ความคิดเห็นที่ 1 เราเคยเห็นงานมีตติ้งข้ามโต๊ะอย่างนี้มาก่อนแล้ว หลายโต๊ะในพันทิปครับ ถ้ามีโต๊ะหว้ากอ-ศาสนา บ้าง จะเป็นไรไป http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11049828/X11049828.html จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 16:33:54

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องบอกว่า หว้ากอ (เชื่อวิทยาศาสตร์) กับ ศาสนา (เชื่อศาสดา) น่าจะถูกกว่า เพราะคนที่เชื่อวิทยาศาสตร์ หลาย ๆ เรื่องก็ไม่เคยพิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่ก็เชื่อ เชื่อประสาทสัมผัส เชื่อจิตสัมผัส เชื่อสมองคิด เชื่อในจิตที่มีปัญญา ฯลฯ คนทุกคนไม่พ้นจากความเชื่อ เพราะทุกเรื่องที่เราเรียนมา ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นค้นพบมาทั้งสิ้น เราไม่ได้ค้นพบด้วยตัวเอง เราไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่เราก็เลือกที่จะเชื่อ ถ้าผมบอกว่า คุณต้องเอาอะตอมมาให้ผมดู ผมถึงจะเชื่อว่าอะตอมมีจริง แต่ผมไม่มีเวลา และไม่อยากจะไปพิสูจน์อะไร กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ถ้าคุณเอามันมาให้ผมดูไม่ได้ผมก็ไม่เชื่อ แล้วต่อให้ดูได้ ผมจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าที่เห็นในกล้องนั้นมันคืออะตอม หรือว่าเป็นภาพที่กล้องสร้างขึ้น เช่นกัน คนจำนวนมากก็บอกว่า ต้องเอาสวรรค์มาให้ดูถึงจะเชื่อ แต่ไม่มีเวลา และไม่อยากไปพิสูจน์ ไม่อยากนั่งสมาธิ ไม่อยากรักษาศีล ถ้าเอาสวรรค์มาให้ดูไม่ได้ก็ไม่เชื่อ และต่อให้บางคนมีประสบการณ์ ก็จะถูกมองว่าคิดไปเองบ้าง เห็นภาพหลอนบ้าง เป็นต้น สิ่งที่พิสูจน์ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เลื่อนลอยหรืออาศัยแต่ความเชื่อ เพียงแต่เรายอมที่จะพิสูจน์หรือเปล่าก็เท่านั้น ในยุคปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มันจึงกลายเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่ว่าวิทยาศาสตร์คือสัจธรรมแต่อย่างใด แม้จะไม่รวมอิทธิปาฎิหาริย์ต่าง ๆ แต่คำสอนของพุทธศาสนาก็สามารถนำไปพิสูจน์ได้ เช่น สังหวัตถุ 4 คือคุณธรรมที่ทำให้เราเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น มีการรู้จักแบ่งปัน มีการพูดจาอ่อนหวาน ทำตัวเป็นประโยชน์ เสมอต้นเสมอปลาย หากใครทำดังนี้แล้ว ย่อมได้รับผลทุกคน นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครยอมพิสูจน์กัน เพราะมันฝืนธรรมชาติของใจคนที่มีกิเลส ความยากมันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้หรืออาศัยแต่ความเชื่อ ฉะนั้น ผมสรุปว่า หว้ากอ (เชื่อนักวิทยาศาสตร์) กับ ศาสนา (เชื่อศาสดา) โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ศาสนาที่สอนให้เชื่ออย่างเดียว ยังสอนให้คิด ให้พิจารณา ให้รู้จักใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาด้วย เพียงแต่เป้าหมายสูงสุดไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ คือศาสนาพุทธมุ่งเป้าหมายเพื่อความสงบ เพื่อความสุข เพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะในระดับโลกนี้ โลกหน้า หรือพ้นโลก ในขณะที่วิทยาศาสตร์ มุ่งค้นคว้าเพื่อประโยชน์ในโลกนี้แต่เพียงอย่างเดียว ส่วนเรื่องมีตติ้งจะจัดคงไม่มีปัญหา อยู่ที่ว่าจะมีใครไปหรือเปล่าก็เท่านั้น โดยมากไปเจอกันก็แทบไม่ได้คุยสาระอะไรมากมาย สัพเพเหระแล้วก็กินกันเสียมากกว่า คงไม่ต่างจากมีตติ้งทั่วไปมากมายนัก เพียงแต่จะมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหนนั่นแหละ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 17:54:36

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าห้ามเอาตำราไป คงอภิปรายกันไม่เผ็ดร้อน อาจจะได้แค่นั่งมองหน้ากัน จากคุณ : palmgang เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:11:57

ความคิดเห็นที่ 4 ...        ถ้าไปร่วมงาน สิ่งที่ผมจะพูดตลอดงานจนงานเลิกก็คือ "ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอยู่จริง"                                                                                                      ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:12:58

ความคิดเห็นที่ 5 จะศาสนาหรือหว้ากอสิ่ง จุดสำคัญก็คือ ทิฐิ (ความคิดความเห็น)เป็นเบื้องต้น ทิฐิก็คือทิฐิ มิตรภาพก็คือมิตรภาพ มิตรภาพเกิดได้ทุกสังคม ข้างบ้านก็ได้ หน้าปากซอยก็ได้ ที่ทำงานก็ได้ ตลาดก็ได้ ร้านค้าก็ได้ ในเนตนี่ก็ได้ สังคมหว้ากอหรือศาสนาก็เป็นสังคมหนึ่งในเนต ซึ่งก็เป็นสังคมเดียวกับสังคมในข้างบ้าน ในชุมชน ในจังหวัด ในประเทศ ในโลก ที่ไหนก็มีสังคม สังคมยี่ห้อห้องศาสนาพันทิพหรือห้องหว้ากอพันทิพก็เป็นสังคมเดียวกับสังคมทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามา ที่ไหนมีสังคม ที่นั่นมีคน ที่ไหนมีคน ที่นั่นมีทิฐิ ดังนั้นสารตะแล้ว มิตติ้งกับคนข้างบ้านก้ได้ เหมือนกัน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:20:47

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นกระทู้นี้ แล้วก็เผอิญนึกถึงเรื่องในกระทู้นี้ครับ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2011/05/X10571218/X10571218.html ก็อาจจะลองตั้งเป็นสองวงถกกัน ประเด็นแรก คุณรู้ได้อย่างไร ชาติก่อนชาติหน้ามีจริง ประเด็นสองก็ คุณรู้ได้อย่างไรว่า หลุมดำมีจริง น่าจะคุยกันได้ไม่รู้จบ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 18:25:23 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:22:24

ความคิดเห็นที่ 7 อ่าน คห.2 แล้วโดนทิ่ม.. เคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งผู้เขียนกล่าวว่า.. " ธาตุ " พระพุทธศาสนาเรียนเรื่อง ธาตุ เพื่อความไม่เป็นทาสของวัตถุ วิทยาศาสตร์เรียนเรื่อง ธาตุ เพื่อความเป็นทาสของวัตถุ จริงเท็จประการใด โปรดใช้วิจารณญาณ จากคุณ : ไม้มณฑารพ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:36:06

