Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ธรรม..นั้น..ท่านได้แต่ใดมา... เชิญเล่า.. ประสบการณ์ประสบธรรมส่วนตั๊วส่วนตัว ติดต่อทีมงาน

วันนี้ขึ้นเดือนใหม่แล้ว  ถือเป็นฤกษ์ขึ้นกระทู้ใหม่ดีกว่า..

สืบเนื่องจากกระทู้เก่า

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10975058/Y10975058.html


ตอนเปิดกระทู้ตั้งใจไว้สองประเด็นก็จริง  แต่ว่ากระแสถามตอบปัญหามาแรง  ประเด็นประสบการณ์เกี่ยวกับครูบาอาจารย์เลยเงียบไป  

เลยขอแก้ตัวใหม่..  อีกทีนะคะ..


กระทู้นี้ขอเชิญชวนกัลยาณมิตร เพื่อนพ้องน้องพี่ มาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ "ประสบธรรม" ส่วนตั๊วส่วนตัว..


การประสบธรรมนี้ มันเป็นเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัว.. ตามหลักการ บางท่านก็ว่า อย่าเอามาบอกกัน มันจะทำให้เกิดสัญญาความมั่นหมาย..   แต่สำหรับเด็กหลังห้องอย่างเรา..  เฝ้ามองดูตัวเอง  ดูชุมชน ดูสังคม  มันพบปรากฏการณ์อย่างหนึ่งนะ  คือ

1. คนยุคนี้เรียนรู้ธรรมจากการอ่าน การฟังเป็นหลัก  (แต่ไม่ค่อยได้ทำจริงๆ)


2. มีครูบาอาจารย์เยอะจริง แต่โอกาสเข้าถึงยาก   เพราะว่างานเยอะ ธุระแยะบ้างอะไรบ้าง  เข้าถึงสื่อธรรมง่ายกว่า จะอ่านพระไตรปิฏกก็เปิดเน็ต สรุปว่า ทำข้อ 1 ง่ายกว่า   บางคนนี้รู้ธรรมกล่าวธรรมได้แตกฉานเลย แต่ว่าไม่เคยปฏิบัติจริงๆ สักเท่าไหร่

คนมีครูบาอาจารย์ตัวเป็นๆ น้อยลง มีครูบาอาจารย์ผ่านสื่อมากขึ้น  ที่จริงก็ดีเพราะธรรมะได้เผยแพร่ไปในวงกว้าง  สมัยก่อนถ้าเราไม่เรียนบาลี ได้เปรียญ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงธรรมขั้นสูงในพระไตรปิฏกได้   แต่สมัยนี้มีให้อ่านหลายภาษา ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัส..



3. ด้วยข้อ 2 เนี่ย..  มันเลยเกิดปรากฏการณ์ที่ว่า  ไม่ยึดถืออาจารย์ ไม่ยึดตัวเอง แต่ยึดสิ่งที่ได้อ่านได้ฟัง..  จะเรียกว่ายึดคัมภีร์ก็ว่าได้..   ซึ่งเราก็ว่ามันเป็นธรรมดา  คนที่ยังยึด ก็ต้องหาที่ยึดอะไรสักอย่าง  ก็เขาไม่มีอาจารย์ให้ยึด ก็ต้องยึดคัมภีร์เป็นอาจารย์ใช่ไหม..  ซึ่งมันก็ดีไปอย่าง..


แต่ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ว่า เชื่ออาจารย์ไม่ได้ ต้องเชื่อคัมภีร์เท่านั้น..  จะฟังพระสงฆ์ห้ามเชื่อถือ ถ้าไม่ตรงกับพุทธวัจนะ  โอ...บร๊ะเจ้าจอร์ส..   สงสัยต่อไปพระสงฆ์จะตกงาน


4.  แต่ส่วนที่ขาดหายไป ที่เราเห็นก็คือ พอเขาไม่มีประสบการณ์ธรรม ด้วยตนเอง เขาก็ไปยึดเอาจินตนาการ และการตีความจากคัมภีร์มาเป็นแก่นสาร  ซึ่งจะว่าไปมันก็คือทิฐิความเห็นนั่นแหละ.. มันก็เกิดอัตตามานะว่าตนถูกคนอื่นผิด ที่ตนถูกเพราะตนยึดตามคัมภีร์ อะไรไม่ตรงคัมภีร์ก็คือผิด


5.  เราได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม แล้วก็เห็นว่าหลายๆ อย่างที่ได้ประสบมา มันไม่ตรงกับจินตนาการจากการอ่านหนังสือ ซะทีเดียว..   คือเวลาเราอ่านเรามีมโนภาพว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  พอเราเจอของจริง เราก็ไม่รู้ เพราะเรามองหาแต่สิ่งที่เราอ่าน  ดีที่มีครูบาอาจารย์ชี้แนะ.. ว่าให้ดูของจริง.. เราก็เชื่อท่านลองดู..เออ.. จริงแฮะ..   ไม่เห็นเหมือนกับที่อ่านเลย.. อะไรงี้.. เมื่อเรียนรู้เรียนรู้ไป  ก็เข้าใจความแตกต่างของคำว่า "ของจริง" กับ "ของจำ"  เห็นคุณลักษณะ และคุณค่าที่แตกต่างกัน รวมทั้งข้อจำกัดด้วย   ที่จริงโลกก็ต้องการทั้งสองส่วน คือทั้งของจริงและของจำ  ของจำทำให้เข้าใจแตกฉาน  แต่ละไม่ได้ ต้องของจริงเท่านั้น จึงจะทำให้หลุดพ้น  



