ความคิดเห็นที่ 1 อยากรู้เหมือนกันครับ ว่าธนาคารที่ใช้หลักการนี้อยู่ได้อย่างไร จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 20:06:31

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ได้ทำงานที่ธนาคารนี้แต่ตอบได้ จริงๆมันก็เหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกัน  แต่โดยหลักศาสนาไม่อนุญาตให้ให้ดอกเบี้ย  จึงทำการเลี่ยงโดยใช้คำว่าผลตอบแทน  เป็นลักษณะคล้ายๆกับว่าผู้ฝากนำเงินมาร่วมลงทุนกับธนาคาร  เมื่อธนาคารได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้วก็นำมาปันคืน  จึงใช้คำว่าผลตอบแทนถือเป็นคำที่เหมาะสม จากคุณ : พันศิริ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 20:35:53

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วกรณีเงินกู้ มีการคิดดอกเบี้ยไหมครับ ถ้าคิด ไม่ทราบเขาใช้คำพูดว่าอย่างไร จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 21:00:18

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับเงินกู้  คงจะเป็นค่าธรรมเนียมนะค่ะ เพราะธนาคารดำเนินการก็ต้องมีค่าใช้จ่าย  ทั้งค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 21:46:35

ความคิดเห็นที่ 5 โดยส่วนตัวมองว่า คำตอบง่ายๆของ ผลตอบแทนที่จะเรียกว่า ดอกเบี้ยนั้น อยู่ที่ พนักงานธนาคาร เป็นคนชี้แจง ว่ามาจากไหน อย่างไรนะคะ ไม่ใช่ เราหรือคนนอกธนาคาร ตีความไปเองว่า นั่นมันเลี่ยงจากดอกเบี้ย มันอาจดูไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ค่ะ ฉะนั้นสรุปว่า หลักที่จะรู้ คำนิยามข้างต้น คือ สอบถามพนักงานเพื่อให้เค้า ชี้แจง ที่มาที่ไป อย่างละเอียด เราถึงตัดสินใจได้ว่า นั่นเป็นดอกเบี้ย หรือไม่ อย่างไร (เพราะบางทีเราจะไม่รู้ละเอียดว่า ระบบของเค้าเป็นอย่างไรบ้าง เงินได้จากไหนบ้าง ) จขกท. ก็ลองขอเอกสารระเบียบ ประเภทเงินฝากต่างๆของ ธนาคารมาอ่าน แล้วทำความเข้าใจดูก่อน ลองพิจารณาดูค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 22:03:52

ความคิดเห็นที่ 6 เคยอ่านเจอนะ ก็ประมาณว่าดอกเบี้ยนั่นแหละ แต่ใช้คำอื่น เช่น ธนาคารทั่วไป ยืมเงิน 100 ดอกเบี้ย  5 ต้องคืน 105 เค้าก็จะเลี่ยงไปว่า ยืม 105 น่ะ แต่ให้เงิน 100 นึง จากคุณ : เขียนบน iPhone (ฮิมาวาริซซัง) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 00:22:57

ความคิดเห็นที่ 7 จะบอกยังไงดี ผมจะเปรียบเทียบให้นะ มันเหมือนกับการค้าขายแหละครับ ค้าขายก็ต้องมีกำไร อย่างเช่น ถ้าคุณต้องการซื้อของอย่างนึงราคา 10 บาทแต่คุนไม่มีเงินพอ คุณมาขอร้องให้ผมช่วยซื้อให้ ผมก็จะตกลงกับคุณว่า ถ้าผมซื้อมาให้คุณ ผมจะขายต่อคุณ 12 บาทนะ คุณจะยอมรับเงื่อนไขนี้ได้หรือไม่ ถ้าคุณตกลง ก็เซ็นสัญญา ถ้าไม่ตกลงคุณก็ไปหาเจ้าอื่น ทีนี้ถ้าเกิดคุณตกลงเพราะอยากได้ของนั้น แต่คุณไม่มีเงิน 12 บาทเลยทีเดียว คุณขอแบ่งจ่ายเป็นงวด ผมก็จะกำหนดให้นะว่า เอางี้คุณทยอยจ่าย 6 ครั้งๆละ 2 บาทก็แล้วกันนะ จนครบ 12 บาทตามที่ตกลงกันไว้(มันต่างกันตรงนี้แหละมั้ง) แบบนี้เรียกว่าผมค้าขาย หรือว่าผมคิดดอกเบี๊ย ครับ จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 05:00:31

