ความคิดเห็นที่ 1 ศาสนธรรมแม้ทั้งสิ้นมีความงามในเบื้องต้นด้วยศีล มีความงามในท่ามกลางด้วยสมถะวิปัสสนา มรรคและผลทั้งหลาย มีความงามในทีสุดด้วยนิพพาน นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกษุ มีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศีล แล้วบำเพ็ญสมาธิจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:01:17

ความคิดเห็นที่ 2 บุคคลเหล่าใดมีใจผ่องใส ย่อมให้ข้าวด้วยศรัทธา บุคคลเหล่านั้นย่อมได้ข้าวนั้นเอง ทั้งโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้นพึงเปลื้องความตระหนี่เสีย แล้วให้ทาน บุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า ผู้ใดแล เป็นคนกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมีความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:01:47

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อหิริโอตตัปปะมีอยู่ ศีลจึงเกิดขึ้นและดำรงอยู่ เมื่อหิริและโอตตัปปะไม่มี ศีลย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้เลย ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:02:29

ความคิดเห็นที่ 4 ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:03:16

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อชนทั้งหลายเลื่อมใสแล้วใน พระรัตนตรัยที่เลิศ รู้แจ้งธรรมอันเลิศ เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ซึ่งเป็นทักขิไณยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม เลื่อมใสแล้วในธรรมอันเลิศซึ่งเป็นที่สิ้นกำหนัดและเป็นที่สงบ เป็นสุข เลื่อมใสแล้วใน พระสงฆ์ผู้เลิศ ซึ่งเป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม ถวายทานในพระรัตนตรัย ที่เลิศ บุญที่เลิศย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุขะและพละอันเลิศย่อมเจริญ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:03:59

ความคิดเห็นที่ 6 พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ อย่าง ดังนี้ คือ ๑. หลับก็เป็นสุข ๒. ตื่นก็เป็นสุข ๓. มีหน้าตาผ่องใสเบิกบาน ๔. ไม่ฝันร้าย ๕. เป็นที่รักของมนุษย์ ๖. เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ ๗. เทวดารักษา ๘. ไม่เป็นอันตรายด้วยยาพิษ หรือศาสตรา ๙. จิตเป็นสมาธิ ๑๐. เมื่อจะตายมีสติไม่หลงตาย ๑๑. หาก(เจริญเมตตาจนได้ฌาน) เมื่อไม่บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ก็จะได้ไปเกิดในพรหม จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:04:32

ความคิดเห็นที่ 7 ตัณหานี้ลามกซ่านไปในอารมณ์ ต่างๆในโลก ย่อมครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดุจหญ้าคมบางอันฝนตกเชยแล้วงอกงามอยู่ในป่า ฉะนั้น ภิกษุผู้มีสติควรรีบละเว้นความ กำหนัดในภพเสีย เหมือนบุคคลรีบถอนหอกออกจากกายตน และเหมือนบุคคลที่รีบดับไฟซึ่งไหม้อยู่บนศีรษะตน ฉะนั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:05:13

ความคิดเห็นที่ 8 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:05:34

ความคิดเห็นที่ 9 ลูกผู้ชายเมื่อทอดทิ้งความเพียรชอบเสียแล้ว จะพึงได้บรรลุคุณวิเศษแม้แต่นิดหน่อยนั้น ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เลย ก็บุคคลผู้ปรารภความเพียรมั่น มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าบุคคลผู้เกียจคร้านมีความเพียรอันเลว มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี จิตเห็นได้ยาก ละเอียดยิ่งนัก มักใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ ผู้มีปัญญาจึงควรควบคุมจิตไว้ให้ดี เพราะจิตที่ควบคุมได้แล้ว นำสุขมาให้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:06:08

ความคิดเห็นที่ 10 ธรรมนครที่สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงสร้างขึ้นนั้น ย่อมงามตระหง่านเพริศพริ้ง มากไปด้วยสรรพสิ่งแสนประเสริฐ เลิศล้ำไปด้วยประดับ กล่าวคือพระธรรม อันล้ำค่าดังต่อไปนี้ มี หิริ เป็นคูแวดล้อม มี ศีล เป็นปราการกำแพงทั้งสี่ด้าน มี สติ เป็นนายทวารผู้ทำหน้าที่กวดขัน มี ญาณ เป็นซุ้มประตูอันงามวิจิตร มี วิริยะ เป็นหอรบอันมั่นคงแข็งแรง มี ศรัทธา เป็นยอดปราสาทงามเพริศพริ้ง มี ปัญญา เป็นตัวปราสาทอันโอฬารยิ่งใหญ่ มี พระวินัยปิฏก เป็นโรงราชวินิจฉัย มี พระสุดตันตปิฏก เป็นถนนหลวง มี พระอภิธรรมปิฏก เป็นถนนสามแจง มี พระมหาสติปัฏฐาน เป็นถนนใหญ่สำหรับเข้าไปสู่ ธรรมนครอันเกษมสำราญนั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:06:46