ความคิดเห็นที่ 8 พวกศาสนาพอเข้าใจวิทยาศาสตร์ได้ แต่พวกสาวกวิทยาศาสตร์ในพันทิปนี้ ประเมินแล้วซักประมาณ 99.9 เปอร์เซนต์ คงไม่เข้าใจศาสนาและไม่เปิดใจยอมรับด้วย ส่วนพวกวิทยาศาสตร์ (วทบ. วทม. พบ.ฯ จิปาถะ) ที่เข้าใจศาสนาเขาไปวัดกันเต็มวัด ไม่เชื่อลองไปสำรวจในวัดป่าหลาย ๆ วัดว่าพวกในเมืองที่ไปวัดนั้นจบการศึกษาอะไรบ้าง ยกตัวอย่างวัด วัดบุญญาวาส วัดหนองป่าพง วัดป่ามณีกาญจน์ฯ (ไม่เอาธรรมกาย เพราะรายนี้ไปทำบุญ ไม่ได้ไปศึกษาศาสนาพุทธแบบถูกที่ถูกทาง) แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 18:54:45 จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:51:45

ความคิดเห็นที่ 9 ที่จริงก็อยู่ที่ไม่ตั้งทีท่าเป็นปรปักษ์กันเสียก่อน มื้อเย็นมื้อนั้น ก็อาจเป็นมื้อเย็นดีๆได้อย่างที่ท่านพักผ่อนกล่าวไว้ข้างบน (สมาชิกหว้ากอรุ่นใหม่ๆ เป็นวัยรุ่นเยอะเหมือนกัน บ้างก็อาจจะใจร้อนนิดนึง) จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 19:21:38

ความคิดเห็นที่ 10 #ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้ที่ลิ้งค์มานั้น ถือเป็นกระทู้ "ฆ่าตัวตาย" ของคุณศิษย์พระป่า อย่างชัดเจนที่สุด                                  ................................................    แต่ผมชอบแนวความคิดของคุณ DigiTaL-KRASH!!! นะครับ ที่จะจัดมีตติ้ง จัดได้เมื่อไหร่ ผมขอลงทะเบียนด้วยคน   อยากจะรบกวนคุณ DigiTaL-KRASH!!! เป็นโต้โผจัดได้เลยครับ ที่โรงแรมไหนสักแห่งก้ได้ หาที่แบบว่า ราคาไม่แพงนัก  เอามาหารค่าลงทะเบียนกันแล้ว ไม่เกิน 1,500 บาท ผมคิดว่าโอเคนะ (รวมอาหารเที่ยง และอาหารว่าง) หรือจะที่เมืองทองธานีก็ได้นะ มีห้องประชุมเล็ก ๆ ส่วนย่อย ๆ ที่จะจัดมีตติ้งได้ ประมาณ 100 คน ค่าหัวแขกที่มา ทางโนโวเทล เขาก็คิดไม่แพงนัก   ใครอยากจะถกเรื่องอะไร ก็ว่ากันไป จัดกันเป็นเวทีอภิปราย เพื่อการศึกษา เพื่อวิชาการ หรือเพื่อการบรรลุธรรมระดับใด ก็สุดแท้แต่ แต่สรุปว่า คนที่ร่วมงาน ต้องได้ความรู้กลับมาแน่นอน   ผู้ที่เป็น:-)าน ก็คงจะต้องมีวิธีการประคับประคอง และวิธีการการตกลง กันซะก่อนว่า ห้ามมีการวางมวยกัน   ผมน่ะ ไม่กลัวชาวหว้ากอจะชกปากใครหรอกนะ เพราะพวกนั้นเขามีเหตุมีผลพอสมควร ในกระบวนการคิด และในการระงับยับยั้ง  ผมกลัวแต่ว่า ชาวห้องศาสนานี่สิ อาจจะเริ่มชกปากใครสักคนก่อนก็เป็นได้ เพราะเท่าที่สังเกตมา หลาย ๆ ปี คนที่เถียง ๆ กันไป แล้วชอบท้าเจอ ท้าชก ก็เห็นมีแต่ในห้องศาสนา (ฮา) แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 54 23:56:52 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:22:45

ความคิดเห็นที่ 11 มาถึงคุณก็เรียกโต๊ะศาสนาว่าความเชื่อแล้ว ความจริงโต๊ะศาสนาส่วนหนึ่งก็คุยกันเรื่องความจริงไม่ต่างจากโต๊ะหว้ากอหรอกครับ แต่ที่ต่างคือเป็นความรู้เฉพาะบุคคลเท่านั้นเอง ผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้ ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนอื่นประจักษ์ได้ เหมือนกับโดนไม้ตีแล้วรู้สึกเจ็บ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเจ็บยังไง มีแต่คนโดนตีเท่านั้นที่รู้ว่าเจ็บยังไง ถ้าท่านคิดว่าศาสนาเป็นแค่ความเชื่อ ผมก็คิดว่าต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้วครับ จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:25:14

ความคิดเห็นที่ 12 ขอโทษที่จั่วหัวผิดไปหน่อยครับ พอดีติดปากตามที่อ่านในโพสต์ต่างๆในนี้แหละ ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องเลย แต่ผมอยากเห็นจริงๆนะ ไม่ต้องถึง 100 โต๊ะหรอก เหมือนสักสามสี่โต๊ะ ก็ได้แล้ว ผมอยู่เชียงใหม่ แต่ถ้าวันเวลาตรงกันกับที่ผมลงมาเยี่ยมบ้าน ผมก็มาได้ครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:34:37

ความคิดเห็นที่ 13 ห้องศาสนา จะปี๊ดแตกก่อน ใครทำกรรมฐานเป็นอย่างไร จะได้รู้กันวันนั้น ^^ จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:40:16

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าก่อนจัดโต๊ะหว้ากอ-ศาสนา เราจัดโต๊ะ ศาสนา เพียวๆก่อนดีมั้ยครับ แค่เรากันเองยังไม่ต้องไปคุยกับคนอื่นก็เละแล้วล่ะครับ ละกิเลสละทิฏฐิกันได้เหนียวแน่นทั้งนั้นเลย จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:42:06

ความคิดเห็นที่ 15 อยากจะให้เพื่อน ๆ ช่วยกันโหวตกระทู้นี้ครับ อยากให้งานนี้เกิดได้ ตามความตั้งใจของเจ้าของกระทู้ครับ ผมโหวตไปแล้ว หนึ่งเสียงครับ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:43:32