ความคิดเห็นที่ 8 คำตอบน่าจะ 2 กับ 7 รวมกัน จากคุณ : TheMATABA เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 08:56:05

ความคิดเห็นที่ 9 ศาสนาเดียวกันไม่คิด (และของ่ายมาก) คิดแต่ต่างศาสนา ซึ่งก็ถูกกว่าธนาคารต่างชาติอื่นๆ ทั้งหมดนี้มีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย.......ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีกำไรอยู่ได้ จากเริ่มเดิมทีผู้ถือหุ้นอิสลามครึ่ง ทางรัฐบาลครึ่ง แต่มีการเพิ่มทุนของรัฐทุกปี จนตอนนี้แทบจะกลายเป็นรัฐบาลแบกภาระนี้แทนไปแล้ว จากคุณ : maw_meawmeaw เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 10:56:00

ความคิดเห็นที่ 10 คห.9 มีหลักฐานประกอบไหมครับ ลอยจัง? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 16:41:30

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่รู้จะว่า 555+ มีให้หาอ่านกันก็ไม่อ่าน เอ้า เอามาให้ดู นี่ของปี 52 สัดส่วนผู้ถือหุ้น 1.กระทรวงการคลัง                                                            48.540 % 2.ธนาคารออมสิน                                                              39.813 % 3.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)                                         9.830 % 4.กองทุนเปิดไทยทวีทุน                                                       0.335 % 5.กองทุนรวมเพื่อร่วมลงมุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม   0.240 % 6.ธนาคาร ซีไปเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)                               0.192 % 7.Bank Islam Brunei Darussalam Berhad                             0.167 % 8.Perbadanan Tabung Amanah Islam Brunei                       0.167 % 9.บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)                                 0.160 % 10.ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)                               0.128 % 11. อื่นๆ (เอกชน นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา)                         0.427 % กำไรสุทธิ ปี 52       355,206,900 ล้านบาท จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 17:11:05

ความคิดเห็นที่ 12 จับประเด็นให้ดี อันนี้คงไม่มีให้อ่าน กระมัง? "ศาสนาเดียวกันไม่คิด (และของ่ายมาก) คิดแต่ต่างศาสนา " จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 11:56:17

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ  laliklalee ขออภัยถ้าทำให้เข้าใจผิด ผมลืมอ้างถึง คห.9 จริงๆที่เอามาให้ดู จะให้ คห.9 เห็นว่า สัดส่วนผู้ถือหุ้น มีใครบ้าง เท่านั้นครับ จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 14:19:29

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องถามว่าคุณมองดอกเบี้ยในมุมมองไหน ถ้าคุณมองว่าอะไรที่มากกว่าเงินต้นทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็ตาม นั้นคือดอกเบี้ย สิ่งนั้นก็ย่อมถูกในความคิดของคุณ แต่ในรูปแบบของธนาคารอิสลามนั้น ใช้หลักการค้า-ขาย ดังนั้นในรูปแบบของการปล่อยสินเชื่อจะเป็น (แบบเงินต้น + กำไรที่แน่นอน) หารด้วยจำนวนเดือน = จำนวนที่ต้องผ่อนต่อเดือนที่แน่นอน โดยจะไม่มีการปรับขึ้นลงเหมือนดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับว่าสัญญา ณ.ตอนที่ทำกำหนดอัตราอย่างไร และต้องมีระยะเวลาผ่อนที่แน่นอน ส่วนเงินฝากใช้ระบบการร่วมลงทุน โดยตอนฝากจะมีสัดส่วนระหว่างลูกค้า กับ ธนาคาร เช่น 40:60 โดยธนาคารจะคำนวณจากกำไรที่ได้มาสรุปเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมา ภายใน 30 วันก่อนจะครบกำหนดเงินฝาก สรุป ธนาคารทั่วไป ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่แน่นอน สามารถปรับเปลี่ยนตามที่ธนาคาร/ตลาดเป็นไป ดอกเบี้ยเงินฝากต้องจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ต้องฝาก ธนาคารอิสลาม ผลกำไรจากเงินกู้ต้องเป็นไปตามสัญญา มีความแน่นอน ผลตอบแทนจากเงินฝากนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลกำไรของธนาคารแล้วแบ่งตามสัดส่วนที่ตกลงไว้ แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 54 15:14:02 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 54 15:11:36 จากคุณ : thanachard เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 15:07:50