ความคิดเห็นที่ 11 อินทรียสังวร ชื่อว่า ตบะ เพราะป้องกันจิตไม่ให้ตกไปในความยินดีและยินร้าย การมีสติระลึกรู้อยู่ ในลักษณะของรูปนาม ที่มาปรากฎทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ชื่อว่าอินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:07:26

ความคิดเห็นที่ 12 เหล่าสัตว์ไม่เข้าใจความเป็นไปแห่งกรรม ความเป็นไปแห่งผล ความเหมือนกันโดยสภาพ ความต่างกันโดยสภาพ ความไม่ขวนขวายของเหตุและผล และความเป็นธรรมชาิติอย่างนั้น จึงไม่สามารถชี้ทางสู่แดนเกษมได้ เพราะถูกปิดบังไว้ด้วยกลุ่มก้อนคือความต่อเนื่องแห่งวิญญัติรูป จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:07:57

ความคิดเห็นที่ 13 พระมหาบุรุษผู้เดียวนั้น ทรงกระทำความสงบและแสงสว่าง ทรงหยั่งรู้เญยยธรรมทั้งปวง ได้ตรัสวาจาอันองอาจยิ่งนักในท่ามกลางเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นจอมมุนีผู้ ประเสริฐ เป็นเทพผู้ประเสริฐในสวรรค์ เป็นพรหมผู้ประเสริฐหมดจด ทรงกำจัดบาปของพระองค์ได้ ทรงกำจัดบาปของผู้อื่นได้ บุคคลผู้เกิดแล้วในโลกที่สว่าง ไสวด้วยแสงสว่างคือพระพุทธเจ้า ปรารถนาโพธิญาณนั้นอยู่ พึงเชื่อถือ ระลึกถึง กราบไหว้ และบูชาพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:08:30

ความคิดเห็นที่ 14 ธรรมดาว่ากระแต เมื่อเห็นศัตรูมา ก็พองหางให้ใหญ่สู้รบกับศัตรูนั้น ไม่ถอยหนี มีครุวนาฉันใด พระโยคาวจรเจ้า เมื่อเข้าใกล้ซึ่่งกิเลสก็พึงพองหางกระทำให้ใหญ่กว้างคือตั้งไว้ซึงพระสติปัฏฐาน๔ สู้รบด้วยกิเลสทั้งปวง มีอุปไมยเหมือนกระแตฉะนั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:09:05

ความคิดเห็นที่ 15 ธรรมดาเต่าเมื่อเที่ยวไปได้เห็นมนุษย์และสัตว์เหล่าใด หรือได้ยินเสียงอันใดอันหนึ่ง ก็หดเข้าซึ่งอวัยวะทั้ง ๕ คือเท้า ๔ และศีรษะ ๑ ในกระดองของตน มีความขวนขวายน้อย หยุดนิ่งอยู่รักษากายของตน มีครุวนาฉันใด พระโยคาวจรเจ้าก็นิ่งอยู่ไม่กระทบกระทั่งอารมณ์ทั้ง ๖ ประการ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดี สำรวมระวังทวารทั้ง ๖ และสะกดไว้ซึ่งใจมีสติสัมปชัญญะรักษาสมณธรรมของตนอยู่ ปานดังเต่าอันรักษากายหดอวัยวะเข้านั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:09:21

ความคิดเห็นที่ 16 ดูกรภิกษุ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงยังเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ก่อน เบื้องต้นของกุศลธรรมคืออะไร? คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง เมื่อใด ศีลของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอจักตรง เมื่อนั้น เธออาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:09:40

ความคิดเห็นที่ 17 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใด ได้ทรงทราบสังขารโลกอันวิจิตรด้วยนัยเป็นอเนกอันบุคคลทราบชัดได้ยากยิ่ง โดยประการทั้งปวง คือ โดยสภาวะ โดยเหตุเป็นแดนเกิด โดยความดับ โดยอุบายแห่งความดับ ด้วยอาการดังนี้ เพราะเหตุนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นจึงได้รับเฉลิมพระนามว่า พระโลกวิทู พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคล สูงสุดของโลก ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก ทรงเป็นบุคคลที่่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก พึงมีความเอื้อเฟื้อกราบไหว้โดยชอบแล จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:10:11

ความคิดเห็นที่ 18 ปัญญาย่อมเกิดเพราะการทำกรรมฐาน ปัญญาสิ้นไปเพราะไม่ทำกรรมฐาน บัณฑิตรู้ทางสองแพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อมนี้แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:10:37

