ความคิดเห็นที่ 1 ปูเสื่อรอ... จากคุณ : นัยนะ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 20:56:40

ความคิดเห็นที่ 2 ควรดูในพระไตรปิฎกควบคู่ไปด้วยนะครับ จากคุณ : luketann (luketann_May) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 20:57:31

ความคิดเห็นที่ 3 พระพุทธจ้าสอน ทางสายกลาง ปฏิจสมุปบาท  เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี การมีทิฎฐิ ไปอยู่ส่วนสุดด้านใดด้านหนึ่ง คือ ลงความเห็นว่ามี กับลงความเห็นว่าไม่มี พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ไปอยู่ในส่วนสุดทั้งสองด้านนี้ จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 20:59:09

ความคิดเห็นที่ 4              ตอบว่า ที่คุณรู้มาผิด.              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕              อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต              ทานสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=1340&Z=1436                           ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=49              หัวข้อกระทู้              "บอกผิด สอนเพี้ยน ด้วยไม่รู้ บาปหนักไหม" http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/09/Y9661744/Y9661744.html#51                  หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html                      เรื่อง                           ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก                           การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ                           มหาทาน                           ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑                           ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒                           กาลทาน ๕ อย่าง                           ให้ทานในที่ใดมีผลมาก                           ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท                           สังฆทาน ๗ ประเภท                           ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน                           ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน                                       เรื่องเศรษฐีเท้าแมว                           ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔                           อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง                           ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖                           ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 21:02:52

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านแล้วต้องกลั่นกรองด้วยนะ และไม่ควรอ่านตำราในชั้นหลังเล่มเดียวแล้วปักใจเชื่อ ควรสอบทานกับพระไตรปิฏกดูก่อนครับ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 21:09:27

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่อง สวรรค์ นรก ที่เป็น ภพภูมิ เป็นเรื่องที่มีแสดงใน พุทธศาสนา ครับ พระพุทธองค์ ทรงรู้แจ้งโลก  ทั้ง  -  สังขารโลก คือ นามรูปกายใจ นรกสวรรค์ในใจ  และ  -  โอกาสโลก คือ จักรวาล นรกสวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ พระพุทธองค์ ทรงรู้แจ้ง ทั้ง  -   ชาติ ชรา มรณะ ที่เป็น ภพชาติหลังจากที่ จุติตาย แล้วปฏิสนธิเกิดใหม่  และ  -   ชาติ ชรา มรณะ ที่เป็น ขณะจิต  หรือ การเกิดขึ้นของอุปาทานต่างๆ ทรงรู้แจ้ง ทั้งหมด และนำมาสอน เหล่าเวไนยสัตว์ ความเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม การทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐุชุกรรม) เป็นปัญญาพื้นฐาน ที่จะนำไปสู่ การเจริญ สมถะ วิปัสสนา และความเข้าใจในอริยสัจจ์สี่ พร้อมทั้งการทำที่สุดแห่งทุกข์ให้หมดไป เป็นลำดับ ---------------------------------------------------------------------- ดังนั้น จขกท ควรทราบว่า พระพุทธองค์ ทรงสอน เรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า การเกิดใหม่ แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแบบขณะจิต การเกิดของอุปาทาน หรือ การเกิดข้ามภพชาติใหม่ ----------------------------------------------------------------------- ไม่ว่าจะอ่าน หนังสือของใคร ระวังกิเลส ในใจ ตน โดยเฉพาะความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) และทิฏฐิต่างๆ อันจะนำไปสู่ ความเห็นผิดที่เรียกว่า "อุจเฉททิฏฐิ" คือ การเห็นว่า เมื่อตายแล้วสูญ ไม่มีชาติก่อน ชาติหน้า เมื่อมีความเห็นผิดเช่นนี้ จะทำให้ หิริ โอตตัปปะ ลดลงไป ความเพียร ในการเจริญ ภาวนา ก็จะลดน้อยถอยลงไป --------------------------------------------------------------------------- ความเห็นถูก (กัมมสกตาสัมมาทิฏฐิ) และปัญญาเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม (กัมมสกตาปัญญา) ว่า เรานั้น เวียนว่ายตายเกิด มานับภพชาติไม่ถ้วนแล้วนั้น จะเป็น เหตุ ให้เกิดความสลดสังเวช ต่อ ชาติ ชรา มรณะ และจะยัง วิริยะ ให้เกิดขึ้นในการพาตน ให้ปฏิบัติเพื่อถึงความ พ้นไปจากวัฏฏทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด ได้เป็นลำดับต่อไป ---------------------------------------------------------------------------- กรณี คำสอน ท่าน พุทธทาส เป็นที่ขัดแย้งมานานแล้ว บางคนก็กล่าวว่า ท่านสอนเช่นนั้น บางคนก็กล่าวว่า ท่านไม่ได้สอนว่า ชาติก่อน ชาติหน้าไม่มี แต่ให้เน้นในปัจจุบันขณะ ที่นี่ หรือ นรกสวรรค์ในใจ ที่เกิดในชาตินี้ เป็นหลัก บางคนอ่านคำสอนท่านพุทธทาส แล้ว เห็นว่า นรก สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ ชาติก่อน ชาติหน้า เป็นเรื่อง แต่งหลอกอุปมาอุปมัยก็มี และเห็นว่า ชาติก่อนชาติหน้าคงจะไม่มีก็มี บางคนอ่านคำสอนท่านพุทธทาส แล้วเข้าใจไปว่า อย่าไปคิด เรื่อง ชาติก่อนชาติหน้า เพราะคิดแล้ว จะเป็นความเห็นผิดทันที ก็มี บางคนอ่านคำสอนท่านพุทธทาส แล้วเข้าใจไปว่า ชาติก่อนชาติหน้ามีจริง แต่เหมือนเป็นคนละคนกัน จึงไม่ต้องไปสนใจก็ได้ ก็มี บางคนอ่านท่านุพุทธทาส แต่เลือกที่จะรับเพียงบางส่วน และก็ยังเป็นผู้เห็นถูกว่า มีชาติก่อนชาติหน้า นรกสวรรค์ภพภูมิ ก็มี และก็ไม่ได้ประมาทในปัจจุบันขณะ ก็มี เจ้าของกระทู้ พึงพิจารณา สัมมาทิฏฐิ อันจะเป็นประโยชน์ แก่ตนเอง เป็นหลัก แล้วพึงยึดถือความเห็นที่จะทำให้เกิดกุศลแก่ตน --------------------------------------------------------------------------- และพึงเห็นว่า แม้ ชาติก่อน ชาติหน้า การเกิดในภพภูมิใหม่มีจริง ข้อนี้เรียกว่าจริงโดย สมมติสัจจ์ (คือเมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นบุคคลหรือสัตว์ใหม่ในภพถัดไป) แต่เมื่อว่าโดย ปรมัตถสัจจ์แล้ว การดำรงชีวิต ตลอดจนถึง การไปเกิดใหม่ นั้น ไม่ได้มีตัวตน บุคคลใดๆ ไปเกิดใหม่ หรือไม่ได้มีวิญญาณล่องลอยจากร่างไปเกิดใหม่เหมือนในหนังบางเรื่อง จะมีก็แต่เพียง การเกิดดับสืบต่อแห่งรูปนาม ที่เกิดและดับไป อยู่ทุกขณะ รูปนาม จะเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึง จุติกาลแล้วก็ปฏิสนธิในภพภูมิใหม่ ทันที และก็จะเกิดดับสืบต่อ ในระหว่างดำรงชีวิต เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วๆเล่าๆ โดยมี กรรม อวิชชา ตัณหา เป็นเหตุปัจจัย แก่ความเกิดดับสืบต่อแห่งรูปนามนี้ การเจริญสติปัฏฐาน มรรค แปด เป็นทางที่จะกำจัด อวิชชา ให้หมดไป และทำลายวงจร การสืบต่อของรูปนามเหล่านี้ ให้ขาดลงโดยสิ้นเชิง ด้วย อริยมรรคทั้ง ๔ ต่อแต่เมื่อใดที่ เข้าถึง อรหัตมรรค เมื่อนั้นจึงจะประหารอวิชชาได้โดยสิ้นเชิง รอเวลา การดับขันธ์นิพพาน รูปนามที่เกิดสืบต่อนั้น ก็จะดับโดยสิ้นเชิง ไม่มี การปฏิสนธิเกิดใดๆอีก ประดุจดังการหมดไปของเปลวเทียนฉะนั้น แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 21:51:29 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 21:24:23 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 21:12:00

ความคิดเห็นที่ 7 1. ตรวจทานกับพระไตรปิฏก 2. พิจารณาให้ลึกซึ้งครับ แต่ก่อนผมอ่านงานท่านพุทธทาสผมก็คิดแบบนั้น แต่ลองพิจารณาให้ลึกอีกนิด ท่านมีความหมายจริงๆ อย่างไร ต้องการสอนอะไร สอนธรรมมะในรายละเอียดหรือสอนพื้นฐาน สอนเพื่อให้หลุดออกจากทิฐิไหน ท่านชาวมหาวิหารตอบได้เหมือนผมคิดเลย เรื่องสมมัติสัจจะ กับปรมัตสัจจะ ครูบาอาจารย์หนึ่งสอนสมมุติสัจจะ อีกครูบาอาจารย์หนึ่งสอนปรมัตถ์สัจจะ แล้วลูกศิษย์ก็หยิบคำพูดครูมาแย้งกัน ค้นกันไปค้นกันมาครูบาอาจารย์องค์เดียวกัน วาระหนึ่งกับกาลหนึ่งกับบุคคลหนึ่งสอน สมมุติสัจจะ อีกวาระหนึ่งกับบุคลหนึ่งสอนปรมัตถ์ ก็ยังมีลูกศิษย์เอามาแย้งกัน สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็สอนทั้งสองอย่าง ก็ยังมีคนหยิบมาแย้งกันได้ คนมันจะไม่ลง ศึกษายังไงก็ไม่ลง แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 21:20:37 จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 21:14:14

ความคิดเห็นที่ 8 ผู้ทำไม่มีเวลาพูด   ผู้พูดไม่มีเวลาทำ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 22:07:13

ความคิดเห็นที่ 9 มีหลายคนอ่านหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วก็เชื่อตามนั้น มีหลายคนอ่านหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วก็ไม่เืชื่อตามนั้น ข้อสังเกต *** งานเขียนของท่านพุทธทาสนั้น เป็นเรื่องราวที่บอกสอนกับคนกลุ่มหนึ่ง ก็จะใช้คำสอนในบริบทหนึ่ง สอนคนอีกกลุ่มหนึ่งก็จะมีบริบทอีกอย่างหนึ่ง ใครพยายามทำความเข้าใจก็จะได้ประโยชน์ในปัจจุบันครับ จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 22:32:45

ความคิดเห็นที่ 10 1. ตอนแรก คุณรู้ถูก  ไม่ทราบรายละเอียด 2. ต่อมา(แล้วก็มาเขียนกระทู้นี้) รู้ผิด แล้วเข้าใจว่ารู้ถูก 3. ตอนนี้  (ถ้าได้อ่านของคุณชาวมหานคร ) ก็เข้าใจถูก  ครบถ้วน . จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 22:39:28