ความคิดเห็นที่ 15 สามารถดูคลิปวีดีโอเพิ่มเติมได้ที่ หลักการปลอดดอกเบี้ยคืออะไร http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=13&Types=2&ID=265 หลักการซื้อขายตามหลักศาสนาอิสลาม http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=6&Types=2&ID=317 ดอกเบี้ยกับกำไรแตกต่างกันอย่างไร http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=6&Types=2&ID=318 หลักการร่วมทุน http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=6&Types=2&ID=319 สัดส่วนและวิธีการแบ่งกำไร http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=6&Types=2&ID=320 การคิดเบี้ยปรับของธนาคารอิสลาม http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=5&Types=2&ID=326 แล้วที่ผ่านมา ธนาคารอิสลามได้มีการยกหนี้ให้ลูกค้ามาแล้ว ดูจากข่าวได้ที่ http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=5&Types=1&ID=246 ผมเป็นแค่ลูกค้าของธนาคารคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งฝากตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ก่อตั้งธนาคารนี้ครับ ตอนแรกๆ ที่ฝากก็งงๆ อยู่เหมือนกันว่ารูปแบบธนาคารนี้เป็นอย่างไร พอฝากไว้ก็เริ่มเข้าใจก็เริ่มเข้าใจในหลักการมากขึ้น และเข้าใจว่าที่ตอนหลังๆ เงินฝากเริ่มมีการโมษณากำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาเลย ก็เพื่อให้คนทั่วไปเห็นภาพและมาฝาก ทั้งที่จริงๆ ก็หลักการเดิม เพียงแต่กำหนดสัดส่วน คำนวณออกมาเป็นผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งอาจจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลกำไรของธนาคาร ในเอกสารของธนาคารเขาจะมี * กำกับไว้เสมอว่าเป็นผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ (ไม่แน่นอน) ช่วงแรกๆ ธนาคารแห่งนี้ ขาดทุนสะสมตลอดจริงๆ ครับ ผมว่าตอนแรกๆ ผลิตภัณฑ์ไม่ตอบตลาด ไม่ชัดเจน ยิ่งซื้อกิจการธนาคารกรุงไทย ชาริอะฮ์ ที่มีขนาดใหญ่กว่า และทำกำไรได้ ก็ยิ่งขาดทุนสะสมหนัก จนตอน 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้ผู้บริหาร ที่เคยบริหารกรุงไทย ชาริอะฮ์มาบริหารในธนาคารแทน แต่เนื่องจากธนาคารมีเงินไม่เพียงพอที่จะทำธุรกิจ เลยมีการทำแผนฟื้นฟูกิจการ แล้วขอทางกระทรวงการคลังเพิ่มทุนจริงๆ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยสิ่นเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อรายย่อยที่ตอบสนองตลาด ที่ดังๆ ก็ สิ่นเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครคิต ทำไห้ปี 2551 ธนาคารพลิกกลับมาทำกำไรได้ แล้วหลังจากนั้นธนาคารก็ทำกำไรได้ตลอดและมากขึ้นทุกปี แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 54 16:06:14 จากคุณ : thanachard เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 16:00:59