6.  เมื่อเจออย่างนี้มากเข้า เราก็เลยพอจะเข้าใจปรากฏการณ์วิวาทะต่างๆ ที่เกิดขึ้น  คือเข้าใจทั้งสองฝ่ายหรือกี่ฝ่าย ก็เข้าใจได้ ว่าแต่ละคนมองต่างมุมกัน..

แต่ส่วนตัวเราเอง เราสนใจช่องว่างมากกว่า ตัวปัญหา   ปัญหาวิวาทะธรรม มันเป็นเรื่องทิฐิของคนอื่น เราไม่คิดจะไปแก้ไข  เราสนใจว่าเหตุมันเกิดจากอะไร  เราสนุกที่จะศึกษาตรงนี้มากกว่า  



7.  เราเห็นว่าส่วนหนึ่ง เกิดจากการขาดครูบาอาจารย์ที่ชี้แนะสั่งสอน ให้รู้จริงเห็นจริงจากการปฏิบัติ  ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรม ขาดการเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์ (ซึ่งการเรียนทางโลกของประเทศนี้ก็เป็นอย่างนี้ เด็กไทยเก่งตำรา แต่ขาดประสบการณ์  มีความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด  มันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมทั่วไป ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร มันเป็นปัญหาของยุคสมัย)   เพราะไม่เห็นความสำคัญจากการเรียนรู้เชิงประสบการณ์  โดยเฉพาะการลองผิดลองถูก  จะเอาแต่ถูกว่างั้นเหอะ...


หลายๆ ครั้ง เมื่อเรามีการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง  แต่ขาดผู้ "ชี้" และ "แนะ"  มันก็เลยทำให้ เรา "มองไม่เห็น" ความรู้จริง ที่อยู่ใกล้ตัว และไม่ตระหนักถึงความสำคัญของความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่มันเป็นของจริง    แต่เราให้ความสำคัญกับความรู้ใหญ่ๆ โตๆ ที่เป็นของจำ หรือที่มีการบันทึกไว้มากกว่า..    ทั้งๆ ที่เอาจริงๆ แล้ว   เราก็ไม่สามารถเข้าถึงความรู้ใหญ่โตนั้นอย่างแท้จริงได้เลย..  แต่เราก็ชอบที่จะพูดถึงมัน ขบคิดถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส   แล้วก็คิดว่าตัวเองฉลาด..


เหมือนกับหิ่งห้อย.. ที่คุยกันเรื่องกำเนิดของพระอาทิตย์  มันจะไปรู้ได้ไงฟระ.... ไม่เคยออกไปนอกโลกเลย  อย่าว่าแต่จะได้รับรู้ระบบการทำงานของดวงอาทิตย์ โอกาสจะเห็นดวงอาทิตย์จริงๆ นอกเหนือบรรยากาศโลกยังทำไม่ได้เลย    


ทั้งที่จริงๆ หิ่งห้อยก็มีแสงเล็กๆ ในตัวเอง   แสงเล็กๆ นี้สามารถเรียนรู้ได้ และมีคุณค่ามาก  ถ้าเราเรียนรู้แสงเล็กๆ ว่ากลไกมันเป็นอย่างไร  บางทีเราก็พอจะเข้าใจถึงกลไกของแหล่งกำเนิดแสงที่ใหญ่กว่าตัวเองได้

พระอาจารย์ที่เรานับถือ บอกว่า "เรียนรู้จิตตน  เท่ากับเรียนรู้ทั้งโลก ทั้งจักรวาล"


8.   เมื่อมาถึงตรงนี้  ก็ฉุกคิดได้ว่า.. แล้วเราให้เวลากับการเรียนรู้แสงเล็กๆ ที่ปลายก้นของเรากันมากน้อยแค่ไหน   ในตำราเขาก็มีเรื่องของแสงจันทร์ แสงดาว แสงของครูบาอาจารย์ มีมากมาย  อย่ากระนั้นเลย.. เราลองมาดูกันดีกว่าว่า  แสงหิ่งห้อยของเพื่อนธรรมแต่ละคน มันมีความหลากหลาย น่าสนใจให้เราเรียนรู้ได้มากน้อยขนาดไหน..  