ความคิดเห็นที่ 11 ความเห็นแรกกำลังถากถาง??? จากคุณ : Aenieas เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 22:54:35

ความคิดเห็นที่ 12 #11 คุณนัยนะ ไม่ได้ถากถางครับ แต่หมายถึงว่า ประเด็นนี้มีการถกกันมาหลายครั้งแล้ว และก็เถียงกันยาวมาหลายครั้งแล้วล่ะครับ คุณนัยนะ อยู่มานาน คงเห็นมาเยอะแล้ว ผมก็ไม่อยากให้มีการเถียงกันในประเด็นนี้ ก็เลยพยายามตั้งใจเขียนให้ดีที่สุด ในความเห็นก่อนครับ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:19:03

ความคิดเห็นที่ 13    เอาเป็นว่า ใครจะเชื่อใครก็ช่างเถิด แล้วแต่เขา เขาเป็นเจ้าของความเชื่อนั้น ก็แน่นอนล่ะ เขาเป็นเจ้าของกรรม ของเขาเอง และสำหรับ ผู้ที่เชื่อหรือไม่เชื่อท่านพุทธทาสนั้น ก็สุดแท้แต่ความเห็นเถิด...   เอาง่าย ๆ เลย สำหรับผมแล้ว ผมยังมองไม่เห็นใครหน้าไหน สักคนเดียว ในห้องศาสนานี้ ที่จะเทียบได้กับ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นท่านพุทธทาสได้  หากให้คะแนนทางศาสนา  100 ท่านพุทธทาสได้ 100 เต็ม   แต่คนทั้งหลาย ในห้องศาสนานี้ ทั้งหัวดำ หัวขาว (รวมทั้งพวกหัวโล้น ที่ต้องโกนทุกเดือน แล้วแอบ ล๊อกอินเข้ามาปาว ๆ นั่นด้วย) ได้ ไม่เกิน 0.01 จากเต็ม 100  ไม่ว่าจะเป็นแง่ของวัตรปฏิบัติ หรือความรู้ ความมีปัญญา ในหลักธรรมแห่งพุทธศาสนา     ดังนั้นป่่วยการครับ  ท่านเจ้าของกระทู้ อยากเชื่อ หรือไม่อยากเชื่อ ก็สุดแท้แต่เถิดครับ อย่าไปสนใจเลย  อย่างไรก็ตาม ก็อ่าน ๆ เอาไว้ในหลาย ๆ ความเห็น อ่านเล่น ๆ กันไปก้ได้    และที่สำคัญที่สุด ก็คือ มีคนโกรธเคือง ท่านพุทธทาสมาก ๆ ก็เพราะ "ท่านพุทธทาส สอนให้คนฉลาด"  ไงครับ     สมัยที่พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็มีเจ้าลัทธิโง่ ๆ จำนวนมาก ที่โกรธเคืองพระพุทธเจ้า เพราะเขารู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนหายโง่ และฉลาดขึ้นมา พวกเขาก็สูญเสียประโยชน์บ้าง (ประเภทหลอกเขากินน่ะ... ทั้งอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ทั้งเงินทอง  ฯลฯ ..  หลอกด้วยการเล่าเรื่องนรกสวรรค์ ฯลฯ และเล่าคนละแบบ กับที่พระพุทธเจ้าเล่า  ก็คือสรุปว่า เล่าเพื่อหลอกแด๊ก เล่าเพื่อปล้นเงินในกระเป๋า ของเขาน่ะ ไม่ใช่เล่าเพื่อให้คนฉลาดขึ้น แบบที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า)  คนและพระพวกนี้ จะโกรธเคืองมาก หากใครสอนแบบที่ท่านพุทธทาสสอน     อีกประการหนึ่ง เมื่อคนฉลาดขึ้นและเชื่อพระพุทธเจ้า ตามแบบที่ท่านพุทธทาสนำเสนอแล้วนั้น คนและพระอีกกลุ่มหนึ่ง จะดูเหมือนพวกโง่เง่า เต่าตุ่นไปในทันที ทั้ง ๆ ที่ ท่านพุทธทาส ก็ไม่ได้เคยว่ากล่าวอะไรพวกเขา แต่พวกเขาร้อนใจ วิปฏิสาร กันไปเอง ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้อ่ะนะ... จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:21:16

ความคิดเห็นที่ 14 นายวงกลม และนายฐานานุฐานะ เนี่ยเป็นใครกัน หรือ ?  หัวดำ หัวขาว หรือหัวโล้น ที่อาจหาญ ไปตัดสินว่า ที่เขารู้มานั้น "ผิด" ทั้ง ๆ ที่แหล่งที่เขารู้มานั้น เป็นแหล่งที่มาที่ คุณทั้งสอง ไม่สามารถเอาอะไรไปเทียบเคียงได้เลย ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือ อีกกี่ภัทรกัปป์ไหน ๆ ก็ตาม และแม้คุณทั้งสอง จะเป็นนักค้นคว้า แบบ บ๊อท ก็ตาม ก็เป็นได้แค่นั้น แล้วจะอาจหาญไปตัดสินว่า เขารู้มาผิดเลยหรือ และอาจหาญ เอานายมหาวิหาร คนกเฬวรากที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้ประวัติ การบวชเรียน หรือการปฏิบัติที่ไหน แหล่งใด ฯลฯ เอาไปบอกว่า ถูก แต่ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และมีวิชาจรณสัมปัณโณ นั้น ผิด....ก็ตลกดีนิ และคิดดูดี ๆ นะครับว่า  คนพวกหนึ่ง เสพกามตามปกติ มีปกติอยู่ในเพศที่ต่ำช้า อย่างนายมหาวิหาร นายฐานานุฐานะ นายวงกลม และหาหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน ๆๆๆ แล้วก็พูดปาว ๆๆ หรือเขียน ๆๆ มั่วบ้าง เบลอบ้าง แล้วแต่ อวิชชา ตัณหา อคติ จะพาไป  อีกท่านหนึ่ง อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ตลอดทั้งชีวิต ของท่าน และตลอดชีวิตที่ว่านั้น ศึกษาและปฏิบัติตลอดเวลา ส่วน นายฐานานุฐานะ นายมหาวิหาร นายวงกลม ก็เสพกามชั้นเลว ๆ อยู่ตลอดเวลาชีวิต ของพวกเขาเช่นกัน แล้วจะให้ผมเชื่อใคร? เชื่อคนชั้นเลว หรือเชื่อ พระชั้นดี? แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:54:54 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:36:04 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:27:08

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 14 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:36:04 จากคุณ : รถเรณู     เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:27:08              แค่นี้ คุณรถเรณู ก็ด่าแล้วหรือ?                   หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:42:15

ความคิดเห็นที่ 16 ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ อีกสักข้อได้ไหม...  สุนัข ตัวหนึ่ง กำลังเสพสังวาส ติดตัง ชุลมุนกันอยู่กับตัวเมียอยู่เห็น ๆ แต่มันดันพยายามเห่าเป็นเสียงของพญาราชสีห์....อืมม  คนดู ได้เห็น ก็คงน่าขำ และดูแปลกดี  ก็พอ ๆ กับที่ คนกลุ่มหนึ่ง กำลังเห่า เอ้ย กำลัง ส่งเสียง บอกว่า "นั่นผิด นี่ถูก"   โดยในปากก็พยายามคาบพระไตรปิฎกซะด้วย (ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายท่านเป็นพระ ท่านศึกษา และปฏิบัติตลอดชีวิตของท่าน มิใช่แค่ คาบ ๆ เลีย ๆ อย่างเช่นพวกเขาเหล่านี้)  ไม่คาบเปล่า ส่งเสียง อึกทึก เอะอะ ไปตามประสา สติปัญญา ของพวกเขา อยู่ตอนนี้ (เอ...ไม่ใช่พระไตรปิฏกต้นฉบับเสียด้วยนะ เป็น อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา สัทธาวิเสส ปกรณ์วิเสส หรือคัมภีร์ ที่พระสมัยไหนแต่ง ก็ไม่รู้น่ะ.....อย่างไรก็ตาม ขอให้ระวัง ๆ กันเอาไว้ อย่าให้น้ำลายมาแปดเปื้อน พระคัมภีร์จนดูสกปรกไปซะล่ะ คาบให้ดี ๆ แล้วกัน)  ส่วน พญาราชสีห์ นอนพักผ่อนอิริยาบท สบายอารมณ์ และลุกขึ้น คำราม หรือบันลือสีหนาทด้วย ในบางครั้ง คนดูก็คงเห็นเป็นเรื่องสง่างามอยู่ดี  เปรียบเสมือน พระผู้ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบในพุทธศาสนา และมี "ปัญญา" รู้แจ้งทั้งทางโลกทางธรรม อันชาวโลก ยกย่องสรรเสริญ อยู่ เป็นที่ประจักษ์ นั่นเอง เช่น หลวงพ่อชา หลวงพ่อพุทธทาส และพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วย ปัญญา ในทางพระพุทธศาสนา อันเป็นที่รู้แจ้ง เป็นที่สรรเสริญกันไปทั่วโลก   แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 00:01:56 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:54:01 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:51:27 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:44:10

ความคิดเห็นที่ 17 ช่างเขาเถอดครับ คุณ ฐานาฐานะ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:46:28

ความคิดเห็นที่ 18 ระวัง  !!... อย่าไปเชื่อท่านพุทธทาสง่ายๆ    เพราะมีความเห็นผิด สอนผิดในหลายๆเรื่อง  ต้องตรวจสอบกับตำรา และครูบาอาจารย์สายอื่นๆเสียก่อน   หรือดีที่สุด คือ มาฝึกปฏิบัติด้วยตนเองก่อนเชื่อ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:57:59

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ เจ้าของกระทู้ครับ บางที ในบอร์ดนี้ ก็มีคนที่ ดูเหมือนจะมี วาทะศิลป์ที่ดี โดยเฉพาะ การด่าคน แต่ พวกนี้ ไม่ได้รู้จริงหรอกครับ แม้คัมภีร์ ท่านพุทธทาส พวกนี้ ก็ไม่ได้ศึกษาจริงๆหรอก ผมอ่านแป๊ปเดียวก็รู้ ------------------------------------------------------------------------------------- ถ้า เจ้าของกระทู้ อยากรู้ เรื่องท่านพุทธทาสจริง ให้ไปหา อาต้น ที่ธรรมสถานจุฬา ครับ ผมเคย เถียงกับแก แต่ ก็คิดว่า คนนี้ น่าจะรู้จริง เก่ง และ "น่ากลัวที่สุด" ในสายพุทธทาส ผมยัง ขยาดๆ   ในพันทิพ ตอนนี้ ผมไม่เห็นว่ามี ใครเป็น สายพุทธทาส จริงๆ นะครับ แบบ รู้เรื่อง ธรรมโฆษณ์ 76 เล่ม ครบ หมดอะไรแบบนี้ มีแต่ เถียงเก่ง ด่าเก่ง เท่านั้นน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 02:21:11 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:05:31