ความคิดเห็นที่ 16 ในฐานะที่ผมเรียนสายวิทย์ และจบด้านวิศวะมา ผมคิดว่าทางด้านหว้ากอน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์น่ะมันมันไม่กี่ step หรือ  หาปัญหา  หาต้นเหตุ  ตั้งทฤษฏีแก้  ทำการพิสูจน์  วัดผล ได้ตามต้องการมั้ย ติดตัวแปรตัวไหน สิ่งแตกต่างสำคัญระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์คือเรื่องการพิสูจน์ครับ วิทยาศาสตร์ ถ้าคุณ set environment ได้ คุม แฟคเตอร์ต่างๆ ได้ การทดลองต้องได้ผลเหมือนเดิมเสมอๆ แต่ ศาสนาไม่ใช่ คนๆเดิม เมื่อวานไปคุยกับพระพุทธเจ้ามา วันนี้ให้ไปคุยใหม่ เวลาเดิม อารมณ์คล้ายๆเดิมก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ฝั่งวิทยาศาสตร์เค้าเลยไม่เชื่อไงครับ ต้องเข้าใจส่วนนึงว่า การที่ห้องหว้ากอไม่ยอมรับศาสนา มีสาเหตุมาจากตรงนี้ด้วย เราคุยกับเค้าด้วยความเชื่อ เค้าคุยกับเราด้วยการพิสูจน์ แค่นี้ก็มองเห็นผลลัพธ์แล้ว แนะนำว่าไม่ต้องคุยเยอะ ถกเยอะหรอกครับ ถ้าอยากกระชับสัมพันธ์ จัดกีฬาดีกว่า เตะบอล ตีแบดน่าจะช่วยได้ดีกว่าการเอาประเด็นไปถกกันนะผมว่า จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:50:32

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่า บางทีเราก็ติดกันเฉพาะชื่อเท่านั้น ห้องหว้ากอเป็นวิทยาศาสตร์ ห้องศาสนาเป็นความเชื่อ ทั้งที่ตามจริงแล้ว หว้ากอบางคนก้เป็นศรัทธาจริตยิ่งกว่า ห้องศาสนาบางคนก็พุทธิจริตก็เยอะ การที่จะข้ามเส้นแบ่งห้องไปได้ ก็คือการพบปะคุยกัน ดังที่จขกท.เสนอ แต่การจะข้ามเส้นแบ่งได้นั้น ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะพื้นฐานแนวคิดต่างกัน ฝ่ายหนึ่งศึกษารูปธรรม อีกฝ่ายเน้นนามธรรม ถ้าเพียงแต่พบปะแลกเปลี่ยนทำความรู้จัก ก็น่าสนใจ มิใช่น้อย... จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:56:52

ความคิดเห็นที่ 18 ห้องศาสนา เตรียมตัวรับลูกระเบิดได้  ห้องวิทย์ แกไม่ค่อยฟัง เหตุผล จากทางศาสนาเท่าไหร่หรอก   ก็เห็นๆอยู่...ว่าหว้ากอ แกแรงขนาดไหน ขนาดผม ไปโพส ประวัติ ดร.อาจอง กับเรื่องทำสมาธิ ยังโดน เหน็บๆ ด่าๆ ดูถูกมาแบบ งง ๆ จากคุณ : ramai เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 20:56:54

ความคิดเห็นที่ 19 ก็ควรจะหาหัวเรื่องที่คุยแล้ว "มันเกื้อหนุนกัน" เรื่องพวกอะไรๆ ที่มันเห็นได้ชัดว่า มีความเห็นต่างอย่างสุดๆ ก็ไม่ต้องไปคุยหรอกครับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก เค้าก็ยังรู้จักท่าทีที่ดีเวลาคุยกับทะไล ลามะเลย นับประสาอะไร กับนักศาสนาและนักวิทย์กิ๊กก๊อก แห่งประเทศไทย มีความรู้อยู่ในกะลาทั้งหลายทั้งคู่ จะมาคุยเรื่องระดับโลก กรุณารอไปอีก 100ปีแสงเถอะ ย้ำว่า "คุยเรื่องที่เกื้อหนุนกัน"  ไม่งั้นได้ต่อยกับกลางโต๊ะแน่ ^^ จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:08:52

ความคิดเห็นที่ 20 อาจจะไม่ใช่หว้ากอทุกคนหรอกครับ ที่ชอบพูดแบบเหน็บ เหมือนในห้องศาสนาเท่าที่ผมสัมผัสมา หลายท่านก็ใจเย็นและถามตอบกระทู้แบบไม่ใช้คำพูดแรงๆ เอาเข้าจริงแม้คนที่ดูจะแรงในกระทู้ เจอตัวจริงอาจจะคุยกันได้ก็ได้ ตัวหนังสือมันเป็นการสื่อสารที่แห้งแล้งครับ เราไม่เห็นว่าคนที่เราพูด เขารู้สึกอย่างไรแน่ บางทีพูดขวานผ่าซาก ตัวจริงอาจจะไม่ได้ เป็นคนที่คุยไม่ได้ขนาดนั้น ฉะนั้นถ้าเจอตัวเป็นๆ สงสัยจะเกิดความเข้าใจมากขึ้นแน่ๆ (หลายคนหวั่นว่าจะมีการวางมวยกันเกิดขึ้น แต่ก็อาจจะไม่มีหรอก) จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:21:49

ความคิดเห็นที่ 21 ผมก็สมาชิกใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ยังเป็นวัยทีนอ่อนหัด 22เอง ส่วนมากเข้ามาอ่าน ไม่ค่อยกล้าแสดงคห. ภูมิจิตภูมิธรรมยังไม่ถึงไหน อนุบาล1อยู่ครับ จากคุณ : กว้างขวาง เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:30:39

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องแรงแบบชกต่อย ผมไม่คิดว่าหว้ากอน่าเป็นห่วงนะ ส่วนใหญ่เด็กสายวิทย์เป็นพวกเด็กเรียนน่ะครับ เรื่องปะทะตรงๆไม่ค่อยถนัดหรอกครับ มักจะหงิมๆติ๋มๆซะมากกว่า หลังคีย์บอร์ดก็ว่าไปอีกอย่าง อันนี้รวมตัวผมด้วยนะเพราะผมก็สายวิทย์เหมือนกัน ไอ้ที่ผมห่วงเนี่ย ผมห่วงฝั่งเรามากกว่าฝั่งนั้นนะ จริงๆนะ ไอ้เรื่องความเชื่อ เรื่องศรัทธาเนี่ย คนเรายอมทำอะไรก็ได้ครับ เห็นมานักต่อนักแล้ว จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:41:47

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนไปมิ้ตตี้ง ใครมี notebook ipad iphone  มือถือ ระบบ android ก็ควรดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก ไปด้วยนะครับ จะได้ให้ชาวหว้ากอ รู้ไว้ด้วยว่า ห้องศาสนาก็ใช้เทคโนโลยีเป็น ดาวโหลดได้ที่  http://etipitaka.com/download จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 21:57:43

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าไปมีตติ้งแบบนี้ ก็คงไปนั่งฟังพวกหว้ากอเมาท์ และก็คงร่วมเมาท์เรื่องวิทย์ๆ มีเรื่องน่าสนใจตั้งเยอะ ในหัวข้อวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์แนวใหม่ ควันตัม อะไรก็สนุก น่าตื่นเต้นไม่แพ้เรื่องศาสนา.. อยู่ห้องศาสนาก็คุยเรื่องศาสนา อยู่ห้องวิทย์ก็คุยเรื่องวิทย์ ไม่เห็นจะต้องข้ามเส้นกันเลยอ่ะ.. ไม่เห็นจะต้องเอาวิทยาศาสตร์มารับรองศาสนา หรือเราศาสนาไปเกทับวิทยาศาสตร์เลย..   มันก็ดีทั้งคู่แหละ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:10:27

