กว่าปีให้คนศึกษาไม่ได้ให้เชื่อ คนไม่รู้พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ คนที่รู้แล้วไม่ทำตามพระพุทธเจ้าท่านไม่สอน (ที่สำคัญที่วิทยาศาสตร์บอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งจักรวาลไม่ใช่เพราะวิทย์อธิบายพุทธได้หรอกนะ แต่เพราะศาสนาพุทธสามารถอธิบายวิทยาศาสตร์ได้ต่างหากล่ะ) จากคุณ : Run_Lucifer (Run_Lucifer) เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 54 14:03:01

ความคิดเห็นที่ 32 เคยฟังวีดีโอชุดนี้แล้ว  และเชื่อค่ะ แต่ก็กำลังจะหาทางพิสูจน์อยู่  คงไม่ยากจนเกินไป http://www.youtube.com/watch?v=WlvbY9aPbv8&NR=1 จากคุณ : sunnyorchids เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 12:50:56

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่เห็นด้วยกับ คคห 27 ความคิดเห็นที่ 27 :นรก สวรรค์  เป็นนามธรรม  แล้วนามธรรมมีอยู่ที่ไหน  ก็มีอยู่ในร่างมนุษย์  อยู่ภายนอกไม่มีนามธรรม  อยู่ภายนอกไม่มี นรก สวรรค์ นรก สวรรค์  เป็นทั้ง รูป และนามธรรม มีขันธ์ 5-4-3-2 เป็น ภพ ภูมิ ที่มีจริง มีหลักฐานมากมายใน3 ปิฏก ถ้าไม่เชี่อ ก็ขัดแย้งกับ พระรัตนตัย ไม่ใช่พุทธ พระพุทธ ตรัสไว้ก็ไม่เชื่อ  พระธรรมจารึกไว้ก็ไม่เชื่อ พระสงฆ์กล่าวไว้ก็ไม่เชื่อ สรุปแล้ว ยังไม่ได้มีศรัทธา คุยโต้กันไปก็เปลืองเวลา รอให้มี อินทรีย์ แก่กล้าอีกหน่อย แล้วค่อยคุยกัน นี่แหละ ....คีอปัญหาของเราชาวพุทธ ที่มีอินทรีย์ แตกต่างกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง คนที่มีอินทรีย์ แก่กล้า จงคบหากับ บุคคลที่มีอินทรีย์ แก่กล้าเถิด เอวัง จากคุณ : ปัจจัย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 05:13:55