ความคิดเห็นที่ 20 ระวังนะ โขตาน...พระ ที่คุณบอกว่า ..."เพราะมีความเห็นผิด สอนผิดในหลายๆเรื่อง"   แต่คุณไม่ลองคิดดูบ้างรึ ว่า ครูบาอาจารย์ อีกพวกหนึ่งที่คุณเอ่ยถึงน่ะ ดันสอนผิดมันซะทุกเรื่อง น่ะซี....หนักเข้าไปอีก   สอนแต่ละเรื่อง หนวดเครางอกเป็นฤษีเลยทีเดียวเชียว จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:05:48

ความคิดเห็นที่ 21 สวรรค์แบบภพภูมิมีจริงครับ จขกท ลงมือปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง แล้วจะประจักษ์ได้เองครับ ผมก็พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วครับ แต่ถ้ายังไม่เห็นเอง ก็อ่านหนังสือครูบาอาจารย์ไปก่อนก็ได้ครับ หลวงปู่มั่น หลวงตาบัว ฯลฯ พระอรหันต์นักปฏิบัติทั้งหลาย ท่านก็ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี สรรค์มี นรกมี และสอดคล้องกับพระไตรปิฎกทุกประการครับ สวรรค์ นรกที่เป็นภพภูมิปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแทบทุกส่วน ทั้งในพระสูตร และในอรรกถา ลงรอยกันได้หมดจดครับ เช่นคำว่า เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ... เราจะพบประโยคนี้ ปรากฏอยู่โดยทั่วไปในพระสูตร (ลองค้นดูเอง) เห็นชัดๆนะครับ ว่า ตายไปแล้วนะครับ ถึงไปสวรรค์ ขอให้มีสัมมาทิฏฐิ อนุโมทนาครับ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:16:20

ความคิดเห็นที่ 22 พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์(การเกิด)และการดับทุกข์คือปฎิบัติธรรมถึงดับทุกข์(ละตัณหา)แล้วก็เห็นทุกข์ ของสังขารเหมือนเดิม ไม่ใช่ไม่สอนนี้ครับ ดังนั้นความเห็นอะไรก็ตามที่ทำให้ไม่เห็นทุกข์ ไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเพื่อดับทุกข์เป็นความเห้นผิด ดับทุกข์   ไม่ใชไม่เห็นทุกข์ คนที่ไม่เห็นทุกข์ มักจะขาดคุณธรรมข้ออื่นๆตามมาเช่นขาดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ขาดความเคารพ   ดังนั้นคนที่กลัวสวรรค์มากๆ ควรจะพิจารณาความทุกข์ของการเกิดให้มากๆ จะได้หายกลัว จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:36:19

ความคิดเห็นที่ 23 คนที่เข้ามาอ่านและเขียนในห้องศาสนาก็โตๆกันแล้ว ต่างก็มีคติและอคติส่วนตน จขกท.ก็ลองอ่านและหาข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นก็โยนิโสมนสิการไปตามกำลังของตนก็แล้วกัน จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:41:47

ความคิดเห็นที่ 24 พระพุทธทาสเป็นสาวก พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา ดังนั้น ควรศึกษาคำสอนของพระศาสดามากกว่าพระสาวก ในพระไตรปิฎกมีสอนทั้งเรื่องเปรต http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%E0%BB%B5&book=9&bookZ=33 เรื่องเทวดา http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%C7%D4%C1%D2%B9&book=9&bookZ=33 เรื่องมนุษย์ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=11&A=3923 เรื่องภพภูมิสวรรค์ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%A8%D9%CC%B9%D5&book=9&bookZ=33 เรื่องชาติก่อนชาตินี้ชาติหน้า กรรมอะไรส่งผลอะไรในชาิติต่อไป http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%A8%D9%CC%A1%D1%C1&book=9&bookZ=33 นรก http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=14&A=6750 เรื่องนิพพาน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=10&A=1888 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 00:46:55

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นด้วยกับ # ความคิดเห็นที่ 19   ในห้องศาสนานี้ และที่ไหน ๆ หาศิษย์ ท่านพุทธทาสจริง ๆ ได้ยากครับ....ศิษย์ท่านพุทธทาสจริง ๆ จะไม่หวั่นไหวอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น   หลาย ๆ คนที่ เข้ามาร่วมแสดงความเห็น ต่าง ๆ คล้าย ๆ จะปกป้องท่านพุทธทาส แท้จริงแล้ว ก็หาใช่คนระดับที่เรียกได้ว่าเป็น "ศิษย์ท่านพุทธทาส" ได้ไม่  เพียงแต่ เขาเหล่านั้น (อาจจะรวมถึงตัวผมเองด้วย) แค่รู้สึกรำคาญ เสียงที่ไปให้ร้ายท่านพุทธทาส ในฐานะที่ท่านเป็นพระดี แต่คนบางคน พยายามหาทางใส่ร้ายท่านด้วยอคติต่าง ๆ นา ๆ ก็คงไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ก็เพราะเหตุผลที่ได้กล่าวไว้ในความเห็นข้างบนนั่นแหล่ะ เช่น -เสียผลประโยชน์ เช่นการกอบโกยประโยชน์ด้วยการเน้นให้คนกลัวนรก และหลงสวรรค์ แล้วเอาเงินมาให้พระพวกนี้ หรือสำนักพวกนี้ - คำสอนที่ตรง ๆ และการวิเคราะห์ด้วยปัญญา และเมื่อปัญญาชนเห็นด้วย คนเหล่านี้ สำนักเหล่านี้ โดยเฉพาะ เจ้าสำนัก ก็จะถูกมองเป็นพวกโง่เง่าเต่าตุ่นไป  ซึ่งมันยอมกันไม่ได้ เพราะมันน่าอาย และเหมือนกับการตีแสกหน้ากันกลางวันแสก ๆ  ทั้ง ๆ ที่ท่านพุทธทาส ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้เป็นอย่างนั้น  แต่สัจธรรม ก็คือสัจธรรม ท่านก็ว่าของท่านไปตามเหตุตามปัจจัย ที่มีมา - เจ้าสำนัก และกลุ่มสำนักบางสำนัก รู้สึกได้ถึงการสูญเสีย คือ ศานุศิษย์ ไปเห็นดีเห็นชอบตามความเป็นจริง (ยถาภูตสัมมัปปัญญา) ที่ท่านพุทธทาสเสนอ  ก็ห่างเหินสำนักเดิม ก็ทำให้เจ้าสำนักเดิมว้าเหว่ และเริ่มเกิดวิปฏิสาร ขึ้นมา แล้วมักจะเปรยกับลูกศิษย์ลูกหาใกล้ชิดว่า ท่านพุทธทาส สอนผิดอย่างโน้น อย่างนี้ ลูกศิษย์ก็บ้าจี้ตาม ก็เลยรีบค้นคว้าคัมภีร์เอามาจับผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยจับได้สกทีว่าผิดตรงไหน เพราะท่านพุทธทาส ท่านเสนอ เกี่ยวกับ "ภาษาคน ภาษาธรรม"  มันจะผิดได้อย่างไร คนโง่ ไม่เข้าใจภาษาคน ภาษาธรรม ก็คิดว่าผิด วันยังค่ำ คืนยันรุ่งแหล่ะ   ผมเองก็เคยใกล้ชิด เจ้าสำนักสายวัดป่าเหล่านี้ และสังเกตได้ว่า ท่านกล่าวถึงท่านพุทธทาสด้วยอาการทีีมีปฏิฆะ ล้วน ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ เคยเคารพนับถือพระวัดป่ามาก ไม่น่าเชื่อว่า ท่านจะสามารถเกิดปฏิฆะ และอิจฉา แสดงออกได้ถึงขนาดนั้น ผมและศิษย์ใกล้ชิดบางคน เลย ไม่กลับไปหาอีกเลย..(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะตรงไปหาท่านพุทธทาสซะทีเดียวหรอกนะ เพราะท่านพุทธทาส ไม่ใช่จะรับใครเป็นศิษย์ซะง่ายๆ  แบบพระป่าทั่ว ๆ ไป หรอกนะ) ....อย่าให้บอกเลยครับ ว่า เราเคยปฏิบัติกับพระสายวัดป่าท่านใด? เดี๋ยวก็ได้ตะลึง ตึง ตึง กันเท่านั้นเอง   ก็สรุปว่า ผมก็ไม่ใช่ศิษย์ท่านพุทธทาสหรอกครับ แต่ผมน่ะเป็นศิษย์พระวัดป่าสายหลวงปู่ที่พวกท่าน ๆ ทั้งหลายเป็นกันนั่นแหล่ะคร๊าบบบบบบ.....ทำไมรึ ใครจะมาปลดผมออกจากการเป็นศิษย์สายวัดป่าไหม?      เพียงแต่ผมเห็นว่า ทั้งพระอาจารย์เรา "ทั้งที่ยังอยู่ ทั้งที่มรณภาพไปแล้ว" บางท่าน ก็ดี บางท่านก็ ออกอาการบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่มารุ่นศิษย์ ๆ นี่สิ ชักกำเริบใหญ่แล้ว ลุยท่านพุทธทาสแบบไม่ลืมหูลืมตากันเลย จะโกรธแค้นอะไรท่านนักหนากันครับ  ท่านไม่ได้ว่าอะไรอาจารย์ของพวกเราสักหน่อย แต่เพื่อน ๆ ร่วมสำนักของพวกเรา เกิดเดือดร้อนกันขึ้นมาเองต่างหากเล่า    ครับ ที่มาร่ายยาวอีก ก็เพื่อเข้ามาสนับสนุน ความคิดเห็น ของ คุณชาวมหาวิหาร ในความเห็นที่ 19 ครับ ว่า ในห้องศาสนานี้ ไม่มีหรอกศิษย์ท่านพุทธทาสระดับเจ๋ง ๆ น่ะ  ก็มีแต่พวกเรากันเองทั้งนั้นครับ  ที่ไม่อยากให้เสียชื่อสำนักของพวกเรามากกันไปกว่านี้ ด้วยการ ที่ไปโจมตีท่านพุทธทาสกันโดยเหตุผลที่บ้องตื้น ๆ น่ะครับ  เพราะแค่ ไม่เข้าใจคำว่า "ภาษาคน ภาษาธรรม" แค่นั้นเอง ไปเรียนไปศึกษา ไปปฏิบัติซะให้เข้าใจซะ ก็หมดเรื่อง แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 01:50:17 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 01:47:32