ความคิดเห็นที่ 25 น้อยคนนักในห้องหว้ากอ ที่เริ่มถกแล้วจะยอมเปิดใจแบบกว้างๆ  ไม่กี่วันนี้นี้ผมไปเปิกระทู้มาเกี่ยวกับผลวิจัยศาสนาพุทธเียียวยาเศร้า  เปิดมาปุ๊บก็เริ่มค้านกันก่อนเลย อารมณ์เหมือนเด็กช่างเดินผ่านโรงเรียนคู่อริยังไงยังงั้น จนต้องแหกขี้ตาไปหาข้อมูลฉบับเต็มจากต้นตอมายัน   เนี่ย ทู้นี้เลย http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11038887/X11038887.html จากกระทู้นี้  ผมว่าถ้าถกกันด้วยเหตุผลมันมีจุดที่สามารถอยู่และเห็นร่วมกันได้  มันอยู่ที่คนมากกว่าว่าจะเปิดใจรับแค่ไหน   ถ้าจัดก็ดีครับ  เอาด้วย  โหวตไป1 จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:14:13

ความคิดเห็นที่ 26 อารมณ์เหมือนเด็กช่างเดินผ่านโรงเรียนคู่อริยังไงยังงั้น >>> พูดเสียเห็นภาพเลย แต่(พูดแทนคนอื่นก็คงไม่ได้ เอาเป็นกรณีส่วนตัวแล้วกัน) กรณีส่วนตัว ถ้าผมไม่เปิดกว้างผมคงไม่มาห้องศาสนาตั้งแต่แรก หรืออาจเป็นเพราะว่าที่จริงผมก็ไม่ได้อยู่หว้ากอมาแต่เดิม แต่มาจากห้องไซไฟแฟนตาซี ซึ่งอาจจะไม่ได้วิทย์มากมาย เพราะคุยแต่เรื่องภาพยนตร์แนวอวกาศ หรือ Lord of the rings มาเป็นทุนเดิม.. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:24:10

ความคิดเห็นที่ 27 #25 แจ้งพระอาจารย์เจ้าของงานวิจัยแล้วครับ เรื่อง ที่บทให้สัมภาษณ์ไปอยู่ ที่กระทู้ห้องหว้ากอ รอดูกันต่อไป จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:24:56

ความคิดเห็นที่ 28    ถ้ามีการเลือกบุคคลเป็นตัวแทนในการถกวิชาการ  บุคคลที่จะเป็นไม้ตายของห้องศาสนา  ผมขอเสนอ.... .... คุณเซนฯ ครับ  รับรองหว้ากอหงายเงิบ       # 27      เยี่ยมเลยครับ  ถ้าได้มาลงเมื่อไหร่รบกวนแจ้งหลังไมค์ผมด้วยนะครับ  เผื่อช่วงที่ผมไม่ได้เข้าจะได้รู้ล่วงหน้า จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:32:00

ความคิดเห็นที่ 29 .. ศาสนา  คุยกับ  วิทยาศาสตร์ ก็มีแต่ ศาสนา จะสอน(มวย)  คนวิทยาศาสตร์ ให้มาดู มารู้คำสอน แต่วิทยาศาสตร์  ก็จะเอาสิ่งที่กำลังเป็นที่สนใจ (ของตน) มาเกทับศาสนา ซึ่งย่อมจะเห็นว่า ศาสนา พยายามจะให้  (หรือ ยัดเยียดให้หว่า) ในขณะที่วิทยาศาสตร์  ก็พยายามจะไม่รับ  เพราะกำลังสนุกอยู่กับสิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะเฉลย มันจึงเป็นเหมือน พ่อแม่ พยายามสอนลูก  ซึ่งลูกเองก็เป็นเด็กฉลาด แต่ดื้อ ไม่ฟังคำสอน นั่นเอง ดังนี้แล้ว ฝั่งศาสนา จึงมักจบลงด้วยวลียอดฮิต คือ "แล้วแต่บุญแต่กรรม (เถอะวะ)" จากนั้นก็หันหลังให้กัน เดินจากกันไปแบบงงๆ  ว่าเมื่อตะกี้ เราเถียงกันไปทำไม (วะ) แต่คนเรา  โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนตนเองมาก่อน เมื่อถึงคราวทุกข์ร้อนขึ้นมา หาทางออกไม่ได้  ก็วิ่งหาหมอ หาอาจารย์กันให้วุ่น วันนั้นแหละ ถึงจะรู้ค่า คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ายังไม่เห็นค่า คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกนี้ น่าสงสารมากนะ หลายคนฆ่าตัวตาย ก็เพราะไม่เห็นประโยชน์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ .. ปล. จะว่าไปแล้ว คนฝั่งศาสนา  หากแม้ว่าฝึกฝนตนเองมาดีพอสมควรแล้ว ก็ไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์เรื่องที่จะถกเถียงกันหรอก เพราะสิ่งที่พูด โดยส่วนใหญ่แล้ว เกิดจาก สังขาร คือ ความคิด ซึ่งโดยธรรมชาติของ สิ่งนี้  มันเกิดจาก การ (ขาดสติ) เสียส่วนใหญ่ จึงขี้เกียจที่จะไปนั่งเถียงกับคนอื่นๆ  ไม่ใช่แค่กับนักวิทยาศาสตร์หรอก   กับสถาปนิก วิศวะ มนุษย์ศาสตร์ สัตวศาสตร์ อักษรศาสตร์ คุรุศาสตร์ แพทยศาสตร์ หรือแม้กระทั่ง  กับคนที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกัน ยังไม่อยากจะคุยกันเลย  มันเฟ้อ มันเฝือ เค้าไม่อยากไปคุยมากนักหรอก  เสียเวลา พาลจะเสียสติ ไปอีก (เสียสติ ในที่นี้ คือ ขาดสติ) หลวงพ่อโต พรหมรังษี ท่านยังสอนไว้ว่า "พูดมาก เสียมาก  พูดน้อย เสียน้อย  ไม่พูด ไม่เสีย" .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 22:39:41

