|
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แต่ละคนมีจุดอ่อนต่อกิเลสต่างกัน คุณอธิแำพ้แมว (เหมือนจะไม่ค่อยแพ้แล้ว) ส่วนผมแพ้ของที่ไม่เฉียดมาให้แพ้ อิอิ : ) ------------------------------------------------------------------- อ่านกระทู้นี้ นึกถึงอันนี้ ใกล้หรือห่างแง่ไหนมั่งก็ไม่แน่ใจ
เมื่อพูดถึงสิ่งของหรือทรัพย์สมบัติ นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องศึกษา ในขั้นแรกของการอยู่ที่นี่ ฉันมีทรัพย์สมบัติแต่เพียงบาตร ๑ ใบ มีฝาทองเหลืองชนิดตักน้ำได้ กับถังตักน้ำเล็กๆ จากบ่อน้ำใบหนึ่ง และจีวรเท่าที่จำเป็นจะต้องมีเท่านั้น กับมีตะเกียงน้ำมันมะพร้าวทำด้วยแก้วที่ใช้ดื่มน้ำดวงหนึ่ง จุดที่หน้าพระพุทธรูปเป็นประจำ จะไปไหนเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องปิดประตู ไม่ต้องใส่กุญแจ ไม่ต้องสั่งเสียใคร เพราะมีคนเดียว จะกลับมาเมื่อไรเวลาไหน ก็ไม่มีห่วงโดยทุกๆ ทาง ไม่มีอะไรที่จะต้องดูแลระวังรักษา, ไม่มีเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบอย่างใดกะใคร, รู้สึกว่ามีตัวเพียงตัวน้อยๆ และเป็นอิสระเหมือนนก ความคิดนึกเกลี้ยงเกลา ไม่คิดนึกอะไรเลยก็ได้ มีแต่ความเบาสบายซึ่งยากที่จะบอก. และทำความพอใจให้เสมอไม่มีเบื่อ เหมือนดื่มน้ำที่จืดสนิทดี. นับตั้งแต่เกิดมาเท่าที่จำได้ ไม่เคยมีความเบาสบายเหมือนไม่มีเนื้อมีตัวเหมือนเมื่อมาอยู่ตามแบบนี้เลย.
ความพอใจในความเป็นเช่นนี้ที่เกิดขึ้น มีมากพอที่จะหักห้ามความกังวลถึงอนาคต เชื่อแน่ในตัวเองว่า ตัวอาจหาความสุขหรือความพอใจให้แก่ตัวเองได้โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร มีความคิดอุตรีไปถึงว่า สามารถจะมีชีวิตอยูในโลกนี้คนเดียวก็ได้ หรืออยู่ได้โดยไม่ต้องติดต่อกับใคร เช่นเดียวกับพวกที่อยู่หิมาลัยนั้นเหมือนกัน
หนังสือพิมพ์"พุทธสาสนา" รายตรีมาส เล่ม ๑ พฤศภาคม ๒๔๗๖ พิมพ์ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ครั้นต่อมามีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้น เมื่อคิดออกหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา ทำให้ต้องมีกระดาษ ดินสอ และหนังสือบางเล่ม ความรู้สึกในใจก็กระทบกันเป็นคราวๆ บางทีหนังสือนั้นยืมเขา จะไปไหนต้องเก็บ ต้องปิดหีบ ปิดประตู กระทั่งใส่กุญแจทิ้งไว้ กลับมายังเรียบร้อยดีอยู่ก็เบาใจ มีคราวหนึ่งไปธุระค้างคืน กลับมาทันขณะที่ปลวกขึ้นมาพอถึงกองหนังสือพอดี. หนังสือเหล่านั้นเป็นพระไตรปิฎกบางเล่มที่ขอยืมมาจากวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีของคณะธรรมทานเอง ถ้าปลวกกัดกินทำให้ของเขาชำรุดไป จะเป็นเรื่องยุ่งไม่น้อย และสมน้ำหน้าที่อุตริเป็นพระบ้าน ในเมื่อตนมีความเป็นอยู่อย่างพระป่า
เหล่านี้คือเรื่องที่ความคิดสองฝ่ายกระทบกันบ่อย จนบางครั้งจะเลิกล้มความคิดที่จะทำการเกี่ยวกับหนังสืออีกต่อไป. ในที่สุดความคิดทั้งสองฝ่ายก็รู้จักประนีประนอมกันไปเอง อันผลแห่งการประนีประนอมนั้น เนื่องมาจากการที่เคยพบความเป็นอยู่ที่เบาสบาย เพราะไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนั้นอีกด้วยเหมือนกัน แม้ว่าความเป็นอยู่ที่ไร้สิ่งของ จะทำให้พบความเบาสบายชนิดใหม่ขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นความรู้อีกอันหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า สิ่งนั้นเกิดมาจากการเสียสละและไม่ยึดถือ