ความคิดเห็นที่ 26 ผมคิดว่า แม้ท่านพุทธทาสเอง ก็คงไม่ชอบใจเป็นแน่ หากมีใครยึดถือ "ตัวท่าน" มากไปกว่า "ตัวธรรม" คำสอนของใครก็ตาม เรายกมาถกกันได้ วิเคราะห์กันได้ สนทนาปรับทิฏฐิกันได้ แต่ทำไมพอมีตัวเรา มีอาจารย์ของเรา คนที่เรานับถือ คนที่เราไม่นับถือขึ้นมา เหตุไฉนจึงกลายเป็นประเด็นไปได้ ตัวธรรมล่ะ หายไปไหน ผมแนะนำว่าอย่าได้ยึดถือคำว่า "พุทธทาส" มากเกินไป เพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นไปได้ที่จะมีใครสอดแทรกคำสอนที่ผิดเพี้ยนลงไปโดยอ้างชื่อของท่าน สิ่งที่ผมสังเกตมาคือ หลังจากที่ท่านมรณภาพไปก็มีหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของท่านออกมามากมาย มากจนผมคิดว่า แล้วก่อนหน้านี้มันไปอยู่ไหนเสีย แถมบางเล่มอ่านแล้วแปลก ๆ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ศึกษาทางท่านพุทธทาสมากนัก แต่ความรู้สึกมันต่างกันจากที่ได้อ่านเล่มอื่น ๆ ผมคิดว่าผมอาจจะวิตกไปเอง แต่มันก็เป็นไปได้ใช่ไหม คำสอนเหล่านั้นจะมีใครตรวจสอบได้ ในเมื่อต่างคนต่างออกหนังสือกันมาโครม ๆ โดยอ้างชื่อท่านพุทธทาสกันทั้งสิ้น ที่สำคัญท่านพุทธทาสก็ไม่อยู่แล้ว มันก็เป็นไปได้ที่จะโดนแอบอ้างชื่อได้ เพราะเหตุนี้ มันมีความจำเป็นอยู่ที่เราควรจะต้องใส่ใจตัวธรรมมากกว่าตัวท่าน ในเมื่อธรรมเป็นของสาธารณะ ยังคงมีลักษณะที่เป็นสัจธรรม ทนต่อการพิสูจน์ เราก็น่าจะนำคำสอนใด ๆ มาพิจารณาและหาข้อพิสูจน์ให้เท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกว่า เพราะใครเป็นอาจารย์ของเรา หรือเพราะเขาเชื่อถือต่อ ๆ กันมาเท่านั้น ผมคิดว่า ถ้าคำสอนของท่านพุทธทาสนั้นถูก คนที่วิจารณ์ท่านก็ย่อมสร้างภัยให้ตัวเอง แต่หากคำสอนของท่านยังมีสิ่งที่ผิดพลาดอยู่บ้าง ผมคิดว่า ท่านพุทธทาสเองถ้าท่านรู้ ท่านก็คงไม่ยินดีเป็นแน่ ที่จะมีใครมาแก้ต่างให้ท่านในกรณีนี้ เราจะเห็นได้ว่า หากสิ่งใดที่เป็นสัจธรรมแล้ว ผู้กล่าวหาก็ย่อมกล่าวหาได้แต่ภายนอก ส่วนเนื้อแท้นั้นกล่าวหาไม่ได้ ไม่กลัวการพิสูจน์ ไม่กลัวการวิจารณ์ แต่หากเป็นสัจธรรมไม่แท้ เมื่อได้พิสูจน์ ก็จะได้แก้ไขกันไปเพื่อให้ถูกต้องที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ฉะนั้น การกล่าวหาของใคร ๆ ย่อมไม่เป็นโทษสำหรับสัจธรรมแท้ และการกล่าวหาของใคร ๆ ก็สามารถทำให้เราได้แก้ไขความเข้าใจจนถูกต้องได้ในที่สุด อย่ากลัวการกล่าวหาเลย การถูกกล่าวหา เป็นโอกาสหนึ่งที่เราจะได้พิสูจน์ว่า อะไรแน่คือสัจธรรมแท้ มันมีแต่ประโยชน์และประโยชน์ หากเราสมาทานไว้ในใจอย่างถูกต้อง จะเอา "ตัวเรา" "ตัวท่าน" หรือ "ตัวธรรม" ก็เลือกเอา ถ้าจะเอา "ตัวธรรม" ให้หนักแน่นในธรรมให้มาก ๆ อย่าใส่ใจคำวิพากย์วิจารณ์มากนัก แม้พระพุทธองค์ก็ทรงยังไม่พ้นจากคำวิพากย์วิจารณ์ แต่หากเราทำใจให้ชิงชังคนที่มาวิจารณ์ นั่นคือความผิดพลาดของเราโดยแท้ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 01:56:32

ความคิดเห็นที่ 28 พระพุทธองค์ ตรัส  สัมมาทิฏฐิ ๒ ไว้ครับ --ศึกษาเสีย เวลาอ้าง ชื่อท่านพุทธทาส  จะได้ ไม่ ประมาท  ทำให้ ท่านพุทธทาส มีปัญหา แบบ นายปุ่น จงประเสริฐ (เรื่องรางอย่างไร หาเอง ใน หนังสือ ตามภาพ) สัมมาทิฏฐิ ๒ ได้แก่ (๑) สาสวาสัมมาทิฏฐิ --ทานมีผล โลกนี้ โลกหน้ามีฯ แต่ สัมมาทิฏฐิที่ตรัสนี้ ยังเนื่องกับ อาสวะ (โดยย่อฯ) ที่สำคัญ ใคร ว่า สาสวาสัมมาทิฏฐิ ที่ตรัส = ตรัสสอน สัสสตทิฏบิ แบบ ลัทธิอื่นครับ (ลอง คิดดูว่า พระบรมศษสดา จะ ตรัสสอน สัสสตทิฏฐิ แก่ ฆราวาส  และ ภิกษุ ที่ พอใจ ที่ท่านพยากรณ์ ธรรมะเรื่อง อริยสัจ หรือ?) (๒) อนาสวาสัมมาทิฏฐิ  = อน (No) +ส (ประกอบพร้อมด้วย) อาสวะ (ความหมักหมม จึงไหลซ่าน ทาง อายตนะ เมื่อ ผัสสะ) + สัมมา (ถูกต้องชอบ ตาม อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาญ ของจอมศาสดา) + ทิฏฐิ (วาทะ อันเกิดจาก อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาญ) 3 บรรทัดบน --- ผม เสนอเอง ลอง ดูว่า ความหมายของ พยัญชนะนั้น  สอดคล้องกับ --- คำใน พจนานุกรณ์ ฯ ไหม) สรุป ท่าน จขกท  เสนอว่า --- เพิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเรื่องชาตินี้หน้า เกิดใหม่ วันนี้เพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านพุทธทาสภิกขุ เลยเพิ่งทราบ (๑) รับผิดชอบ" นะครับ ว่า -- ถ้ามีใคร  ที่อคติ กับท่านพุทธทาส เข้ามา เสนออะไรๆ เกี่ยวกับท่านพุทธทาส ฯ นั่นเพราะ "มติ หรือ ทิฏฐิของ คุณAenieas เอง  --- กำหนด เรื่อง --- เพิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเรื่องชาตินี้หน้า เกิดใหม่ + วันนี้เพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านพุทธทาสภิกขุ เลยเพิ่งทราบ ส่วน เรื่อง -- สวรรค์แบ่งเป็นชั้นๆ 7 ชั้น 9 ชั้น แบบที่เรารู้กัน มันเป็นพราหมณ์ใช่ไหม? ถามใครครับ? พระพุทธเจ้าตรัส --ฉผัสสายติกสวรรค์ ไว้ (สวรรค์ ที่ อายตนะ ๖ เมื่อ ผัสสะ มั๊ง) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 06:58:51

ความคิดเห็นที่ 29 คคห 25 ครับ ที่มาร่ายยาวอีก ก็เพื่อเข้ามาสนับสนุน ความคิดเห็น ของ คุณชาวมหาวิหาร ในความเห็นที่ 19 ครับ ว่า ในห้องศาสนานี้ ไม่มีหรอกศิษย์ท่านพุทธทาสระดับเจ๋ง ๆ น่ะ ผมไม่ใช่ศิษย์ ท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาส ไม่เคยรับผมเป็นศิษย์ท่าน (ผมไม่เคยขอให้ท่านเป้นอาจารย์ผม) ฯ แต่ ออกจะมั่นใจ เล็กๆ ว่า "ผมเป็นศิษย์ท่านโดยอ้อมๆ" ส่วนจะเป็นศิษย์ระดับเทพ หรือ ไม่เทพ ---- ลองดูได้--- ตอบได้ จะตอบ ภาพ คคห บน เรื่อง ที่ท่านโดยกล่าวหา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 07:06:20

ความคิดเห็นที่ 30 พระพุทธทาสนั้น ท่านสอนคนที่ไม่อยากจะสนใจเรื่องนรกสวรรค์ เพราะอะไรไม่รู้นะ แต่ท่านมุ่งสอนคนจำพวกนี้ ตัวอย่างก็หาได้จากผู้มาตอบในกระทู้นี้นี่แหละ เรื่องสวรรค์เป็นพราหมณ์ ตลกดีนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสวรรค์นรก เทวดา พรหมบ่อยมากๆ ก็จะมีพระอีกหลายรูปที่สอนคนในด้านนี้ เพราะไม่คัดค้านคำของพระพุทธเจ้า ใครอยากพิสูจน์ก็สอนวิชชาให้พิสูจน์ ไปพิสูจน์กันเอาเอง เช่น ๒ในวิชชา๓ มโนมยิทธิ อภิญญา๕ เรื่องนรกสวรรค์ เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนานี่แหละครับ การอ่านงานของท่านพระพุทธทาสสำหรับผม อ่านเป็นดิคชันนารี เพราะท่านอธิบายคำศัพท์ ความหมายนั่นนี่ได้ดี ส่วนการปฏิบัติ ผมมุ่งไปที่ท่านอื่น เพราะท่านพุทธทาสไม่ได้สอนในสิ่งที่ผมต้องการนำไปปฏิบัติ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 08:03:06

ความคิดเห็นที่ 32 "สอนแต่ละเรื่อง หนวดเครางอกเป็นฤษีเลยทีเดียวเชียว" - - - - - - ใครเห็นอย่างนั้น  แม้ในกระทู้นี้ไหมครับ (ความคิดเห็นที่ .. ?) .? "สวรรค์แบบภพภูมิมีจริงครับ จขกท       พิสูจน์ด้วยตนเองนะ ครับ เห็นชัดๆ ครับ ว่า ตายไปแล้วนะครับ ถึงไปสวรรค์     ขอให้มีสัมมาทิฏฐิ " - - - - - -  ผมก็เชื่ออย่างนั้นว่า  "สวรรค์แบบภพภูมิมีจริง" - - - - - - แต่สวรรค์ในอก นรกในใจ  ในปัจจุบันขณะ ก็มีจริงเช่นกัน และ - - - - ภพภูมิ นรก สวรรค์ ของแต่ละท่านก็แตกต่างกันตามอุปาทาน จริงๆ เช่น นรก สวรรค์ ของคริส ต่างกับอิสลาม   นรก สวรรค ของธรรมกายต่างกับของพระป่า แม้ของผม และของแต่ละท่านที่นี่ ก็ต่างกัน  ไปตามกรรม + อุปาทาน ที่ต่างกัน จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 09:37:37

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านหัวข้อกระทู้   ไม่คิดว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะยาว...ได้มากขนาดนี้   อืม... อยากให้แสดงความเห็น   มากกว่าที่จะมาว่ากันด้วยถ้อยคำแรงๆน่ะ   ไม่เห็นด้วยก็ชี้แจงกันไปว่าไม่เห็นด้วยประการใด   เห็นด้วยก็เห็นด้วยเพราะอะไร อยากเข้ามาอ่านความเห็นดีๆนะ   ได้ความรู้ดี   แต่ถ้ามีคำด่าปน  อันนี้ทำให้ไม่แน่ใจเสียแล้ว  ว่าความเห็นจะมีอคติเจือปนหรือไม่ จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 09:47:41

