|
พอทราบอยู่บ้างค่ะ คุณ sirnitfi
สำหรับคำพูดที่ควรพูด มีดังนี้
(พระพุทธเจ้าตรัสว่า)
ดูกรราชกุมาร ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมรู้วาจาที่
๑.ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
๒.อนึ่งตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
๓.อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น
๔.ตถาคตย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
๕.ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
๖.อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย.
นี้จาก อภัยราชกุมารสูตร จากในส่วนนี้ มีวาจาเดียวที่พระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสเลยคือวาจาที่ไม่มีประโยชน์ (waste)และวาจาที่ไม่จริง แต่หากมีประโยชน์ก็ทรงทราบว่าจะกล่าววาจานั้นในเวลาใด
อภัยราชกุมารสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=1607&Z=1725&pagebreak=0 อรรถกถาอภัยราชกุมารสูตร http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=91
ในส่วนของการพูดที่ "ไม่มีผลเสียอะไรเลย มีแ่ต่ผลดีด้านเดียว" มีองค์ประกอบต่อไปนี้ คือเว้นสัมผัปปลาปะ
จากอรรถกถา
สัมผัปปลาปนั้นมีองค์ ๒ คือ
๑. นิรตฺถกกถาปุเรกฺขารตา มุ่งกล่าวถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์มีเรื่องภารตยุทธ และเรื่องชิงนางสีดา(ในสมัยนี้ก็หมายถึง หนัง,ละคร,นิยาย,หรือเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ไร้สาระนำเนื้อความมาทำอะไรไม่ได้) เป็นต้น. ๒. ตถารูปีกถากถนํ กล่าวเรื่องเช่นนั้น.
ชื่อว่า พูดถูกกาล เพราะพูดตามกาล. อธิบายว่า พูดกำหนดเวลาให้เหมาะแก่เรื่องที่จะพูด. (ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งท่านจะกล่าวธรรม จริงอยู่ที่การกล่าวธรรมเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องพิจารณา หรือเรียกได้ว่า "ดูสถานการณ์" ว่าจะพูดเรื่องอะไรตอนไหน พระภืกษุรูปนั้นเมื่อถึงงานมงคลก็กล่าวเรื่องเปรต แต่เมื่อถึงงานศพเป็นต้่น ก็กล่าวเรื่องมงคลชีวิต ซึ่งทำให้ถูกตำหนิในที่สุดและผู้ฟังก็รับฟังโดยรู้สึกไม่ดี ผลอาจจะเป็นการ ไม่จำสิ่งที่เรากำลังพูด ไม่คิดตาม ไม่เก็บไว้ในใจ ทำให้คำพูดเสียไปเลยก็มีค่ะ)
ชื่อว่า พูดแต่คำจริง เพราะพูดคำจริง แท้ แน่นอน ตามสภาพเท่านั้น. (ไม่พูดสิ่งที่เลยความเป็นจริง พูดในสิ่งที่มันเป็นและเป็นไปได้ และไม่เป็นคำเพ้อฝัน) ชื่อว่า พูดอิงประโยชน์ เพราะพูดทำให้อิงประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้านั่นเอง. ชื่อว่า พูดอิงธรรม เพราะพูดทำให้อิงโลกุตตรธรรม ๙. ชื่อว่า พูดอิงวินัย เพราะพูดให้อิงสังวรวินัย(สิ่งที่ต้องระวัง) และปหานวินัย. โอกาสที่ตั้งไว้ เรียกว่าหลักฐาน. คำชื่อว่า มีหลักฐาน เพราะหลักฐานของคำนั้นมีอยู่. อธิบายว่า พูดคำที่ควรจะต้องเก็บไว้ในหัวใจ. บทว่า กาเลน ความว่า และแม้เมื่อพูดคำเห็นปานนี้ ก็มิได้พูดโดยกาลอันไม่ควร ด้วยคิดว่า เราจักพูดคำที่มีหลักฐาน ดังนี้. อธิบายว่าแต่พูดพิจารณาถึงกาลอันควรเท่านั้น. บทว่า สาปเทสํ ความว่า มีอุปมา มีอุปมา มีเหตุ บทว่า ปริยนฺตวตึ ความว่า แสดงกำหนดไว้แล้ว พูดโดยประการที่กำหนดแห่งคำนั้นจะปรากฏ. บทว่า อตฺถสญฺหิตํ ความว่า พูดคำที่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะผู้พูดจำแนกไปโดยนัยแม้มิใช่น้อย ก็ไม่อาจให้สิ้นสุดลงได้. อีกอย่างหนึ่ง พูดคำที่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะประกอบด้วยประโยชน์ที่ผู้พูดถึงประโยชน์นั้นกล่าวถึง มีอธิบายว่า มิใช่ตั้งเรื่องไว้เรื่องหนึ่ง แล้วไปพูดอีกเรื่องหนึ่ง.
นี้เป็นส่วนจาก อรรถกถาทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=9&A=0 อรรถกถา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=09.0&i=1
และการไม่ล่วงละเมิดทางวาจา ทรงมีคำอธิบายว่า คำพูดใด ที่พูดแล้วทำให้ผู้อื่นเสียสมาธิ คำพูดเช่นนั้น ไม่ควรพูดค่ะ [๘๖๑] สาขัลยะ เป็นไฉน?
วาจาใด เป็นปม เป็นกาก เผ็ดร้อนต่อผู้อื่น เกี่ยวผู้อื่นไว้ ยั่วให้โกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ ละวาจาเช่นนั้นเสีย, วาจาใด ไร้โทษ สบายหู ไพเราะ จับใจ เป็นวาจาของชาวเมืองเป็นที่ยินดีเจริญใจของชนหมู่มาก กล่าววาจาเช่นนั้น, ความเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน ความเป็นผู้มีวาจาสละสลวย ความเป็นผู้มีวาจาไม่หยาบคาย ในลักษณะดังกล่าวนั้น อันใด นี้เรียกว่า สาขัลยะ.
สุตตันติกทุกะ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=34&A=7290&Z=7582
จากคุณ |
:
Serene_Angelic
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ส.ค. 54 17:18:12
|
|
|
|
|