ความคิดเห็นที่ 30 จะคุยกันยังไงอะ ถ้าภาพรวมวิทยาศาสตร์คือการพิสูจน์ความจริง  ศาสนาคือความเชื่อ ส่วนที่intersectionนั้น คือน่าจะเป็นพุทธส่วนที่เป็นศาสตร์แห่งการดับทุกข์ตรงไปตรงมาพิสูจน์ได้ อันนี้คุยกันได้ เรื่องโลกนี้โลกหน้า สวรรค์วิมานก็คุยกันยาก  ถ้ายกแนวอย่างท่านพุทธทาสอันนี้คุยได้กับวิทยาศาสตร์ และที่ว่าวิทย์ทดลองพิสูจน์เฉพาะเรื่องโลกนี้ ก็ไม่จริง มีคนพยายามศึกษาโลกหน้าอยู่เยอะ หากแต่ตอนนี้ยังไม่มีวิธีพิสูจน์หรือสื่อสารอธิบายได้เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี เพราะความเชื่อมันมีหลายแนว เช่นเชื่อในพระเจ้า ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง  ส่วนคนที่ไปเข้าถึงอะไรที่เป็นปัตจัตตังหรือเป็นสัณทิฏฐิโก อันนี้ก็ยากที่จะสื่อสาร ส่วนที่ว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบไม่ได้หมายความว่าไม่มี  ก็เป็นความจริง แต่อย่าลืมว่าในทางกลับกัน สิ่งที่ว่ามีแต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นได้มันก็หลอกลวงกันได้ และมันก็เยอะจนใครๆก็กล่าวอ้างกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เอาเรื่องความเชื่อ ท่านคิดว่าอันไหนจะจริงกว่ากัน น่าจะมีมนุษย์ต่างดาว กับน่าจะมีผี  โลกที่ผ่านมามีอะไรที่แปลกเกินคาดตั้งเยอะ อนาคนยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่ค้นพบอีก อาจจะมีแบบในหนังหรือในแบบที่บางศาสนาเชื่อก็เป็นไปได้ Nothing is impossible จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 23:51:47

ความคิดเห็นที่ 31 เอางี้ไหมนัดคุยกันเฉพาะคนของห้องศาสนาก่อนสถานที่ก็คงจะเป็นสถานที่กลางๆเหมาะกับการคุยการของห้องศาสนา  ถ้าสนใจผมจะขอสถานที่ให้ครับ  ถึงผมจะไม่ค่อยได้โพสอะไรในห้องนี้แต่ก็แอบอ่านอยู่เป็นประจำ ฮ่าๆๆ ผมขอช่วยคุณDigiTaL-KRASH!!! จัดอีกแรง  แบบว่าอยากเห็นความสมานฉันท์ห้องศาสนา  อยากเชียร์ห้องนี้ให้จัดกิจกรรม จากคุณ : หัวปลาทู เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 01:26:28

ความคิดเห็นที่ 32 ขอเสนอสถานที่นัดพบแห่งใหม่ครับ บ้านร้างป่าเปลี่ยวล่ำลือผีดุที่สุด เพื่อคัดกรองผู้สนทนาครับ จะมีแต่นักธรรมผู้ครองสติมั่น กับ นักวิทย์ตัวจริงผู้ไม่เชื่อเรื่องงมงายผีสาง ส่วนผมขอเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆละกันนะครับ กลัวววววววว......... จากคุณ : ฝันชั้นดี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 01:59:47

ความคิดเห็นที่ 33 ...      อ่านคห.ท่านที่ 32 แล้ว รู้สึกขัดใจครับ ใครบอกว่าผีมีจริง ในฐานะที่ผมเกือบได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมไม่เชื่อเรื่องนี้เด็ดขาดครับ ถ้าผีมีจริง ทำไมคนที่ตายแล้วไม่เห็นกลับมาบอกอะไรเราบ้างเลยครับ และเรามักจะเห็นผีแบบไม่เคยชัดซะกะที เห็นในที่หมืดๆบ้าง สลั่วๆบ้าง นอนฝันไปบ้าง แน่จริง ผีมากลางวันซิครับ มากลางแจ้งเลย จะได้ถ่ายรูปคู่ ไปอวดกับเขาบ้าง    อื่มม์......ไม่เอาดีกว่า อากาศในบ้านมันเย็นๆชอบกล พิมพ์ไปเสียวหลังวุ้ย...                                                                                                          ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 08:16:42

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้าไปร่วมงาน สิ่งที่ผมจะพูดตลอดงานจนงานเลิกก็คือ "ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอยู่จริง"                                                                                                     ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้     เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 54 18:12:58   ถูกใจ : DigiTaL-KRASH!!! ทางหว้ากอ ก็จะตอบกลับว่า "สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์" (ผมลอกอาจารย์เจษมา 55) จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 11:16:11

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าจะจัดทดสอบเรื่องสมาธิ ก็ให้ส่งตัวแทนมาฝึกปฏิบัติสักเดือนครับ คนในห้องนี้พร้อมจะสอนให้หลายคน อย่างที่บอกข้างบน ถ้าโดนตีแล้วเจ็บ คนอยากรู้ก็ต้องโดนตีเอง หรือบอกว่า อาหารหวานมากกกกกกก  ก็ต้องมาชิมเอง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 11:18:29

ความคิดเห็นที่ 36 จัดเลยดิ อยากจะดูหน้าค่าตา ชาววิทย์อ่ะ อ้อ..ส่วนเรา ขอติดตามดูในรูปจากกระทู้มิตติ้งนะจ๊ะ จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 11:20:32

ความคิดเห็นที่ 37 "สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์  เพราะความจริงทั้งโลก วิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ไงครับ เพราะฉะนั้น ยังต้องพัฒนาอีกมาก ยกเว้นว่ามีคนบอกว่า วิทยาศาสตร์พัฒนาจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว " จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 11:22:20

ความคิดเห็นที่ 38 "สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์"   ขอแก้เป็น "สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ยังถือว่าเป็นสมติฐานวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงพอและเงินทุนสนับสนุนสำหรับการค้นคว้า"      ก่อนปี 1672 ถ้ามีคนบอกว่าบนฝ่ามือเรามีจุลชีพอยู่เป็นพันๆตัว ยังไม่มีใครเชื่อเลย แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานเรื่องนี้มาก่อน จนมีกล้องจุลทรรศน์แล้วนั่นแหละคนถึงเชื่อกัน  จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 12:19:11

ความคิดเห็นที่ 39 มายกมือว่าให้ท่านเซนไปเป็นตัวแทนพูดค่ะ  รับรองหว้ากออึ้งแน่ 5555  แค่นึกภาพตามยังขำเลย ของคู่บ้านคู่ห้องนะคะ  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คนมีของ อย่าลองดี เด็กอย่าร้อง สตรีท้องอย่าได้ทัก หญิงรู้จัก ชายรู้จัก เขาคืออับดุล ขออภัยนะคะท่านเซน รักท่านดอกจึงหยอกท่านเล่น อิอิ // จากคุณ : medicolilith เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 12:24:35

ความคิดเห็นที่ 40 ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เนื้อความ ของศาสนาหรือความเชื่อหรอกครับ ในฐานะที่ผมก็เข้าออกทั้งสองห้องมาพอสมควร ศาสนา มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไปมีเหตุมีผลเหมือนกัน ไม่ใช่ความเชื่อ ที่ไร้มูลเหตุ ไร้หลักฐานที่มาซะทีเดียว แต่จุดบกพร่อง"ของคน" ที่นับถือศาสนานั้น คือมุมมองที่เขามองเข้าไป และ"จับยึด"ในเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของศาสนาด้วยความเชื่อ เช่น เครื่องราง ของขลัง พิธีกรรม ปลีกย่อย ระเบียบหรือประเภณีหรืกฏที่ยึดทำๆตามกันมา โดยขาดการยืดหยุ่น โดยขาดการพิสูจน์ หรือ เข้าใจในจุดประสงค์หลัก ของกฏ หรือหลักธรรมนั้นๆ เช่น ธรรมกาย ที่ยึดใน "บุญ" แต่ไม่ได้ทราบถึงเหตุแห่งบุญ การนั่งสมาธิวิปัสนา แค่ตอนอยู่ในห้องพระ แต่ไม่นำพาสมาธิมาใช้ในทุกอริยาบท การทำบุญ ปฏิบัติดี สำรวม เคารพ เพียงเพราะตนกำงอยู่ในวัด หรือกระทำเฉพาะกับผู้เป็นเป็นพระสงฆ์ หรือสัญลักษณ์ของศาสนาตน ซึ่งล้วนเป็นการ ทำตามเพราะความเชื่อ แต่ไม่ได้เข้าใจ เพื่อปรับใช้ ผมชื่อว่าศาสนา ถ้าปรับใช้ด้วย แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ มันจะทำให้เราเข้าใจ แลไปด้วยกันได้ดีครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:51:06

