เขาเปรียบความเป็นมาก่อนว่ามนุษย์เกิดจากอะไร ก็ไล่ไป เกิดจากอสุจิ ไล่ไป แล้วอสุจิเกิดจากอะไร .... ตันแล้ว เพราะวิทยาศาสตร์ไปต่อไม่ได้ (ตันครั้งที่ 1)
ผมว่าคุณรีบตันเร็วไปรึปล่าว? ในคลิปพูดถึงว่าเกิดจากสารต่างๆมาประกอบกันของร่างกายบิดางัย เขากำลังจะไล่ลำดับให้ดูว่ามนุษย์มีจุดเริ่มต้นยังงัย เปรียบเทียบได้กับโดมิโน่ สามารถเทียบได้กับ หลักการเวียนว่ายตายเกิดด้วย แค่นี้ก็จับประเด็นไม่ถูกซะแล้ว
ใครเป็นคนกำหนดการเรียงตัวอันนั้น และใครเป็นคนสร้างกฏการเรียงตัวอันนั้น .... ตัน เพราะวิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงองค์ความรู้นั้น (เป็นการตันครั้งที่ 2)
เป็นคำถามให้คนคิดตามงัยครับ ว่าหากโอกาสการเรียงตัวโดยบังเอิญมีแค่นั้น คนสติปัญญาปกติยังจะเชื่อได้หรือไม่ ก็ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจก่อนว่า ค่าความน่าจะเป็น (probability) เป็นประโยชน์ในการเลือกเชื่อเหตุการณ์แก่มนุษย์อย่างไร
และอีกหลายๆ ตัวอย่าง ฯลฯ .... ประเด็นคือ ทุกอย่างมันไม่มีทางเกิดขึ้นเองได้ มันจะต้องมีผู้สร้าง
ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จะเอาข้อมูล และตัวเลขต่างๆ มาใช้ประโยชน์อย่างไร ก็เป็นแบบนี้เองครับ
มนุษย์เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่งนั้นน่ะใครคือผู้สร้างมันขึ้นมา ถ้าไม่เอาความเชื่อ และ ศรัทธาของศาสนาใดๆ มาเกี่ยว ความไม่รู้นั้นก็จะยังคงเป็นความไม่รู้อยู่วันยันค่ำ ถูกไหม?
การยอมจำนนว่ามีผู้สร้าง?ตามหลักคิดที่กล่าวมาหลายตัวอย่าง กับ ความไม่รู้ว่าเป็นใคร? เป็นคนละความหมายครับ แยกให้ออก นี่ไม่นับความเชื่อเลยนะครับ
ทีนี้มีทษฏีการเกิดขึ้นของศาสนาที่ผมอยากจะให้คุณรู้ไว้คือ ศาสนาเกิดขึ้นด้วยเหตุเพราะสิ่งเหล่านี้...บลาๆๆ
นั่นเป็นทฤษฎีครับ ที่ไร้ข้อพิสูจน์ครับ คงเป็นจริงกับศาสนา และ ลัทธิ ที่มนุษย์คิดขึ้นมาเอง แต่คงเหมารวมว่าต้องเป็นทุกศาสนาไม่ได้ โดยเฉพาะส่วนของศาสนาที่ถูกจับผิดด้วยตรรกะ และ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎชัดแล้ว นั่นแหละครับที่น่าสงสัยที่สุดว่าคงกำเนิดขึ้นตามทฤษฎีเหล่านี้
เพราะมันดูสมเหตุสมผลมากกับการที่เรา(มนุษย์)จะปฏิเสธความไม่รู้อันนั้น แล้วโยงไปที่พระเจ้า ว่าพระเจ้านั่นแหละคือผู้สร้างต้นกำเนินของสรรพสิ่งทั้งหลาย
การยอมจำนนว่ามี แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครผมได้กล่าวไปแล้วนะครับ ส่วนจะเรียกว่า พระเจ้า God อัลลอฮ์ หรือ อะไรก็ตามแต่ ยังต้องใช้หลักฐานอื่นประกอบครับ ซึ่งเรายังไม่ไปในเรื่อง พิสูจน์คัมภีร์ แต่กรณีนี้เพียงพิสูจน์ว่า สรรพสิ่ง ยืนยันถึงการมีอยู่ของ "ผู้สร้าง" อย่างชัดเจน ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ที่เหลือก็เป็นน้ำนะครับ ผมคงไม่หักล้าง เอาเป็นว่าคุณลองใคร่ครวญที่ผมแย้งไปอีกทีก็แล้วกัน มองให้กลางๆ อย่าอคติ ไม่รู้ส่วนไหนก็จำกัดขอบเขตมันด้วย อย่าเหมารวมว่าไม่รู้ส่วนหนึ่งส่วนใด แล้วจะไม่รับรู้ทุกส่วนที่สัมพันธ์กับมัน เข้าใจครับว่ามันเป็นกระบวนการ ปกป้องความเชื่อ ที่ง่ายที่สุด ตามหลัก จิตวิทยา ที่คุณอ้างมา
เรื่องวิทยาศาสตร์ นี้ อย่าลืมแย้งกลับมาอีกนะครับ เอาแบบลงลึกๆหน่อย เพราะการดูผ่านๆแล้ววิเคราะห์เอาเองแบบนี้มันไม่ค่อยก่อประโยชน์เลยครับ
ถ้าไม่สันทัดวิทยาศาสตร์ไปแย้ง คห. เรื่องเหตุผล และตรรกะเป็นหลักก็ได้ ที่คุณอ้างใน คห.54 ว่าจะจับผิด T/F ใน คห.53 งัยครับ ว่ายังงัย?