ความคิดเห็นที่ 19 ชนเหล่าใดเจริญสติในกองรูปเป็นนิตย์ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ และทำในสิ่งที่ควรทำเสมอ สำหรับชนผู้มีสัมปชัญญะพร้อมมูลเหล่านี้ อาสวะย่อมหมดไป จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:11:09

ความคิดเห็นที่ 20 เทวดาและมนุษย์เป็นจำนวนมาก ปรารถนาความสวัสดี ได้คิดมงคลทั้งหลาย แต่ไม่มีใครทราบว่า อะไรเป็นมงคลกันแน่ ขอพระพุทธองค์ได้ทรงโปรดบอกมงคลอันสูงสุดแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเถิด พระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาผู้ควรบูชา ๑ การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญได้ทำไว้แต่ ชาติก่อน ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ ความเป็นพหุสูตร ๑ ศิลปะ ๑ วินัยที่ศึกษาดี ๑ การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑ การงานที่ไม่อากูล ๑ การให้ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑ การงานที่ไม่มีโทษ ๑ การงดเว้นจากบาป ๑ การไม่ดื่มน้ำเมา ๑ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ ความเคารพ ๑ การเลี้ยงตัว ๑ ความสันโดษ ๑ ความกตัญญู ๑ การฟังธรรมตามกาล ๑ ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะ ๑ การสนทนาธรรมตามกาล ๑ ตบะ ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การทำให้แจ้งนิพพาน ๑ จิตไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม ๑ จิตไม่เศร้าโศก ๑ จิตปราศจากธุลี คือ กิเลส ๑ จิตเกษม ๑ เหล่านี้แหละเป็นมงคลอย่างสูงสุด สัตว์ทั้งหลายปฏิบัติตามมงคลดัง กล่าวนี้ ย่อมชนะข้าศึกทั้งปวง ถึงความสวัสดี ในทีทุกสถานในกาลทุกเมื่อ นั้นเป็นบุคคลอย่างสูงสุดของสัตว์เหล่านั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:11:41

ความคิดเห็นที่ 21 ภิกษุผู้สงบระงับ งดเว้นโทษเครืองเศร้าหมองใจได้อย่างเด็ดขาด มีปกติพูดด้วยปัญญาไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมได้เหมือนลมพัดใบไม้ล่วงหล่นไปฉะนั้น ภิกษุผู้สงบระงับละเว้นกองกิเลสและกองทุกข์ ที่เป็นเหตุทำให้เกิดความคับแค้น มีใจผ่องใส ไม่ขุ่นมัว มีศีลงาม เป็นนักปราชญ์ พึงทำที่สุดทุกข์ได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:12:50

ความคิดเห็นที่ 22 รูปนามอดีตก็ดับไปในอดีต รูปนามอนาคตก็ดับไปในอนาคต รูปนามปัจจุบันก็ดับไปในปัจจุบัน รูปนามอดีตจะกลับเป็นไปรูปนามอนาคตไม่ได้ รูปนามอนาคตจะกลับไปเป็นรูปนามอดีต ไม่ได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:13:19

ความคิดเห็นที่ 23 ขณะที่เราเอาไม้เคาะกระดาน เสียงดังขึ้น เมื่อหยุดเคาะเสียงก็ดับไป เสียง กับ หู เป็นรูป ได้ยินเป็นนาม รูปกับนามนี้เกิดชั่วขณะนิด หน่อยแล้วก็ดังไปตามธรรมชาติของเขา ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เป็นธรรมนิยามธรรมฐิติอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:13:47

ความคิดเห็นที่ 24 สัตว์นี้ตั้งแต่เวลาที่เกิดมา เดินบ่ายหน้าต่อความตาย มิได้หวนกลับมาเลยแม้แต่น้อยเดียว เปรียบดังพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา แล้วก็โคจรบ่ายหน้าที่ตกไปท่าเดียว มิได้กลับมาหาที่ๆโคจรไปแล้วนั้นๆ แม้สักน้อยหนึ่ง วันและคืนล่วงไป ชีวิตพลอยดับไปด้วย อายุของสัตว์ค่อยสิ้นไป ดังน้ำแห่งแม่น้ำน้อยค่อยแห้งไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมีภัยแต่ความตายเป็นเที่ยงแท้แน่นอน ดุจผลไม้ทั้งหลายที่สุกแล้ว ย่อมมีภัยแต่ความหล่นในเวลาเช้า ฉะนั้น จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:14:18

ความคิดเห็นที่ 25 ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายอย่าง นี้แหละ ข้างบนนับแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างนับแต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยอสุจิมีประการต่างๆว่า สิ่งที่มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดุก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ใครๆ ค้นหาแม้ในอาการทั้งปวงในร่างกายยาวประมาณ ๑ วานี้ คือเบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา โดยรอบตั้งแต่หนัง ย่อมไม่พบของสะอาดอะไรๆ จะเป็นไข่มุกก็ดี แก้วมณีก็ดี แก้วไพฑูรย์ก็ดี กฤษณาก็ดี การบูรก็ดี ของอื่นๆมีจุณเครื่องอบก็ดี แม้เพียงอณูหนึ่ง โดยที่แท้พบแต่ของไม่สะอาดนานาประการ ต่างโดยผมและขนเป็นต้น อันมีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดยิ่งนัก เห็นเข้าไม่เป็นมิ่งขวัญเลย จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:14:47