ความคิดเห็นที่ 41 ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง...หว้ากอนึกถึงใคร พระจอมเกล้าลาดกระบังนึกถึงใคร ผู้ที่เห็นว่าพระบ้านวินัยหละหลวมจึงมีพระป่าขึ้นในสมัยนั้นนึกถึงใคร...ท่านเป็นอะไรมาก่อนที่จะขึ้นครองราช....มีตติ้งนี้อาจเป็นพวกคอเดียวกันทั้งสิ้น...พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์โดยแท้จริงแต่พิสูจน์เป็นตัวเลขไม่ได้.... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:09:33

ความคิดเห็นที่ 42 แก้ไขค่ะ...มิใช่พระจอมเกล้าลาดกระบังที่เดียว...พระจอมเกล้าทั้งสามแห่ง...ขออภัยนะเจ้าคะ... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:31:36

ความคิดเห็นที่ 43 คนในห้องหว้าก่อ ก็ต้องมีทุกข์ที่เกิดจาก ความเจ็บป่วย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความรู้สึกที่ไม่พอใจ ความพอใจ ความแก่ ความตาย เมื่อใดที่เขาเห็นทุกข์เขาก็จะเห็นพุทธศาสนาเอง แต่ถ้าเขาไม่เห็นมันก็เป็นเรื่องของเขาจะไปช่วยได้อย่างไร แต่สิ่งที่เขาต้องประสบคือทุกข์ดั่งที่กล่าว  พระพุทธองค์ทรงตรัส ขันธ์5 มีทั้ง อาทีนพ(โทษ) และ อัสสาทะคือรสอร่อย ถ้าเขายังเพลินในรสอร่อยก็เป็นปกติของมนุษย์ วันหนึ่งมีทุกข์ก็จะเห็นโทษ วันนั้นเขาจะเข้าใจพุทธศาสนา เอง ทุกวันนี้สังคมชาวพุทธจะมีกี่วัดที่สอนธรรมะให้เห็นโทษ ส่วนใหญ่ก็ไปซื้อบุญกันเพิ่มความอยาก วิทยาศาสตร์นั้นต้องการพิสูจน์เขาจะได้พิสูจน์ด้วยตนเองเมื่อทุกข์มาเยือนเขา ความทุกข์เป็นของตายที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 17:51:15 จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:43:25

ความคิดเห็นที่ 44 พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลว่ามีโลก มีดาว มีจักรวาลและโลกมิได้มีเพียงแค่ใบเดียวคำว่าจิตเร็วกว่าแสงผู้ที่เพียรกรรมฐานวิปัสนาอย่างหนักอย่างน้อย10%ต้องรู้ได้...เพียงแต่ผู้ที่เพียรกรรมฐานวิปัสนาส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด)มิได้เป็นนักวิทยาศาสตร์และไม่สามารถรู้ได้ว่าแสงมีความเร็วมากขนาดไหนเอาสิ่งใดมาวัดเพื่อเปรียบเทียบกันได้..ผู้รู้ส่วนใหญ่คือผู้ที่ตรัสรู้แล้วท่านก็ไม่มีทางพูดเพราะผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะได้ตัว....คำพูดที่จะยกขึ้นมาเปรียบเทียบให้ตรงกับความหมายปัจจุบันไม่มีทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเท่านั้น   ชาวพระจอมเกล้าส่วนใหญ่เป็นเด็กวิทย์เคารพนับถือสมเด็จพระจอมเกล้ามาก...ได้แต่รู้ว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ของไทยที่ชาวโลกในยุคนั้นทึ่งที่ท่านสามารถพยากรณ์"สุริยุปราคา จันทรุปราคา"ได้อย่างแม่นยำแต่น้อยคนที่จะสนใจว่าจริงๆแล้วท่านเป็นพระนักบวชก่อนที่จะขึ้นครองราชและเป็นการถูกบีบบังคับอย่างมากในการที่จะต้องสละสมณะเพศท่านก็ไม่ได้ยึดติดอะไรสมัยนั้นจึงมี 2 รัชกาลพร้อมกันและขึ้นครองราชในสมัยที่มีพรรษามากแล้วเหตุผลคือความไม่สงบทางบ้านเมือง หาอ่านได้จากหนังสือในห้องสมุดฝั่งวิศวะที่พระจอมเกล้าลาดกระบัง   พระคาถาสวดบูชาพระสยามเทวาธิราช...(ระตะนัตตะยัปปะภาวาภิยาจะนะคาถา)  เป็นพระราชนิพนธ์ของท่าน     พระป่ามีเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยที่ท่านครองราชเหตุเพราะท่านทรงเห็นว่า(ในสมัยนั้น)พระบ้านมีวินัยที่หละหลวม ท่านจึงเป็นผู้ก่อตั้ง(ภาษาพระเรียกไม่ถูก)ขึ้น   นักวิทย์ทั้งหลายอ่านหนังสือเทียบเคียงเป็นความรู้เบื้องต้นได้จากหนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธนะ.... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:30:10

ความคิดเห็นที่ 45 อืม...ผมว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งนะครับ แค่คนปฏิบัติชอบทำให้เป็นไสยศาสตร์อย่างยิ่งเท่านั้นเอง ผมเองตามอ่านทั้งหว้ากอและศาสนาครับ จากคุณ : Septu เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 19:45:30

ความคิดเห็นที่ 46 คห45 นั่นคือคุณไม่เข้าใจคำว่าผู้ปฏิบัติชอบตามความหมายของศาสนาพุทธอย่างแท้จริง ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคือพุทธศาสนาคือไสยศาสตร์ความเชื่อและความงมงาย... แท้จริงแล้วไสยศาสตร์เป็นเพียงแขนงหนึ่งของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นแต่ไม่ให้ยึด ได้ยินหลวงพ่อท่านหนึ่งเทศน์จึงได้เข้าใจว่ามันเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายรู้จักหันกลับมาเข้าวัดทำบุญทำทานแต่เป็นการตีความที่ผิดไปของชาวบ้านว่ามีของขลังทำให้ค้าขายดี ในทางพระป่าจึงห้ามจัดทำของขลังใดๆทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าไม่มีนะแต่ท่านไม่ให้ยึดถือ     หมอน้ำมนต์ปฏิบัตินิดหน่อยยังสามารถต่อกระดูกได้นับประสาอะไรกับพระประปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะแสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติไม่ได้ ลองเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเองนะว่าวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเป็นยังไง อาจหลงทางหน่อยแต่อย่าท้อใจ... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 20:31:19

