ความคิดเห็นที่ 1 2. ประสบการณ์ความทุกข์มวลรวม สร้าง "น้ำหนึ่งใจเดียว.."   ขณะล้างจานเราก็นึกถึงเพลงพี่เบิร์ด  "ฝนตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้"  รู้สึกว่าน้ำท่วมทางโน้นจะหนาวถึงคนทางนี้จริงๆ นึกถึงคำของพระอาจารย์  ท่านว่า "แม่พระคงคา ท่านเมตตาเสมอภาคกัน" อื่ม..   มันก็ดีไปอย่างนะคะ..  ก็น้ำท่วมเสมอภาคกัน  ที่จะไม่เข้าใจไม่เห็นใจกันเป็นอันไม่มี.. จากภาพข่าว ก็ได้เห็นแล้วว่า จะเศรษฐี 10 ล้าน หรือยาจกมีเงินติดบ้าน 10 บาท   ก็ต้องอุ้มหมาขึ้นเรืออพยพเหมือนกัน  นี่แหละความเสมอภาคของแม่พระคงคา...ท่านเมตตาเสมอกัน.. งานนี้ชาวไทย 90 %  ก็ได้รับรู้รสชาติการจมน้ำถ้วนหน้า.. เพื่อให้ได้เข้าใจว่า "ที่จริงแล้วจะยากดีมีจนเช่นไร  ชีวิตของคนเราย่อมเปราะบางต่อความสูญเสียเสมอกัน" เป็นอันได้ลิ้มรสสัจจะธรรมที่ว่า "มีมากก็ทุกข์มาก มีน้อยก็ทุกข์น้อย" ไอ้ที่ไม่ทุกข์เป็นไม่มี.. เราก็มีทรัพย์สินให้ทุกข์ ที่ย่านจรัลสนิทวงศ์ คงจมน้ำไปแล้ว.. ช่างมัน ที่นครปฐมนี้ คงจะยกของขึ้นชั้นสองเสียหน่อย พอเป็นพิธี ของอะไรเสียๆ ก็จะได้ถือโอกาสทิ้งๆ ไปบ้าง  หากน้ำมาน้ำไปแล้ว ก็คงจะเหลือของน้อยสมใจ..  คือที่ผ่านมามันไม่กล้าทิ้ง หามาด้วยความยากลำบาก  เอาจริงๆ เหลือของสำคัญแต่เสื้อผ้า เงิน แล้วก็รถ อ้อน้ำสองแพ็ค..  ทุกอย่างอยู่ในรถ เตรียมพร้อมขับหนีน้ำ โชคดีที่พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด เพราะพวกท่านไม่ติดกรุงเทพ  ตัวเองก็โชคดีที่ยอมละทิ้งความสบายจากกรุงเทพมาอยู่เมืองเล็กๆ คือนครปฐมหลายปีแล้ว..   ตอนนั้นมันก็ต้องตัดใจนะคะ..  แต่ตัดใจได้ ยอมสูญเสียสถานะเดิมๆ มาเริ่มต้นใหม่ มันก็สบายอย่างยั่งยืนกว่า..   ใครที่น้ำยังท่วมบ้าน.. แต่ว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่และครอบครัวยังปลอดภัยดี  อยากให้คิดไว้เลยว่า  แท้จริงแล้ว  "เราโชคดี"  ที่ได้รับสัญญาณเตือนล่วงหน้า.. ถ้าโชคไม่ดีนั้น ต้องกล่าวว่า มวลน้ำโถมมาทีเดียว วอดวายทั้งชีวิตและทรัพย์สินค่ะ..   การที่โดนเตือนหนักๆ เพราะว่ามันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้วนั่นเองค่ะ.. ถ้าไม่เจอแบบนี้ คนกรุงเทพจะยังประมาทและหลงผิดอยู่ไม่เลิกค่ะ.. คำเตือนให้ย้ายเมือง ก็มีมานานแล้ว   ข้อมูลเตือนเรื่องระดับน้ำทะเล ก็มีมานานแล้ว ข้อมูลภัยธรรมชาติ ก็มีมานานแล้วเช่นกัน.. แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากคนเมือง มันแทบไม่ขยับเลย..   ปีนี้ธรรมชาติจึงเตือนแรงๆ หลังจากเตือนอ้อมๆ มาพักใหญ่.. ที่ท่านเตือนแรงๆ อย่างนี้  ลองสังเกตสิว่า  ชีวิตเสียหายน้อยกว่าทรัพย์สินนะคะ..   ถ้าฟังคำเตือนออก มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที..   ในอนาคตเมื่อฉากพิบัติภัยของจริงมาถึง  จะมีคนขวัญอ่อนกลุ่มหนึ่ง รอดพ้นภัยอันตรายได้อย่างสบายๆ เลยล่ะ..     เราเองอยากอยู่กลุ่มคนขวัญอ่อน เป็นผู้มีอุปปาทานแก่กล้า..  ใครจะว่ายังไง เพราะอุปปาทานนี่แหละ จึงไม่ประมาท..  ใช้ชีวิตกับมรณานุสติตลอดเวลา ถ้าเผลอๆ ประมาท เพราะสบายเกินไป  เดี๋ยวมีอุปปาทานมาเตือนแล้ว.. เมื่อเดือนมีนา เราได้เห็นน้ำท่วมบ้านตัวเอง ถึงชั้นสอง คือชั้นสองอยู่ได้  เราก็รีบไปซื้อของจำเป็นมาเตรียมไว้  คิดว่าภัยจะเกิดขึ้นช่วงมิถุนายน ช่วงนั้นเครียดมาก.. ก็ต่อสู้กับใจตัวเองทุกวัน จนในที่สุดก็ละวางได้  เมื่อเหตุการณ์ที่น่ากลัวไม่เกิด เราก็เอาของมาแกะกิน.. 555  ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราได้ซ้อมทำใจไว้แล้ว..   หลังจากนั้นเราก็ลั้นลากับชีวิตตามปกติ.. ปรากฏฝนทิ้งช่วง ภัยมาเริ่มหนักเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา   เราเพิ่งซื้อรถใหม่ตอนนั้นก็มีอุปปาทานอีก ทั้งที่บ้านพ่อแม่ เราฝันติดกันว่ารถไปกับน้ำ.. ในฝันไปเดินตามหารถ เจอแต่รถคนอื่นจมน้ำ จมโคลน ไม่เจอรถตัวเองเลย ในฝันยังคิดว่าประกันทำงานหรือยังนะ..   ในที่สุดก็ต้องทำใจอีก เอาวะ.. อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด  ถ้าถึงรถจมน้ำ มันก็ช่วยไม่ได้หรอก.. ทำไงได้..  เรามีวัตถุห่วงใยสุดๆ ตอนนั้นก็คือรถ  เขาจะพรากรถไปจากเราแล้ว ตอนนั้นได้มาไม่ถึงเดือนเลย.. จิตมันก็บอกว่า ถ้าไม่ละความห่วงรถก็ไม่เลิกทุกข์หรอก  นอนไม่หลับอยู่งั้นแหละ.. นอนหลับก็ยังฝันร้ายอีก..  อย่ากระนั้นเลย  เอาขึ้นตาชั่ง  ช่างมันเหอะ... ก็เลยช่างรถอีก  ช่างบ้าน ช่างรถ..   ช่างอาชีพด้วย..  คิดซะว่ามีปัญญาอยู่กับตัวกลัวอะไร เราทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น  ขอให้มีชีวิตรอดไม่ป่วยไข้.. เราเริ่มใหม่ได้เสมอ...     คิดกับมันจริงๆ วางมันจริงๆ ก็เหลือแต่ตัวเป็นอิสระ..   อะไรจะเกิดก็เกิด  ทุกปัญหากลับมาที่จิต   ก็ดูมันลงไปในจิต ละได้ไหมล่ะ.. วางได้ไหมล่ะ..   ถ้ามันวางไม่ได้ ให้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน... เอาอนาคตเป็นตัวประกัน.. ถ้าชีวิตเราเหลืออีกแค่ปีกว่าๆ  สมมตินะ..   อาชีพการงาน บ้านหรือรถ มันก็ไม่มีความหมายหรอกจริงไหม.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 15:48:32

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าน้ำจะมาถึงคุณchaosyจริงๆ ก็ขอให้หลอดภัยนะครับ : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:12:27

ความคิดเห็นที่ 3 เรานึกถึงทฤษฏีเคออส ที่เราศึกษามามากตอนเรียนป.โท ชอบทฤษฏีนี้จนเอามาเป็นชื่อลอกอินนะ "ทฤษฎีเคออส (chaos theory) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า บัตเตอร์ฟาย เอฟเฟ็ค (butterfly effect) ถูกนำมาใช้อ้างอิงในภาษาไทยว่าทฤษฎีโกลาหล และแนวคิดผีเสื้อขยับปีก เปรียบเปรยเหตุการณ์บางอย่างเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงได้  เช่น ผีเสื้อขยับปีกที่ประเทศบราซิลเป็นผลให้บรรยากาศโลกเคลื่อนไหวในรูปแบบที่อาจทำให้เกิดพายุทอร์นาโดได้ในเทกซัส แนวคิดผีเสื้อขยับปีกถูกนำมาประยุกต์ใช้อธิบายปรากฏการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็วโดยกลุ่มนักอนุรักษ์ธรรมชาติ หลายกรณียังถูกนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม" ทฤษฏีนี้อาจจะเอามาอธิบายว่า   น้ำท่วมที่อุทัยธานี ส่งผลกระทบถึงขั้น "สูญเสียเมืองหลวงของประเทศ" ได้อย่างไร   และน้ำท่วมที่รังสิต ก็ส่งผลกระทบถึงจ.นครปฐมได้อย่างไร.. มันย้อนไปถึงการจัดการที่ผ่านๆ มา ซึ่งเป็นไปในแนวทางรักษาไข่แดงเอาไว้ คนอื่นจะแตกสลายอย่างไรก็ไม่สน  เพราะไข่แดงเป็นกล่องดวงใจ.. คนกรุงเทพที่ผ่านมา อยู่อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้  ไม่รู้จักความทุกข์  ไม่เคยต้องรับรู้ความยากลำบากของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ  ที่เขาอยู่กับความทุกข์จนเป็นเพื่อนเกลอกัน..    ตามประสาลูกเทวดา เติบโตในเมืองเทวดา.. ก็มีความเป็นอยู่แบบเทวดาๆ เรียกว่าหลงเพลินในกามนั่นแหละ..  มันก็ไม่ต่างอะไรจากสวรรค์หรอก.. ก็ยังดีที่เป็นสวรรค์ชั้นล่างๆ หน่อย..     แต่ว่ากันตามธรรมแล้ว คนเรา..ถ้าไม่รู้จักทุกข์ จะรู้จักชีวิตที่แท้จริงได้อย่างไรกันล่ะ.. เพราะไม่เคยรู้จักทุกข์ เสวยบุญอยู่กับกองสุข  เลยปล่อยให้ยักษ์มารอยู่กันเต็มเมือง.. ว่างๆ ก็ยกพวกตีกัน เอาชาวเมืองเป็นตัวประกัน..  มันจะไปทำอะไรได้ ก็เขาป้อนความสุขให้ ใครจะไปสนใจว่าอะไรมันเข้ามายึดเมืองไปแล้ว.. น้ำเข้ามาประชิดเมืองตั้งหลายปีแล้วนะคะ คนรอบนอกเขากินน้ำตาต่างข้าวต่างน้ำมานานแล้วหนา..  แต่เพราะนโยบายรักษากล่องดวงใจ  คนอยู่ในกล่องเลยไม่ทันได้รู้ตัว ว่าชีวิตของเราตกอยู่ในวงล้อมของภัยพิบัติ มานาน...พักใหญ่แล้วค่ะ.. งานนี้..พระสยามเทวาธิราชคงจะอ่อนใจ..เลยเซย์เยส.. พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองหนีเข้าป่าไปพักใหญ่  พระแม่ธรณีก็เข้าไอซียูไปแล้ว..   จึงเป็นคิวของพระแม่คงคา  ท่านเลยลองเอาน้ำเย็นเข้าลูบ..   เรียกว่าแตะถึงกล่องดวงใจ แบบเบาะๆ นะ.. เรียกว่าเอาน้ำมาเตือน.. แบบเย็นๆ  เตือนให้ชาวกรุงเทพ  ลืมตามองหาความเป็นจริง..  ตื่นจากฝันในกามาพจรภูมิ..   ถ้าครั้งนี้ไม่ตื่น เหลืออีกสองพระ คือพระพาย และพระเพลิงหนา.. (ตกลงกรูจะปลอบใจเขาหรือทำให้เขากลัวกันเนี่ย..) จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:13:25

ความคิดเห็นที่ 4 ช่างบ้าน ช่างรถ ช่างอาชีพ  ... ชอบค่ะ คำง่ายๆ  บางครั้งก็ทำง่าย บางครั้งก็ทำยากส์ บางครั้งช่างมันไปแล้ว ยังมีแว๊บๆว่า เฮ้ย ใช่เหรอ อีกซะด้วยสิ...เฮ้อ จากคุณ : ดรีมเมอร์ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:20:16

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่มีเวลาหารายงานตัวเองมาแปะ เอาของชาวบ้านมาแปะแล้วกัน ให้เพื่อนๆ ลองอ่านดู อ่านภาษาอย่างนี้ไหวไหม.. ชวนคลายเครียดมาเครียดเรื่องที่ใหญ่กว่าหน่อย..จะได้วางเรื่องเครียดเล็กๆ ลงได้ ทฤษฏีเคออสนี้  สำหรับคนทั่วไป เป็นการสื่อความหมายว่า เรื่องเล็กๆ เช่นการที่ผีเสื้อกระพือปีกสามารถก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ๆที่ไม่คาดคิดในระยะ ทางไกลๆได้ (เข้าทำนอง “เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว”) มัน เป็นปรากฏการณ์เรียกกันว่า "Butterfly Effect" หรือ "ปรากฏการณ์ผีเสื้อ" ที่ชอบพูดกันคือ "เด็ดดอกไม้ กระเทือนถึงดวงดาว" คำกล่าวหรือปรากฏการณ์นี้ เป็นเรื่องของทฤษฎีที่เรียกว่า Chaos Theory (ภาษาไทยยังไม่มีศัพท์บัญญัติ) แต่มีที่เรียกกันคือ ทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือ ทฤษฎีแห่งความยุ่งเหยิง ทฤษฎีสับสนอลหม่าน,หรือนักวิชาการบางท่านก็ไปเขียนไว้ว่าเป็นทฤษฎีความโกลาหล ทว่า ที่ใช้กันมากที่สุด คือ การเรียกทับศัพท์เป็น ทฤษฎีเคออส ทฤษฎีเคออส เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับระบบต่าง ๆ หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ ที่เผินๆ ดูเหมือนจะไม่มีความเป็นระเบียบเลย มีแต่ความยุ่งเหยิง ทว่า ในความยุ่งเหยิงนั้น ตามทฤษฎีเคออส จริง ๆ แล้ว ก็มีความเป็นระเบียบที่ปรากฏซ้อนกันอยู่   มีกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ควบคุมอยู่ เช่น ปรากฏการณ์เกี่ยวกับสภาพลมฟ้าอากาศ ตามทฤษฎีเคออส ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวกำหนดสภาพความเป็นไปของ ปรากฏการณ์ หรือระบบคือ Initial Condition (เงื่อนไขเริ่มต้น หรือจุดเริ่มต้น) การเริ่มต้นที่แตกต่างกัน จะทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันมาก อธิบายด้วยภาพจำลองการเคลื่อนไหวของ ปรากฏการณ์เคออส จากปัญหาสามวัตถุ จากภาพเส้นที่ต่างกันสามเส้นแทนการเคลื่อนไหวของวัตถุสามชิ้น ซึ่งดูเหมือนไม่เป็นระเบียบ  เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึง ลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic)ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือระบบแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ. (จากควันที่ลอยขึ้นมาตอนแรก หากโดนอากาศที่แปรปรวนแม้เพียงนิด ก้อจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลัง) เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปซักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ในสภาพ Chaos, สภาพสับสนอลหม่าน, สภาพไร้ระเบียบ คือไร้เสถียรภาพ (unstable) ที่มีความอ่อนไหวสูงยิ่ง หรือมีความเปราะบาง เมื่อมีการกระทบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เป็นเส้นตรง แต่เป็นทางที่คดเคี้ยว กวัดแกว่ง และบางครั้งก้าวกระโดด (sporadic) เกิดตรงจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง ทำให้ยากที่จะทำนายผลลัพธ์ได้ เพราะมีสิ่งอื่น ๆ ที่มาเป็นองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง http://udonpit99.ohmylife.net/t636-topic แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 16:42:53 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:21:30