9. ในหลายคาบตอนของการปฏิบัติ เราเรียนรู้จากแง่มุมเล็กๆ ของตัวเอง แล้วเราก็ไม่เชื่อมัน ว่านั่นคือธรรมที่ได้รู้ ได้เห็น    เพราะเราไปคาดหวังว่ามันจะต้องหรูหราอลังการ..   เราดูถูกตัวเอง ซึ่งย่อมหมายถึงความไม่เชื่อมั่นหรือลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์ไปด้วย    ท่านบอกว่าอย่างนี้ๆ  ไม่เห็นเหมือนที่เราอ่านมาเลย...   เบื้องต้น เราก็ไม่เชื่ออาจารย์  แต่ก็พิสูจน์ ทดสอบด้วยกาลเวลา จนกระทั่งต้องยอมรับความจริง..   ว่าของจริง.. ไม่สวยหรูเหมือนของจำ..  มันเรียบๆ ง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างนี้เอง...


ตอนหลังๆ นี้สวดมนต์บทเรียบๆ ง่าย แต่แสนจะดื่มด่ำ.. ว่ามันจริงโคตรๆ


สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ.


แค่นี้แหละ.. สุดยอดเลย..  แสนจะลึกซึ้ง.. แต่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยเข้าใจเลย เพราะว่าเรายังไม่เจอของจริงไง  พอเจอของจริงแล้ว.. เราย่อมเข้าใจสิ่งที่พระพุทธองค์กล่าวถึงไว้ในตำรา..



--------------------------

คุณของพระธรรม มี ๖ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรองเป็นบทสวดสำหรับน้อมนำระลึกไว้ในใจ ดังนี้

๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม หมายถึง ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว  พระองค์ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น อันได้แก่ ศีล งามในท่ามกลาง อันได้แก่ สมาธิ และงามในที่สุด อันได้แก่ ปัญญา พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์หรือหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง


๒. สันทิฏฐิโก  หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง

ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำ บอกเล่าของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้


๓.  อกาลิโก   หมายถึง ไม่ประกอบด้วยกาล

ผู้ปฏิบัติไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา พร้อมเมื่อใดบรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใดเห็นผลได้ทันที นั่นคือ ให้ผลในลำดับแห่งการบรรลุ ไม่เหมือนผลไม้อันให้ผลตามฤดูกาล


๔.    เอหิปัสสิโก    หมายถึง ควรเรียกให้มาดู

พระธรรมเป็นคุณอัศจรรย์ดุจของประหลาดที่ควรเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง


๕.    โอปนยิโก    หมายถึง ควรน้อมเข้ามา

ผู้ปฏิบัติควรน้อมเข้ามาไว้ในใจของตน หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงด้วยการปฏิบัติ ให้เกิดมีขึ้นในใจ


๖.    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ   หมายถึง อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ทุกคนที่น้อมนำมาปฏิบัติ จะรู้ซึ้งถึงผลแห่ง พระธรรมนั้นด้วยตนเอง ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ในใจ ของตนเอง

คุณของพระธรรมข้อที่ ๑ มีความหมายกว้าง รวมทั้งปริยัติธรรม คือ คำสั่งสอนด้วย ส่วนคุณของพระธรรมข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๖ มุ่งให้เป็นคุณของโลกุตตรธรรม  



(ตัดตอนมาจาก พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยTupLuang)





แม้ในหมวดของการสรรเสริญพระธรรม โบราณจารย์ท่านสรรเสริญตัวพระธรรมของพระพุทธเจ้าไว้เพียงข้อเดียว  อีก 5 ข้อ ว่าด้วยการสรรเสริญในธรรมซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องค้นพบได้ด้วยตน จากการปฏิบัติจริงทั้งสิ้น..




เนี่ย.. เรื่องมันเป็นอย่างนี้..   เลยชวนเพื่อนๆ คอเดียวกัน มาแลกเปลี่ยนกันหน่อยค่ะ ว่าใครได้เคยมีประสบการณ์ประสบธรรม เล็กๆ น้อยๆ แต่ว่า

ปุ๊ง.. ปิ๊ง.. ปั๊ง..  ยูเรก้า..  อะลาบามา..  ขาดผั๊วะ.. สว่างวาบ   แว่บ  วูบ หรืออะไรก็ตามแต่จะหาสมมติมารองรับ..  


หิ่งห้อยน้อยๆ อย่างเรา มาคุยกันเรียนรู้กันจากแสงน้อยๆ ของเราเองดีกว่า..

ให้พวกผู้รู้เขาถกเถียงกันเรื่องพระอาทิตย์ไปเถอะ..   คิดซะว่าเราเป็นหิ่งห้อยน้อยอายุสั้น   ถ้าไม่รีบฉกฉวยเรียนรู้จากแสงที่พอมีอยู่ที่ปลายตูด..    ก็ไม่รู้จะมีอายุได้นานถึงตอนได้ข้อสรุปถูกผิด ต่อทฤษฏีเรื่องพระอาทิตย์หรือเปล่านะ..


ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนิพพงนิพพาน หรือวินัยสงฆ์หรอก   สนใจตัวเองดีกว่า..  ที่ผ่านมา เราเคย "วาบ" แสงสว่างแห่งธรรมอะไรในจิตของเราบ้าง..ที่พอจะเล่าสู่ในหมู่เพื่อนหิ่งห้อยด้วยกันได้น่ะ

ม่ะ..

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 54 13:30:53

จากคุณ : chaosy
เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 54 13:25:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com