ความคิดเห็นที่ 35 พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ http://www.84000.org/true/index.html นรกมีจริงหรือ ? http://www.84000.org/true/072.html 046 พุทธทำนาย (เกิดในนรก - สวรรค์) http://www.84000.org/true/046.html 399 หญิงที่ต้องไปเกิดในอบาย http://www.84000.org/true/399.html 075 ทำดีไปนรก-ทำชั่วไปสวรรค์ http://www.84000.org/true/075.html 511 ฆราวาสกับการเข้าถึงสวรรค์ http://www.84000.org/true/511.html 141 ปิดประตูนรก (พระโสดาบัน) http://www.84000.org/true/141.html ------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ปริฬาหสูตร ว่าด้วยความเร่าร้อน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=10601&Z=10631&pagebreak=0 ขณสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=18&A=3253 อรรถกถาขณสูตรที่ ๒ ในขณสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรกชื่อว่าผัสสายตนะ ๖ ไม่มี. นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี. จริงอยู่ บัญญัติว่าผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง. แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาอเวจีมหานรก. แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์) นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะบุรีดาวดึงส์เท่านั้น. แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่งอายตนะหก แม้แต่ละอย่างในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฉผัสสายตนิกานี้ไว้ทำไม. ตอบว่า ใครๆ ไม่อาจจะอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในนรกได้ เพราะได้รับแต่ทุกข์โดยส่วนเดียว และไม่อาจอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในเทวโลกได้ เพราะเกิดความประมาทด้วยสามารถความยินดีในการเล่นโดยส่วนเดียว เพราะได้รับความสุขโดยส่วนเดียว. ส่วนมนุษยโลกมีความสุขและความทุกข์ระคนกัน ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น ย่อมมีทั้งอบายและสวรรค์ปรากฏ. นี้ชื่อว่าเป็นกรรมภูมิของมรรคพรหมจรรย์. กรรมภูมินั้น พวกท่านได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์ซึ่งเป็นของมนุษย์ที่พวกเธอได้กันแล้ว จัดเป็นลาภของพวกท่าน และภาวะเป็นมนุษย์ที่พวกเธอได้แล้วนี้ ก็เป็นขณะเป็นสมัยของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่พวกเธอได้. สมจริงดังคำที่พระโปราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า. การเจริญมรรคในที่นี้ นี้ก็เป็นกรรมภูมิ ธรรมเป็นที่ตั้ง แห่งความสังเวชเป็นอันมาก ในที่นี้ก็เป็นฐานะอยู่ ท่านเกิดความสังเวชแล้ว ก็จงประกอบความเพียรโดย แยบคายในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลดสังเวชเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํเวคา แปลว่า ความสังเวช. จบอรรถกถาขณสูตรที่ ๒ ------------------------------------------------------ ทางแห่งความดี : ความสำคัญของใจ ตอนที่ 2/4 http://www.mgronline.com/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=4543793618082 โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 มิถุนายน 2545 17:29 น. วันนั้น พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยอันงามของมหาบาลแล้ว ทรงหลั่งพระธรรมเทศนามุ่งมหาบาลเป็นสำคัญ ทรงเทศนาอนุปุพพิกถา 5 คือ 1. ทานกถา ว่าด้วยการให้ทาน 2. สีลกถา ว่าด้วยการรักษาศีล 3. สัคคกถา ว่าด้วยความสุขในสวรรค์ 4. กามาทีนวกถา ว่าด้วยโทษและความต่ำทรามของกาม 5. เนกขัมมานิสังสกถา ว่าด้วยอานิสงส์แห่งการหลีกออกจากกาม ---------------------------------------------------------------------- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=1 อนุปุพพีกถา ๕ เหตุนั้น วันนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรอุปนิสัยของกุฎุมพีมหาปาละแล้ว เมื่อทรงแสดงธรรม ได้ตรัสอนุปุพพีกถา คือทรงประกาศทานกถา(พรรณนาทาน) สีลกถา(พรรณนาศีล) สัคคกถา(พรรณนาสวรรค์) โทษ ความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะ(คือความออกไปจากกามทั้งหลาย) มหาปาละขอบวช กุฎุมพีมหาปาละได้สดับธรรมนั้นแล้ว คิดว่า “บุตรและธิดาก็ดี โภคสมบัติก็ดี ย่อมไปตามผู้ไปสู่ปรโลกหาได้ไม่ แม้สรีระก็ไปกับตัวไม่ได้ ประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช” พอเทศนาจบ เขาก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอบวช. ขณะนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า “ญาติไหนๆ ของท่านที่ควรจะต้องอำลาไม่มีบ้างหรือ?” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า น้องชายของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่.” พระศาสดารับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจงอำลาเขาเสีย [ก่อน].” ------------------------------------ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 10:10:01

ความคิดเห็นที่ 36 ดูเหมือนว่า ห้องศาสนาควรจะมีห้องย่อยกันแล้วนะครับ เท่าที่สังเกตดู  ห้องศาสนาจะเน้นไปที่หลักแท้จริง อะไรๆ ที่ตรงกับพระไตรปิฎก ก็จะเน้นกันที่จุดนั้น เช่นนี้แล้ว ผมเห็นว่าบางทีมีคนที่ใช้บริบทธรรมะ ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็มักจะถูกกล่าวถึงในเรื่องของไม่ตรงกับหลักพุทธ (ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และกลับดีซะอีก) จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 10:15:42

ความคิดเห็นที่ 37 ศึกษาศาสนาตามแนวทางการสอนของท่านพุทธทาสมาก่อนเหมือนกัน  ปัญญาน้อยคิดตามได้ไม่มากต่อมาก็ได้มีโอกาสมาศึกษาตามแนวของท่านฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาน) ก็ทำให้เข้าใจได้ตามระดับสติปัญญาตนเองที่มีและศรัทธาท่านเกิดการปฏิบัติ สมถ-วิปัสนากรรมฐาน และเริ่มรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์  การทำบุญ-ทานต่าง ๆ เพราะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ เชื่อเรื่องดอกบัว 4 เหล่า  ปัญญาบารมีที่ไม่เท่ากันก็ทำให้รับแนวทางคำสอนได้ไม่เท่าเทียมกัน  ต้องค่อย ๆ ขัดเกลากิเลส จากละชั่ว หันมาทำดีแบบหวังผลจนค่อย ๆ ทำแบบไม่ต้องการผล คือการไม่ต้องมาเกิดจนได้ในที่สุด จากคุณ : sunnyorchids เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 10:43:17

ความคิดเห็นที่ 38 เห็นด้วยกับความเห็นที่ 21 ครับ วิธีพิสูจน์เขาก็มีกันเยอะแยะ ก็มีมิจฉาทิฐิยึดมั่นถือมั่นไม่ลองเปิดใจกว้างๆปฏิบัติดู วิธีที่ง่ายที่สุดคือการไปฝึกมโนมยิทธิครับ เพราะใช้กำลังสมาธิขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น ไม่ต้องใช้ฌาน 4 คนที่เขาทำได้นั้นมีกันเยอะแยะครับ... จากคุณ : SatoshiRenzz เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 10:48:58

ความคิดเห็นที่ 39 อีกท่านหนึ่ง อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ตลอดทั้งชีวิต ของท่าน และตลอดชีวิตที่ว่านั้น ศึกษาและปฏิบัติตลอดเวลา ส่วน นายฐานานุฐานะ นายมหาวิหาร นายวงกลม ก็เสพกามชั้นเลว ๆ อยู่ตลอดเวลาชีวิต ของพวกเขาเช่นกัน แล้วจะให้ผมเชื่อใคร? เชื่อคนชั้นเลว หรือเชื่อ พระชั้นดี? แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:54:54 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:36:04 จากคุณ : รถเรณู --------------------------------------------------- แต่ผมเห็นว่า ท่านพุทธทาส บิดเบือนพระสัทธรรม  ทำให้คนเกิดมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดว่า โลกียสัมมาทิฏฐิ เป็นของพราหมณ์ การวิจารณ์พระพุทธเจ้า ของท่านพุทธทาส http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=15&group=1&gblog=2 ผมขอเชื่อ สัตตบุรุษ อย่าง คุณฐานาฐนะ และ คุณชาวมหาวิหาร ดีกว่า เชื่อแล้วอุ่นใจ จากหนังสือ พุทธธรรม ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่รู้ไม่เข้าใจและยังไม่มีความเชื่อในเรื่องใดๆ ก็ไม่ ทรงชักจูงความเชื่อ เป็นแต่ทรงสอนให้พิจารณาตัดสินเอาตามเหตุผลที่เขา เห็นได้ด้วยตนเอง เช่น ในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับชาตินี้ชาติหน้าในแง่จริย- ธรรม ก็มีความในตอนท้ายของสูตรเดียวกันนั้นว่า กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิต ปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิต บริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง ๔ ประการ ตั้งแต่ใน ปัจจุบันนี้แล้ว คือ ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่า เมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็ย่อมเป็น สิ่งที่เป็นไปได้ นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๑ ที่เขาได้รับ ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครอง ตนอยู่ โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติ ปัจจุบันนี้แล้ว นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๒ ที่เขาได้รับ ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่วก็เป็นอันทำไซร้ เรามิได้คิดการชั่วร้ายต่อ ใครๆ ที่ไหนทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปกรรมเล่า นี้เป็นความอุ่น ใจประการที่ ๓ ที่เขาได้รับ ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่าเป็นอันทำไซร้ ในกรณีนี้ เราก็มอง เห็นตนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๔ ที่เขาได้รับ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นับถือในลัทธิศาสนาหรือหลักคำสอนใดๆ พระองค์ จะตรัสธรรมเป็นกลางๆ เป็นการเสนอแนะความจริงให้เขาคิด ด้วยความ ปรารถนาดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง โดยมิต้องคำนึงว่าหลักธรรมนั้นเป็น ของผู้ใด โดยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่มีการชักจูงให้เขาเชื่อหรือเลื่อมใส ต่อพระองค์ หรือเข้ามาสู่อะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าศาสนาของพระองค์ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 11:13:49

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าสำนักวัดนาป่าพง  ที่เคยศึกษา อัตตโนมติ ของท่านพุทธทาส จึงได้เป็นแบบนี้ ______________________________________ ศิษย์เอกของท่านพุทธทาส อีกคนคือ ท่านโชติ หรือ เซนเถรวาท ดูทิฏฐิเองแล้วกันครับ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 11:20:15