ความคิดเห็นที่ 6 คุณดรีมเมอร์  จริงค่ะ มันพูดง่าย แต่ทำยาก..   ต้องลองทำดูค่ะ  ลองคิดสิว่า..  ถ้าจะตายพรุ่งนี้  บ้าน งาน รถ.. มันจะมีความหมายอะไรไหม.. ต้องลองคิดดูจริงๆ ค่ะ คิดกับมันจริงๆ..   ก็เรื่องน้ำท่วมเมือง เขาก็พูดกันมานานแล้ว  เราก็เคยคิดว่า..มันจะจริงรื้อ.... แต่สุดท้ายมันก็จริงนี่นา... แล้วเรื่องอื่นๆ ที่เขาพูดกันมากมาย มีข้อมูลออกมามากมาย มันจะไม่มีโอกาสเป็นจริงบ้างเหรอคะ..   แล้วถ้ามันเป็นจริงๆ คุณจะทำไงล่ะ.. แรกๆ มันจะละยาก  เราต้องละมันบ่อยๆ คือปลูกความเชื่อเอาไว้ในใจบ่อยๆ ว่า "ไม่เป็นไร ช่างมัน..ไม่เป็นไร ช่างมัน..ไม่เป็นไร ช่างมัน..ไม่เป็นไร ช่างมัน.." เราจะรอดได้ จะแก้ไขได้ เดี๋ยวเริ่มกันใหม่ได้.. ใครๆ เขาก็เป็นกันทั้งนั้น..  เรายังดีกว่าพวกที่ตูมเดียวหมดตัวเลย เยอะค่ะ..     แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 16:25:28 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:23:53

ความคิดเห็นที่ 7 ซึ่งแนวความคิดอันนี้ก็ไปกระทบกับแนวความคิดดั้งเดิม ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องแน่นอน (1+ 1=2) ทำให้ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีกระแสใหม่ ในด้านทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง สามารถที่จะทำให้ดินฟ้าอากาศที่แคลิฟอร์เนียเปลี่ยนแปลงได้เมื่อ 1 เดือนให้หลัง นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า Butterfly Effect (หนังสือที่ศาสตราจารย์เลอลองเขียนได้พูดถึงศาสตราจารย์เลอลองเคยได้รับเชิญ ให้นำเสนอ Lecture ทางวิชาการ 3 ชุด ที่ University of Washington (Seattle) ภายใต้การสนับสนุนของคหบดีที่อุดหนุนด้านการศึกษามนุษยชาติ (Jessy Dance) ในการนำเสนอศาสตราจารย์ซึ่งเป็นนักอุตุนิยมวิทยามากว่า 30 ปี ได้เฝ้าวิจัยแนวความคิดด้านอุตุนิยมวิทยา ท่านบอกว่าท่านค้นพบโดยบังเอิญ จากกระบวนการที่ท่านนั่งเฝ้าตัวเลขที่ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น .0000001 ของทศนิยม ท่านนั่งเฝ้าเข็มรายงานความเคลื่อนไหวของอากาศ. ทุกครั้งที่เกิดการสั่งสะเทือนของระบบการรับข่าวสาร เกี่ยวกับสภาวะอากาศ และเฝ้าสังเกตดูจุดทศนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละจุด ๆ เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนไปแล้วจะทำให้เกิดรูปร่างที่เมือนกับโครงสร้างของ ผีเสื้อ ท่านพบว่า .0000001 ที่คลาดเคลื่อนไปก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภาวะแวดล้อมของอุตุนิยมวิทยาไม่ใช่เกิดขึ้นจาก สาเหตุใหญ่ ๆ หากแต่เกิดขึ้นจากสัญญาณเล็ก ๆ เป็นจุด ๆ ท่านจึงอธิบายว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงก็หมายความว่า " แม้กระทั่งผีเสื้อตัวเล็ก ๆ กระพือปีกเบา ๆ อยู่ที่ซึกโลกหนึ่งก็ส่งผลต่อระบบนิเวศวิทยาของอีกซีกโลกหนึ่งก็อาจจะเป็นได้ " ภาพ Butterfly Effect ทำให้เกิดกระแสความแตกตื่นขึ้นในกลุ่ม IT และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โลก ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้ เรามักจะได้ยินคำพูด ที่เป็นที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างบน การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่ม ต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย Chaos จะเกิดผลกระทบต่อโลกอย่างไร? จะเกิด Global Effect อย่างไรต่อไป ? ตัวอย่างเช่นปรากฏการณ์เอลนินโญ่ เกิดจากการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทาง จากที่เคยไหลเรียบฝั่งแอฟริกาอยู่ดีๆ ก็ข้ามฝากมาอเมริกาใต้สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ผลส่วนหนึ่งคือทำให้เกิดไฟไหม้ป่าที่เกาะสุมาตรา จากป่าที่เป็นเคยสมบูรณ์ที่สุดในแถบเอเชีย ซึ่งการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทางนั้นเป็นผลมาจากการสะสมความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แต่ความเป็นจริงมีสัญญาณเตือนภัยที่ส่อเค้ามาก่อนแล้ว เช่น หิมะละลาย แผ่นดินถล่ม แต่ก็ไม่มีคนสนใจ การเกิดโรคซาร์ในประเทศจีน ทำให้เกิดการล้มตายอย่างเฉียบพลัน การเกิดไข้หวัดนกที่อาจมีสัญญานบอกเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และการก้าวข้ามสายพันธ์ของไวรัสที่อาจจะไม่ใช่เป็นไปตามลำดับขั้นตามทฤษฎี ที่เคยเป็น แต่อาจมีการข้าม กระโดด เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดตามไม่ทันก็ได้ ซึ่งปรากฎการณ์แบบ Butterfly effect แค่หิมะจากแอนตาร์กติกลอยออกมาเป็นก้อน ๆ ปลารูปร่างหน้าตาประหลาดมาเกยตื้นที่หากสะหมิหรา ก็สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อโลกมนุษย์แล้ว การก่อให้เกิดภาวะ Chaos หรือความซับซ้อนของตัวเองในสิ่งนั้น ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้. http://udonpit99.ohmylife.net/t636-topic แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 16:48:27 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:47:56

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อมีปัจจัยที่ซับซ้อน  เข้ามากระทบกระเทือนต่อความ ซับซ้อน ในระบบที่ซับซ้อนของตนเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนแม้แต่ .0000001% ความคลาดเคลื่อนนี้เมื่อมันก่อตัวขึ้นมาแล้ว จะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก เมื่อเกิดภาวะที่เป็นไปอย่างไร้ระเบียบ ก็จะเกิดพลวัตรในระดับการโต้ตอบ, สะท้อนกลับขึ้นมา เป็นภาวะที่แตกแยก, เริ่มแยกออกไปอย่างไร้ทิศทาง จะมีสองมุมประกอบกัน มุมหนึ่งคือ มุมของการโต้ตอบ เรียกว่า Feedback กับอีกมุมหนึ่งคือการเกิดซ้ำหรือ reiteration ซึ่งอาจมีผลกระทบทางลบหรือบวกก็ได้ อาจก่อให้เกิดสภาพเร่งเร้า ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งความเร่งเร้าที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับที่สามารถจะควบคุมได้ และสภาวะแห่งความไร้ระเบียบนี้ ไม่ใช่เป็นความอลหม่าน จะซุกซ่อนความเป็นระบบอยู่ในความไร้ระเบียบของตัวมันเอง และส่งผลกระทบถึงกัน ซึ่งระบบที่แสดงความไร้ระเบียบจะมีลักษณะ คือ. 1. มีคุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearly) คือผลลัพธ์ทั้งหมดของระบบ ไม่เท่ากับ ผลรวมของผลลัพธ์ที่เกิดจากส่วนย่อย ๆ รวมกัน 2. ไม่ใช่การเกิดแบบสุ่ม เหตุการณ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์อันแน่นอน 3. มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น (sensitive dependency on initial conditions) ที่เรียกว่าปรากฎการณ์แบบ butterfly effect : ซึ่งในบางครั้งการขยายความแตกต่างให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะขยายไปถึง เลขยกกำลัง 3 (exponential) ของเวลา 4. ไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้าได้ระยะยาว เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีเหตุ(ปัจจัย)ใดที่กระทบ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เปรียบดังมีผีเสื้อหลายตัว “ไม่รู้ว่าตัวไหนจะกระพือปีก” เครดิต เคดิต กระทู้คุยกับชัยวัฒน์ ชัยวัฒน์ ถีระพันธ์. 2537. ทฤษฎีความไร้ระเบียบ ทางแพร่งของสังคมสยาม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา. ยุค ศรีอาริยะ. 2537. โลกาภิวัตน์ 2000 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ทางเวลาทางสังคมศาสตร์ ในโลกาภิวัตน์ 2000. กรุงเทพฯ : บริษัทไอโอนิค อินเตอร์เทรด รีซอสเซส. โหลดไปอ่านได้นะ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์. 2549. ที่มา http://www.info.tdri.or.th/reports/unpublished/chaos-theory.pdf . แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 54 15:53:37 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:52:33

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าอ่านข้อความข้างบนเข้าใจ ก็จะเห็นว่า..  ในสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นตอนนี้.. มีลักษณะ 1. เกิดจากเหตุเล็กๆ ที่สะสมกันมานานแล้ว  พอถึงจุดที่เกินสมดุล  จึงเป็นวิกฤติที่ใหญ่โตเกินความคาดหมาย 2.  เมื่อเกิดผลแล้ว ก็แก้ไขยาก เพราะไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเหตุที่แท้จริง  คือไม่รู้ว่าผีเสื้อตัวไหนที่กระพือปีก ทำให้น้ำจะมาถึงบ้านเราในอีกวันสองวันนี้ 3.  เมื่อเหตุเกิดไม่เป็นเส้นตรง อย่าไปหวังว่าผลจะมาจากเหตุ หรือหนึ่งบวกหนึ่งจะเท่ากับสอง  เพราะสถานการณ์จะพลิกผันได้ตลอดเวลา  คืออาจจะพลิกเป็นดีก็ได้ หรือเลวร้ายกว่าเก่าก็ได้  มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย  ถ้าคุณไม่รู้ระบบทั้งหมด คุณไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป  ไม่อาจคำนวณได้ด้วยสมการเชิงเส้น..  ตรรกะพื้นฐานจึงไม่ต้องเอามาคุยกันให้เสียเวลา พูดถึงตรงนี้ครูอาจารย์องค์นึงเคยพูดว่า ที่จริงนักวิทยาศาสตร์ก็เก่ง คำณวนมาหลายด้าน ด้านภูมิศาสตร์ อุตุอากาศ ด้านอุทกศาสตร์  แต่ลืมไปอย่าง  คือลืมคำนวณแกนโลก ลืมดูไปว่าแกนโลกขณะนี้เอียงผิดปกติ น้ำจึงไปกองในจุดที่เอียงต่ำ  ถ้ามีทางให้มันออกก็ไม่มีปัญหา  แต่ถ้าไม่มีทางให้ออกก็นะ...มันก็แช่นานหน่อย..   จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:01:56

ความคิดเห็นที่ 10 ครูอาจารย์ท่านไม่ห่วงน้ำท่วมดอกค่ะ  ท่านห่วงว่าระบบสุริยะมีวงโคจรที่ผิดปกติ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแรงเหวี่ยงในการโคจรของดวงดาวต่างๆ ไม่อยู่ในความสมดุล นักวิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้มานานแล้วว่า จักรวาลหนีออกจากกันตลอดเวลา  ระบบสุริยะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และในขณะเดียวกันก็รักษาความสมดุลในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้นตลอดเวลา ในระดับที่เล็กลงมา โลกและประเทศไทยเองก็มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ในขณะทีมันเปลี่ยนแปลง มันก็มีขบวนการปรับสมดุลตลอดเวลาเช่นกัน การรักษาสมดุลนี้  ทำให้ธรรมชาติต้องปรับตัวตลอด มิฉะนั้นจะรักษาระบบไว้ไม่ได้ แต่ผู้ที่ทำลายความสมดุลอย่างใหญ่หลวง ก็คือมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่า เอาชนะธรรมชาตินี่เองค่ะ..    เรียกว่ามนุษย์ก็เก่งซะจนทำลายความสมดุลที่ธรรมชาติสร้างมานับล้านๆ ปีได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี.. ไม่ต้องสาธยายว่า.. กรุงเทพเมืองฟ้าอมรนั้น ได้ทำลายสมดุลธรรมชาติของประเทศไทยรวมถึงภูมิภาคใกล้เคียงไปมากมายขนาดไหน.. ความสมดุลธรรมชาติยังพอแรง  นี่เลยไปถึงความสมดุลในด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความสมดุลทางจิตวิญญานด้วยนะซี... เรียกว่าไม่ไหวจะเคลียร์   แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 17:20:55 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:11:27

