คห.23
พระเจ้า คือ ผู้สร้างสรรพสิ่ง ฉะนั้นโดยนัยยะแล้ว ไม่ต้องถามหาผู้สร้างพระองค์ต่อแล้วครับ เพราะพระองค์ย่อมไม่เหมือนสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย
ผู้สร้างสรรพสิ่งย่อมต้องแตกต่างกับสรรพสิ่งมิใช่หรือ?? และพระองค์ก็ได้ยืนยันไว้เช่นนั้นแล้วให้มนุษย์ได้รู้ในสาห์นที่พระองค์สื่อกับมนุษย์ (กุรอาน 112 : 1-4 ) นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างผู้สร้างในอิสลาม และผู้สร้างในศาสนาอื่น
ผู้สร้าง จะอยู่ในกรอบ ในกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? จำเป็นด้วยหรือ???
คุณแค่ยอมรับสถานภาพนั้นของพระองค์ไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะคุณไม่เคยเห็นสิ่งใดที่ไม่มีจุดกำเนิด ก็เลยคิดว่าพระเจ้าก็ต้องมีจุดกำเนิดเช่นกัน การโยงความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง จะนำไปเปรียบกับสรรพสิ่งที่มีจุดกำเนิด และมีจุดดับ ที่มีคุณสมบัติในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันไม่ได้
ที่ผ่านไปคือฐานะผู้สร้างสรรพสิ่ง อีกอย่างคุณมองข้ามฐานะผู้ออกแบบอย่างพิถีพิถันต่อสรรพสิ่งไปได้อย่างไร???
ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งพบความสลับซับซ้อน พบความอัศจรรย์ พบสัญญาน (sign) ต่างๆจากผู้สร้างที่บ่งบอกถึงความปราชญ์เปรื่องอันหาที่สุดมิได้มากมาย มนุษย์ได้เพียงเลียนแบบการออกแบบบางอย่างมาสร้างสรรค์ผลงานต่างๆเท่านั้น
มันสลับซับซ้อนจนเข้าข่าย "บังเอิญ" กระนั้นหรือ??? หรือเพียงเพราะเกินขีดความสามารถของมนุษย์ และก็ไม่เคยเห็นตัวผู้สร้างอื่นที่เหนือเผ่าพันธุ์ตนเองกระนั้นหรือ?? แต่หากใช้มาตรฐานเดียวกันกับผลงานมนุษย์แล้ว สติปัญญาปกติของมนุษย์ต่างรู้ดี และมีความสามารถเพียงพอที่จะแยกแยะได้ไม่ยากว่า อะไรคือสิ่งที่เกิดจากความ "ตั้งใจ" และ อะไรเกิดจากความ "บังเอิญ" แม้ไม่ต้องเห็นตัวคนสร้าง หรือพบเจ้าของร่องรอย (trace) และไม่ต้องคำนวณ "ค่าความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์" เลยด้วยซ้ำไป แม้ค่านี้สามารถยืนยันได้ทางวิทยาศาสตร์ในเหตุการณ์ต่างๆที่ปฏิเสธ "ความบังเอิญ" ได้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่กระนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยน "ความเชื่อ" ของนักวิทยาศาสตร์บางคนได้อยู่ดี เพราะ "อีโก้" ในความเป็นคนที่มาจาก "ความเชื่อเดิม" ที่สูงมาก
ด้วยเหตุแห่งต้นทุน"อีโก้"ที่แตกต่างกันนี้ มนุษย์บางคนจึงสามารถเปิดโลกทรรศน์ตนเองให้กว้างขึ้น โดยมองข้าม"ประสบการณ์ทางจักษุ" ไปสู่"ประสบการณ์ทางสติปัญญา"ได้ มีมาตรฐานการคิดบนพื้นฐานของความ "จริงใจ" และ "ยอมจำนน" ต่อสัจธรรมความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ผลงานที่ประจักษ์ชัดถึงความตั้งใจ จึงเป็นสิ่งยืนยันที่ดีที่สุดถึงการมีอยู่ของผู้ทรงปรีชาญาน แต่บางคนก็ก้าวข้ามไปไม่ได้อย่างน่าเสียดาย
เป็นไปได้หรือ ในเมื่อมนุษย์ต่างรู้จักธาตุ สสาร รอบตัวว่ามันไร้สติปัญญา ไร้ความคิด ไร้ชีวิต ไร้ความมุ่งหมาย จู่ๆสิ่งเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ สร้างกฎระเบียบขึ้นมา จนกระทั่งสร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย มีความคิด มีความรู้สึก และสลับซับซ้อนขึ้นมา และที่สำคัญสิ่งต่างๆกำลังดำรงค์อยู่อย่างสมดุล เป็นระเบียบเรียบร้อย มีเพียงมนุษย์นักบ่อนทำลายเท่านั้นที่กำลังทำลายความสมดุลนั้นทีละเล็กละน้อย
มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมจำนนหลักคิดข้างต้นแต่กลับเชื่อ และศรัทธาในหลักคิดที่มีระบบบริหารจัดการบาป บุญ ของวิญญานที่มีจุดมุ่งหมาย ทั้งการตอบแทนในโลกนี้ และส่งไปยังจุดที่เหมาะสมต่างๆ ไม่ว่าจะนรก สวรรค์ ชั้นต่างๆ หรือ ภพภูมิต่างๆอีกมากมาย มีทั้งเปรต มีเทพรูปร่างหน้าตาต่างๆ มีเทวดา มีภูติผี ปีศาจ พญานาค ฯลฯ ทั้งที่ไม่ได้มีเหตุผล หรือสัญญานต่างๆที่จะบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย หากใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งประสบการณ์ทางจักษุ และสติปัญญา พิจารณาหาร่องรอยของสิ่งเหล่านี้ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่นับตาทิพย์ใครบางคนที่อ้างขึ้นมา
ซ้ำร้ายกลุ่มชนเดียวกันนี้ยังอ้างหลักการในการห้ามเชื่อ 10 ข้อ ที่ล้วนแล้วแต่สวนทางกับพฤติกรรมที่หล่อหลอมมาเป็นความเชื่อ ความศรัทธาของตนเองเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเพียง 1 ข้อที่ทำได้อย่างแข็งขันคือ "อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล" !?!?
ตามความเชื่อแล้ว "เหตุผล" จึงเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้กลับชนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักการทุกอย่าง หรือผ่านข้อพิสูจน์มาแล้วเพียงใดก็ตาม
สุดท้ายทางออกก็มีเพียงใครใคร่รู้ความจริง ก็ให้ไป "ปฏิบัติ" กันเอาเองตามวิธีการที่ต้อง "เชื่อก่อนพิสูจน์ทีหลัง" สัจธรรมความจริงที่"คนรู้"ไม่สามารถกลับมาบอกได้ "คนอ้างรู้"ไม่สามารถพิสูจน์ให้ประจักษ์ได้ ส่วน"คนไม่รู้"ก็ต้องลองต่อไป นี่หรือคือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ กระบวนการใช้ปัญญาแสวงหาความจริง???
เป็นความขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลัง "เชื่อ" ว่าตนเองเชื่อ และศรัทธาสัจธรรมหนึ่งด้วย "สติปัญญา" ...ว่าไหมครับ??
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 12:26:56
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 12:02:59
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 10:38:55