ความคิดเห็นที่ 41 ขออนุญาตจ้า คำสอนของท่านพุทธทาส จะเน้นเรื่อง "จิตว่าง" เป็นจิตว่าง ที่ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของพุทธหรือนิกายใดทั้งนั้น เป็นจิตธรรมชาติแท้ๆ เมื่อจิตว่าง "ไม่มีตัวตนใดในจิต" ก็หมดอะไรเกิด อะไรแก่ อะไรไปอยู่ในภพไหน ไม่กลับมาเกิดอีก พระพุทธเจ้าท่านสอนตรงนี้ และท่านพุทธทาสก็ย้ำตรงนี้ *********************** อ่านหนังสือท่านพุทธทาส ท่านบอก "หนังสือบังพระธรรม"?????? มีคนถามท่าน "เสือ ล่าเนื้อบาปไหม" ท่านตอบว่า "มันเป็นเสือ เพราะ "มันอยาก" เป็นเสือ" มีคนถามท่าน "เราเกิดมาทำไม" ท่านตอบว่า "จริงๆแล้วเราไม่ได้เกิดมา เห็น คำสอนที่เน้นไปทาง "จิตว่าง" ของท่านไหม แม้แต่ คำว่า "ไปนิพพานอย่าเสียดายเรือ" เรือที่ว่าคือวิชาพุทธ ที่นำไปสู่ "ความว่าง" ซึ่งเมือถึงความว่างแล้ว ก็หมดตัวตน หมดความมีคน หมดทุกอย่าง แม้แต่ความจะเป็นคนของศาสนาใด นิกายใด ก็หมดลงไปด้วย "คือ จิตว่าง" ************************ จุดนึง ที่พบบ่อยคือ ท่านพยายามเน้นว่า "นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้" และสอนว่า "นิพพานแปลว่าเย็น ใจเย็นสนิทไม่เหลือตัวตน ก็คือเป้าหมายของวิชาพุทธเจ้า" ลบล้างความเชื่อ ของคนที่คิดเพียงแค่ว่า "ทำดีตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์" "บวชแล้วตายได้ไปนิพพาน" ท่านว่า "ถ้าจิตว่างลง นิพพานก็อยู่ตรงนี้เอง" ไม่ใช่รอตอนตายก่อน (หนังสือเล่มหนึ่งของพุทธทาส เคยเขียนว่า พุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้คนหยุดแค่ที่ ทำความดี") สวรรค์นรกก็มีมาตั้งแต่พราหมณ์(ก็คือภาวะของใจเราหลังจากที่เราคิด เราพูดเราทำอะไรไป มันมีมานานแล้ว พิสูจน์ในกระทู้นี้ก็ได้ ใจเราเป็นอย่างไร แต่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ ท่านสอน "สุญญตา" คือ "ความหมดตัวหมดตน จิตว่างจากการปรุงแต่ง" (ความคิดไม่ได้ครอบงำสร้างผู้คิด) ************************ อิอิ ลองอ่านอันนี้ดูนะครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10928842/Y10928842.html พุทธทาส ยังสอนอีกว่า "ยิ่งศึกษาพระพุทธศาสนา ยิ่งไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา" เพราะอะไร???? ตั้งแต่อ่านหนังสือธรรมะมา คิดว่า "สอนแบบท่านพุทธทาส" นี่ตรงเผงเลย แล้วก็ เลิกเป็นคน ให้หมด เลิกเป็นคนของแนวคิดใด ทั้งหมด นี่แหละ คือ จิตว่าง คือ สุญญตาวิหาร ในปัจจุบันนี้ *************************** ถ้ายังอยู่ใต้ความคิดปรุงแต่ง "นรกสวรรค์"(แสบสันต์ สุขสันต์ ทางใจมีแน่ มีในขณะนี้ด้วย) และเป็นความรู้มีมาตั้งแต่ยุคพราหมณ์ แต่ท่านพุทธทาส ท่านจิ้มไปตรงจุด พี่พระพุทธเจ้าเน้น คือ นิพพาน ซึ่งพราหมณ์ไม่มีจ้า จิตว่างจริงๆ ต้องว่างจาก "การเป็นคนของอะไร" ทั้งสิ้น เน้อ อิอิ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 11:33:43 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 11:28:25 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 11:27:03 จากคุณ : ART_TRA_MAN เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 11:25:42

ความคิดเห็นที่ 42 ขอโทษครับ ผมมาขอยกมือว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อพุทธทาสครับ ติดตามผลงานท่านตั้งแต่เกือบ ๓๐ ปีก่อน ไม่อยากแก้ตัวแทนท่านพุทธทาสหรอกครับ เพราะท่านสอนดีแล้ว และท่านก็ไปดีแล้วครับ ขอพูดแต่เรื่องที่ จขกท.ถามนะครับ --------------- คุณ จขกท. ครับ หลวงพ่อพุทธทาสท่านสอนให้ดู "ปรมัตถสภาวะ" คือ "ใจ" ที่ถูกปรุงโดยกุศลธรรมบ้าง อกุศลธรรมบ้างครับ เมื่อใจโกรธ นั่นเป็นสภาวะของ "นรก" นี่เอง (ถ้าเผลอตายตอนนี้ ประตูนรกของจริงจะเปิดรับทันที) เมื่อใจดี เช่นมีหิริโอตตัปปะ นั่นเป็นสภาวะของใจเทวดา ถ้าตายตอนนั้นพอดีประตูสวรรค์ก็เปิดรับเช่นกันครับ ดังนั้น หลวงพ่อพุทธทาสท่านจึงเน้นให้เราหมั่นดูแลสติทุกๆขณะ (อย่าไปสนใจเรื่องอื่นๆ เช่นอีกสิบห้าปีข้างหน้าฉันตายแล้วจะไปไหน?) นั่นเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่สอนให้ "รู้ ตื่น เบิกบาน" อยู่ในปัจจุบันครับ ส่วนศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาส บางท่านหรือหลายท่านเคยเข้าใจผิด คิดว่าท่านสอนเรื่องตายแล้วสูญ ไปถามท่านว่าจริงหรือ ท่านปฏิเสธว่าไม่จริงครับ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 54 18:51:58 จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 12:05:26

ความคิดเห็นที่ 43 เทวดามีจริงหรือไม่ (โดยท่านพุทธทาส) “ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง. ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจ หรือ ติดแน่น ในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย --------------------------------------------- เล่าไว้เมื่อวัยสนทยา โดยท่านพุทธทาส อาจารย์ครับ แม้แต่ระยะหลังที่อาจารย์เสนอให้ฉีกพระไตรปิฎก อาจารย์ก็อาศัยหลักอันเดียวกันนี้มาตลอด หรือมีหลักอย่างอื่นด้วย เวลาวินิจฉัยว่าอันไหนควรจะฉีก อันไหนไม่ควรฉีก อย่างนั้นใช้หลักอย่างที่ว่า ที่เห็นชัดว่ามันไม่เกี่ยวกับความทุกข์ที่มันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ เช่นเรื่องสุริยคราส จันทรคราส ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ แต่เป็นการสร้างความเชื่อในหมู่คนที่ไร้การศึกษาสมัยนั้นให้หันมาสนใจพระพุทธเจ้า ถ้าเพียงแต่ออกชื่อพระพุทธเจ้า ราหูก็ต้องปล่อยพระจันทร์ เข้าใจว่าในอินเดียหรือในลังกา สมัยที่เติมสูตรนี้เข้ามา คนมันเชื่ออย่างนั้นมาก เลยเอามาพูดไว้เสียเลย มาบรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเสียเลย เรื่องยักษ์ก็เหมือนกัน คนกลัวยักษ์กันมาก ฉะนั้น ถ้ามีเรื่องที่ไม่ต้องกลัวยักษ์ มันก็มีประโยชน์แก่มหาชน ท่านเหล่านี้คงมองถึงประชาชนชั้นที่ต่ำสุด ชั้นที่ไร้การศึกษา เขาเชื่อเทวดากันอยู่อย่างนั้นโดยมากถือโอกาสเอาเทวดามาเป็นเครื่องชักจูงให้เขาหันมาถือพุทธศาสนา โดยใจความสำคัญว่า แม้แต่เทวดาก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า คนธรรมดาทำไมจะไม่ต้องยอมรับนับถือ ในพระสูตรเรื่องอริยสัจแท้ ๆ เรื่องมรรคมีองค์ ๘ แท้ ๆ ยังต้องเอาเทวดามาช่วยสนับสนุน ว่าสิ่งวิเศษเกิดขึ้นแล้วในโลก บอกกันทุกชั้น ๆ ของเทวดา ธรรมะที่ใคร ๆ ไม่อาจจะคัดค้านได้เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนได้ยินถึงเรื่องเทวดาก็ยอมด้วย เพราะเขาฝากกันไว้กับเทวดาอยู่เป็นพื้นฐาน ใช้คำว่าฉีกรู้สึกมันหยาบคาย แต่ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร อาจารย์หมายความว่าอย่างไรครับ คำว่าฉีกของอาจารย์ ปลดออก ระงับเสีย สำหรับเมื่อจะแสดงแก่คนชนิดไหน ถ้าจะมีสำหรับคนทั่วไป คนพื้นฐานที่ไร้การศึกษาก็ไม่ต้องฉีกออก และไม่มีอะไรที่จะต้องฉีกออก แต่ถ้าจะแสดงแก่นักวิทยาศาสตร์แท้จริง นักโบราณคดีแท้จริง ต้องปลด ๆ ออกเสีย ๖๐% เหลือ ๔๐% จึงจะสะอาด สะอาดบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เหลือแต่แกนกับแก่น เหลือแต่เพชรเหลือแต่ทองคำ (หัวเราะ) --------------------------------------------------- สรุปตามทิฏฐิท่านพุทธทาส  ยุคนี้คนฉลาดขึ้นแล้ว เป็นยุคปรมาณู ยุควิทยาศาสตร์ของโลก  เรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า นรก สวรรค์ ๑๖ ชั้นฟ้า จึงไม่จำเป็น ถึงจะมีในเป็น พุทธพจน์ พุทธวจนะ ก็เป็นการตรัสเอออวยกับศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น  เพราะพิสูจน์ให้คนโง่สมัยนั้นเชื่อไม่ได้ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 12:16:24

ความคิดเห็นที่ 44 ลงชื่อ ครับ. จากคุณ : Zen Entania เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 14:10:20

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณ คุณเฉลิมศักดิ์1ด้วยนะ  กระทู้ของคุณเฉลิมศักดิ์ ที่โพสต์แต่ละครั้ง มีประโยชน์มาก ๆ ทีเดียว คือทำให้คนเข้าใจ สิ่งที่ท่านพุทธทาสสอนได้ดีขึ้น และมากขึ้น จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 16:10:10

ความคิดเห็นที่ 46 สรุป "ปฏิจจสมุปบาท" ตามทิฏฐิพระพุทธโฆษาจารย์ (ที่เสนอ ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท)                     ชาวพุทธ  ยุคนี้คนฉลาดขึ้นแล้ว เพราะ (๑) ท่านพุทธทาส แปล จากพระโอษฐ์  ให้ เทียบกับ วิสุทธิมัคค์ (๒) พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ชัด   ---- ตามภาพ สรุป ถ้ายังมี  ชาวพุทธ ยุคนี้ ที่ ฉลาดเท่าเดิม  ก้น่าจะเป้นไปได้ว่า ได้แก่ นัก อภิธัมมัตถสังคหะ  -- ที่ อิง วิสุทธิมัคค์ (เรื่อง ญาณ ๑๖) ฯลฯ และ ชาวพุทธ ตาม 2 บรรทัดบนนี้ กระมัง   ที่ --- ทำให้ อภิธัมมัตถสังคหะ -- เสื่อมถอยยยยย จางคลายไปเรื่อยยยยย                                    คุณเฉลิมศักดิ์1   มีมุมมองในเรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท" ตามทิฏฐิพระพุทธโฆษาจารย์ (ที่เสนอ ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท)                     ชาวพุทธ  ยุคนี้คนฉลาดขึ้นแล้ว เพราะ (๑) ท่านพุทธทาส แปล จากพระโอษฐ์  ให้ เทียบกับ วิสุทธิมัคค์ (๒) พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่าน ชี้ชัด   ---- ตามภาพ                                    ใช่ ไหม ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 18:38:33