ความคิดเห็นที่ 11 ในระบบธรรมชาติซึ่งเป็นระบบเปิด มันจึงมีความอ่อนไหวมากต่อปัจจัยตั้งต้น หมายความว่าธรรมชาติไม่ใช่ระบบปิด ซึ่ง 1+1 เท่ากับ 2 แต่ธรรมชาติเป็นระบบเปิด ซึ่งมีตัวแปรตั้งต้นมากมายจนไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใดจะสามารถคำนวนได้ตามความเป็นจริง จึงกล่าวว่ามันเป็นระบบที่ซับซ้อน (complexity) การอธิบายก็ต้องใช้ทฤษฏีความซับซ้อนเข้ามาช่วย  และด้วยความที่มันเป็นระบบเปิด มันจึงมีลักษณะที่เปราะบางต่อความไร้ระเบียบ..   เรื่องนี้เรามาเข้าใจลึกซึ้งเมื่อปฏิบัติธรรม  เรียกว่าไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเลย มาศึกษาต่อด้วยทฤษฏีของพระพุทธเจ้า ตอบได้ทุกเรื่องจริงๆ แถมมีทางออกให้ด้วยนะ..  ทฤษฏีฝรั่งนั้นแม้ในปัจจุบันก็จบตรงที่อธิบายความเป็นจริง.. ณ ขณะนั้นๆ   แต่ไม่มีทางออกนะจ๊ะ นะจ๊ะ.. แต่พระพุทธองค์มีทางออก..  คือท่านว่าเมื่อใดที่ไม่มีทางออก ขอให้ "ออกทางเข้า"  ล้มทฤษฏี NO EXIT ของพวก absurd ไปเห็นๆ ก็พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าชีวิตมันไม่เที่ยง..  555  ไปทำให้มันเที่ยงก็ฝืนความเป็นจริงน่ะ ก็ตอนนี้มันบ่ายคล้อยแล้วจ้า... ถ้าเราไปทุกข์เพราะอยากให้มันยังเที่ยงอยู่  มันก็ได้แต่ทุกข์กันไปฟรีๆ ทั้งนั้นน่ะซี.. มันบ่ายแก่ ใกล้ค่ำแล้ว น้องพี่เอ๋ย.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:18:38

ความคิดเห็นที่ 12 กระทู้นี้โดนใจจริงๆ ต้องมรณานุสติบ่อยๆ "ถ้าชีวิตเราเหลืออีกแค่ปีกว่าๆ  สมมตินะ..   อาชีพการงาน บ้านหรือรถ มันก็ไม่มีความหมายหรอกจริงไหม.. " แต่จะทิ้งไปเลยก็ยังไม่ชิน ต้องเหยียบเรือสองแคมไปเรื่อย จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:28:22

ความคิดเห็นที่ 13 มาตามอ่านค่ะ ถูกใจค่ะ^____^ จากคุณ : แมวส้มตาหวาน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:33:27

ความคิดเห็นที่ 14 ประการแรก "เราจะยอมรับได้ไหมล่ะ ว่านี่มันเวลาบ่ายแก่ ใกล้ค่ำแล้ว อีกไม่นานก็เป็นเวลาโพล้เพล้.." ประการที่สอง "เราจะยอมรับความจริงได้ไหมว่า เรามีความเชื่อที่ว่ามันยังเช้าอยู่ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามความเชื่อ ว่ามันยังมีเวลาอีกมากกว่าจะมืดค่ำ ทั้งที่ความจริงคือมันใกล้ค่ำแล้ว..   แปลว่าความเชื่อดั้งเดิมของเรา ที่บ่งการวิถีชีวิตเรา มันใช้ไม่ได้แล้ว  มันจะต้องปรับความเชื่อ มาให้ใกล้เคียงกับสภาพตามความเป็นจริง" ประการที่สาม "เมื่อเราปรับเวลามาเป็นเวลาตามความเป็นจริงได้แล้ว เราก็ต้องมาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง โดยที่จิตใจมีความเป็นปกติ  เพราะอันที่จริงจิตของเราไม่มีกาลเวลาหรอก  จิตที่แท้น่ะมันอยู่นอกเหนือกาลเวลา" ประการที่สี่ "ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เดี๋ยวชีวิตก็จัดสรรให้เรายอมรับเองนั่นแหละ.. ไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องยอมรับความจริง  แต่จะยอมรับเสียตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ  หรือว่าจะไปยอมเราเอาสักสี่ห้าทุ่มล่ะ   นางซินมีเวลาแค่เที่ยงคืนเท่านั้นนะจ๊ะ" ประการที่ห้า "ในท่ามกลางความเสื่อมสลายได้นี้ มีจิตเท่านั้นที่ไม่เสื่อมสลาย  และก็มีพระนิพพานเท่านั้นที่ไม่เสื่อมสลาย ถ้าจิตไปเจอกับพระนิพพานเมื่อไหร่ ก็เป็นที่อยู่ที่ยืนแห่งจิตที่มั่นคงเป็นการถาวร"    แต่จิตที่ว่าไม่เสื่อมสลายนั้น ถ้าไม่ได้เจอกับนิพพานแล้ว ก็ย่อมต้องตื่นมาเจอเช้าวันใหม่เสมอๆ ไป  และจะต้องจมอยู่กับปัจจัยตั้งต้นซึ่งนำไปสู่ chaodic system เสมอๆ ไป   จะเข้าสู่ nonchaodic ก็คือเข้าสู่ภาวะ 1 หรือ 0 เท่านั้นเองนะ.. หรือจะแปลเป็นรูปธรรมง่ายๆ ว่า ถ้ายังอยู่กรุงเทพต่อไป ก็ต้องเจอน้ำท่วมแบบนี้เสมอๆ ไป ต้องหาทางป้องกันแก้ไข และลุ้นกันแบบนี้เสมอๆ ไป หรือถ้าจิตใจเรายังเกาะอยู่กับปัจจัยภายนอก ซึ่งอยู่ในระบบที่ไม่เสถียร จิตใจเราก็ต้องโยกขึ้นโยกลง กันตามกระแสน้ำ เสมอๆ ไป น่ะ ถ้าเราโยนจิตขึ้นตาชั่งทองคำ ช่างหัวมันซะ..  อย่างน้อย  จิตใจเราก็พ้นความกังวลไปได้ชั่วคราว  มันกังวลขึ้นมาใหม่ ก็โยนขึ้นตาชั่งใหม่   ช่างมันไปเรื่อยๆ  อีกหน่อยจิตก็ชินกับการขึ้นตาชั่ง   มีอะไรกระทบ มันขึ้นตาชั่งไปเองเลย..   พอจิตไม่ตก ปัญหาอะไรมีมา ก็แก้ไขกันไปน่ะ.. จริงไหมล่ะ ?! จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:33:46

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ ยุ้ยหัดเขียน  อ่ะถูกต้องค่า..!!! พระอาจารย์สอนไว้เลย  ท่านว่า "ให้เดินสายกลาง"  ถนนมีสองสาย ให้เราอยู่ตรงกลาง อยู่มันบนเกาะกลางถนนแหละ.. น้ำท่วมไม่ถึงหรอก รอว่าฝั่งไหนน้ำมันลดเราก็ลงมาเดินฝั่งนั้น นี่เรียกว่าปัญญาแท้ๆ เลย  ให้เหยีบบเรือสองแคมไปก่อน จนกว่าจะถึงวันที่เรา "เลือก" ได้จริงๆ เราก็จะเลือกได้ว่าขึ้นเรือลำไหน.. และที่สุดแล้ว  ถ้าปฏิบัติถึงๆ นะ  มันไม่มีหรอกแคมน่ะ ไม่มีเรือด้วย..  อยู่ตรงไหนก็ได้ อยู่บนน้ำหรือใต้น้ำก็ได้  มันจะไม่ต้องเลือกอีกต่อไป คือมีอะไรมาก็เอาน่ะ.. อยากทำได้แบบนี้ไหม.. อิอิ.. แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 17:37:45 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:36:46

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบที่คุณ chaosy อธิบายแล้วนึกภาพตามได้เลยที่จริงบ้านดิฉันก็ยังไม่ท่วมค่ะแต่เมื่อวานมีน้องทหารโทรฯมาบอกว่าน้ำจะมาตอนบ่ายสองเพึ่อความไม่ประมาทดิฉันตัดสินใจขับรถขนสิ่งของจำเป็นหนีน้ำมาเก็บที่ต่างจังหวัด โทรฯกลับไปน้ำยังมาไม่ถึงเลยค่ะ555ขำตัวเองค่ะที่บ้าหอบฟางจริงๆ สุดท้ายต้องทิ้งสัมภาระไว้ที่อุดรฯค่ะพรุ่งจองเครื่องแล้วค่ะกลับพรุ่งนี้เช้า กะไม่มีอะไรให้ห่วงกลับไปสู้น้ำกันต่อไปค่ะ สุดท้ายขอให้คุณ chaosy และทุกๆคนปลอดภัยนะคะ จากคุณ : คนพุทธ (คนพุทธ) เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:49:42

ความคิดเห็นที่ 17 เราศึกษาทฤษฏีฝรั่งมาทั้งชีวิต เพิ่งจะสัมผัสกับพุทธศาสตร์มาได้เต็มๆ สองปีกว่าๆ  เราแทบจะอยากขายบ้าน ลาออกจากงานไปอยู่กับพ่อแม่ 555 เอาแค่สิ่งที่รู้มาจากการเรียนทางโลกก็เกินพอ  ไหนจะสิ่งที่รู้จากทางธรรมอีก.. แต่เราทำไม่ได้ เพราะว่าสังคมมันบีบคั้น..  เราก็ทำอย่างที่หลายคนทำ เหยียบเรือสองแคม เผลอๆ เราก็เอียงมาทางไปวัด 555  เวลามีความสั่นไหวทางโลก เราก็เอามาภาวนา ภาวนาไปภาวนามา.. เฮ้ย.. มันได้ผลนะ.. ผลของมันคือ ไม่เดือดร้อนกับสภาพเหยียบเรือสองแคมอีกต่อไป  เราเอาจิตเราขึ้นตาชั่งไปได้เป็นการถาวร   เราก็ทำงานชดใช้โลกต่อไป มีทรัพย์สินที่ต้องรักษา ก็รักษาไปตามสภาพ (แม้จะหย่อนยานไปหน่อย) สังคมเขาได้แต่แอบซุบซิบ แต่ไม่ถึงกับก่นด่า 555 มันได้ผลค่ะ  ปฏฺิบัติธรรม ทำที่ไหนก็ได้ สุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ คนด่าก็เอามาเป็นกรรมฐาน น้ำท่วมก็เพ่งกสินน้ำซะเลย..  เนี่ย..  มันอยู่ได้แบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกจริงๆ พอน้ำท่วม แทนที่จะเสียขวัญ  มันก็คิดว่า.. เออจัดหนักมาจริงๆ เราก็รับสมอ้างซะเลย..  ถ้าหมดตัวทางโลก อั๊วะก็ไม่ต้องใช้กรรมทางโลกแล้วซี  เดินทางธรรมได้เต็มตัว.. สะใจโก๋เลย.. ถ้ายังมีฐานะทางโลก ก็แบ่งเวลาเอาหน่อย แต่ว่าทำงานทางโลกก็ทำประโยชน์ได้อีกแหละ..   เหมือนแต่งงานหรือไม่แต่งดี มันก็ดีทั้งคู่แหละ ดีคนละอย่าง.. ถ้าเราไม่ยึดกับสมมตินะ..  เราอยู่ยังไงก็ได้ค่ะ.. ถ้าเรายึดพระนิพพาน ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่มั่น..   เรายึดกรรมฐานเป็นที่ตั้ง.. เราจะอยู่กรุงเทพ หรือต้องอพยพชั่วคราว  จะแช่น้ำหรือพ้นน้ำ  จะสูญเสีย หรือไม่สูญเสีย มันก็ค่าเท่ากัน..     คือถนนทุกสาย ล้วนพุ่งไปที่จิตค่ะ..   เขาผลักดันให้เราเร่งภาวนา มันก็ดีแล้ว.. เพราะยังไงๆ ความจริงคือว่า  ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดนะคะ..  ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่ามันจะมืดจริงๆ น่ะ..    ใครกลับตัวกลับใจตอนนี้ ยังทัน นะคะ   เรามีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าอีกมากมาย เพราะว่ากลัวข้อหา ผู้วิเศษ อวดอุตริ อวดอาจารย์ สารพัดข้อหา.. เราเลยกลัว อิอิ..   อยู่กับโลกก็ต้องกลัวโลกเป็นธรรมดา แต่ถ้าอยากรู้เรื่องโลกๆ เรามีทฤษฏีเพียบเลย   เอาแค่ทฤษฏีโลกๆ ก็ทำให้คนหนาวขรี้ได้แล้วค่ะ.. ยามว่างเราจะเขย่าขวัญลูกศิษย์  ฝึกมานาน  เรียกว่า เด็กผู้ชายกวนทรีนที่สุดในห้องเรียน  ยังต้องวิ่งออกไปอ๊วกมาแล้ว..   แค่ใช้ข้อมูลทางโลกเท่านั้นเอง... ที่จริงเรามีความชำนาญในการเขย่าขวัญคนมากๆ เลย..  เพราะสะสมข้อมูลที่เขย่าขวัญตัวเองมาเยอะน่ะ.. เราไม่เคยรู้หรอกว่าตัวเองสะสมศึกษาข้อมูลพวกนี้มาทำไม  เพิ่งมารู้ตอนปฏิบัติธรรมนี่แหละ..  ก็เป็นพวกปัญญาน่ะ ละกิเลส ได้ด้วยชุดข้อมูล 555  ไม่ได้ละด้วยเจโตสมาธิหรอก..   เมื่อสิบปีที่แล้ว คุณหมอประสาน ต่างใจ ได้เขียนบทความว่า "เมื่อโลกไม่ต้องการมนุษย์อีกแล้ว"  เอาแค่ข้อมูลชุดแม่พระธรณี ก็ร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ได้แล้วค่ะ.. หรือจะเอาข้อมูลชุดโรคภัยไข้เจ็บ.. หรือจะเอาชุดแม่พระพาย.. เอาเป็นว่า  "เชื่อเถิดว่า ถนนทุกสาย  พุ่งมาที่ การเปลี่ยนแปลง ทางจิตวิญญาน ขนานใหญ่ ของผู้คนจำนวนมาก" โลกกายภาพกำลังจะเลือกสลัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อโลกออก  เพื่อรักษาเสถียรภาพของโลกเอาไว้   ในขณะเดียวกันโลกที่มองไม่เห็น  ก็กำลังเก็บกวาด.. เพื่อรักษาส่วนที่ดีไว้ ให้ดำรงอยู่ต่อไปในโลกที่ได้จัดปรับตัวเองแล้วในอนาคต... ดังนั้นเราจึงได้บทเรียนสำหรับวันนี้  ว่าดีแล้วที่น้ำท่วม..   มันจบง่ายไปไหมเนี่ย.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:03:52