ความคิดเห็นที่ 26 ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอันเป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่าภิกษุ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:17:07

ความคิดเห็นที่ 27 ความตายนี้มีแน่นอนในสองคราว คือ ในเวลาแก่หรือในเวลาหนุ่ม ที่จะไม่ตายเลยย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญแต่สัมมาปฏิบัติเถิด ขอจงอย่าได้ปฏิบัติผิดพินาศเสียเลย ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เมืองที่ตั้งอยู่ชายแดน เขาคุ้มครองป้องกันดีทั้งภายนอกและภายในฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะอันล่วงเลยไปเสียแล้ว ต้องพากันไปเศร้าโศกยัดเยียดอยู่ในนรก จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:17:30

ความคิดเห็นที่ 28 นิวรณ์ ๕ นั้น ได้แก่ ๑. กามฉันทะ ความพอใจในกาม ๒.พยาปาทะ ความไม่ชอบใจ ๓.ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาและความเซื่องซึม ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ และ ๕.วิจิกิจฉา ความสงสัยตัดสินใจไม่ได้ จิตที่ถูกกามฉันทนิวรณ์ครอบงำแล้วนั้น ย่อมไม่ดำเนินไปสู่ปฏิปทาเพื่อประหานเสียซึ่งกามธาตุ (คือกามโลก) จิตที่ถูกพยาปาทนิวรณ์ กดดันไว้ในอารมณ์ ย่อมเป็นไปอย่างกระพร่องกระแพร่งไม่บริบูรณ์ จิตที่ถูก ถีนมิทธนิวรณ์ ครอบงำแล้ว ย่อมไม่ควรแก่ที่จะประกอบการภาวนา จิตที่ถูก อุจธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ครอบงำแล้ว ย่อมหมุนคว้างไปไม่สงบอยู่ได้เลย จิตที่ถูก วิจิกิจฉานิวรณ์ เข้าแทรกแซงแล้ว ย่อมไม่หยั่งลงสู่ปฏิปทาอันจะให้สำเร็จการบรรลุถึงซึ่งฌานได้ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:17:53

ความคิดเห็นที่ 29 อันว่าสัมปสาทลักขณสัทธานั้น เมื่อจะบังเกิดนั้น ข่มขี่เสียซึ่งนิวรณธรรม ให้ดวงจิตนั้นผ่องใส ไม่ขุ่นมัวไปด้วยมลทิน เมื่อจะรักษาศีล ให้ทาน สวนาการฟังพระสัทธรรมเทศนา และจำเริญเมตตาภาวนา จิตนั้นมีสภาวะผ่องใส อย่างนี้ได้ชื่อว่าสัมปสาทลักขณสัทธา จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:18:20

ความคิดเห็นที่ 30 นักปราชญ์เรียกบุคคลผู้เพ่งธรรม อยู่เป็นปกติ พากเพียรเป็นเนืองนิตย์ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาสุขุม สิ้นความยึดถือและความยินดี ว่า เป็นสัตบุรุษ ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีลปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย. จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:18:54

ความคิดเห็นที่ 31 ขุมทรัพย์คือบุญ เป็นขุมทรัพย์อันผู้ใดเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม ฝังไว้ดีแล้วด้วยทาน ศีลความสำรวม และความฝึกตน ในเจดีย์ก็ดี ในสงฆ์ก็ดี ในบุคคลก็ดี ในแขกก็ดี ในมารดาก็ดี ในบิดาก็ดี ในพี่ชายก็ดี ขุมทรัพย์นั้นชื่อว่าอันผู้นั้นฝังไว้ดีแล้ว ใครๆ ไม่อาจผจญได้ เป็น ของติดตามตนไป บรรดาโภคะทั้งหลายเมื่อเขาจำต้องละไป เขาย่อมพาขุมทรัพย์คือบุญนั้นไป ขุมทรัพย์คือบุญ ไม่สาธารณะแก่ชนเหล่าอื่น โจรลักไปไม่ได้ บุญนิธิอันใดติดตนไปได้ ปราชญ์พึงทำบุญนิธิอันนั้น บุญนิธินี้ให้สมบัติที่พึงใคร่ทั้งปวงแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:19:17