ความคิดเห็นที่ 47 ---------- เพิ่งเห็น ความคิดเห็นที่ 14     นายวงกลม และนายฐานานุฐานะ ที่อาจหาญ ไปตัดสินว่า ที่เขารู้มานั้น "ผิด" ทั้ง ๆ ที่แหล่งที่เขารู้มานั้น เป็นแหล่งที่มาที่ คุณทั้งสอง ไม่สามารถเอาอะไรไปเทียบเคียงได้เลย ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือ อีกกี่ภัทรกัปป์ไหน ๆ ก็ตาม ..... ..... ส่วน นายฐานานุฐานะ นายมหาวิหาร นายวงกลม ก็เสพกามชั้นเลว ๆ อยู่ตลอดเวลาชีวิต ของพวกเขาเช่นกัน แล้วจะให้ผมเชื่อใคร? เชื่อคนชั้นเลว หรือเชื่อ พระชั้นดี? เนี่ยเป็นใครกัน หรือ ?  หัวดำ หัวขาว หรือหัวโล้น แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:54:54 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 54 23:36:04 จากคุณ : รถเรณู     เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 23:27:08   ---------------------------------------------- (ขออภัยท่านผู้อ่านล่วงหน้า  สรรพนามที่กล่าวถึงรถเรณู ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของเขา)   -------------------- นายรถเรณู เนี่ยเป็นใครกัน หรือ ?  หัวดำ หรือ หัวขาว  ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร  ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก  :-)สู่รู้  ไปว่าเขา   1. ไม่รู้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่บอกว่าจะเชื่อ  มันจะเชื่ออะไรก็เป็นเรื่องของมัน เข้าใจว่ามันคงรู้ กาลามสูตร  แต่มันยังดันทุรุง ไม่พิจารณาธรรม ว่าผิดหรือถูก  มันจะบอกกว่า จะเชื่อ จะเชื่อ   มันมีสติปัญญาบ้างหรือเปล่า  มันรู้จักพระธรรมหรือเปล่า  รู้จักความดี ความเลวหรือเปล่า จึงได้ทำแบบนี้   2. จะตัดสินบอกว่า อะไรผิด อะไรถุก เป็นเรืองของเขาที่ได้พิจารณาแล้ว ทั้งนายวงกลม ก็ไม่ได้กล่าวถึงท่านพุทธทาส  นายวงกลมนี้ก็ได้เรียนรู้จากท่านในเรืองที่สำคัญคือ เรื่องตัวกูของกู   อนัตตาของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ได้อ่านงานของท่าน ก็  เห็นไป  เข้าใจไปตามความเห็นของตัว การที่บอกว่าเจ้าของกระทู้ รู้ผิด รู้ถูก ทำไมจะบอกไม่ได้ (นายรถเรณู เห็นว่าว่าตัวรู้ว่า ท่านพุทธทาส เห็นอย่างที่เจ้าของกระทู้กล่าวมา ก็ลองบอกมาว่า เจ้าของกระทู้อ่านอะไรมา  แล้วหมายความว่าอย่างไร ) 3. รถเรณูโง่แบบนี้แล้ว มันจะเชื่ออะไรก็เป็นเรื่องของมัน แต่มันจะมาออกความเห็น มาว่าเขา  ที่เขาได้พิจารณาพระธรรมแล้ว  แบบไม่มีสติทำไม     มันไม่รู้เรื่องพอ ก็ไม่ต้องมาออกความเห็น พอหรือยัง แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 54 03:23:49 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 03:22:34

ความคิดเห็นที่ 48 ---- วันหลังถ้าพูดถึงนายวงกลมอีก ก็ส่งหลังไมค์ไปบอกด้วยก็ได้ จะได้มาตอบเร็วๆ  กระทู้นี้เกือบไม่ได้มาดูอีก จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 03:29:45

ความคิดเห็นที่ 49 ตรัสไว้ว่า --- อวิชชา นั่นแหละ เป็น คติ ของสัตว์ เหล่านั้น ท่าน จขกท พิจารณา เข้าใจ อย่างไร?  รู้หมายได้เอง นะครับ ผมจะยกตัวอย่าง ปุถุขนสมัยนี้ เรียน อภิธัมมัตถสังคหะ -- เรื่อง ปรมัตถ์ ๔ ฯ เพราะ ยังมี อวิชชา ในขณะเรียน ทรงจำ เรื่อง ปรมัตถ์ ๔ ฯ                                                      ดังนั้น คติ ของ นักปรมัตถ์ (เกี่ยวกับ จิตสันตติ และหรือ วิญญาณกิจ ๑๔  ตาม วิสุทธิมััค์) จึง เป็นไปตาม  ที่ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า -- อวิชชา นั่นแหละ เป็น คติ ของสัตว์ เหล่านั้น เมื่อ คติ ของนักอภิธัมมัตถสังคะ  เนื่องกับ อวิชชา ตาม ที่ตรัสไว้ -- สิ่งที่เขาเชื่อมั่น  เพราะ อุปาทาน (แต่ สำคัญว่า สมาทาน มั๊ง) อันมี อวิชชา เป็น หัว ขบวน ----- จึง ไม่จริง ตาม อวิชชา แปลว่า ปรมัตถ์ ที่ เขา อ้าง นั้น มันไม่จริง ตามนั้น เพราะ อวิชชา ของเขา พระพุทธองค์ ตรัสสอน ธรรม ที่ "จริงแท้แน่นอน" คือ -- ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นทุกข์ (อริยสัจ  เนื่องกับ ไตรลักษณ์ด้วย) ขณะใด ทีั่ นักอภิธรรม  กล่าวอภิธรรม ด้วย อวิชชา ขณะนั้น ปรมัตถ์นั้น กำลัง =  ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นทุกข์ นรก สวรรค์ ไม่ว่าแบบไหน  ล้วน เนื่องกับ ---  ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นทุกข์  ทั้งนั้น -- กำหนด เห็นได้ คือ ตอน ที่ ยังไม่ หมดไออุ่น  มิใช่หรือ พระพุทธองค์ ตรัส ฉผัสสายติกนรก ไว้ พระพุทธองค์ตรัส ฉผัสสายติกสวรรค์ไว้                                                             ชาวพุทธสมัยโน้น "ถิ่นใดนั้น)เขา จึง ผูกคำขึ้นว่า  ---------------   สวรรคในอก  นรกในใจ นิพพานอยู่ที่ ตายเสียก่อนตาย  ----------- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 08:49:45

ความคิดเห็นที่ 50 ท่านไม่ได้สอนผิดค่ะ ท่านสอนว่าอย่ายึดเพราะสุดท้ายคือพระนิพพานนั้นคือที่สุดแห่งบรมสุข และหลุดพ้นค่ะ สอนพวกคนอย่างบารมีอ่อน ก็ต้องขู่ด้วยนรก สวรรค์ ว่าผลกรรมดีไม่ดีนี้มีจริงนะ อย่าเผลอทำ  สอนพวกอินทรีย์กล้าก็ต้องบอกเรื่องสุญญตาเพราะถ้าเผลอไปภพภูมิอย่างพรหม อรูปพรหม ยังไงก็ต้องลงมาเกิดอีก ศุภนิมิตรที่มีที่เห็นก็ต้องละเพราะมันไม่จริง  มันขึ้นอยู่กับปัญญาที่ได้ของผู้ปฏิบัติค่ะ สวรรค์ในอก นรกในใจก็สอนขั้นปุถุชนที่มาวัดแล้วทำบุญกิริยาเทียบกับการกระทำทางโลก มันอยู่ที่เราหยิบมาใช้เท่าไหร่ค่ะ เพราะสุดท้ายมันไม่มีค่ะ จากคุณ : anumotanasatu เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 10:36:02

ความคิดเห็นที่ 51 ----- ขอนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ อีกนิดนะครับ นิทานสุนัขแบบที่  รถเรณู แต่ง     ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ อีกสักข้อได้ไหม... --------------- สุนัขตัวหนึ่งมันกำลังเดินดมกลิ่น  ไม่รู้ว่ากลิ่นสุนับตัวเมีย  หรือกลิ่นเศษอาหารอยู่   พอดีมีเสียงโยนกระป๋องกระทบถังขยะ  สุนัขตัวนั้น เลยเห่าออกมาทันที แล้วรีบไปตะคุ้ยถังขยะ  ไม่รุ้ว่ามันคิดว่า มีเศษอาหารหรือกระป๋องนมมีอะไรให้มันกินอยู่ หรือมันคิดว่าไม่ว่าเสียงกระป๋องนั้น เป็นอไรก็ตาม มันเชื่อว่า ต้องมีอาหารหรือ มันคิดถ้าเป็นเสียงกระป๋องแบบนี้  ต้องเป็นกระป๋องนมตรามะลิแน่นอน   เป็นกระป๋องอะไรอื่นไม่ได้เด็ดขาด ต่อจากนั้น มันก็เห่า คนที่เดินผ่านอีก 2 ที  มันอาจจะคิดว่า กระป๋องนมตรามะลิดีๆ  เอามาทิ้งทำไม พร้อมนั้น อาจจะคิดในใจว่า  มันเฃื่อว่ากระป๋องนั้นเป็นนมตรามะลิแน่ๆ  แม้มันจะยังคว่ายังขยะมาดูไม่ได้ ว่า เสียงที่มันได้ยินนั้น เป็นเสียงอะไร  เพราะมันเป็นสุนัขมันจึงอาจจะคิดเชื่อมั่นโดยไม่รู้ว่าต้องคุ้ยเห็นให้ชัดก่อน ว่าใครทิ้ง ที่ทิ้งมาคืออะหร   จึงเห่า คนที่เดินผ่านไปตามปกติของสุนัขของมัน (เดี๋ยวไปดูพล้อตเรื่องก่อน) สุนัขนั้นยังตะกุยถังขยะต่อไป  มันอาจจะคิดมั่นอกมั่นใจเรื่องที่มันคิดว่ากระป๋องต้องเป็นนมตรามะลิแน่ๆอยู่  พร้อมน้ำลายยืดใส่ถังขยะเป็นที่รังเกียจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต่อไป ---------------------- เอาอีกมั๊ย   จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 11:36:50

ความคิดเห็นที่ 52 ใส้เดือนกำลังดิ้นอยู่ในกองขี้เถ้า ดิ้นได้เป็น "วงกลม" เชียว  !!! จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 12:40:52

ความคิดเห็นที่ 53 ---------- เอ้า รถเรณู มาแล้ว  ดิ้นคลกน้ำลายตัวเอง  ยังไม่รุ้สีกตัวเลย จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 12:45:01

ความคิดเห็นที่ 54 อย่าทะเลาะกันเลยครับ ใครจะเชื่ออย่างไหนก็เป็นเรื่องของเขา ขอเราเคาระพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ก็พอแล้วครับ หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านพูดเสมอว่า อย่าไปสนใจจริตคนอื่น ถ้าเรายอมรับกฎแห่งกรรมแล้ว เรื่องคนอื่นจะดีจะชั่วเราก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ครับ :) จากคุณ : SatoshiRenzz เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 17:18:43