ความคิดเห็นที่ 18 แม่พระคงคา ท่านอ่อนโยนนะคะ  ยังไงเราก็ยังมีอาคารสถานที่ส่วนใหญ่ที่มั่นคง แถมคนส่วนมากยังมีเวลาอพยพค่ะ  ที่อพยพไม่ทัน คือกิเลสบัง วิบากกรรมของเขาที่ต้องห่วงทรัพย์สิน ซึ่งในที่สุด เขาก็ได้เรียนรู้กับตัวเอง ว่ายังไงก็ต้องทิ้งสมบัตินอกตัวเอาตัวให้รอดอยู่ดีค่ะ อันนี้มีให้ดูทุกวัน ในทุกช่องข่าว..   สองวันแรกเราทุกข์หนัก ทุกข์ไปกับเขาด้วย  พอวันที่สามเริ่มเห็นข้อมูลมันซ้ำๆ ข้อมูลพวกนี้ ได้เผยให้เห็นข้อมูลอีกชุดนึงที่ใหญ่กว่า.. ที่เราบอกว่า "ดีแล้วที่น้ำท่วมแบบนี้ ท่วมเสมอกันด้วย มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ทุกข์ร่วมกันได้ สูญเสียร่วมกันได้ "   คนที่น้ำไม่ท่วม ไม่ต้องดีใจไป  เดี๋ยวก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจ  โรคภัยไข้เจ็บ วิกฤตทางอาหาร ทางสังคม อาชญากรรม แน่นอนมันจะต้องจบลงที่วิกฤตการเมืองค่ะ.. เพียงแต่แม่พระคงคา ท่านเร่งปฏิกิริยาให้มันเร็วขึ้นอีกหน่อยนึงเท่านั้นเอง เบื้องบนท่านเห็นว่าปล่อยไปจะไม่ทันค่ำ เลยจัดให้แต่ช่วงบ่ายค่ะ มันเป็นข้อมูลที่มีทฤษฏีรองรับค่ะ..  ไม่ต้องใช้อภิญญาเลย..   ดังนั้นกล่าวได้ว่า จะน้ำท่วมหรือไม่ท่วม  ภายใต้ระบบพลวัต และระบบไร้ระเบียบนี้ เราย่อมได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เสมอกันค่ะ   นี่แหละคือชะตากรรมร่วมกันของพวกเราทุกคน  เมื่อมีชะตากรรมร่วมกัน มันจะเห็นอกเห็นใจกันค่ะ..  มันจะ "เห็นใจ" กัน ก็ตอนนี้แหละค่ะ..   ใครเป็นตัวจริง อะไรเป็นของจริง.. มันจะได้เห็นกันยามยาก และยามวิกฤตินี่แหละค่ะ   เมื่อเห็น "ความจริง" แล้ว คนมันจะเปลี่ยนจุดยึด จากที่ยึดโลกธรรม ยึดวัตถุธรรม   หันมายึดคุณธรรม หันมายึดจิตใจ หันมายึดน้ำใจ และกลับมาสู่วิถีดั้งเดิมของสังคมไทยค่ะ เพราะการปฏิวัฒน์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น ที่จะพามนุษยชาติให้ธำรงรักษาโลกใบนี้ให้อยู่ได้   คือโลกจะรอด เพราะคนเปลี่ยนแปลง   คนจะรอด เพราะว่าเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก  มันเกื้อกูลกันแบบนี้ได้ค่ะ เพราะคนฉลาดมาก จึงไม่สามารถหยุดความเจริญของสังคมมนุษย์ได้  เพียงแต่ชะลอให้มันช้าๆ หน่อย..  คือที่สุดแล้ว ยังไงก็ต้องเดินไปสู่ความเสื่อมสลายอย่างแน่นอน.. ซึ่งเราคาดหวังว่า เราจะตายไปก่อนฉากนั้นนะ..   แต่ถ้ามนุษย์ไม่ยอมปรับตัว ธรรมชาติเขาปรับตัวก่อนค่ะ เพราะเขาเป็นระบบแม่  เขาอาจจะทำลายมนุษย์ ยอมให้สัตว์ที่โง่กว่าขึ้นมาครองโลกแทน เช่นแมงสาบ ก็ได้นะคะ.. ฉากที่ว่าโลกไม่เอาคน เพราะคนไม่เอาโลก มันไม่ควรจะเกิดขึ้นค่ะ แม้ว่าจะแพลมๆ ออกมามากแล้วก็ตาม ด้วยความฉลาดสุดๆ ของมันสมองและระบบจิตวิญญาณของมนุษย์  เราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อค่ะ..  ในระบบเคออส  คะแนนที่ได้ในแต่ละด่าน มันไม่เท่ากันค่ะ.. โชคดีที่มันมีคะแนนสปริงบอร์ดด้วยค่ะ ทฤษฏีเคออสบอกว่า  "ในขณะที่ความปั่นป่วนดำเนินไปสู่จุดสุดยอดของมัน ระหว่างนั้นจะมีทางแพร่งเกิดขึ้นค่ะ  ทางแพร่งนี้คือทางออกเล็กๆ ของระบบ  ถ้าเราเลือกถูกทาง ระบบจะวิวัฒน์ตัวเองไปสู่ลูปใหม่ ซึ่งมีความเสถียรและยั่งยืนกว่าเดิม  โดยไม่จำเป็นจะต้องให้ระบบทั้งระบบล่มสลายไปค่ะ   เขาเรียก "จุดคานงัด" ไงคะ"   ในระบบที่ไร้ระเบียบ แท้จริงแล้วมีระเบียบซ่อนอยู่ด้วยค่ะ  ถ้าเราหาระเบียบอันนี้เจอ เราก็อยู่ได้สบายๆ แม้ในภาวะไร้ระเบียบสุดๆ .. และถ้าเราเจอจุดคานงัด เรางัดดีๆ   เราจะดีดตัวเองจากระบบที่ไร้ระเบียบ ไปสู่ลูปที่สูงขึ้น ขึ้นไปสู่ระเบียบใหม่ ที่ผุดบังเกิด (emergent) จากระบบเก่า ที่ค่อยๆ ล่มสลาย.. เราจะทำได้ดีกว่านกฟีนิกซ์ค่ะ  เพราะไม่ต้องรอให้ระบบเก่าเดินไปสู่ความล่มสลาย แต่เรางัดขึ้นไปสู่วัฏจักร หรือลูปใหม่ได้เลยค่ะ เพราะการวิวัฒน์ทางจิตวิญญาณนั้นมันเป็นเกลียวค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:26:47

ความคิดเห็นที่ 19 ตาม คห9 อ่านแล้วนึกถึงโรคภัยใข้เจ็บ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ แต่เราไม่รู้ว่าอะไรทำให้เซลล์เปลี่ยนไป...  ตามอ่านเรื่อยๆ โดนอยู่เรื่อยๆ   อยากบอกหลายครั้งแล้วว่า  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ดรีมเมอร์ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:38:27

ความคิดเห็นที่ 20 โทรไปหาอาจารย์เก่า ซึ่งไม่ได้โทรหามานานมากๆ เพราะท่านไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่เราเลิกคิดเรียนต่อปริญญาเอก ไปศึกษาปริญญาสาม 555 เราก็ตัดปัญหาด้วยการไม่โทรหาท่านอีกเลย ทั้งที่รักเยี่ยงแม่คนนึง.. อาจารย์ยังไม่ออกจากบ้านแถวบางเขน ถามถึงคนในครอบครัว หลานรักสองคน คนโตออกจากบ้านทุกวัน ไปเป็นอาสาสมัครทุกรูปแบบ แต่อาจารย์มีน้ำเสียงปีติมากกว่ายามพูดถึงหลานอีกคน ที่นอนอยู่กับบ้าน และเรียนวิศวะได้เกรดสามจุดเจ็ดจุดแปด..   (ส่วนคนโตยังไม่มีกำหนดจบ) เราเคยเอาหลานสองคนนี้ไปสร้างแคแรคเตอร์ในรายการเด็กที่เราเคยทำกับอาจารย์เมื่อสิบปีที่แล้ว (เร็วจัง)  ปรากฏว่า แคแรคเตอร์มันเหมือนที่เขียนบทกันเด๊ะเลย หลานคนโตเป็นมันเทศ หลานคนเล็กเป็นมันทอด  (รายการ potato chat ใครเคยดูบ้าง) เห็นมั้ยว่าโลกกับธรรมมันสวนกันอย่างนี้แหละ..   หลานทั้งสองคนต่างก็เป็นคนดีในแบบฉบับของตัวเอง  แต่ว่าคุณป้าอาจจะชอบหรือไม่ชอบไม่เท่ากันตามค่านิยมของตน แต่เราเห็นว่า ในภาพของความสูญเสีย  นี่เป็นช่วงเวลาที่เด็กไทยกำลังเรียนรู้ "ความจริง" ของชีวิต ที่พวกเขาถูกป้องกันไม่ให้เห็นมานาน ด้วยค่านิยมของสังคมไทย.. พวกเขากำลังได้ยืดเส้นยืดสายค่ะ.. (หลังจากที่ต้องหมกตัวอยู่ในโรงเรียน ในสภาพแวดล้อมปลอมๆ แบบเกม simlife )   หลังจากโรงเรียนเป็นอย่างนี้ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:44:46

ความคิดเห็นที่ 21 เขาก็เลยพากันไปเรียนรู้ หลักสูตรชีวิตจริง แบบนี้... จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:46:12

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ต้องเสียเงินระดมนักวิชาการมาสร้างหลักสูตรบ้าบอคอแตก... ที่ผลาญงบประมาณมากมาย แต่ไม่เคยใช้ได้จริง.. แบบนี้ดีกว่า เรียนจริง รู้จริง ได้คะแนนชีวิตจริงๆ ..   เห็นแล้วมันชื่น...ใจ...  ชื่นใจ....  จริงๆ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:47:17

ความคิดเห็นที่ 23 นี่คือสิ่งที่เด็กไทย 12 ล้านคน ควรจะได้เรียนรู้.. เพราะถ้าเขาไม่เรียนรู้ เขาไม่มีวันรักษาประเทศนี้เอาไว้ได้ค่ะ..   หลักสูตรความเป็นคนไทย เรียนการช่วยเหลือผู้อื่น เรียนการเป็นอาสาสมัคร เรียนการกู้ภัย เรียนการเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ เรียนการสามัคคีร่วมใจ เรียนรู้ความภูมิใจภายหลังที่ได้อาบเหงื่อต่างน้ำ..   ถ้าน้ำไม่ท่วม พวกเขาจะได้ออกมาจากห้องแอร์หรือคะ ?? โรงเรียนควรจะปิดต่อไปอีก 1 เดือน เพื่อให้เด็กและเยาวชนจำนวนมาก ได้เรียนรู้สถานการณ์จริงๆ ของชีวิต  และนี่คือสิ่งที่พวกเขาจะต้องพบเจอในอนาคต.. ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องท่องกันแทบเป็นแทบตายในตำราเลยค่ะ.. จะต้องให้บอกไหมว่า หลักสูตรจำนวนมาก ถูกสร้างขึ้นโดยทฤษฏีสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง..   ซึ่งมันไม่สามารถใช้ได้เลย ในสถานการณ์ปัจจุบัน... แต่ทำไงได้ ก็อาจารย์ที่เขียนหลักสูตรส่วนใหญ่ และได้รับความเชื่อถือ ท่านเคยเรียนแต่ทฤษฏีสมัยนั้นน่ะค่ะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:51:19

ความคิดเห็นที่ 24 เราไม่ต้องกังวลกับระดับเทสโทสเทอโรน ที่เข้มเกินไปในเด็กอาชีวะค่ะ เพราะมีช่องทางให้ใช้พลังงานเหลือใช้เหล่านั้นแล้ว... ได้แสดงแมนกันเต็มที่อีกนาน ทำยังไง สถานีข่าวเขาจะออกข่าวพวกนี้เยอะๆ คะ ??? จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:53:54

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นแล้วมันมีความหวังยังไงไม่ทราบ.. แม้เด็กบ้านๆ ก็ดูแลกันสุดฤทธิ์ เราไม่ต้องกังวลกับระดับชายกระโปรงกางเกงที่สั้นเกินไป  เขาออกแฟชั่นมาให้ดีแล้วนะ.. แต่ระวังปลิงกันหน่อยนะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:54:58

ความคิดเห็นที่ 26 เราไม่ค่อยกังวลกับคนชรา.. คนชราเหลือแต่ "ใจ" ที่ต้อง "ทำ"  ทำใจได้ก็จากไปตาหลับค่ะ.. แต่ไอ้เด็กที่มันยังต้องใช้ชีวิตต่อไปนี่ซี..  ใครห่วงพวกเขาจริงๆ รู้จริงๆ กันซักกี่คน.. ยิ่งนับวันเรากลับคิดว่า.. เออ..น้ำท่วมก็ดีเหมือนกัน..  ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า สังคมได้ตื่นตัวรวมพลังกันแก้ไข.. แล้วคนไทยก็ได้รู้ล่ะว่า.. ถึงเวลาแล้ว.. รอบริโภครัฐ  เชื่อนักการเมืองทำยาได้ไหม.. ถ้าไม่ช่วยตัวเอง แล้วใครจะช่วยกันล่ะ...   แอบนึกดีใจว่า เทอมที่ผ่านมา แบ่งเวลาสอนลูกศิษย์ภาวนา พาทำบุญกันไป ได้ใช้ทันที..  อิอิ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 19:00:30

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ติดตามข้อมูลประเภทวันสิ้นโลก  แล้วอยากจะเชื่อแต่ไม่กล้า.. สมมติตัวเองว่า..ลองทำใจเชื่อๆ เขาไปดูเหอะ..   มันได้ประโยชน์กว่าไม่เชื่อเยอะ.. เพราะถ้าเชื่อแล้ว มีมรณานุสติอยู่  ก็ไม่ประมาทกับชีวิตค่ะ อย่างน้อย ชั่งหัวมันได้ ง่ายๆ อย่างน้อย ละ ส่วนเกิน ออกจากชีวิตได้ง่ายๆ อย่างน้อย เลือก สิ่งสำคัญแท้ๆ จริงๆ ให้กับชึวิต ได้ง่ายๆ แม้ว่ามันเคยเป็นเรื่องยากก็ตาม..  ตอนนี้ได้ทีแล้วค่ะ.. น้ำท่วมแล้ว บอกใครๆ ว่าสวดมนต์ภาวนา แก้เครียดจากน้ำท่วม ไม่มีใครกล้านินทาค่ะ..   อยากได้เสียงสวดมนต์แจ่มๆ เชิญไปโหลดมาฟังกันได้ค่ะ http://www.visudhidham.com/?page_id=963 เป็นเสียงสวดมนต์ที่เปิดดังๆ แล้วจะมีกำลังใจค่ะ  ฟังเพลินๆ ไป..  มันจะประคองจิตไม่ให้ตกได้ค่ะ  ดีกว่าอยู่เงียบๆ เหงาๆ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 19:05:11

