|
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเกี่ยวกับธาตุในที่ต่าง ๆ กันหลายแห่ง แต่มีข้อความละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุดในธาตุภิวังคสูตร ซึ่งอยู่ในมัชฌิมนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก เรื่องนี้พระบรมศาสดาทรงแสดงโปรดพระปุกกุสาตี ซึ่งมีศรัทธาบวชอุทิศถวายพระองค์โดยมิได้เคยพบเห็นเลย เพียงแต่ทราบกิตติศัพท์เท่านั้นและเมื่อพบพระองค์ในระหว่างที่อาศัยค้างแรมคือร่วมกันอยู่ในโรงของช่างปั้นหม้อ ก็มิได้ทราบว่าเป็นพระสมณโคดม ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงรู้ได้โดยทันทีว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทูลขออุปสมบทระหว่างที่ออกไปเสาะหาเครื่องอัฏฐบริขารก็ได้ถูกแม่โคขวิดจนถึงแก่ชีวิต เรื่องพระปุกกุสาตีนี้เป็นต้นความคิดของเรื่องกามนิตและวาศิฏฐีซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอยู่แล้ว
พระธรรมเทศนาซึ่งแสดงโปรดพระปุกกุสาตี เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องธาตุมีเนื้อความสำคัญว่า คนเรามีธาตุหก คือ ปฐวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ, อากาศธาตุ, และวิญญาณธาตุ ได้แก่ธาตุแห่งดิน, ธาตุแห่งน้ำ, ธาตุแห่งไฟ, ธาตุแห่งลม, ธาตุแห่งที่ว่าง และธาตุแห่งความรู้ ความลำดับธาตุทั้ง ๕ อย่างที่กล่าวก่อนมีทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกแห่งกาย ธาตุดินที่เป็นภายในได้แก่สิ่งที่เข้มแข็ง เช่น ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก, ม้าม, หัวใจ, ตับ และปอด เป็นต้น ธาตุแห่งน้ำที่เป็นภายในได้แก่สิ่งที่เอิบอาบซึมซาบไปได้ เช่น น้ำดี, เสมหะ, น้ำเหลือง, เลือด, เหงื่อ, มันข้น, เปลวมัน, น้ำตา, น้ำลาย, น้ำมูก และมูตร เป็นต้น ธาตุแห่งไฟที่เป็นภายในได้แก่สิ่งที่พัดผันไป เช่น ลมในท้อง, ลมในลำไส้, ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ และลมหายใจเข้าออก เป็นต้น ธาตุแห่งที่ว่างเป็นภายในได้แก่ ส่วนที่ว่างปรุงโปร่ง เช่น ช่องหู, ช่องจมูก และช่องปาก เป็นต้น ธาตุแห่งความรู้นั้นมีอญุ่เฉพาะภายในกายเป็นสิ่งซึ่งทำให้รู้สัมผัสต่าง ๆ และมีความทุกข์, มีความสุข และไม่ทุกข์ไม่สุข
ถ้าจะกล่าวตามความรู้สมัยนี้ ก็ตีความปฐวีธาตุหรือธาตุดินได้ว่าเป็นส่วนที่มีลักษณะเป็นของแข็ง หรือมีทรวดทรงเป็นรูปร่าง เช่น หนัง, กล้ามเนื้อ, กระดูก และอวัยวะภายในต่าง ๆ ส่วนอาโปธาตุหรือธาตุน้ำได้แก่ส่วนที่เป็นของเหลว เช่น เลือด, น้ำเหลือง, น้ำลาย และปัสสาวะ ส่วนเตโชธาตุหรือธาตุแห่งไฟคือความร้อนหรือพลังงานซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาอาหารภายในกายเป็นเหตุให้ร่างกายเคลื่อนไหว หลั่งน้ำหรือย่อยอาหารได้ และทำให้ร่างกายมีความอบอุ่นเป็นปกติ ส่วนวาโยธาตุหรือธาตุแห่งลมได้แก่แก๊สหรือก๊าซต่าง ๆ เช่น ที่ประกอบเป็นอากาศอยู่รอบ ๆ ตัวเรา และเราหายใจเข้าไปหรือหายใจออกมา หรือแก๊สที่เกิดจากการหมักหรือสลายของอาหารในกระเพาะและลำไส้ ซึ่งทำให้เรามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อหรือที่เราเรอหรือผายออกมาและเรียกกันว่า ลม ข้อที่ชวนให้เกิดศรัทธาอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณของพระบรมศาสดา คือที่ทรงกล่าวถึงวาโยธาตุ ซึ่งแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ส่วนมากของคนสมัยนี้คงจะไม่สามารถเข้าใจข้อนี้ได้ และอาจจะเห็นว่าเป็นการเหลวไหลที่กล่าวว่ามี ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ภายในร่างกาย ลมอะไรจะเข้าไปพัดอยู่ข้างในนั้น ข้อนี้ผู้ที่มีความรู้ทางแพทย์หรือชีววิทยาจะชี้แจงได้ว่า แท้จริงนั้นเป็นการถูกต้อง แต่จะแปลคำว่า วาโยธาตุ อย่างอื่นไม่ใช้คำว่า ลม (ซึ่งใช้ตามธรรมดาเป็นคำแสดงภาพหรือคำเปรียบเทียบเท่านั้น) แต่ใช้คำว่า แก๊ส แทนดังนี้ ถ้ากล่าวว่า แก๊สซึ่งไหลไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แห่งร่างกายย่อมจะเข้าใจได้ว่าหมายความถึงแก๊สสามอย่าง (หรือบางครั้งมากกว่าสามอย่าง) ซึ่งกระแสเลือดนำไปถึงทั่วทุกส่วนของร่างกายคืออ็อกซิเจน, คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจน อ็อกซิเจนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะเป็นตัวทำให้เกิดการเผาไหม้ของอาหาร และสิ่งอื่นภายในกาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นปฏิกูลซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ดังกล่าวนี้ และร่างกายจำต้องขับออกทิ้งเสีย ส่วนไนโตรเจนนั้นเป็นแก็สที่ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของอากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา และเข้าไปในเลือดระหว่างการหายใจเข้าออกโดยไม่มีหน้าที่บทบาทจำเพาะอย่างไรในร่างกาย
จากคุณ |
:
โชติช่วงชัชวาล
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ส.ค. 54 13:25:07
|
|
|
|
|