ความคิดเห็นที่ 47 พระจอมเกล้าลาดกระบัง  เราก็นึกถึงเพื่อนเราจิ  เพื่อนเราจบจากที่นี่   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:41:43

ความคิดเห็นที่ 48 #39  ..... หญิงรู้จัก ชายรู้จัก  ==>  เขาคืออับดุล   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:45:17

ความคิดเห็นที่ 49 ไหงบางความเห็น พูดอย่างกับจะนัดกันโต้วาที นี่เค้าพูดเรื่อง ถ้ามีตติ้ง ไม่ใช่เร๊อะ !! จากคุณ : รู้สึกตัว เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:57:48

ความคิดเห็นที่ 50 สู้กันไปทำไม  "ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่ แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา" .....หว้ากอไม่เข้าใจ????....แต่ลาดกระบังเข้าใจ.....ต้องรุ่นโบราณหน่อยนะ......ไปทำกิจของคฤหัสดีกว่า...... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:42:35

ความคิดเห็นที่ 51 ยังครับยัง นัดทานข้าวครับ ยังไม่โต้วาที ^^" ใจร่มๆ ไปกินสตูว์ผักของที่ผมทำกันก่อนมั้ย .. http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11053966/X11053966.html จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:11:34

ความคิดเห็นที่ 52 คห.46 ครับ "ผู้ปฏิบัติชอบ"ในคห.45 ของผมไม่ใช่คำนาม ที่หมายถึงผู้ปฏิบัติดีแล้วครับ เมื่ออ่านทั้งประโยคผมหมายความถึง คนเรามักจะทำให้กลายเป็นไสยศาสตร์อย่างยิ่ง เข้าใจดีครับว่า  ต้นไม้จะสมบูรณ์อยู่ได้ต้องมีทั้ง"เปลือก" และ "แก่น" และสิ่งที่เราไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี แต่ขออนุญาตเห็นแย้งกับคำว่า  "แท้จริงแล้วไสยศาสตร์เป็นเพียงแขนงหนึ่งของศาสนาพุทธ" ขอบคุณครับ จากคุณ : Septu เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:20:01

ความคิดเห็นที่ 53 ตกลงได้ขึ้นเป็นกระทู้โหวตแล้วล่ะ...เยี่ยม จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:20:58

ความคิดเห็นที่ 54 ถ้าจัดมีตติ้งระหว่างโต๊ะหว้ากอ(วิทยาศาสตร์) กับโต๊ะศาสนา(ความเชื่อ) สักที... ---------------------------------------------------------------------- ผมว่า สำหรับ พุทธบริษัทที่ดี  ความมีความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาทางธรรม  หรือ ที่เรียกว่า  ศรัทธา ๔ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สัทธา_๔ สัทธา ความเชื่อ; ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดีไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก ท่านแสดงสืบๆ กันมาว่า ๔ อย่างคือ ๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม ๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม ๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต; -------------------------------------------- วิบากกรรมของ อกุศลกรรมบถ และ บุญกิริยาวัตถุ ทำไมมนุษย์จึงมีสภาพที่แตกต่างกัน / วิบากกรรมยุติธรรม ? http://larndharma.org/index.php?/topic/254-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a8%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%9a%e0%b8%96-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0-%e0%b8%9a/ ๕. จูฬกัมมวิภังคสูตร (๑๓๕) [๕๗๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล สุภมาณพ โตเทยยบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ [๕๘๐] สุภมาณพ โตเทยยบุตร พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความประณีต คือ มนุษย์ ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดใน สกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความ ประณีต ฯ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 06:31:07

ความคิดเห็นที่ 55 ขอโทษด้วยที่เข้าใจความคิดของคุณ(คห52)ผิดไป...ตามความเข้าใจของดิฉันคือ "ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มักจะเป็นคำที่ใช้กับพระสุปะฏิปันโนเท่านั้น ดิฉันจึงไม่ใช้คำว่า"คนปฏิบัติ"มาปะปนให้เข้าใจสับสนไปด้วย.....     ส่วนเรื่องไสยศาสตร์คุณต้องไปตามหาเอาเองว่าทำไมพระสมัยก่อนๆจนถึงปัจจุบันจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้เพื่ออะไร...เรียนไปทำไม...แล้วผู้ที่เรียนหรือผู้ต้องการเรียน(สมัยก่อนนะ)ทำไมต้องไปเรียนจากพระ.....ขอโทษอีกครั้งนะคะ... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:01:28

ความคิดเห็นที่ 56 #54 อ่าว คุณเฉลิมศักดิ์1 ไม่ฟลัดกระทู้แบบที่เคยทำเหรอ เอาที่ว่าท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระไตรปิฏกหรือพระพุทธเจ้ามาอีก   เราดูกี่ทีกี่ที พิ'ณาแล้วก็เห็นว่าท่านพุทธทาสนี่ละถ้าจะคุยกับวิทยาศาสตร์แบบไม่ขัดแย้งเลย จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:13:17

ความคิดเห็นที่ 57 จัดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ ทะเลาะกันเปล่าๆ เพราะ 2 ศาสตร์ นี้ต่างกันสุดขั้ว เรียกว่าคนละฝั่งเลยทีเดียว วิทยศาสาตร์ เป็น ศาสตร์ ที่สอนให้พิสูจน์หาความจริง สิ่งต่างๆที่ ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ บอกว่า มีอยู่จริง เกิดขึ้นจริง จับต้องได้ และเป็นการค้นหาสัจจะธรรมจากสิ่งภายนอก  ดังนั้น จึงมีการยึดมั่น ถือมั่น ในตัวตน และสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ แต่ พุทธศาสนา เป็น ศาสตร์ที่ แสดง ให้เห็นว่า  สิ่งต่างๆที่ ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ เห็นและสัมผัสได้นั้น ไม่มีอยู่จริง ไม่เกิดขึ้นจริง  และเป็นการค้นหาสัจจะธรรมจากภายใน ดังนั้น จึงไม่มีการ ยึดมั่น ถือมั่น ในตัวตน และสิ่งต่างๆรอบตัว ส่วนเรื่อง การมีอยู่ ของ นรก สวรรค์นั้น  เป็น การบิดเบือน และเข้าใจผิดต่อๆกันมาในคำสอน ผู้สอนอ้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกละอายกรรมชั่ว  เรียกว่าเป็น อุบายในการสอน พระบรมศาสดา ท่านไม่เคยพยากรณ์ว่า ตายแล้วจะไปไหน ในสมัยพุทธกาล ก็มีบุคคลที่ถามท่านในเรื่องนี้ แต่ท่านไม่พยากรณ์ออกมา พร้อมให้เหตุผลว่า   การพยากรณ์เรื่อง ตายแล้วไปไหน ไม่ช่วยในการหลุดพ้น บุคคลที่ยังเชื่อว่า ตายแล้วจะได้ไปนรกหรือสวรรค์หรือเกิดใหม่  บุคคลเหล่านั้นก็ยังคงเวียนว่าย อยู่ในวัฏะสงสารอยู่ร่ำไป เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ การหลุดพ้น หมายถึง นิพพาน คือ ไม่เกิดที่ไหน ชาติหรือภพภูมิไหน อีกแล้ว สวรรค์ไม่มีอีก นรกไม่มีอีก ไม่เวียนว่ายตายเกิดที่ใดๆอีก มีแต่ความดับ ฉะนั้น การมีทติ้ง จึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะ  ทั้ง 2 ฝั่ง ยังมีบุคคลที่ไม่เข้าใจถึง "แก่น"  แท้ ของศาสตร์นั้นๆ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 10:35:26 จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:26:29