ความคิดเห็นที่ 28 บทสวดมนต์ที่เหมาะกับน้ำท่วม 1. อิติปิโส ภะคะวา..   จะเอาแบบจบเดียว เท่าอายุ+2 หรือ 108 ก็ได้ค่ะ (แต่ควรสวดครบ 3 ห้องค่ะ 2. บทถวายพรพระ พาหุง-มหากา 3. พระปริตร 7 ตำนาน หรือ 12 ตำนาน โดยเฉพาะบทที่ช่วยได้เต็มๆ ๑. เมตตปริตร ทำให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย เทพพิทักษ์รักษา ไม่มีภยันตราย จิตเป็นสมาธิง่าย ใบหน้าผ่องใส มีสิริมงคล ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต และเป็นพรหมเมื่อบรรลุเมตตาฌาน ๒. ขันธปริตร ป้องกันภัยจากอสรพิษ และสัตว์ร้ายอื่นๆ ๓. โมรปริตร ป้องกันภัยจากผู้คิดร้าย ๔. อาฏานาฏิยปริตร ป้องกันภัยจากอมนุษย์ ทำให้มีสุขภาพดี และมีความสุข ๕. โพชฌังคปริตร ทำให้มีสุขภาพดี มีอายุยืน และพ้นจากอุปสรรคทั้งปวง ๗. รัตนปริตร ทำให้ได้รับความสวัสดี และพ้นจากอุปสรรคอันตราย ๑๐. ธชัคคปริตร ทำให้พ้นจากอุปสรรคอันตราย การตกจากที่สูง ๑๒. อภยปริตร ทำให้พ้นจากภัยพิบัติ และไม่ฝันร้าย http://www.suadmon.com/ ใครแก่กล้า จะสวดบทใหญ่ๆ ที่ว่าด้วยเรื่องภัยพิบัติเต็มๆ ก็เชิญสวดมหาสันติงหลวงค่ะ อันนี้สวดแล้วอุทิศกุศลให้ประเทศยังได้เลย อานิสงค์สุดๆ http://kaskaew.com/index.asp?catid=5&contentID=10000004&getarticle=164&title=%BA%B7%CA%C7%B4%A4%D2%B6%D2%CD%D8%BB%BB%D2%B5%D0%CA%D1%B9%B5%D4(%C1%CB%D2%CA%D1%B9%B5%D4%A7%CB%C5%C7%A7) http://www.youtube.com/watch?v=VS2RwnTNoS4 ไปโหลดมาเปิดฟังก็ยังดีค่ะ ดังนั้นใครคิดว่าน้ำท่วมแล้ว ไม่มีอะไรทำนอกจากทุกข์ใจ คิดเสียใหม่นะคะ..  เรามีงานสำคัญทำในช่วงน้ำท่วมกันทุกคนเลย  ทำงานทางกายไม่ได้ ก็ทำงานทางจิตนะคะ.. พอน้ำท่วมผ่านไป  เราก็อาจจะได้สภาวะธรรมกันคนละขั้นสองขั้น..  ไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้วล่ะค่ะ.. ใครไม่แน่ใจว่าปฏฺิบัติธรรมมานานจะได้โซดากับเค้าบ้างรึยัง..  ก็ทดสอบกันยามนี้แหละ..  พอน้ำแห้ง ก็ติดยศพระโซดาให้ตัวเองได้เลย ไม่ต้องไปให้ใครรับรอง แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 19:28:26 แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 19:21:54 แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 19:18:55 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 19:17:04

ความคิดเห็นที่ 30 แล้วก้อ.. ใครจะไปอยู่วัดก็ยังไปได้เสมอค่ะ..  ช่วงนี้ยังเป็นช่วงคนน้อยค่ะ.. แล้วก้ออีกอย่าง..   สวดมนต์ภาวนาเยอะๆ แล้วน้อมเกล้าถวายในหลวงให้มากๆ เลยค่ะ.. ลองนึกถึงอกใจท่านแล้ว  เป็นห่วงท่านเหลือเกินค่ะ.. การมองโลกและมองลูกๆ ที่จมน้ำ จากที่สูงอย่างนั้น..  หัวใจจะเปียกน้ำตาสักเพียงไหน..  ท่านปล่อยวางได้ยากนะคะ  เพราะลูกๆ พากันทุกข์ทั้งแผ่นดิน.. พ่อไม่ทุกข์ไม่ได้ดอกค่ะ..     จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจเปิดเผยได้ บอกว่าในหลวงทรงนอนไม่หลับ เฝ้าหน้าจอคอมทุกคืนค่ะ แต่พ่อล้มไม่ได้ ถ้าพ่อล้มจะเป็นยังไง ดังนั้นลูกๆ ต้องเข้มแข็ง แล้วร่วมกันส่งกำลังใจไปถึงพ่อนะคะ  ให้พ่อรู้ว่า.. น้ำท่วมแค่ไหน.. หัวใจไม่จมน้ำนะคะ   เราเชื่อว่า "ท่านรับรู้ได้แน่นอนค่ะ" จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 19:19:23

ความคิดเห็นที่ 31 เอ้...? วันนี้ท้องผมค่อนข้างทำงานดี  ไหลปู๊ดๆๆ ป๊าดๆๆ อยู่ในห้องน้ำนานพอควร  ...  ผมก็ว่ามันมีพลังงานมากกว่าการกระพือปีกของผีเสื้อหลายเท่านะ   แล้วมันจะส่งผลกระเทือนไปทั่วโลกไหมเนี่ยยย ??  แล้วมันจะก่อให้เกิดพายุพัดหรือแผ่นดินไหวตามทฤษฏีเคอ๊ออสไหมละ  คุณเซ้าซี้ ??           จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 19:57:30

ความคิดเห็นที่ 32 แหม่ ทำมาพอดิบพอดี ... ปล. พี่คะ การที่พี่เขียนอะไรต่อมิอะไรให้คนหมู่มากอ่าน ก็เป็นกุศลอันดี แต่หาก feedback บางอย่างทำให้ใจกระเพื่อม ก็กลับบ้านเราเถอะนะพี่นะ ... จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:20:16

ความคิดเห็นที่ 33 ว่างมากหรือคะ คุณโขตาน.. ยินดีต้อนรับนะคะ เรื่องคุณปู๊ดป๊าดน่ะ คงจะลงท่อระบายน้ำไปตามระเบียบ.. คงไม่ได้มีปัญหาอะไรให้กับโลกไปมากกว่าที่มีปัญหาอยู่หรอกค่ะ ดิฉันก็ค่อนข้างเชื่อว่า.. คุณน่ะมีพลังงานมากกว่าการกระพือปีกของผีเสื้อหลายเท่าค่ะ.. เรียกว่าหนักอึ้งเลย.. ขณะที่เขียนนี่ก็หนักใช้ได้เลยค่ะ.. น่าเสียดายล็อกอินเก่านะคะ..  ตั้งแต่เปลี่ยนล็อกอินใหม่ กลายเป็นคนอย่างนี้ไปด๊าย.. ดิฉันไม่เคยเซ้าซี้คุณหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณมาเซ้าซี้  ดิฉันมากๆ  ดิฉันอาจจะเปลี่ยนเป็น เซ้าซี้  จริงๆ ก็ได้... อย่าให้เสียเหลี่ยมบุรุษผู้ปฏฺิบัติดีปฏิบัติชอบ เสียตำแหน่งผู้รู้ห้องศาสนา และเสียศักดิ์ศรีที่เป็นศิษย์ของพระป่าผู้ปฏิบัติดีปฏฺิบัติชอบหลายๆ องค์ตามที่เขียนเล่าไว้นะคะ..   คุณเคยเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือมากๆ เลย และดิฉันก็เคยนับถือคุณมากๆ ด้วย แต่คุณมาเริ่มด้วยของต่ำๆ หลังจากที่เขาเขียนถึงเรื่องสูงๆ กันแบบนี้ ขอรบกวนว่า มาทางไหน ไปทางนั้นเลย.. ถ้าจะมา "เซ้าซี้" กันล่ะก้อ.. เชิญออกไปดีๆ ค่ะ ขอเตือนไว้อีกครั้งว่า กรรมที่ทำกับดิฉันมันให้ผลเร็วค่ะ   แต่คนที่ชอบลอง จะลองดูก็ได้ค่ะ..ดิฉันไม่เสียหายอะไร   แต่ดิฉันเตือนไว้แล้วนะคะ..   ถ้าจนป่านนี้คุณยังไม่รู้ว่าดิฉันเป็นยังไง  จนวันนี้ก็ยังไม่รู้อีก  คุณก็คงจะไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ อย่างที่ได้พูดหรือแสดงออกมาตลอดแล้วล่ะค่ะ..   นิยายการปฏิบัติธรรมสูงส่งในอดีต เวลาเล่าให้เด็กๆ ฟัง มันก็ดูดีนะคะ แต่เรื่องเล่านั้น ใครๆ ก็พูดได้ค่ะ  แต่ความจริงที่แสดงออกมาผ่านกายกรรม วจีกรรม ณ ปัจจุบัน คือพฤติกรรมที่คนทุกคนย่อมรับรู้และมองเห็นได้ เฉกเช่นเงาของบุคคลคนนั้นซึ่งบ่งชี้สถานะทางจิตของบุคคลนั้นๆ ในปัจจุบันค่ะ เขาคุยกันเรื่องสูงๆ แต่เข้ามาปั๊บก็พูดเรื่องเสื่อมๆ  อย่างนี้มันหมายความว่ายังไงคะ ??? แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 20:31:00 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:23:50

ความคิดเห็นที่ 34 พี่มีใจให้กระเพื่อมซะที่ไหนล่ะอีน้อง.. 555 ดูแลสิงห์โตหินให้ดีๆ บอกว่าทางนี้ ปล่อยอิฉันเอง.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:30:17

ความคิดเห็นที่ 35 5555555555 อิน้องใจไม่ด้านพอ อิน้องรับไม่ไหว พี่สิงห์โตหินอ่ะเหรอ เบลสไม่ห้ามซะให้ยากหรอกค่ะ ว่ะฮ่ะฮ่ะ .... ปล. เวรกรรม แทนที่จะได้คุยกันเรื่องธรรมะต่อ .. จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:36:26

ความคิดเห็นที่ 36 เรียนคุณโขตาน ถึงคุณจะเอาหน้ายิ้มมาแปะ แต่กระแสใจคุณไม่ได้ยิ้ม และไม่ได้เขียนเล่นๆ เลย.. และดิฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณด้วย.. ที่สำคัญ ดิฉันทบทวนดูแล้ว นอกจากเคยให้กิ๊บตามความเห็นต่างๆ ของคุณ อยู่เนืองๆ ดิฉันไม่เคยไปรบกวนคุณเลย ไม่เคยไปแสดงความเป็นอริกับคุณ หรือไปยุ่งกับกระทู้ของคุณเลย   ในกระทู้สาธารณะ แม้บางความเห็นไม่เห็นด้วย ก็ไม่เคยข้ดแย้งความเห็นของคุณแม้แต่ครั้งเดียว  มีแต่ชื่นชมในความรู้ และคำตอบที่ถูกใจ แต่รู้สึกว่าคุณเคยเข้ามาป่วนกระทู้ดิฉันแล้ว หนึ่งครั้ง.. หรือสองครั้ง..   ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคุณจึงเข้ามายุ่งกับดิฉัน..   ถ้าคิดว่าจะล้อเล่น.. ก็ต้องบอกว่าไม่เหมาะสมกับกาละเทศะ  ไม่ขำ  และไม่ตลกด้วย.. ดังนั้น..ขอให้สมาชิกห้องศาสนาพันทิปได้ทบทวนพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไว้ให้ดีๆ  อาจจะมีดราม่าเรื่องใหม่ให้ดู.. ใครที่ชอบกินมาม่า ให้เตรียมชามและตะเกียบขยับเข้ามาได้เลย.. สงสัยว่าแถวนี้จะมีมาม่าให้กินฟรีๆ (จะโพสต์รูปก็ผิดธรรม ไม่ลงรูปแล้วกันนะ) แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 20:38:33 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:37:53

ความคิดเห็นที่ 37 โธ่ๆๆ... ก็ถามไปตามหลักของทฤษฏีไงละ  แล้วผิดตรงไหนเนี่ยย ?  ก็ตามหลักทฤษฏีเคอ็อส ก็ต้องครอบคลุมหมดไม่ใช่หรือ  จะไปแยกสูงต่ำดำขาวอะไรกัน? ถูกไหมละจ๊ะ ?...ใจเย็นๆน๊าา...ถ้าลมเสียเดี๋ยวจะยิ่งเคอ็อสไปใหญ่นะ   ดีไม่ดีทำให้เกิดพายุใหญ่หอบเอาน้ำมาท่วมเมืองไทยอีกรอบ  ..... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:41:26

ความคิดเห็นที่ 38 มีโยมอยู่ประเภทหนึ่ง อาตมานั่งอยู่นานเนกาเล โยมไม่ถวายสังฆทาน นั่งไปเรื่อย พออาตมาจะลุกไปฉันเพล โยมจึงถวาย อาตมาเลยปล่อยให้กองอยู่ตรงนั้นแหละ..! ความจริงหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมาก แต่พวกเรามักจะเอามาประยุกต์ใช้ในชีวิตไม่เป็น โดยเฉพาะพวกขาด กาลัญญุตา คือ ไม่รู้ว่าวาระไหนสมควรหรือไม่สมควร แสดงว่าท่านไม่ได้เป็นศิษย์ของพระอานนท์ พระอานนท์เป็นสุดยอดของพระเลขานุการ เพราะว่าเป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ถ้าเทียบกับสมัยนี้คือ เลขานุการส่วนตัว พระอานนท์สามารถจัดคนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ในเวลาที่เหมาะสมทุกราย ฉะนั้น...การที่เราจะทำอะไร ถ้าหากดูเวลา ดูความเหมาะสม ก็แสดงว่าจริง ๆ เราเป็นผู้ที่มีธรรมอยู่ในหัวใจ คือ กาลัญญุตา รู้จักเวลา เป็นข้อหนึ่งในสัปปุริสธรรมทั้ง ๗ แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เวลากัน ถ้าหากว่าแรง ๆ หน่อย ก็คือ ไม่รู้กาลเทศะ กาละ คือ เวลา , เทศะ คือ สถานที่ ไม่รู้ว่าเวลาไหนเหมาะ เวลาไหนควร ? ไม่รู้ว่าสถานที่ไหนเหมาะ สถานที่ไหนควร ? ถ้าบอกว่าไม่รู้กาลเทศะ บางทีก็โกรธ...แต่โกรธโดยที่ไม่รู้ว่าเขาว่าอะไร ดังนั้น..ถ้าหากเรามีความรู้เรื่องธรรมทั้งหลายเหล่านี้ แล้วนำไปใช้ในชีวิตจริง จึงจะสมกับเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าไม่รู้แล้วไปทำผิด ๆ พลาด ๆ คนอื่นเขาจะตำหนิได้ว่า เสียทีที่เข้าวัดเข้าวา แต่กลับไม่รู้กาลเทศะ เป็นต้น อาตมาฉันเพลอยู่ ตักข้าวใส่ปากได้สามคำ เสียงโทรศัพท์กริ๊ง "แม่ชีเองค่ะ" ถามว่า "แม่ชีฉันเพลไหม?" "ไม่ได้ฉันค่ะ วันนี้ฉันมื้อเดียว" "แต่ตูกำลังฉันอยู่..!" ให้มันรู้เสียบ้างเวลาไหน ไม่ใช่โทรส่งเดชไปเรื่อย โดยเฉพาะจะโทรหาพระ ทั้ง ๆ ที่เป็นแม่ชี และก็รู้ด้วยว่าเวลานี้คือเวลาเพล แต่ก็จะโทร อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ บางรายหนักกว่านั้นอีก บอกว่า "กำลังฉันเพลอยู่" "ไม่เป็นไรค่ะ ขอสามนาที" "คุณไม่เป็นไร แต่ผมกำลังกินอยู่..!" เป็นเสียอย่างนี้ แสดงว่าจิตใจของคนเราหยาบขึ้นไปเรื่อย ๆ การปฏิบัติมีแต่จะต้องดีขึ้นและเจริญขึ้นทุกวัน แปลว่ายิ่งทำต้องยิ่งละเอียด ไม่ใช่ว่ายิ่งทำแล้วยิ่งหยาบขึ้นทุกวัน ถ้าทำลักษณะอย่างนั้นเป็นการก้าวถอยหลัง ถอยหลังลงคลอง ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้า ให้พิจารณาด้วยว่า กาย วาจา ใจของเรา มีอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรบ้าง แล้วก็แก้ไขปรับปรุงเสีย ค่อย ๆ ทำไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ก่อนเพล ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓ จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:46:27

ความคิดเห็นที่ 39 ทิดตู่ กรรมการเว็บ สมัยก่อนมักจะโดนหลวงพี่ดุในเรื่องนี้ว่า "ถ้าเรื่องหยาบ ๆ แค่นี้ยังคิดไม่เป็น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องละเอียด ๆ อย่างการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน" __________________ สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน จาก http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1715 จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:55:35