ความคิดเห็นที่ 32 ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีต ในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้น เสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต พระศากยมุนีมีพระหฤทัยดำรงมั่น ได้บรรลุธรรมอันใดเป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สำรอกกิเลส เป็นอมฤตธรรมอันประณีต ธรรมชาติอะไรๆเสมอด้วยพระธรรมนั้นย่อมไม่มี ธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต บุคคล ๘ จำพวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นควรแก่ทักษิณาทาน เป็นสาวกของพระตถาคต ทานที่บุคคลถวายแล้วในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:19:42

ความคิดเห็นที่ 33 ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่อละกามราคะ เหมือนบุรุษที่ถูกประหารด้วยหอก มุ่งถอนเสีย และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ มุ่งดับไฟ ฉะนั้น ฯ แมลงวันคือความดำริที่อิงราคะ จักตอมบุคคลผู้ไม่คุ้มครองในจักษุและโสต ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ชนพวกที่สมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบด้วยปัญญา เป็นผู้สงบระงับ อยู่เป็นสุข แมลงวัน(คือ วิตกที่เป็นบาปเป็นอกุศล)ไม่อาศัยเขา ฯ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:20:57

ความคิดเห็นที่ 34 พระสมณโคดมผู้ทรงพระคุณหาปริมาณมิได้ มีพระทัยน้อมไปในเนกขัมมะ ทรงสลัดภพทั้ง ๓ ออกได้แล้ว ย่อมไม่ทรงติดอยู่ด้วยจีวรบิณฑบาตและเสนาสนะ เปรียบเหมือนบัวไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉะนั้น พระองค์ทรงเป็นจอมนักปราชญ์ มีสติปัฏฐานเป็นพระศอ มีศรัทธาเป็นพระอรหัตถ์ มีปัญญาเป็นพระเศียร ทรงพระปรีชามาก ทรงดับเสียแล้วซึ่งกิเลสแลกองทุกข์ตลอดกาลทุกเมื่อ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:21:11

ความคิดเห็นที่ 35 บัณฑิตควรทำตนให้เป็นมิตรสหาย กับคนผู้มีศรัทธามีศีลน่ารักมีปัญญาและเป็นคนได้สดับเล่าเรียนมามากเพราะการ สมาคมกับคนดีย่อมมีแต่ความเจริญอย่างเดียว สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข ฯ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:21:59

ความคิดเห็นที่ 36 ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลทำกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ที่เรา กล่าวว่าเป็นกิจควรทำโดยส่วนเดียว อานิสงส์อย่างนี้ อันผู้นั้นพึงหวังได้ คือ ๑. แม้ตนก็ติเตียนตนเองไม่ได้ ๒. ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วย่อมสรรเสริญ ๓. กิตติศัพท์อันดีย่อมกระฉ่อนไป ๔. ไม่เป็นคนหลงทำกาละ ๕. เมื่อแตกกายตายไป ย่อม เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:22:24

ความคิดเห็นที่ 37 ทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะและปัญญาเป็นที่ ๗ ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พึงประกอบศรัทธา ศีลความเลื่อมใส และการเห็นธรรม ฯ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:23:09

ความคิดเห็นที่ 38 ผู้ใดมีสติมั่นคง เจริญเมตตาอันหาประมาณมิได้ สังโยชน์ของผู้นั้น ผู้เห็นธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส ย่อมเบาบาง หากว่าเขาไม่มีจิตคิดประทุษร้ายสัตว์แม้สักตัวเดียว เจริญเมตตาจิตอยู่ เพราะเจริญเมตตาจิตนั้น ย่อมเป็นกุศล ผู้ใดมีเมตตาจิตในสรรพสัตว์ ไม่ฆ่า (สัตว์) เอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นชนะ ผู้นั้น ย่อมไม่มีเวรกับใครๆ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:23:35

ความคิดเห็นที่ 39 ผู้ใดเจริญสติปัฏฐานอยู่ ชื่อว่าได้บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอุปนิสัยปัจจัย ไปในภายหน้า ชื่อว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามพระไตรปิฎกโดยแท้จริง จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:24:10

ความคิดเห็นที่ 40 สังสารจักรนี้ใด มี ดุม สำเร็จด้วยอวิชชาและภวตัณหา มี กำ สำเร็จด้วยอภิสัขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น มี กง สำเร็จด้วยชราและมรณะ เอา เพลา อันสำเร็จด้วยอาสวะและสมุทัยสอดเข้าแล้ว ประกอบเข้าใน ตัวรถ คือภพทั้งสาม แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆซี อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงประทับยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือศีล ด้วยพระบาททั้ง ๒ คือวิริยะ ณ ควงพระศรีมหาโพธิ์ ทรงจับขวัญคือพระพุทธญาณอันทำกรรมให้สิ้นสูญ ทรงหักแล้ว เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะทรงหักเพราะกำทั้งหลาย จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:24:33