ความคิดเห็นที่ 55 เราลืมกันไปแล้วหรือว่าพระศาสดาทรงฝากให้พระธรรมเป็นตัวแทนพระองค์ พระธรรมก็ต้องศึกษาและอ้างอิงจากพระไตรปิฎกเป็นหลัก ซึ่งเนื้อหาท่านกล่าวถึงเรื่องชาตินี้ชาติหน้า การเกิดใหม่ การให้ผลกรรมข้ามภพชาติมากมายนับไม่ถ้วน เราผู้ศึกษา ก็ต้องศึกษาและถ่ายทอดตามพระไตรปิฎก ใครที่ถ่ายทอดผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกก็สมควรได้รับการตำหนิ ท่านใดศึกษาและถ่ายทอดโดยยึดถือพระไตรปิฎกโดยเคร่งครัด.  เราก็ควรอนุโมทนาสาธุไปด้วย แต่นี่อะไร.!! ท่านฐานาฐานะและท่านชาวมหาวิหารต่างก็ตอบกระทู้ไปตามตำราพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะท่านฐานาฐานะที่ตอบคำถาม โดยการอ้างอิงพระไตรปืฎกด้วยความเคารพมาตลอด ท่านทำอย่างนี้มาหลายปี  ช่วยเหลือผู้คนมานับไม่ถ้วน ท่านทำให้พวกเราเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้ง่ายขึ้น และในกระทู้นี้ท่านผิดอะไร?? ถ้าเนื้อหาตามหนังสือที่จขกทอ่านมา    ไม่ตรงกับพระไตรปิฎก.....แล้วใครผิด? ท่านฐานาฐานะกับคุณชาวมหาวิหารผิดงั้นเหรอ?? ข้าพเจ้าว่าที่คุณวงกลมเขียนนี่ยังสุภาพไปนะ. !! แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 54 19:14:25 จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 19:10:49

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้า เจ้าของกระทู้เป็นอุทเฉททิฏฐิเพราะอ่านหนังสือท่านพุทธทาส และยังคงยึดมั่นเช่นนั้นไปอีกหลายปี  ใครจะมารับผิดชอบให้เจ้าของกระทู้ได้ ก็หนังสือท่านพุทธทาส ท่านปฏิเสธชาตินี้ชาติหน้าจริงๆ นับเป็นโอกาส. และกุศลวิบากของ จขกทแล้ว. ที่มีผู้ทักท้วงในกระทู้ ศึกษาพระไตรปิฎกปลอดภัยที่สุดนะคะท่านเจ้าของกระทู้ จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 19:28:18

ความคิดเห็นที่ 57 มีวัฎฏสงสาร มีนิพพาน จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 21:41:55

ความคิดเห็นที่ 58 นายวงกลม ผู้แสนดี  เอาน้ำลายตัวเองไปกินซักหน่อยสิ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 22:45:08

ความคิดเห็นที่ 59 ....นบนอบ , ข้อความส่วนตัวหลังไมค์  ไม่ควรเอามาให้บุคคลที่ ๓  รู้เห็น  เพราะผิดมารยาทอย่างยิ่ง  ไม่ว่าดีหรือร้ายแค่ไหนก็ตาม  .... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 00:10:32

ความคิดเห็นที่ 60 ---------------  เยี่ยมมาก   นบนอบ  คริสต์ทรยศคริสต์ ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเชือ่พระเจ้า  //smil                          ให้เอามาลงอีกนะ  ที่  นบนอบ คริสต์ทรยศ อกตัญญู  ด่าพ่อแม่ ตัวเอง   เอามาลงอีกนะ   ยอดเยี่ยมมาก   55555 555555 5555555........... ( รู้ว่าเรื่องกเกิดเพระตัวเอง  ตัวเองรู้ว่าจบแล้ว  เวบมาสเตอร์ยกเลิกลอกอินคริสต์ทรยศอกตัญญูพ่อแม่หลายอันแล้ว   แต่ยังเอาพ่อแม่ตัวเองมาด่าเอง  เพื่อรับใช้ความเขื่อเรื่องพระเจ้าของตัวเอง    เยี่ยนมากนบนอบ   55555555555555555555555   เอาอีก  เอาอีก   เอาอีก  ...........เอาที่นบนอบด่าพ่อแม่ตัวเองมาอลงอีก  ......................555555555555555555      มันส์มั๊ย นบนอบ     (save  กระทู้ไว้ให้แล้ว เอาไว้อ้างอิง  เรื่องนบนอบด่าพ่อแม่ตัวเอง  อีกชัวนิรันดร์กาล...............ที่นบนอบ ตกนรก   55555555555555555555.................................................) จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:11:30

ความคิดเห็นที่ 61 ปล.  นนอบ  คริสต์ทรยศคริสต์  คริสต์อกตัญญูพ่อแม่นบนอบ ช่วยเอารูปที่นบนอบด่าพ่อแม่ตัวเอง ลงต่อความเห็นของผมในเวบนี้  ทุกความเห็นได้มั๊ยครับ  จะขอบคุณมาก........แม้ว่าคุณจะเป็นคนเลว  แต่การทำแบบนี้ถือเป็นการทำดี  ยับยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์แบบเลวๆ  ของนบนอบและพรรคพวกที่ให้ใช้บัตรประชาชนมาสมัตรลอกอินที่ถูกลบไปหลายลอกอิน................   ขอบคุณล่วงหน้าครับ  คุณคริสต์อกตัญญูพ่อแม่นบนอบ   ปล.2 ลืมบอกไป   รูปที่นบนอบคริสต์ทรยศคริสต์นำมาลง  ทุกรูป ได้โพสไว้หน้าเวบด้วยแล้ว  ตามข้อความบนสุด(ที่เดี๋ยวนี้นบนอบ ไม่กล้าตัดออก  แต่ก่อนตัดออกเพื่อหลอกลวงคนในเวบว่า เป็นข้อความที่ส่งหลังไมค์อย่างเดียว  ความจริงโพสในเวบ แล้วค่อยส่งหลังไมค์ให้นบนอบคริสต์ทรยศคริสต์ด้วย)   นบนอบช่วยเอารูปที่โพสในเวบมาลงด้วยนะ  จะได้สมบรูณ์ครบถ้วน ขอบคุณล่วงหน้า  :) แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 54 10:38:57 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:19:09

ความคิดเห็นที่ 62 ความคิดเห็นที่ 58     นายวงกลม ผู้แสนดี ---------------- ขอบคุณ นบนอบคริสต์อกตัญญูพ่อแม่   มาชมผม เดี๋ยวนี้สำนึกได้จะเลิกนับถือพระเจ้าและเลิกเผยการเชื่อพระเจ้าแบบเลวๆแล้วใช่มั๊ย......... แล้วเลิกไปสนเอเฟซัส ให้เด็กๆในโบสถ์แล้วใช่มั๊ย   เออ...ดีแล้วหละ จะได้เลิกทำบาปเสียที จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:27:51

ความคิดเห็นที่ 63 ... ... ข้าพเจ้าว่าที่คุณวงกลมเขียนนี่ยังสุภาพไปนะ. !! แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 54 19:14:25 จากคุณ : เอิงเอย     เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 19:10:49     ------------------ ขอบคุณ คุณเอิงเอย ครับ  นานน้าน.................. จะมีคนชมสักคน จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 10:29:16

ความคิดเห็นที่ 64 พระหรือญาติโยมที่วิปฏิสาร ตามที่คุณรถเรณแสดงไว้ในกระทู้ หมายถึงใครบ้างครับ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 11:44:24

ความคิดเห็นที่ 65 แรกๆ ที่เข้ามาเล่นห้องศาสนาแห่งนี้  จะเห็นกระทู้ที่ตั้งถึง "นบนอบ" เรียกว่า "เกรียนนบนอบ" นับถือศาสนาพุทธหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  แต่...ขยันมาสาระแนกับกระทู้ทางพุทธ ซะจริงๆ แล้วมารยาทสุดยอด(แย่)  เอาหลังไมค์มาพูดหน้ากระทู้ คนพันธุ์นี้ หากทะเลาะกะเมีย ใฝ่ฝ้ามีตรงไหนบ้าง คงขุดออกมาแฉไม่มีเหลือ ! จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 12:43:50

ความคิดเห็นที่ 66 กับบางคนนี่น่าแปลกมาก ของขึ้นที กำพืดสำแดง ปากคอเราะร้าย พยายามเอาเรื่องทางกายภาพมาเสียดสี หัวหงอก หัวดำ หัวโล้น บ้างหละ อายุหนุ่มแก่ บ้างหละ  เรื่องส่วนตัวของเขา บ้้างหละ ได้ทีเป็นถลาเข้าไปจิกกัดในกระทู้บ้างหละ  ไม่เล่นและจบเป็นกระทู้ๆ ไป  fair play ?!? งง มาก  ...  เป็นไปได้นะคนเรา  ทั้งๆ ที่การงานที่เคยโวไว้ก็ "ดูเหมือนว่าจะดี" นึกถึงแม่ค้าในตลาดเวลาด่ากัน  ไปขุดอะไรมาด่าก็ไม่รู้  ดอกไม้ไม่เกี่ยวก็เอามาว่า พ่อแม่หมูหมากาไก่ ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ก็ยกเอามาเกี่ยว อ้วนผอมสูงเตี้ย ขี้เหร่น่าเกลียด เอามาเป็นข้อด่ากระทบกระเทียบได้หมด ไม่มีสติปัญญาที่จะ focus กัับหัวข้อที่เป็นประเด็น แล้วก็จะมีข้ออ้างสุดเท่ห์ตามมา...ทดสอบการควบคุมอารมณ์ วุฒิภาวะ ! ไปถามว่า คนอื่นเป็นใคร  แล้วตัวเองล่ะเป็นใคร  มีสิทธิอะไรงั้นรึ ไอ้ปากจัดๆ แบบเนี้ย  ใครๆ ก็ทำได้ ไปหาตามตลาดมีถมถืด   หากสำนึกว่าคือ "ปัญญาชน" คงหาปัญญาชนน้อยรายที่จะสนทนากับผู้ื่อื่นเยี่ยงนี้ ขออภัยที่กล่าวแบบนี้  แต่เห็นทำนองนี้มาหลายกระทู้แล้ว จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 13:01:48

ความคิดเห็นที่ 67 ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ สื่อให้เห็นว่า อ่อนปฎิบัติ อย่างมากค่ะ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเราเอง แต่ก่อนเราก็ไม่เชื่อเหมือนกันด้วยไม่เคยปฎิบัติธรรมค่ะ ! จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 13:09:58

ความคิดเห็นที่ 68 เฮ้อ! สังคมออนไลน์คุณภาพ จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 22:43:12

ความคิดเห็นที่ 69 ขออนุญาตยกคำในความเห็นที่26 ของคุณพักผ่อน จะเอา "ตัวเรา" "ตัวท่าน" หรือ "ตัวธรรม" ก็เลือกเอา ถ้าจะเอา "ตัวธรรม" ให้หนักแน่นในธรรมให้มาก ๆ จากคุณ : แสวงหาปัญญา เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 54 17:02:03