Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าถึงความมหัศจรรย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ และประสบการณ์ปฏิบัติธรรมแบบเด็กหลังห้อง ติดต่อทีมงาน

กระทู้นี้เป็นภาคต่อจากกระทู้เรื่องผีๆ

สืบเนื่องจากเรื่องของผี ที่ได้จุดประกายความสนใจในการปฏิบัติธรรมของคนบางคน  จนมีเพื่อนๆ ขอให้ตั้งกระทู้ใหม่ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เพราะเขาอยากจะถามสิ่งที่สงสัย  ออกแนวผู้หญิงผู้หญิง.. ซึ่งผู้ชายอาจจะมองว่าไร้สาระก็ได้.. แต่ที่จริงการปฏิบัติธรรมคุณจิตซังฯ เคยบอกว่าไม่มีเพศ

แต่เนื่องจากเราก็มีอัตภาพเป็นผู้หญิง ก็เข้าใจว่า ความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ปฏิบัติกระแสหลักบอกให้ "อย่าไปสนใจ" มันสำคัญสำหรับจิตใจหญิงๆ ของเรา  ในยุคที่คนมีปัญญากันมาก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางทีก็ "ละ" ไม่ได้ง่ายๆ และผู้ชายบางคนก็สงสัยได้เช่นกัน

ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ  หากละได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ (ไม่ใช่เพราะเขาบอกให้ละเสีย) บางทีก็มีความหมายต่อความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งเราเองก็ได้ประสบมากับตัวเอง เราจึงให้ค่ากับสิ่งเหล่านี้ ไม่มองว่าไร้ค่า

ดังนั้นคำถามที่ไม่กล้าจะถามใคร ก็ลองขยับมาใกล้ๆ แล้วกระซิบถามเราได้..เราจะกระซิบตอบไม่ให้ใครได้ยิน


เราโชคดีที่เจอครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้รู้ยิ่ง ท่านเป็นจอมปราชญ์ในความรู้สึกของเรา และท่านไม่เคยดูถูกความลังเลสงสัยของผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ถ้าท่านมีเวลาท่านจะตอบทุกคำถามจริงๆ แม้ว่าเป็นคำถามที่ฟังดูงี่เง่าแค่ไหน..แต่ท่านก็ตอบอย่างใจดี  ผู้ถามนั้นเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็วางความสงสัยลงแล้วก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ.. เราเรียนรู้มาแบบนี้นะ  


ในขณะที่ตัวเราเอง ก็ตั้งใจว่าอยากจะเขียนเรื่องพระๆ บ้าง ได้เคยอ่านเรื่องราวของพ่อแม่ครูอาจารย์มามากมาย ที่คนเขาเขียนเล่าไว้ พระเขียนบ้างฆราวาสบ้าง เราชอบอ่านมาก  ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แต่อ่านไปอ่านมา มันจะหมดเว็บแล้วล่ะ คือไม่ค่อยมีเรื่องใหม่ๆ ให้อ่านซะแล้ว.. อ่านจนหมดแล้วไง


เลยนึกอยากจะเล่าเรื่องสนุกๆ หรือเรื่องดีๆ เกี่ยวกับครูบาอาจารย์ที่เราเคยได้เจอ  แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็ปลื้มของเราแหละ  ในทางกลับกัน ก็กะว่าเมื่อเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองไปแล้ว ก็จะต้องมีเพื่อนๆ มาเล่าเรื่องของตัวเอง  เราก็จะได้อ่านเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน 555 (มีแผนนะเนี่ย..)  

ทำไงได้.. เราเป็นคนชอบอ่าน  โดยเฉพาะเรื่องเล่านี้เป็นเมนูโปรด
เราต้องบริโภควันละเป็นชั่วโมงๆ ค่ะ  

ไม่ต้องสนใจหรอกว่าจริงหรือไม่  เพราะเรานิยามหัวข้อไว้ว่าเป็น "เรื่องเล่า"  ก็เล่ามาเถอะ  ใครจะว่าอุปปาทานอะไรก็ไม่ต้องไปสน  เพราะทุกอย่างมันก็อุปปาทานทั้งนั้น แม้แต่เรื่องจริงก็อุปปาทานล้วนๆ  บริหารจัดการอุปปาทานด้วยปัญญาให้ดีๆ ก็แล้วกัน

กฏ กติกา มารยาท ในการเล่าเรื่อง  ก็ง่ายมาก ให้เล่าเฉพาะเรื่องของตัวเองที่ได้ประสบพบเจอมา  ถ้าเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่า ต้องขออนุญาตเขาก่อน หรือได้ยินได้ฟังมา ก็ควรจะบอกแหล่งอ้างอิงไว้ด้วย  แต่เอาเรื่องของเราเองดีกว่า   เรื่องที่เล่าก็ควรจะเป็นเรื่องที่พอเปิดเผยได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  ไม่ปรามาส ประมาทในธรรม ในครูบาอาจารย์  