ความคิดเห็นที่ 41 ผู้ใดมีธรรมคือสมถะและวิปัสสนา เป็นทีมายินดี ยินดีแต่ในธรรมคือ สมถะและวิปัสสนา ระลึกถึงอยู่เนืองๆซึงธรรมทั้ง๒นั้น อนุสรณ์ถึงธรรมทั้ง๒นั้นบ่อยๆ ย่อมไม่เหินห่างจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และโลกุตตธรรม ๙ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ผู้นั้น ชื่อว่า ภิกษุ ผู้ใดไม่มีความยึดมั่นในรูปนาม โดยประการทั้งปวง ถึงรูปนามนั้นจะแตกดับไปไม่มีอยู่ ก็ไม่เศร้าโศก ผู้นั้นแล เราเรียกว่า เป็นภิกษุ ผู้ใดมีกายสงบ มีวาจาสงบ มีใจสงบ มีสมาธิดี คลายอามิสเสียได้ด้วยมรรค ๔ ผู้นั้นสงบระงับแล้ว เพราะภายในไม่มีกิเลส เราเรียกว่า เป็นภิกษุ ผู้ใดตักเตือนตนด้วยตนเอง พิจารณาตนด้วยตนเอง ผู้นั้นมีสติตั้งมั่นปกครองตนด้วยตนเอง จักอยู่เป็นสุขทุกอิริยาบถ ผู้เช่นนี้แหละ เรียกว่า ภิกษุ ผู้ที่มากด้วยความปราโมทย์ คือ ปีติอย่างอ่อน เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พึงถึงนิพพานอันได้นามว่า สันติบท เป็นที่สงบระงับดังรูปนาม เป็นสุขอย่างยิ่ง ผู้นั้น ชื่อว่า ภิกษุ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:25:04

ความคิดเห็นที่ 42 พวกเธอจงเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก มีความเคารพศีล ตามรักษาศีล ในกาลทุกเมื่อ เหมือนนกต้อยตีวิดรักษาฟองไข่ เหมือนจามรีรักษาขนหางเหมือนมารดารักษาบุตรที่รัก เหมือนคนตาเอกรักหน่วยตาข้างเดียวฉะนั้นเถิด มหาสมุทรมีความดำรงอยู่เป็นธรรมดา ไม่ไหลล้นฝั่งไป แม้ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ สาวกทั้งหลายของเราก็เหมือนอย่างนั้น ไม่ล่วงข้ามสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แล้วสำหรับสาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:25:29

ความคิดเห็นที่ 43 นรชนพึงยอมสละทรัพย์เพราะเหตุแห่งองค์อวัยวะอันประเสริฐ เมื่อจะรักษาไว้ซึ่งชีวิตก็พึงยอมเสียสละองค์อวัยวะ เมื่อระลึกถึงธรรมะก็พึงยอมเสียสละทรัพย์ องค์อวัยวะและชีวิตแม้หมดทุกอย่าง ศรัทธาในพระตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดี ไม่หวั่นไหว และศีลของผู้ใดงดงาม เป็นที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจ้า ความเลื่อมใสของผู้ใดมีในพระสงฆ์ และความเห็นของผู้ใดตรง บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของเขาไม่เปล่าประโยชน์ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:25:54

ความคิดเห็นที่ 44 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 05:26:25

ความคิดเห็นที่ 45 สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ พึ่งไปเข้าป่ามาเช่นกันเลยค่ะ แต่เพราะพาเด็กๆ เดินป่าเข้าค่ายฤดูร้อน ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ  :) แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 09:00:14 จากคุณ : Soul Monogatari * เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 06:06:57

ความคิดเห็นที่ 46 สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ และขออนุญาตsaveเก็บไว้นะคะ จากคุณ : คยพุทธ (คนพุทธ) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 08:12:36

ความคิดเห็นที่ 47 อนุโมทนา สาธุค่ะ ขอให้คุณชาวมหาวิหาร ได้พบธรรมที่ตั้งใจโดยเร็วนะคะ จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 09:05:46

ความคิดเห็นที่ 48 อนุโมทนาสาธุค่า จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 09:18:25

ความคิดเห็นที่ 49 จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 09:26:33

ความคิดเห็นที่ 50 ขออนุโมทนาค่ะ จากคุณ : ศรารัศมิ์ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 09:43:50

ความคิดเห็นที่ 51 เส้นทางน่าปั่นจักรยานมากเลยครับ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 09:58:47

ความคิดเห็นที่ 52 อนุโมทนาสาธุ พอเห็นภาพป่าภาพแรกเท่านั้นแหละ ความรู้สึกแบบว่า โอ... น่าไปนั่งสมาธิมากกกก บรรยากาศร่มรื่นแบบป่าโปร่ง ดูสงบและสบายจริงๆ ยิ่งได้ดูภาพป่าไป อ่าน่ข้อความอันเป็นธรรมะไป รู้สึกสงบ รู้สึกดี และมีกำลังใจจะเพียรธรรมขึ้นเยอะเลย ดีจัง ดีๆๆ อนุโมทนาสาธุ....... จากคุณ : snoopy21 เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 10:28:59