ความคิดเห็นที่ 16 จุดคิด..แว๊บมานิดหนึ่ง คือ ระหว่างการคิดดอกเบี้ยซึ่งจะขึ้นลงตามสภาวะตลาด เงินฝืด - เงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ลูกค้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารแบบนี้ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ทำให้เกิดดอกเบี้ยผันผวน ขึ้นลงด้วย และลูกค้าเสมือนต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย ในขณะที่การคิดแบบคิดผลกำไรในการกำหนดตายตัว ซึ่งสภาวะตลาดจะขึ้นหรือลง ลูกค้าไม่มีผลรับผิดชอบ ในสภาวะเงินฝืด ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมทุน แต่ก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย เพื่อไม่ให้สัดส่วนดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ต่างกันมาก ประเด็นก็คือ ในช่วงดอกเบี้ยเพิ่ม ผู้กู้เสียเปรียบเนื่องจากต้องผ่อนชำระที่มากขึ้น และในช่วงดอกเบี้ยลดลง ผู้กู้เสียดอกเบี้ยน้อยลง ซึ่งตรงนี้ผลดีจะเกิดแก่ผู้กู้ที่ต้องผ่อนชำระน้อยลง ซึ่งตลอดระยะเวลาของการทำธุรกรรมกับธนาคารอาจจะเจอแบบช่วงเงินฝืดทั้งหมด หรือเงินเฟ้อทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งเสมือนว่าลูกค้ามีส่วนได้กำไรหรือขาดทุนจริง ราวกับได้ลงทุนทำธุรกิจด้วย แต่ผู้ใช้บริการในระบบธนาคารอิสลามกลับไม่ได้รับโอกาสได้กำไรหรือขาดทุนตามนั้น แล้วแบบไหนดีกว่ากันและยุติธรรมกว่ากัน แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 09:26:07 จากคุณ : TheMATABA เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 09:20:54

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่าแล้วแต่จะคิดนะครับ มันเหมือนเป็นทางเลือกให้มากกว่า แบบไหนจะดีกว่า ผมว่ามันแล้วแต่คนนั้นจะมองอย่างไร เพราะแบบเงินกู้ที่คิดอัตรากำไรตายตัว ข้อดีคือมันแน่นอน ข้อเสียก็คือ ถ้าดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดลดลง ก็ไม่ได้ลดตาม แนวคิดของธนาคารอิสลามนั้นมีหลายแบบ แต่ที่แน่ๆ คือ ผู้ที่นำเงินมาฝากแบบประจำ เสมือนเป็นผู้ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งต้องรับกับภาวะการได้กำไรหรือขาดทุนตามผลการดำเนินงานของธนาคาร แต่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ผู้ฝากเงินแบบประจำ ต้องได้ในอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน โดยไม่สนว่า ธนาคารจะได้กำไรหรือขาดทุน แต่ฉันต้องได้เงินจุดนี้มาพร้อมกับดอกเบี้ยที่กำหนดไว้แน่นอน เช่น เงินฝาก 12 เดือน ฝาก 50,000 บาท ดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี ภาษี 15% จุดนี้เมื่อครบกำหนด ลูกค้าต้องได้เงินคืนคือ 50,000 + ดอกเบี้ย 1750 บาท - ภาษี 262.5 แน่นอนว่า ปกติคนที่กู้นั้นก็มีภาระหนักในการผ่อนหนี้อยู่แล้ว ในยุคตอนนี้ ข้าวของแพงขึ้น แล้วดอกเบี้ยในตลาดก็เพิ่มขึ้น ถ้าผู้กู้ต้องรับภาระจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไปอีก มันก็จะทำให้เขาเดือดร้อนขึ้นไปอีก จากคุณ : thanachard เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 08:52:07