ความคิดเห็นที่ 40 เรื่องอุจจาระ ปัสสาวะ  อย่าไปว่าเป็นเรื่องต่ำ  ... นักปราชญ์เขาเอาอุจจาระ ปัสสาวะ  มาพิจารณาจนได้ธรรมะระดับสูงๆไปเลย   ดูจากหลักฐานข้างล่าง...  ---------------------------------------------------------------- " อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔ ๒. เรื่องนางลูกสุกร [๒๔๑]                        ข้อความเบื้องต้น                          พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนางลูกสุกรกินคูถตัวหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยถาปิ มูเล" เป็นต้น.              พระศาสดาตรัสบุรพกรรมของนางลูกสุกร                            ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นนางลูกสุกรตัวหนึ่ง จึงได้ทรงทำการแย้ม (พระโอษฐ์) ให้ปรากฏ. เมื่อพระองค์ทรงทำการแย้ม (พระโอษฐ์) อยู่ พระอานนทเถระได้เห็นมณฑลแห่งทัสสโนภาส ซึ่งเปล่งออกจากช่องพระโอษฐ์ จึงทูลถามเหตุแห่งการแย้ม (พระโอษฐ์) ว่า "พระเจ้าข้า อะไรหนอแลเป็นเหตุ? อะไรเป็นปัจจัยแห่งการทำการแย้มให้ปรากฏ."              ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระอานนท์นั้นว่า "อานนท์ เธอเห็นนางลูกสุกรนั่นไหม?"              พระอานนท์. เห็น พระเจ้าข้า.              พระศาสดา. นางลูกสุกรนั้นได้เกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในที่ใกล้โรงฉันแห่งหนึ่ง ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ นางไก่นั้นฟังเสียงประกาศธรรมของภิกษุผู้เป็นโยคาวจรรูปหนึ่ง สาธยายวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดในราชตระกูล เป็นราชธิดาพระนามว่า อุพพรี              ในกาลต่อมา พระนางเสด็จเข้าไปยังสถานเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้วยังปุฬวกสัญญาให้เกิดขึ้นในที่นั้น ได้ปฐมฌานแล้ว พระนางดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในพรหมโลก              ก็แล พระนางครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ จึงเกิดแล้วในกำเนิดสุกรในบัดนี้ เราเห็นเหตุนี้ จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ              ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนทเถระเป็นประมุข สดับเรื่องนั้นแล้วได้ความสังเวชเป็นอันมาก.  " ----------------------------------------------------------  เขาเอาอุจจาระมาพิจารณาจนได้ไปเกิดในพรหมโลก  เห็นไหมละจ๊ะ ..  ??? จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 20:59:40

ความคิดเห็นที่ 41 หลักทฤษฏีเคออส มันเทียบกับหลักของพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอกค่ะ ทฤษฏีนั้นตั้งขึ้นมาบนการศึกษาปรากฏการณ์ชุดหนึ่ง ณ ห้วงเวลาหนึ่งๆ  แม้ว่าบางทฤษฏีจะมีอำนาจในการอธิบายมาก  แต่ก็มีขอบเขตจำกัด.. ไม่ใช่ว่าจะสามารถเอามาอธิบายได้โดย อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ.. เยี่ยงพุทธศาสนาดอกค่ะ.. ในกรณีเรื่องการอุจาระของคุณนั้น ถ้าจะอธิบายด้วยทฤษฏีเคออส ที่จริงมันถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เล็กเกินไปสักหน่อย   อาจจะใช้แค่สถิติพื้นฐานก็คงตอบได้ คุณอุจาระเฉลี่ย วันละครึ่งกิโล ถ้าคุณบริโภคปานกลาง..แต่ที่จริงคุณบริโภคค่อนข้างมาก บางทีอาจจะถึงกิโลนึงก็ได้   สมมติว่าครึ่งกิโลกรัมต่อวัน  เพราะต้องสูญเสียน้ำในภาวะอากาศที่แห้ง สัปดาห์ละ 3.5 กก. x 365  สมมติว่าคุณมีอายุ 56 ปี  เท่ากับว่าคุณถ่ายอุจาระรดบนโลกที่สวยงามใบนี้มาแล้วถึง  71,540 กิโลกรัม   คุณก็ลองคิดง่ายๆ ว่า ปริมาณน้ำหนักของอุจาระขนาดนั้น มันหนักแผ่นดินขนาดไหน.. คุณบริโภคอาหารเข้าไปวันละกี่กิโลกรัม   อาหารที่คุณบริโภคนั้นส่วนใหญ่เป็นอาหารชนิดใด หากคุณบริโภคเนื้อ ในประเทศที่เจริญแล้ว เขาเลี้ยงโคกันเป็นจำนวนมาก  และคุณรู้หรือไม่ว่า ตดของโคขุนพวกนี้  มันยิ่งใหญ่กว่าตดปู๊ดป๊าดเล็กๆ น้อยๆ ของคุณมากๆ ตดของโคขุนนั้นมีแกส มีเทน  ซึ่งเป็นแกสที่ เป็นอันตรายกับสภาพบรรยากาศของโลกโดยตรง  การเลี้ยงปศุสัตว์ในหลายๆ เขตของโลก ส่งผลให้เกิดสภาวะเรือนกระจก  ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนิโน่ และลานิญญ่า.. พูดง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด อาหารที่คุณกินเข้าไป มีส่วนส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกผิดปกติที่เมืองไทย และทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ บนแผ่นดินแม่ของคุณเอง.. ซึ่งคุณได้นั่งอิจฉาที่พวกเขาเกิดน้ำท่วมกันถึงขั้นวิกฤตอยู่ที่บ้านของคุณ ซึ่งไม่ใช่แผ่นดินอันเป็นที่เกิด  ที่ซึ่งคุณอิจฉาที่พวกเขาเกิดน้ำท่วมใหญ่และได้ผจญภัยกัน.. คุณนั่งเหงาอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว และคิดว่าอยากจะให้น้ำท่วมบ้านคุณบ้าง.. แม้แต่ฮีตเตอร์ หรือระบบน้ำที่คุณใช้ชักโครกอยู่ในตึกสูงนั้น.. คุณก็ควรจะรับรู้ด้วยว่า..  มันก็ส่งผลกระทบต่อมลภาวะมวลรวมของโลก เฮ้อ.. คิดแล้วมันสังเวช..   จะเขียนต่อไปถึงการสูญเสียทรัพยากรน้ำ ซึ่งได้มาจากการแย่งชิงน้ำกับชนพื้นเมืองหรือผู้ที่อ่อนแอกว่าในทวีปอเมริกา หรือการที่มนุษย์ดูดเอาแก้สขึ้นมาจากใต้ทะเล.. เพื่อเอามาเผาไหม้ไปเฉยๆ เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่คนๆ หนึ่ง..  ซึ่งขี้เหงา และชอบเข้ามาหาเรื่องคนอื่น.. แค่นี้มันก็เศร้ากว่าน้ำท่วมแล้วกระมังคะ... จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:07:15

ความคิดเห็นที่ 42 ขอโทษที่เขียนตอบก่อนที่คุณจะเขียนมาจริงๆ เวลาเขียนมันต้องใช้เวลา..กว่าจะกดได้ ก็เสียเวลาไปหน่อย..   ที่จริงเห็นคุณเข้ามาในกระทู้ ด้วยท่าทีเยี่ยงนี้ เราก็ไม่ต้องอาศัยอุจจาระ ก็เป็นที่สลดสังเวชได้แล้วค่ะ ที่ศึกษาบวชเรียนมา มันไม่ช่วยอะไรเลยหรือคะ ? มาเลยค่ะ ล้อมวงเข้ามา  ช่วงนี้โรงเรียนปิด ดิฉันมีเวลาทั้งคืนเลย  เรื่องย้ายของขึ้นที่สูงพักไว้ก่อนก็ได้..  สงเคราะห์คนที่ถ่ายท้องได้ดี แต่ไม่สามารถระบายอิสสา ริษยาและพยาบาทออกไปพร้อมกับอุจจาระได้ มาเลยคุณ ตัวต่อตัวเลย  น้องเบลสนั่งยิ้มอ่านไปเพลินๆ จ้ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:14:40

ความคิดเห็นที่ 43 ขอทรงพระเจริญ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:16:41

ความคิดเห็นที่ 44 เค้าอยากคุย อยากอ่านเรื่องปฏิบัติ เรื่องธรรมะ ไม่ใช่เรื่องอุจจาระ จบได้ยังอ่ะคะ ???? จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:17:09

ความคิดเห็นที่ 45 หลวงพ่อปราโมทย์ เทศน์วันนี้ เรื่องน้ำท่วม ท่านว่า  ให้ภาวนาไว้  แล้วมันก็ผ่านไป ถือโอกาสภาวนา ดูใจที่มันทุกข์ กังวล อย่าปล่อยให้เสียโอกาส  วันนี้ เป็นวันที่เราทดสอบตัวเอง ว่าที่เราปฏิบัติกันนั้น สอบผ่านหรือไม่     แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 21:20:31 จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:18:48

ความคิดเห็นที่ 46 มันน่าเศร้าและน่าสังเวชนะคะ ที่ความเห็น "ขอทรงพระเจริญ" ต้องมาอยู่หลังความสงสัยแบบไร้สติปัญญา และการกล่าวถึงธรรมที่ไม่เหมาะกับกาละเทศะ   แต่เมื่อเราต้องอยู่ร่วมสังคมกับคนที่มีภูมิรู้ แต่ไม่มีภูมิธรรม.. เราหนีเขาไม่ได้แล้วนะคะ  ต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วยค่ะ   เราเป็นผู้จัดให้เสมอ..  เพราะเราไม่มีเจตนาเป็นกรรม  ในเมื่ออยากกินมาม่า ก็จัดให้นะคะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:22:36

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณคุณ chaosy ที่โพสต์กระทู้นี้ค่ะ เราเป็นคนธาตุลม อยากอ่านเรื่องแม่พระพายจังค่ะ หมายเหตุ อ่านข้อความดีๆ จบแล้ว ก็ขอนั่งดูด้วยเลย คราวที่แล้วโขกรีดร้องลั่นกระทู้ แต๋วแตกไปทีนึงแล้ว เราแค่เอาเข็มหมุดจิ้มนิดเดียวเองนะ ฮ้าฮ้าฮ้า จากคุณ : บุษยมาศ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:23:08

ความคิดเห็นที่ 48 เวรกรรม อ่านค้างไว้นาน พอเม็นต์เสร็จเลยไม่ต่อจากรูปภาพพระองค์ท่านเลย จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:29:36

ความคิดเห็นที่ 49 ขอพักโฆษณา ... จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:29:46

ความคิดเห็นที่ 50 ยุ้ยหัดเขียน ไม่เป็นไรจ้า..   นี่แหละโลกล่ะจ้ะ..  โลกของจริงเลย..   เราก็อาศัยกระทู้เป็นเหตุ แล้วก็เหลือบตาลองมองดูจิตของเรา.. ถึงเขาไม่รู้ความเหมาะควร  แต่จิตเรารู้เป็นใช้ได้ค่ะ.. เราสามารถ"รู้" ได้ โดยไม่ต้องเป็นผู้รู้ประจำห้องศาสนาแต่อย่างใด.. แค่รู้ลงในจิตของเราเอง เรียกว่า"รู้อยู่แก่ใจ" ก็พอเพียงแล้ว.. สิ่งที่เห็นในกระทู้ล้วนสมมติ  แต่การ "รู้" ในจิตนั้น จะพาไปสู่วิมุติได้ค่ะ เราเอาสมมตินี่แหละ เป็นบันไดไต่ไปสู่วิมุติ เอาของหยาบ เป็นตัวเปรียบเทียบให้เห็นของละเอียด.. คนอ่านกระทู้เรา ล้วนมีตา มีปัญญา ติดหัวทุกคนแหละค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:36:34

ความคิดเห็นที่ 51 ผมค่อนข้างเชื่อทฤษฏีเคออสนะ แต่ไม่ใช่เรื่องสภาพอากาศ แต่เป็นเรื่องบรรยากาศ ผมสังเ้กตมาหลายครั้งแล้วว่า ในกรุงเทพ วันจันทร์-ศุกร์ บรรยากาศมันดูเครียดๆ ทั้งๆที่ผมอยู่บ้านก็ตาม แต่พอถึงวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ บรรยากาศมันดูปลอดโปร่งสบายๆ แม้ว่าวันนั้นผมต้องไปทำงานก็ตาม ไม่รู้ว่าใครรู้สึกแบบผมบ้างหรือเปล่า หรือว่าผมเป็นคนเดียว ผลจากที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ ผมก็เลยเชื่อว่าถ้าเราช่วยๆกันแผ่เมตตาให้กับสรรสัตว์ทั้งหลายในโลก บรรยากาศในโลกคงจะผ่อนคลายลง มีแต่ความสุขมากขึ้น จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:37:10

ความคิดเห็นที่ 52 โมทนาสาธุกับคุณเส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ค่ะ   เราเชื่ออย่างนั้นเช่นกันค่ะ ที่จริงสัมผัสจากบรรยากาศของกระทู้ก็สัมผัสได้ค่ะ..   เรื่องบรรยากาศนี้ถ้าเข้าใจเรื่องกระแสจิต คือกระแสกุศล หรืออกุศลจิต มันเป็นคลื่นพลังงานที่เราสัมผัสได้ โลกมันจะเปลี่ยนไปจากที่เรารับรู้มากๆ เลยค่ะ เรื่องของทฤษฏีเคออสนั้นเขาพัฒนาขึ้นปลายๆ ยุค 80 พัฒนาจนชัดเจน ยุค 90 พอปัจจุบันนี้ ที่จริงมีทฤษฏีลูกชื่อว่า "managing chaos" แล้วค่ะ เป็นทฤษฏีบริหารจัดการยุคใหม่ ที่จัดการบนความไร้ระเบียบ   เราได้เรียนรู้เรื่องนี้จนกระจ่างใจ จาก "วัด" ค่ะ   สิ่งที่ศึกษามาในตำรา..  แปลกดีที่ได้เห็นของจริงที่วัด   ครูบาอาจารย์ ท่านทำ Chaodic management ให้ดูอย่างน่าทึ่งเลยค่ะ.. แล้วก็ย้อนกลับมาทึ่งในพระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้าของเรา ซึ่งท่านให้ทางออกจากระบบที่ยุ่งเหยิงนี้ไว้ตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว..   เรื่องทฤษฏีสมัยใหม่นั้น หากจับมาเทียบกับพุทธศาสนา จะยิ่งมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ อยากฟัง managing chaos แบบวัดๆ กันไหม.. แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 54 21:46:28 จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:42:51

ความคิดเห็นที่ 53 โชคดีเคยได้ฟังแล้ว แต่อยากอ่านค่ะ ^^ จากคุณ : blessed เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 21:56:23

ความคิดเห็นที่ 54 อยากฟังครับ :D จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 22:04:40