ความคิดเห็นที่ 53 เห็นแค่มือ ก็รู้ว่าท่าน จขกท. หล่อ ค่ะ   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 10:47:06

ความคิดเห็นที่ 54 ดูแล้วไม่เหมือนป่าเมืองไทยนะครับ (ป่าเราเป็นรีสอร์ทไปหมดแล้ว ฮาฮา...) จากคุณ : เช เชียงราย เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 10:56:53

ความคิดเห็นที่ 55 นำมาฝากค่ะ ในรูปเขียนว่าเป็นภาพวาดพระพุทธองค์ขณะเมื่อมีพระชนมายุ 41 พรรษา จากคุณ : mingxing เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 12:00:56

ความคิดเห็นที่ 56 ขออนุโมทนาท่านชาวมหาวิหารด้วยครับ พระพุทธเจ้าท่านประสูติในป่า บําเบ็ญเพียรและตรัสรู้ในป่า แสดงปฐมเทศนาในป่า และแม้แต่ปรินิพพานก็ในป่าเช่นกัน ป่าหรือที่สงัดไม่พลุกพล่านวุ่นวายย่อมเป็นที่ปรารถนา ของพระโยคาวจรทั้งหลายที่มุ่งหมายพระนิพพาน แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 12:15:12 จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 12:13:34

ความคิดเห็นที่ 57 อนุโมทนา สาธุ  ค่ะ จากคุณ : รู้แล้ววาง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 12:55:58

ความคิดเห็นที่ 58 ขอโทษที ไม่ได้อ่านเสียเท่าไหร่ ได้แต่มองภาพ เราก็อยากไปลองปฎิบัติธรรมแบบนี้บ้าง (เราว่าเราชอบแบบนี้) แต่เพื่อนๆ บอกว่า เกรงจะอันตราย. ขอให้สมหวังสิ่งที่มุ่งหมายค่ะเจ้าของกระทู้ จากคุณ : โอยสะลา. (โอยสะลา) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 13:06:55

ความคิดเห็นที่ 59 คุณmingxingครับ นั่นไม่ใช่ภาพพระพุทธเจ้าแน่ๆครับ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 13:12:22

ความคิดเห็นที่ 60 ถ่ายภาพสวยค่ะ น่าไปนั่งด้วยจัง อิอิ 53* กระทู้เค้าจะออกแนวสงบนิ่ง.... น้องยิ้มมาทำพี่ขำกลิ้งเลยทีเดียว น่าจะแถมอีกหน่อยว่าสูงเท่าไหร่ 555+ จากคุณ : แครอทอร่อย เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 16:58:34

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณครับ : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 17:54:35

ความคิดเห็นที่ 62 ยอดเยี่ยมทั้งภาพและเรื่องราว จากคุณ : colly เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 19:38:29

ความคิดเห็นที่ 63 สาธุ สาธุ สาธุ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 22:15:23

ความคิดเห็นที่ 64 โมทนาสาธุค่ะ  เหมือนไม่ใช่ป่าเมืองไทยเลย สวยจังค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 06:36:09

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นแรงบันดาลใจมาก ทั้งภาพและข้อธรรม  สาธุๆๆๆๆ จากคุณ : เสี่ยวรำพึง (nopadolrayong19) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 08:40:41

ความคิดเห็นที่ 66 อนุโมทนาด้วยมากมายนะคะ น่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นสัปปายะอย่างดี. เห็นภาพแล้วก็อิ่มใจ :) จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 11:42:50

ความคิดเห็นที่ 67 อนุโมทนาสาธุด้วยคนค่ะ จากคุณ : nataleeya เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 15:13:19

ความคิดเห็นที่ 68 อนุโมทนาครับ จากคุณ : อี๊ด (jira3518) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 16:22:55

ความคิดเห็นที่ 69 อนุโมทนาค่ะ ล้ำลึก ละเอียดละออ ปราณีต เกินคำบรรยายจริงๆค่ะ จากคุณ : พระจันทร์เดือนแรม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 17:06:15

ความคิดเห็นที่ 70 อนุโมทนา สาธุ สาธุ จากคุณ : apla เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 17:49:13

ความคิดเห็นที่ 71 สาธุ... อนุโมทนาด้วยครับ จากคุณ : ธุวัง มรณัง (คุณหมูน้อยตัวขาว) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 19:50:04