อาคารเรียนหลังหนึ่ง สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งใช้เป็นสำนักงานธรรมทานมูลนิธิความไม่ยึดถือนั้น นอกจากจะเกิดจากการไม่มีอะไรจะยึดถือแล้ว ยังเกิดมาจากการที่เราไม่ยึดถืออีกส่วนหนึ่งด้วย แม้จะมีอะไรเป็นสมบัติของตนอยู่ก็ตาม ฉะนั้น การที่จะมีอะไรบ้าง เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นให้กว้างขวางออกไป โดยตนไม่ต้องยึดถือไว้เป็นเครื่องหนักใจนั้น จะเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าลองดู
เมื่อความคิดซึ่งเป็นเหมือนการท้าพนันเกิดขึ้นเช่นนี้ ความกล้าและความสนุกในการที่จะรับภาระหรือรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นการผูกมัดอยู่บ้างก็เกิดขึ้นมาเอง เมื่อความคิดอีกฝ่ายหนึ่งเสนอขึ้นมาว่า ไม่ยอมเสียสละความสุขที่ได้พบใหม่ๆ นั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็หาทางประนีประนอม โดยจะไม่ให้เสียไปทั้งสองฝ่าย ในที่สุด ก็ปรากฏว่า มันรู้จักเอาไว้ได้ทั้งสองสถาน ก็เพราะความที่เคยหยั่งรู้ถึงรสของการสละหมดในเบื้องต้นมาแล้ว เป็นความรู้อันสำคัญ รู้จักปล่อยวางสิ่งนั้นๆ ในคราวที่มันจะต้องเพิ่มเข้ามาใหม่ ไม่เหมือนกับครั้งที่ยังไม่เคยพบการสละมาก่อนซึ่งรู้จักแต่จะยึดถืออย่างเดียว.
แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงยังคงมีอยู่ว่า การไม่ข้องแวะกับการทำประโยชน์ผู้อื่นเสียเลยนั้น มีความสุขมากกว่า หรือจะเป็นเพราะมนุษย์เรา มีหนี้ธรรมชาติอย่างหนึ่งอย่างใดติดตัวมา เช่นเราเองกว่าที่จะมาเป็นได้อย่างนี้ ก็ต้องเนื่องจากการเสียสละของคนชั้นก่อนๆ ที่ไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวมาแล้วเหมือนกัน มนุษย์เราจึงกล้าเสียสละประโยชน์สุขของตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นบ้าง เป็นธรรมชาติในใจ.
เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นโดยไม่เสียประโยชน์ตนไปมากนัก จะทำกันอย่างไรนั้น เป็นปัญหาที่ต้องพยายามแก้ และฉันขอตอบด้วยการกล้ารับรองในที่นี้ว่า ไม่มีทางอื่นใดดีไปกว่าการหลีกออกไปบำเพ็ญชีวิตสันโดษ ไร้ทรัพย์สมบัติโดยประการทั้งปวงเสียสักคราวหนึ่งก่อน ซึ่งในที่สุดจะพบคำตอบพร้อมทั้งได้สมรรถภาพแห่งจิต ชนิดที่จะปฏิบัติงานอันแสนยากนั้นได้ดีจริงๆ
ผู้สมัครจะศึกษาอบรมในทางจิต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่านสิ่งนี้มาด้วยสติ สัมปชัญญะ และการคอยสังเกตกำหนดอันประณีตให้มากที่สุดที่จะมากได้ เพราะว่าความรู้ที่ได้มาจากการเคยผ่านมาทางจิตใจของตนเอง กับความรู้ที่คาดคะเนเอาตามหลักเกณฑ์ในตำรานั้น ยังไกลกันอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้น ขอเตือนเพื่อนนักศึกษาที่กำลังทำบทเรียนขั้นนี้ด้วยกันว่า เรื่องอันเกี่ยวกับการมีทรัพย์สมบัติหรือไม่มีนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องผ่านไปให้ดีที่สุด คือให้ละเอียดละออที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการออกฝึกฝนทดลองของตน http://www.buddhadasa.com/history/tenyear03.html
จากคุณ |
:
ปล่อย
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ส.ค. 54 22:17:26
|
|
|
|
|