ความคิดเห็นที่ 58 ผู้ที่เรียนจบทางวิทยาศาสตร์  และเข้ามาศึกษาธรรมในพุทธศาสนาก็มีมาก ซ้ำยังมีบางท่านบางส่วนปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐาน ในพุทธศาสนาเป็นเวลายาวนานก็มี บางท่านยอมแม้สละด้วยชีวิตในการปฏิบัติธรรมเพื่อ ธรรม คือมรรคผลนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มี. เพราะัคำว่า ปัญญา นั้นพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้.      1.สุตมยปัญญา  (ปัญญาที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง และการอ่าน)      2.จินตมยปัญญา (ปัญญาที่ได้จากการคิดพิจารณา หรือ วิเคราะห์)      3.ภาวนามยปัญญา (ปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน มีทั้งสมถะและวิปัสสนา จนบังเกิดผล 2 อย่างคือ 1.สมาธิระดับฌาน 2.บรรลุมรรคผลนิพพาน)   ดังนั้นการสนทนาพึงต้องวางกรอบไว้ให้ดี ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในส่วน สุตมยปัญญา กับ จินตมยปัญญา.    แต่ถ้าเป็นในส่วนของ ภาวนามยปัญญา ผู้ที่ร่วมสนทนาต้องผ่านการปฏิบัตธรรม มาสมควรก่อน  ไม่ใช่นั้นไม่ว่าจะสนทนากันอย่างไร ย่อมชักนำไปสู่ความเข้าใจตรงกันได้ยาก. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:49:43

ความคิดเห็นที่ 59 ต้นไม้จะสมบูรณ์อยู่ได้ต้องมีทั้ง"เปลือกและแก่น" บางคนบอกว่า.."สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสนาเป็นยากิน"  สำหรับตัวดิฉันหลวงตาพวงท่านสอนเองว่า "สวดมนต์เป็นแค่เพียงแต่เปลือก วิปัสนาสิเป็นแก่น...นอกนั้นไม่ต้องสนใจ" (หลวงตาพวง สุขินทริโย จ.ยโสธร) จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:56:29

ความคิดเห็นที่ 60 ค่ำๆจะมาคุยเรื่องนาฬิกาชีวิตให้ฟัง.... จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 12:23:06

ความคิดเห็นที่ 61 จำได้ว่าเคยจัดแล้ว แต่คุณ DigiTaL-KRASH!!! มาไม่ได้ ตอนนี้มีตติ้งนั้นโดยคุณจักรแก้ว ก็พัฒนาเป็นมีตติ้งสัญจร เดินสายทำบุญไปเรียบร้อย จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 13:05:35

ความคิดเห็นที่ 62 ตกลงจขกท.คิดว่าจะจัดหรือไม่คะ จะตามอ่านต่อ น่าสนใจค่ะ จากคุณ : ไตรโสภณ เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 14:45:15

ความคิดเห็นที่ 63 เดี๋ยวๆทุกท่านครับคือคุณแครชนะเคยจัดมีทติ้งหว้ากอมาครั้งนึงแล้วนะครับแล้วคุณแครชคงอยากได้มิตรภาพเพิ่ม เลยอยากชวนห้องอื่นๆมามีทติ้งบ้างไม่ได้กะชวนไปถกวิทยาศาสตร์กับศาสนาครับ เพราะอ่านไปอ่านมาอารมณ์ ประมานเพลงนี้เลยครับ(อย่าเข้าใจเจตนาเจ้าของกระทู้ผิดกันนะครับ^^) จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 17:38:52

ความคิดเห็นที่ 64 จัดได้นะครับ ไม่ยากอะไร แต่คนจะมาแค่ไหน เป็นอีกเรื่องนึงครับ ห้องศาสนา จัดมาประมาณ ยี่สิบครั้งแล้วมั้งครับ อยู่ในคลับย่อย มีิตติ้งเที่ยววัดทำบุญ ดูในคลังกระทู้เก่าห้องศาสนาก็ได้ครับ เราสองคน ก็เคยมีตติ้งกันทีนึงจำได้ไหมครับ ผมยังได้รับเลี้ยงข้าวต้มจากคุณ ดิจิเลย ทางห้องศาสนาก็จัดครับ แรกๆ ก็มีตติ้ง  กินกันเฉยๆ ต่อมาก็บอกน่าจะมีไปทำบุญกันบ้าง ก็ไปแค่วัดปทุม ตลกดีครับ แค่ไปหยอดตู้ และถ่ายรูปกันมาแค่นั้นเอง ก็มีคนมา บอกชื่นชมมาก อยากให้มีอีก ต่อมาก็บอกว่า ทำอะไรให้มันมากกว่านี้อีกหน่อย ไปทำบุญกันไกลๆ ก็พากันไป ต่อมาบอกชอบ เอาอีก ทำบุญให้มันมากกว่านี้ ก็พาไปวัด ไปนอนวัดบ้างโรงแรมบ้าง ต่อมาก็บอกว่า พวกนอนโรงแรมอยากนอนวัดแล้ว จะได้ถือศีลแปด ทีนี้เลยก็เป็นไปถวายพระไตรปิฎก ด้วย ศีลแปดด้วย ไกลๆด้วย เลยค่อยพัฒนากันไป แล้วค่อยกลับมา สนุกบ้าง ล่าสุดมีไปชายหาดนั่งเรือไปเกาะไปวัดด้วย ก็สนุกดี แต่ผมก็ยินดีที่จะไปกินกันรู้จักกันเฉยๆ ก็ยินดีครับ ประเด็นมีอยู่ว่า พวกเราอยากรู้จักตัวจริงๆ กันจริงหรือ และมีคนที่อยากจะรู้จัก อยากจะไป สักเท่าไร นั่นเองครับ บางที บางคน ก็มีความสุข กับการให้ความเห็น โดยไม่มีใคร รู้จักเรา จะดีกว่า ก็มีครับ เพราะรู้สึก ไม่อคติ ดี เป็นต้น ถ้าจะจัดกรุณาหลังไมค์มาหาผมนะครับ ผมหากระทู้นี้ไม่ค่อยเจอ ต้องค้นคำว่า จักรแก้วจึงจะเจอครับ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 08:26:28

ความคิดเห็นที่ 65 ถ้าพี่หมอจักรแก้วจัดอีก ก็นัดแต่เนิ่นๆนะครับ จะได้ดูตารางเวลา แต่ถ้าจัดเชียงใหม่ "ถึงไหนถึงกัน" จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:30:14