|
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า " ตีณิ โมเนยฺยานิ, กตมานิ ตีณิ กายโมเนยฺยํ วจีโมเนยฺยํ มโนโมเนยฺยํ " ดังนี้ แปลความว่า โมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ ๓ อย่างคือ
กายโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางกาย ๑,
วจีโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางวาจา ๑, มโนโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางใจ ๑.
บุคคลทั้งหลาย ย่อมทำกิจการงานทางกายอยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าไม่มีสติที่ระลึก ไม่มีปัญญาที่พิจารณาดูการงานที่ทำทางกาย การงานที่เป็นไปในทางกาย จึงเป็นไปในทางชั่ว ซึ่งเรียกว่า กายทุจริตบ้าง
เป็นไปในทางดี ซึ่งเรียกว่า กายสุจริตบ้าง แต่มักเป็นไปในทางกายทุจริต
เพราะไม่มีสติระลึก ไม่มีปัญญาพิจารณา ต่อเมื่อมีสติระลึกได้ มีปัญญาพิจารณาดูการงานทั้งหลาย ที่ทำทางกาย
ให้รู้จักว่าความประพฤติทางกายเช่นนี้ เป็นกายทุจริต รู้จักว่า ความ ประพฤติทางกายเช่นนี้ เป็นกายสุจริต และรู้จักเลือกทำกิจการงานทางกาย
ให้หลีกเลี่ยงพ้นกายทุจริตให้ดำเนินไปโดยทางกายสุจริต นี้ได้ชื่อว่า กายโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางกาย.
อีกอย่างหนึ่ง คนทั้งหลายย่อมพูดด้วยถ้อยคำด้วยวาจาด้วยกัน แต่ว่าบาง คนพูดถ้อยคำที่ชั่ว ซึ่งเป็นวจีทุจริต บางคนพูดถ้อยคำที่ดี ซึ่งเป็นวจีสุจริต แต่มักพูดวาจา ที่เป็นวจีทุจริตเป็นพื้นเพราะไม่มีสติระลึก และปัญญาพิจารณา ต่อเมื่อมีสติระลึกได้ มีปัญญาพิจารณาดูคำที่พูด
ให้รู้จักว่าพูดคำพูดเช่นนี้ เป็นวจีทุจริต พูดคำพูดเช่นนี้เป็นวจีสุจริต และ รู้จักเลือกพูดถ้อยคำที่พ้นจากวจีทุจริต พูดแต่วจีสุจริตอยู่เสมอ
นี้เป็น วจีโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางวาจา.
อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมคิดเรื่องราวทั้งหลายด้วยมนะอยู่ด้วยกัน
แต่เรื่องที่คิดย่อมเป็นไปต่าง ๆ กัน บางคนย่อมคิดเรื่องที่ชั่วที่เป็นมโน ทุจริต บางคนคิดเรื่องที่ดีที่เป็นมโนสุจริต เรื่องที่ระลึกเป็นอารมณ์ การนึก คิดเป็นมโน แต่มักนึกคิดเป็นไปในทางชั่ว เป็นมโนทุจริต เพราะไม่มีสติ ระลึกได้ ไม่มีปัญญาพิจารณา ต่อเมื่อมีสติระลึกได้ มีปัญญาพิจารณา
หรือมีสติสัมปชัญญะเมื่อนึกคิดอารมณ์ หรือเรื่องอันใดก็มีสติระลึกได้
มีปัญญาพิจารณารู้ว่า อารมณ์หรือเรื่องที่คิดเช่นนี้ เป็นมโนทุจริตหรือ เป็นอกุศลวิตก อารมณ์หรือเรื่องที่คิดเช่นนี้ เป็นมโนสุจริตหรือเป็นกุศลวิตก และรู้จักเลือกนึก หรือตรึกหลีกเลี่ยงจากมโนทุจริตหรืออกุศลวิตก
ตรึกนึกอยู่แต่ในเรื่องที่เป็นมโนสุจริตหรือเป็นกุศลวิตก นี้เป็น มโนโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้ทางมนะ คือ ทางใจที่นึกคิด
เมื่อบุคคลรู้ความเป็นผู้รู้ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ดังนี้แล้ว เลือก ประกอบประพฤติในทางที่ดี จึงได้ชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ ๆ นั้น
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยโมเนยยะ คือความเป็นผู้รู้ หรือความรู้ทั้ง ๓ ประการ
ดังพรรณนามาแล้วนั้น และไม่มีอาสวะ ท่านจึงได้ชื่อว่าไม่มีบาป
คือ ความชั่วอันละเสียแล้ว ไม่มีพอกพูนทับถมอยู่ด้วยประการฉะนี้
นี้แสดงถึงมุนีอย่างสูงสุด แต่ท่านผู้รู้ที่ยังมีอาสวะ เมื่อรู้มากเพียงใดก็กำจัด หรือล้างความชั่ว หรือบาปเสียได้มากเพียงนั้น จนกว่าจะเป็นผู้รู้สูงสุด ก็จะกำจัดหรือล้างความชั่วเสียได้ ด้วยประการทั้งปวง. พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงแสดงโมเนยยะ ความเป็นผู้รู้
โดยทวารทั้ง ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ด้วยประการฉะนี้.
( วชิร. ๑๕๘-๑๖๐ ).
จากคุณ |
:
โชติช่วงชัชวาล
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ส.ค. 54 15:21:40
|
|
|
|
|