ความคิดเห็นที่ 55 คุณ chaosy สู้กับกิเลสทั้งดุ้นยังสู้ได้เลยนี่ คราวนี้ก็ถือซะว่าได้สู้กับกิเลสที่มุดมาในกองอุดจาระที่บุคคลบางท่านเทิดไว้บนหัวก็แล้วกัน น่าเสียดายความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา มีครูบาอาจารย์ที่ดีที่ประเสริฐ แต่ก็ไม่ช่วยทำให้มีปัญญาได้ ครูบาอาจารย์ที่เคยกล่าวอ้าง ก็ไม่ต่างอะไรจากเทฟลอน ที่ยกเอามาปิดบังตัวตนที่แท้จริง กรรมมันอยู่ที่เจตนา ไม่ได้อยู่ที่คำพูด จากคุณ : รวดเดียว เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 22:15:26

ความคิดเห็นที่ 56 เขียนแล้ว รู้สึกว่า ไปเล่าหลังห้องดีกว่า แหะๆ...   เอา managing chaos ตามธรรมดาน่ะ ทฤษฏีนี้ เขาไม่ให้วางแผนไกล ประเภททำแผนกลยุทธ์สามปีห้าปี ที่ฮิตกันช่วงนึงในสังคมไทย  พอเราชักจะเริ่มรู้จักการวางแผนเชิงกลยุทธ์ สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปแล้วเรียบร้อย.. คือในความไร้ระเบียบนี้ ทำให้การวางแผนใดๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะการวางแผนใดๆ ไม่สามารถควบคุมปัจจัยเบื้องต้นได้ทั้งหมด  ไหนจะปัจจัยแทรกซ้อนอีกล่ะ ตัวอย่างเช่น คุณควบคุมทางเดินของน้ำ โดยการกั้นน้ำบนดิน  แต่คุณเจอเข้ากับปัจจัยแทรกซ้อน คือน้ำใต้ดิน  อันนี้คือคุณพลาดแล้วใช่ไหม.. คุณก็ต้องไปอุดน้ำใต้ดินอีก อุดท่อ อุดส้วม..   อุดอุดอุด.. สิ่งที่คุณละเลยไป คือการยอมรับความจริง  คือการยอมรับว่า.. ปริมาณน้ำมีมวลมหาศาล ยังไงๆ น้ำก็ต้องการที่อยู่ และน้ำจะไหลจากสูงไปต่ำเสมอ แล้วคุณก็ลืมคิดไปถึงแรงดันของน้ำที่มีน้ำหนักมหาศาล.. ยิ่งคุณปิดกั้นทางเดินเท่าไหร่ พลังงานศักย์ก็ย่อมมีแรงสะสมมากขึ้นเท่านั้น.. ดังนั้นการกั้นน้ำด้วยแนวคิดแบบเส้นตรง   จึงพ่ายแพ้แก่การเดินทางของน้ำ ที่ไม่ต้องอาศัยแนวคิดอะไรเลย   มันเพียงไหลไปตามธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง ดังนั้นทฤษฏีจัดการแบบไร้ระบบ   เขาเน้นที่การเรียนรู้ธรรมชาติของระบบ ที่ไร้ระเบียบ.. พูดง่ายๆ คือ "เรียนรู้หลักความไม่แน่นอน และก็อยู่กับความไม่แน่นอนนั้นให้ได้" เขาจะไม่เน้นการวางแผนด้วยข้อมูลเก่าๆ  เพียงด้านใดด้านหนึ่ง แต่เข้าจะทำ scenario building ไว้หลายๆ แบบ  โดยมีสี่ทิศ คือ แบบที่ดีที่สุด แบบที่ปานกลาง แบบที่เลวร้ายที่สุด และเลวร้ายปานกลาง เขาจะจินตนาการภาพที่ดีที่สุด และเลวร้ายที่สุดไว้หลายๆ แบบ   จากนั้นก็จะเตรียมการป้องกันแก้ไข แต่ละ Scenario ไว้  คือมีคลังวิธีแก้ปัญหาไว้เป็นชุดๆ จากนั้นเขาก็จะสร้างระบบป้องกัน คือสร้างกลไกที่อ่อนไหวต่อความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย มีความผิดปกติเข้ามาในระบบ กลไกจะทำงานและปรับตัวทันที   มันไม่ต้องรอนโยบายจากหน่วยเหนือ  แต่มันจะเปลี่ยนแปลงได้ทันทีในหน่วยย่อย มีการแตกทฤษฏีไปเป็นการบริหารงานแบบเครือข่าย หรือแบบปลาดาว หรือองค์กรไร้หัว เคยได้ยินไหม..   ถ้าเรามีกลไกเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ  มีระบบข่าวสารที่แพร่ได้เร็ว  จากนั้นเราเตรียมบุคคลากรที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง  เราก็จะแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา เพราะเป็นระบบที่พร้อมจะปรับตัวตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง  ไม่ใช่ยืนยันแข็งตัวในจุดเดิมๆ..  และระบบเครือข่าย เป็นกลจักรสำคัญในการพัฒนา ตามทฤษฏีนี้ เขาจะลดขนาดขององค์กรลง และกระจายอำนาจออกไปให้มากที่สุด และให้ความรู้แก่หน่วยย่อย เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้ เขาจะมองโลกตามความเป็นจริง  ยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน และพิจารณาข้อมูลรอบด้าน จากทุกศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง..   ถ้าเชื่อเรื่องเคออส เขาจะไม่มองอนาคตไกลค่ะ  เขาจะมองใกล้ๆ แล้วประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา  และเขาก็จะลดปัจจัยตั้งต้นที่เป็นปัญหาออกค่ะ มันจะค้านกับแนวคิดทุนนิยมสุดขั้ว หรือวัตถุนิยมสุดขีด เพราะว่ามันหมดยุคอย่างนั้นไปแล้ว.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 22:25:34

ความคิดเห็นที่ 57 คุณรวดเดียว เราไม่อยากให้มันออกมาในรูปนี้เลยนะคะ  เราเตือนเขาแล้ว แต่เขาไม่หยุดเอง  ที่จริงเราเขียนไว้คำนึง แต่ดันลบออก " ห้องศาสนายิ่งมีผู้รู้น้อยลงไปทุกที  คุณยังอยู่ยังทำประโยชน์ตอบคำถามผู้คนได้มาก มีคนได้ประโยชน์จากความรู้ของคุณมาก อย่าให้เสียของไปอีกคนนะคะ.. " คือว่าที่จริงเขาตั้งใจจะแหย่เล่น แก้เหงา  แต่มันผิดเวลาไปหน่อย.. และมันผิดประเด็นด้วย..  เราตั้งใจจะยกจิตของเพื่อนๆ ขึ้น เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ตอนนี้ เราก็ไม่อยากจะตอบโต้รุนแรงขนาดนี้เลย  แต่เราต้องปกป้องตัวเองนะคะ  เพราะว่าเราไม่ได้เป็นผู้เริ่มเลย  เราหดตัวเองลงเหลือแค่กระทู้เดียวต่อสัปดาห์นะคะ  มุดรูหนีก็แล้วด้วย.. แต่ถ้าไม่ปรามกันบ้าง เขาไม่หยุด ก็จะสร้างกรรมหนักให้กับตัวเอง ซึ่งกรรมเช่นนั้นครูบาอาจารย์ก็ช่วยไม่ได้  เลยจำเป็นต้องตอบโต้.. เพื่อหวังให้เขาหยุดแค่นั้นเอง.. หยุดแล้วก็แล้วกันไปค่ะ  วันหลังอย่าเล่นแบบนี้อีก..   กรรมบางอย่างยิ่งทำยิ่งเสื่อม.. เสียดายชื่อเสียง กว่าจะสะสมมาได้ มาเสียหายเพราะอารมณ์ชั่วขณะ..     อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ คู่ต่อสู้เราน่ะ คือพี่ใหญ่  เราต้องเอาชีวิตให้รอดทุกวัน เราต้องรบทุกวัน..เสี่ยงความตายจริงๆ เสี่ยงความเสียหายจริงๆ ทุกวัน   การที่ทำอยู่อย่างที่ทำนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกและไม่ใช่เรื่องง่าย..  คุณโขตานไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราเลย   แต่เราไม่ปรารถนาให้คุณต้องรับวิบากเช่นกันนะคะ แต่เพราะเรามีญาติธรรมหลายคนที่ต้องดูแลจิตใจ  จะให้เราเฉยๆ หนีๆ ไม่ตอบโต้อย่างเดิม เราทำไม่ได้แล้วจริงๆ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 22:37:45

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณสำหรับ managing chaos นะครับ :D จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 23:33:51

ความคิดเห็นที่ 59 พระอาจารย์สอนเรื่องการเผชิญวิบากกรรม  ตรงกับทฤษฏีเคออส ท่านว่าให้หยุด แล้วพิจารณา.. ถ้าวิบากเข้า ท่านให้หลบค่ะ  หยุดทุกอย่าง..  ถือศีล สวดมนต์ ภาวนา เพื่อคุ้มครองตน เพราะยิ่งแก้ มันจะยิ่งยุ่ง  ยิ่งดิ้นรน เท่ากับเปิดช่องหลายทาง.. โอกาสรั่วมันก็ยิ่งสูงขึ้น.. ดังนั้นการ "หยุด" ดีที่สุด ในช่วงเคออส.. หยุดแล้วพิจารณา  มีอะไรมาก็แก้ไข ตรงหน้าตักของตัวเอง.. หยุดแล้วพิจารณา..  เมื่อหยุดได้ที่จะเกิดปัญญา... เราจะเห็นหนทางเลือกที่ดีที่สุด ผุดบังเกิดขึ้นมา..  ทางเลือกที่เกิดขึ้นหลังจากเราหยุด  จะเป็นจุดคานงัดให้เราดีดตัวจากวิกฤตได้ดีค่ะ ในโลกที่ยุ่งเหยิง.. ส่วนใหญ่ต้องใช้กลยุทธ์หดตัว..หรือตรึงตัว.. ไม่ควรลงทุนเพิ่ม เราดูสถานการณ์ บางครั้งเราจะได้ทางเลือกใหม่ๆ ที่ห่างไกลจากทางเลือกเดิมๆ มาก เช่นชอยส์มี ก. ข. ค. ง.   แต่เพราะเรารอดูนานๆ ดูจังหวะดีๆ  จะเจอทางเลือก จ. ขึ้นมาภายหลัง  ซึ่งทางเลือก จ. นี้จะดีที่สุด เป็นสิ่งที่ผุดบังเกิดขึ้นมาจาก กขคง นั่นเอง.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 23:52:27

ความคิดเห็นที่ 60 พระอาจารย์สอนเรื่อง "ทำ โดยไม่ทำ"  และ "จัดการ โดยไม่จัดการ" ขอผลัดไว้พรุ่งนี้นะคะ วันนี้หมดกำลังแว้ว...  เรื่องที่จะเล่าเขียนสองรอบ ยังเล่าไม่ได้ อิอิ..   ขอบคุณที่ติดตาม.. แต่ขอเวลาเรียบเรียงอีกทีว่าจะเล่าอย่างไรค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 23:55:15

ความคิดเห็นที่ 61 ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก หรือเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เป็นทฤษฎีที่เราชอบมากกกก รู้สึกว่ามันคลาสสิกดีอ่ะ555 อันนี้ไม่เกี่ยวกับธรรมะ แต่เกี่ยวกับทฤษฎีนี้ ถือว่ามาเล่านิทานให้ฟัง(อีกแล้ว)เนอะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องของหมู่บ้านคลิตี้นะคะ ที่โดนโรงงานถลุงแร่(นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆแล้วส่งให้คนกรุงเรานี่ล่ะ)ปล่อยสารตะกั่วลงห้วยคลิตี้ จนน้ำในห้วยเป็นพิษ ชาวบ้านก็ใช้น้ำ ทานปลาจากลำห้วยนั้นมานับสิบปีจนกลายเป็นโรคต่างๆ ที่นี้ประเด็นอยู่ที่ว่า...น้ำจากล้ำห้วยคลิตี้ ซึ่งมีสารตะกั่วสูงมากกกกกกไหลลงเขื่อน ที่นำมาทำน้ำประปาให้คนกรุงฝั่งธนบุรี คนกรุงก็รับสารพิษเจือจางทุกวันไม่รู้ตัว แถ่แดมๆ เด็กดอกไม่สะเทือนถึงดวงดาวจริงหนออออ จากคุณ : แม่ผั่น (nopas) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:00:40

ความคิดเห็นที่ 62 ดูท่าจะเกิดอาการเคอ๊อสขึ้นมาจริงๆ  โดนตดปู๊ดเดียว เกิดเคอ๊อสไปทั่ว   ฮ่าๆๆ...แค่แหย่เล่นตามน้ำแหละจ้า   อย่าถือสาหาความอะไรกัน    ยัง    เสมอนะ จุ๊บๆๆ     จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:23:01

ความคิดเห็นที่ 63 จะเข้ามาเช็คชื่อตั้งแต่ 5 ทุ่มครึ่ง ตอนนี้เที่งคืนครึ่งเข้าไปแล้ว กลายเป็นมานั่งอ่านกระทู้ใหม่อย่างเพลิดเพลิน พร้อมกับสะดุดกึก เช็คชื่อก่อนแล้วกัน วันนี้สวดมนต์ นั่งสมาธิได้ครึ่งชั่วโมงแป๊ะ วันนี้รู้ลมหายใจสั้นๆ แผ่วๆ ที่ปลายจมูก รู้ว่ามีปีติที่ใบหน้าและร่างกายกระตุก รู้ว่าถอยออกมาหายใจยาวออกจากสมาธิ ไม่มีนิมิตใดๆ กลับมาเรื่องน้ำท่วม โชคดีอีกแล้วที่เราเจริญมรณานุสติบ่อยๆ เพราะเราป่วยเราก็เลยปลงได้บ้าง เรื่องสวดมนต์นี่ราต้องเพิ่มพระปริตร จะทำพรุ่งนี้ทันที วันนี้เรานอนดึกมาก มันจะส่งผลไม่ดีมากๆกับสุขภาพเรา แต่ทำงัยได้ อ่านแล้วมันถึงใจดี วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวบ้านหลังโน้นเลย ดึกแล้วค่อยไปพรุ่งนี้ดีกว่า จากคุณ : ยิ้มไว้ไม่เครียด เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:32:45

ความคิดเห็นที่ 64 สำหรับผู้ที่อ่านกระทู้นี้ คอมเม้นท์ในกระทู้นี้แล้วเกิดอารมณ์อกุศล ขอแนะนำกลอนนี้ เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย จะหาคน มีดี อยู่ส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ อ่านกี่ครั้งก็ชอบจริงชอบจัง...^^ จากคุณ : แม่ผั่น (nopas) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:34:57