ความคิดเห็นที่ 72 ส า ธุ    รูปสวย ดูสงบเย็นดีนะครับ  ธรรมประกอบรูปก็ดีครับ แต่ขออนุญาตนำเสนอพระสูตรเพื่อศึกษา เมื่อจะเข้าไป เพื่อซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด [๙๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาเพื่อซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่า และราวป่าอันสงัด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่าและ ราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าว อย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้สมาธิจักซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนมี ห้วงน้ำใหญ่อยู่ มีช้างใหญ่สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง มาถึงเข้า ช้างตัวนั้นพึง คิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วพึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่น บ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมากลับไปตามต้องการ ช้างนั้นลงสู่ห้วงน้ำนั้นแล้ว พึงขัดถูหูเล่นบ้าง ขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบ ดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตาม ต้องการ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าช้างนั้นเป็นสัตว์มีร่างกายใหญ่ ย่อมได้การ ลงในน้ำลึก ครั้นกระต่ายหรือเสือปลามาถึง (ห้วงน้ำนั้น) เข้า กระต่ายหรือเสือ ปลาพึงคิดอย่างนี้ว่า เราเป็นอะไรและช้างใหญ่เป็นอะไร ไฉนหนอ เราพึงลงสู่ ห้วงน้ำนี้แล้วจึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมา แล้วกลับไปตามต้องการ กระต่ายหรือเสือปลานั้นก็ลงสู่ห้วงน้ำนั้นโดยพลัน ไม่ทัน ได้พิจารณา กระต่ายหรือเสือปลานั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักลอยขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่ากระต่ายหรือเสือปลานั้นเป็นสัตว์มีร่างกายเล็ก ย่อม ไม่ได้การลงในห้วงน้ำลึก แม้ฉันใด ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อ ไม่ได้สมาธิ จักซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวัง ข้อนี้ คือ จักจมลงหรือฟุ้งซ่าน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ          -----    -----     ฯ   ล   ฯ    ------     ------- พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ดูกรอุบาลี เธอจงอยู่ในสงฆ์ เถิด เมื่อเธออยู่ในสงฆ์ ความสำราญจักมี ฯ เอามาแต่ตอนต้นกับตอนท้ายส่วนว่าจะต้องมี ธรรมอะไรในตนก่อนที่จะ ออก ซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด เชิญตามไปดูได้ที่ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=24&item=99&items=1&preline=0 ภาพและธรรมในคห.๔๔ ถูกใจมากครับ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 21:11:11

ความคิดเห็นที่ 73 อ่านแล้วคิดถึงพระนาคเสนเลย อนุโมทนาบุญกับจขกท.ด้วยครับ จากคุณ : Let it be (batsuliz) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 21:50:42

ความคิดเห็นที่ 75 อนุโมทนาบุญครับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ จากคุณ : Ilovedriving เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 01:04:41

ความคิดเห็นที่ 76 อนุโมทนาสาธุบุญกับคุณ จขกท ด้วยนะครับ สาธุ จากคุณ : ice apisto เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 02:17:13

ความคิดเห็นที่ 77 อนุโมทนา  สาธุ  กับจขกท.นะคะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ จากคุณ : คนชอบวัด เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 10:17:36

ความคิดเห็นที่ 78 อนุโมทนา  สาธุ  กับ จขกท นะคะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ จากคุณ : ไตรโสภณ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 10:27:44

ความคิดเห็นที่ 79 ในป่าที่ผมได้เข้าไปศึกษาเส้นทางมานี้ จะมีถนนและทางย่อยต่างๆที่เข้าไปในป่าที่คล้ายๆกับเส้นเลือดในร่างกาย ********************** อนุโมทนาบุญด้วย ธรรมชาติช่างสวยงามมาก เพิ่งกลับมาจากอีสาน เห็นสีเขียวๆของต้นไม้ เลยอิน.. ******************** เห็นแค่มือ ก็รู้ว่าท่าน จขกท. หล่อ ค่ะ     จากคุณ : Smiling-girl   ******************* เห็นด้วย  อิอิ  ใจก็หล่อด้วยแหล่ะตัวเอง   จากคุณ : Pig_Rangsit เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 15:27:07

ความคิดเห็นที่ 80 สรุปว่า ควรจะเข้าป่าไปปฏิบัติธรรม ในป่า ใช่ไหมครับ จากคุณ : นิยมวัตถุ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 13:41:28

ความคิดเห็นที่ 81 สาธุ คำตรัสของพระบรมศาสดา ที่ท่าน จขกท. นำมาแสดง ไพเราะเหลือเกิน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า จากคุณ : นายแบบแอบรักเธอ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 15:55:53

ความคิดเห็นที่ 82 พระพุทธเจ้า   ไม่โกนผม เหรอ ท่าน จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:53:41

ความคิดเห็นที่ 83 อนุโมทนาค่ะ เห็นรูปแล้ว อยากชวนเพื่อนไปตั้งแคมป์ ผิดไหมเนี่ย! จากคุณ : ธารน้ำ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 01:48:15