ความคิดเห็นที่ 18 รูปแบบการทางเงินของธนาคารอิสลามมีหลายรูปแบบ ในระบบสินเชื่อ รูปแบบอัตรากำไรตายตัวตามสัญญาเป็นที่รู้จักกันมาก แต่ก็มีอีกรูปแบบนึง คือ การคำนวณเงินผ่อนชำระด้วยอัตราแปรผันภายใต้หลักมุรอบาฮะฮ์ Rebating Rate Murabahah (RRM) หรือสินเชื่ออัตรากำไรแบบคงที่พิเศษ เป็นการคำนวณเงินตามการแปรผันของท้องตลาด ซึ่งเท่าที่ทราบเป็นระบบชาริอะฮ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากมาเลเชีย โดยจะกำหนดราคาต้นทุน + กำไรที่สูง = เงินที่ต้องจ่ายสูงสุด แต่จะมีส่วนลดตามการแปรผันของท้องตลาด ในค่างวดนั้นๆ โดยทั้งนี้จะไม่เกินกำไรสูงสุดที่ธนาคารตกลงในสัญญา เช่น (ราคาบ้านหลังนึง + ธนาคารคิดอัตรากำไรสูงสุด 18% ต่อปี) / จำนวนเดือนที่ต้องจ่าย = จำนวนงวดที่ต้องจ่ายสูงสุด แล้ว ถ้าปัจจุบัน อัตรากำไรปกติอยู่ที่ 8% งวดนั้นจะได้ส่วนลดเทียบเท่ากับกับเงินต้นที่ต้องจ่ายงวดนั้น + อัตรากำไร 8% ต่อปี ดอกเบี้ยกับกำไรแตกต่างกันอย่างไร http://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=6&Types=2&ID=318 ตัวเลขข้างบนเป็นการสมมุตินะครับ อัตราจริงๆ ต้องถามกับทางธนาคารจริงๆ เห็นว่าปัจจุบัน ธนาคารเริ่มใช้กับสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 09:45:11 จากคุณ : thanachard เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 09:26:43

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ thanachard@17 ธนาคารอิสลามก็มีประเภทบัญชีเงินฝากประจำ แล้วให้ผลตอบแทนอย่างที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปทำเหมือนกัน มันจะต่างกันบ้างก็แค่เปอร์เซ็นต์การตอบแทน มากน้อย ซึ่ง ก็เหมือนกับเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยมากน้อยเช่นกัน รู้สึกว่า... จะให้เปอร์เซ็นต์ตอบแทนแบบขั้นบันได เปอร์เซ็นต์ตอบแทนสูงสุดเมื่อฝากครบ 1 ปี (ถ้าหากจำไม่ผิด) ที่ผมคอมเม้นท์ ให้เปรียบเทียบระหว่างอัตราที่ตายตัว กับอัตราที่เปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาด เพื่อที่จะให้คิดในแง่ของ ความยุติธรรมมากกว่ากัน ผมจะขยายความหน่อยหนึ่ง เช่น คุณกู้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป 100000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี ธนาคารคิดดอกเบี้ย ณ เวลานั้น 10% คุณต้องผ่อนชำระเดือนละ  2500 บาท ต่อมาเมื่อครบชำระ 1 ปี ดอกเบี้ยในตลาดลงลง ธนาคารปรับดอกเบี้ยลดเหลือ 9% ธนาคารคิดอัตราการผ่อนชำระใหม่ คุณจะผ่อนชำระในอัตราเดือนละ 2153 บาท ในขณะที่ธนาคารอิสลาม ถ้าคุณกู้ ณ วันนั้น ธนาคารคิดผลกำไร 10% ไม่ว่าดอกเบี้ยตลาดจะลดยังไง คุณก็ต้องผ่อนชำระเท่าเดิม คือ 2500 บาทเท่ากันตลอดทั้ง 5 ปี ความต่างที่เห็นชัดคือตรงนี้แหละครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเผื่อสภาวะตลาดที่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ผลดีจะตกกับผู้ใช้ธนาคารอิสลาม นั่นก็เพราะว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ต้องผ่อนชำระที่มากขึ้น แต่ธนาคารอิสลาม ยังคงที่ จากคุณ : TheMATABA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 09:11:26