จะเป็นเรื่องที่เกิดจากศรัทธาปสาทะ หรือความมหัศจรรย์ที่ตัวเองได้เจอยิ่งดี หมายถึงมหัศจรรย์สำหรับตัวเองนะ  ระวังอย่าให้เป็นพิษภัยไปถึงครูอาจารย์

ข้อควรระวังสำหรับผู้อ่าน  ขอให้เข้าใจว่าอ่านเรื่องเล่า ไม่ใช่เรื่องจริง..  ระวังจิตระวังใจของตัวเองให้ดี อย่าให้ก่อกรรมขึ้นมาได้  ทำใจสบายๆ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เหมือนเราดูหนัง ถ้าเรามัวแต่คิดถึงหลักความจริง เราก็ดูหนังไม่สนุก  ดูหนังก็รู้ว่ามันเป็นหนัง เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา  เราก็ดูสนุกๆ เก็บเกี่ยวเฉพาะสาระความรู้หรือแก่นสารที่เป็นประโยชน์กลับไปเท่านั้นพอ  



นั่งคิดว่าจะตั้งกระทู้อะไรก่อนดี  แต่ตัดสินใจไม่ได้ เลยเอาทั้งสองไอเดียไว้ในกระทู้เดียวกันเลย ดีมั้ยล่ะ..

สรุปว่า กระทู้นี้ จะมีสองส่วน  ส่วนที่หนึ่งเล่าเรื่องพระ  ส่วนที่สองเล่าเรื่องประสบการณ์การปฏิบัติธรรม หรือตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติ ลองถามมาเถอะ.. คิดว่าตัวเองพอจะมีคำตอบให้ได้ทุกคำถาม  อันไหนที่ตอบไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่มั่ว คือจะบอกเลยว่าไม่รู้ และถ้ามีโอกาสก็จะสอบถามครูบาอาจารย์ที่เชื่อถือได้มาให้


ส่วนตัวก็อยากจะทดสอบตัวรู้ของตัวเองเหมือนกัน ว่าจะตอบได้ทุกคำถามตามหลักการจริงหรือไม่..  อันนี้ก็ต้องลองเรียนรู้ไปด้วยกัน  คือพิสูจน์ด้วยกันทั้งคนถามคนตอบ   และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องเชื่อ ก็เหมือนเราตั้งวงเมาท์กัน แต่เราเมาท์เรื่องดีๆ อันไหนฟังดูดีก็ลองเอาไปใช้ประโยชน์ อันไหนมันดูว่าแปลกเกินไป ก็ละทิ้งไว้เสียที่นี่ อย่าเก็บไปเป็นขยะในจิตใจ


ตั้งแต่เรามาเขียนกระทู้ตอบคำถามต่างๆ ในพันทิปหลายเดือนมาแล้วนี้ เราก็ได้รับคำรับรองจากครูบาอาจารย์ว่าให้มาเขียนได้ ดังนั้นส่วนตัวเราเองไม่มีข้อสงสัยในภูมิของตัวเอง ในข้อที่พอจะตอบคำถามได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เป็นการสร้างกรรมให้กับตัวเอง


นับตั้งแต่วันแรกที่เราเปลี่ยนบทจากผู้ถามมาเป็นผู้ตอบ นั่นเพราะเราเรียนรู้มาพอจะตอบได้แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มเรียนรู้แล้วจะมาตอบคำถาม   ในระหว่างที่เราเริ่มเรียนรู้ หรือกำลังเรียนรู้ เราไม่เคยมาเขียนตอบคำถามอะไรเลย เป็นเวลาหลายเดือน จนเมื่อเราเรียนจบหลักสูตรของครูบาอาจารย์ เราจึงได้มาเริ่มตอบคำถาม

อย่างไรก็ดี การเรียนรู้ของเรา มันก็เป็นเรื่องเฉพาะตน ที่บอกว่าจบหลักสูตรของอาจารย์เรา ก็เป็นเรื่องส่วนตน ไม่สามารถจะเอามาเป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นอะไรได้เลย เรียกว่าไม่มีเครดิตความน่าเชื่อถืออะไรทั้งนั้น..

จึงต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไม่จำเป็นต้องเชื่อ และขอจงอย่าเชื่อง่าย ฟังหูไว้หู ไว้สองหูเลยได้ยิ่งดี


คนที่มีปัญญาอ่านแล้วก็ย่อมเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นเนื้อ อะไรเป็นน้ำ


ถ้าอยากได้ของที่ยึดมั่นกันได้ว่าจริง หรือตรง ไม่มีที่ผิด เพี้ยน ก็ต้องไปที่กระทู้อื่น  กระทู้นี้มีเฉพาะเรื่องเล่า เล่ากันไปเล่ากันมาเท่านั้นนะคะ

 
 

จากคุณ : chaosy
เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 10:20:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com