ความคิดเห็นที่ 65 พวกเราน่ะไม่มีปัญหาหรอกคุณโขตาน  แต่เพื่อนๆ เขาห่วงคุณกันน่ะ ถ้าคุณแค่แหย่เล่นตามน้ำ แหย่สำเร็จแล้ว.. สบายใจแล้ว หายเหงาแล้ว ก็ไม่เป็นไรจ้า..   ที่ผ่านมาไม่ถือสาหาความหรอกค่ะ  แต่คราวหน้าระวังหน่อยนะจ๊ะ..   กรรมออนไลน์มันทำงานทุกคลิ๊กเลยคุณ อันนี้พระไตรปิฏกคงไม่ระบุไว้ค่ะ..   คือทุกคลิ๊กที่คนเข้ามาอ่านแล้วเกิดอกุศลจิต นั้นมันจะเป็นวิบากมายังคนที่เขียน.. เราขอแค่สองอย่าง  ช่วยดูตาม้าตาเรือนิดนึง  เขียนเรื่องเบื้องสูงอยู่ อย่าเพิ่งแซว.. หรือเขียนเรื่องครูบาอาจารย์ กรุณาอย่าปรามาสท่าน  ขอแค่นี้จริงๆ   นอกจากนั้นจะแซวอย่างไรก็ได้ค่ะ   แล้วก็กระทู้น่ะมาแจมกันได้ มาเขียนเล่าด้วยกันก็ได้ ช่วงนี้ห้องยิ่งเหงาๆ อยู่   มาช่วยกันทำมาหากินค่ะ.. ลดมานะลง   แล้วเพิ่มปีติ มานี ชูใจ นะคะ.. ช่วยกันค่ะ..    อย่างน้อยให้คนเข้ามาห้องศาสนาแล้วชูใจกลับไป มันก็ช่วยลดกระแสความทุกข์ลงได้เยอะเลย.. คิดถึงคุณคนเก่าที่เขียนตอบกระทู้ ให้ปัญญาคนที่เขาต้องการคำตอบดีๆ น่ะค่ะ.. คุณเป็นกำลังใจให้ใครต่อใครได้เยอะเลย.. โอเค สงบศึก.. มาแก้เหงา มาช่วยกันเมาท์เรื่องหนุกๆ ดีกว่าค่ะ   จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:38:26

ความคิดเห็นที่ 66 ทุกคนคะ.. เอาเถอะนะคะ.. ขี้เกียจไปนั่งลบกระทู้กัน ก็มองเห็น แต่ไม่เอาก็แล้วกันค่ะ.. เอาเฉพาะคห.ดีๆ ค่ะ.. ก็บอกแล้วว่าเขาแค่มาแหย่เล่น  แต่มันผิดจังหวะผิดประเด็นไปหน่อย.. เลยยอมไม่ได้ ต้องตอบโต้กลับไปบ้าง  แต่ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ หรอกหนา.. คุณโขตานน่ะ  มาไถ่โทษ ที่ทำเพื่อนมีอกุศลจิต  มาเล่าเรื่องกุศลกุศลชดใช้ซะดีๆ คุณต้องมีเรื่องสนุกๆ เยอะเลย..  มาเร็ว สาว(แก่) ออกแรงชวนแล้วนะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 00:45:20

ความคิดเห็นที่ 67 ก็ค่อยรอจังหวะไปนะ....ไม่ใช่จะลุยแบบดุ่มไปเรื่อยๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือ.... เอาเป็นว่า  มีจังหวะเมื่อไหร่ค่อยกระเซ้ากันอีกที   รับมุขให้ทันก็แล้วกัน   มองไปในแง่ขำๆให้เป็น   อย่าเพิ่งโมโหโทโสอะไรกันนักหนา.. (ตัว C  ในภาษาอังกฤษ   ถ้าออกเสียงเป็นไทย ในตำแหน่งอักษรตัวตั้ง  อาจจะเป็น  ซ  หรือ  ช  หรือ    ค    ...ก็ได้ ทั้งนั้น ใช่ไหมละ ?  เพราะฉะนั้น  คำว่าchaosy   ผมก็จะอ่านว่า  เซ้าซี้   ก็ไม่น่ามีปัญหา  ใช่ไหมละ ?) ว่าที่จริงคุณเซ้าซี้  ก็เก่งไม่น้อยนะ   มีคนในห้องเป็นแฟนคลับมากมาย .. ไม่เลวๆทีเดียว   ช่วยดึงคนมาเข้าศาสนาได้ไม่น้อยนะ  ขอโมทนาด้วย...     แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 54 01:22:23 จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 01:14:54

ความคิดเห็นที่ 68 ลุงเอ้ย.. อุตส่าห์ให้ลงแบบสวยๆ แล้วนะเนี่ย..   ลุงน่ะอายุมากแล้วจริงๆ ถึงลงท่าเนี้ยน่ะ.. รีบลงมาให้ไวเลยลุง.. อย่าลีลามาก.. เดี๋ยวสิงห์โตหินเขาทนไม่ไหว.. ใครเขาโมโหกันจ๊ะ..  ลุงสิเล่นไม่ดูตาม้าตาเรือ.. เรามีเจโต ลุงมีอย่างเราเรอะ.. หุหุ.. ถ้าลุงมี ลุงจะรู้ว่าเราไม่โกรธลุงเลย  จิตเราไม่มีโทสะเจือเลย แม้แต่นิดเดียว..   แถมรู้ตั้งแต่แรกด้วย ว่าในใจลุงโขเป็นยังไง  ไม่งั้นเราไม่ยอมลุงง่ายๆ หรอกนะ.. เพราะรู้ว่าแค่พลาดไปนิดเดียว..ไม่ตั้งใจจริงๆ แค่จะแหย่นั่นแหละ..  เราให้อภัยง่ายๆ เป็นนิสัยอยู่แล้ว..   เรื่องเรียกชื่อน่ะไม่มีปัญหา เขาเรียกโชซี่ เชาซี่ ยังไม่ว่าอะไรเลย คนเรียกแบบนี้มีไม่กี่คนหรอก.. ทำใจด้าย.. แต่เรื่องผิดกาละเทศะน่ะมันไม่ไหวจริงๆ นะลุง..   เราไม่ได้สำคัญตนว่าเก่งหรือไม่เก่ง  เราเพียงทำหน้าที่ของเรานะ..   ยังไงก็ตาม เราเห็นว่าลุงเป็นคนที่เก่ง ดี มีประโยชน์   และเป็นคนเก่าคนแก่ของห้องศาสนา..     ถ้าทำตามมงคลสูตรเสียหน่อย คบเพื่อนดีๆ หน่อย..  ลุงก็จะเรียกคะแนนนิยมคืนมาได้.. ลุงอย่าไปเสียเวลาปรามาสพระเยอะซี   วิบากมันหนักน่ะลุง  มันจะพาให้เพี้ยนไม่เลิก.. เชื่อหัวอ้ายเรืองเหอะ.. กลับมาเป็นคนเก่า.. เป็นขวัญใจชาวห้องศาสนาเหมือนเดิมนะลุงนะ..   เราจะรอรับมุข รอรับกระเช้า รอลุงกระเซ้านะคะ เอาให้จังหวะดีๆ หน่อยแล้วกัน..   จัดมา ! จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 01:42:24

ความคิดเห็นที่ 69 ลุงโขตาน.. อันนี้จากใจเลยนะ.. จากใจจริงเลย.. คิดถึงคุณศิษย์พระป่าจังค่ะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 01:46:05

ความคิดเห็นที่ 70 Avatar มาในชาติใหม่แล้ว  อะไรต่างๆย่อมเปลี่ยนไป ... เล่าเรื่อง  เล่านิทาน  ขี้เกียจแล้ว ...  สไตล์ใหม่ดีกว่านะ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 02:08:22

ความคิดเห็นที่ 71 "คิดอย่างไรให้หัวใจไม่จมน้ำ... " ก็คงต้องคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำใจยอมรับปัญหามันก็ไม่มี  มวลน้ำมหาศาลแบบนี้ ป้องกันไม่ได้หรอก เก็บข้าวของที่สำคัญไว้ในที่ปลอดภัยก็พอแล้ว ผมมีเพื่อนอยู่ในกทม. สองคนที่บ้านน้ำยังไม่ท่วม คนที่หนึ่ง ก่ออิฐบล็อคกันน้ำไว้สูง 50 ซม. บอกว่า ถ้าน้ำมันสูงกว่านี้ ก็ช่างมัน ไม่สู้แล้ว เผ่นดีกว่า คนที่สอง ก่ออิฐบล็อคกันนี้ไว้สูง 1.20 ม. พูดเหมือนกันเลย แต่สำหรับบ้านญาตินั้นอยู่แถวดอนเมือง น้ำท่วมหมดแล้ว เผ่นไปอยู่ต่างจังหวัดเรียบร้อยแล้ว  ก็หนีออกมาในวันที่น้ำมันขึ้นมานั่นแหละ ทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะออกมาได้ เห็นข่าวว่าตอนนี้น้ำท่วมสูง 1.60 ม.  ดีตรงที่ทุกคนปลอดภัยดี และไม่มีใครบ่นโอดครวญเลย มันเป็นชะตากรรมที่ทุกคนต้องยอมรับ แต่ถ้าผมอยู่กทม. ณ ตอนนี้ ผมคงเผ่นไปแล้ว ขอให้ผู้ประสบภัยทุกท่านปลอดภัยครับ... จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 03:46:18

ความคิดเห็นที่ 72 นานๆอ่านของคุณ chaosy ทีก็ยังดีเหมือนเดิม  ชอบใจ คห.20-30 คห.ก่อนนั้นก็อ่านเพราะเว้นบรรทัดให้อ่านสดวกสายตา เนื้อหาใช้ได้  เสริมกับที่เคยได้อ่านไำด้ฟังมา  รู้แล้วก็วางไว้เป็นฐานความรู้ อยากให้ ผู้มีความรู้และความเชื่อแบบคุณ chaosy ลองศึกษาระบบ บุญนิยม แล้วมาวิเคราห์วิจัยให้ฟังสักหน่อย  จะขอบพระคุณมาก ( อยากฟังความเห็น นะ ) จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 04:16:12

ความคิดเห็นที่ 73 ...ขออนุโมทนา คุณ chaosy   ...เพิ่งติดตามนะครับ  ชอบแนวนี้จริงๆๆ...ตอนนี้ก็พยายามอ่านของฟริตจ๊อบอยู่...โยงใยที่ซ่อนเร้น...รู้บ้างงงบ้าง   อาศัยชอบ  และทำให้ลืมทุกข์ที่กิจการทีี่ไปอาศัยทำกับเพื่อนจำต้องพัดพรากพาไปพร้อมกับสายน้ำหลากล้นยามนี้...เฮ้อ... จากคุณ : toytoytoy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 05:32:56

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ chaosy ครับ มีเรื่องอยากจะขอรบกวนหน่อยน่ะครับ หากได้ไปที่วัดอีก อยากขอให้ช่วยกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า สนามบินสุวรรณภูมิ จะรอดจากน้ำท่วมไหมครับ อันนี้อยากทราบจริงๆ ครับ เพราะมีกำหนดการจะไปสังเวชนียสถาน วันที่ ๑๙-๒๙ พฤศจิกายนนี้  ทีนี้กังวลว่า ถ้าจ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้ว (ต้องจ่ายวันที่ ๔ นี้) แต่ถ้าน้ำท่วมสนามบินหรือรอบๆ สนามบิน ในช่วงนั้น ทำให้เดินทางไม่ได้ จะกลายเป็นว่า ทั้งเสียเงินค่าทัวร์ฟรี ทั้งไม่ได้ไปสังเวชนียสถานครั้งแรกน่ะครับ ช่วงนี้คิดไม่ตกเลยครับว่าควรจะเลื่อนการเดินทางไปเป็นช่วงมกราคมดีไหม ขอบคุณนะครับ จากคุณ : คุณหมูน้อยตัวขาว เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 06:35:53

ความคิดเห็นที่ 75 เช็คอินค่ะ เมื่อคืนสวดมนต์ตามปกติแล้วก็นั่งนิดนึง ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าสักครึ่งชั่วโมง แต่โดนหลอกว่าเดี๋ยวตื่นเช้าไม่ไหวนะ เลยนั่งไปได้สักสิบนาทีก็นอนค่ะ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 07:45:22

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณครับ ชอบมากตรงความเห็น 59 กลยุทธหยุดท่ามกลางเคออส ผมคงได้เอาไปใช้จริงตอนนี้ น้ำใกล้่ท่วมทั้งที่ออฟฟิส หลักสี่ กับบ้าน วัชรพล ลุ้นว่าจะเข้าที่ไหนก่อนกัน หยุดสวดมนต์ตั้งหลักก่อนละ จากคุณ : กายใจ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 08:09:56

ความคิดเห็นที่ 77 ติดตามสถานการณ์นำ้ท่วมจริง และ ท่วมในกระทู้อย่างระทึก ดีใจที่จบลงด้วยดีค่ะ   คุณโขตานขา  ด้วยความหวังดี  บางอย่างล้อเล่นไป สนุกแป๊ปเดียว  แต่ทุกข์ยาวนานค่ะ  เว้นๆ ไปบ้างเถอะค่ะ  เรื่อง ment  มันๆ  ในกระทู้พระต่างๆ   เผลอไปปรามาสพระอริยะเข้า  ไม่คุ้มนะคะ  ที่ผ่านมา ได้ความรู้จากคุณมามาก  ระลึกถึงบุญคุณเสมอ  อยากให้คุณผ่านไปเร็วๆ  ไม่ติดขัดนะคะ จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 10:19:52

ความคิดเห็นที่ 78 เอ้า เพิ่งจะรู้ว่าคุณโขตาน กับคุณศิษย์พระป่าคือคนเดียวกัน!!!   : ) คุณศิษย์พระป่า เคยช่วยมาไขข้อข้องใจในสภาวะธรรม ให้กับผม  ตอนนั้นซึ้งใจมากเลยทีเดียว คิดถึงคุณศิษย์พระป่าด้วยคนนะครับท่านโขตาน : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 10:44:49

ความคิดเห็นที่ 79 ความสับสน การขาดประสบการณ์ ก่อให้เกิดความกลัว ยอมรับยอมจำนน หวังพึ่งพิงทฤษฏีที่ตนไม่เคยนำมาใช้ และมิอาจที่จะนำไปใช้ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมของความคิดที่สับสนดังกล่าว ความคิดเช่นนี้อาจไม่ทำให้น้ำท่วมสมอง แต่กลับจะทำให้เกิดความสบายอกสบายใจด้วยซ้ำ เพราะหาที่ลงให้กับความสับสนนั้นได้แล้ว เมื่อกี้...อ่านเรื่องการปล่อยวางอย่างเซน ของกิเลน ประลองเชิง ในคอลัมน์ชักธงรบ นสพ.ไทยรัฐ การให้ความเข้าใจที่ถูกต้องของพระอาจารย์ชา   เกี่ยวกับเรื่องการยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดของแต่ละคนในกิจกรรมนั้น ๆ ถ้าขาดประสบการณ์แล้ว ก็ยังคิดว่าเรื่องนั้น ๆ ของตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเสมอ เราอาจจะเสียใจหรือไม่พอใจอย่างยิ่งถ้ามีใครมาบอกว่าแนวความคิดที่เรายึดถือนั้นไม่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามเคออสก็อาจบอกได้ถึงการจัดการความกังวลต่อปัญหาที่ไม่มีรูปแบบหรือการแปรปรวนที่หาค่าได้ยาก จึงต้องมาใช้หลักการพื้นฐานเพื่อจัดหาผลที่จะออกมาในหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อที่จะควบคุมปัญหานั้นได้ มันจะได้มีทางเลือกที่ดูดีที่สุด สามารถประเมินได้ แต่ก็ยากที่จะจัดการเรื่องความเสียหายหรือผลประโยชน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ผมเคยแก้ไขเรื่องการบำบัดน้ำเสียของโรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งในอดีตเค้าจะปล่อยให้น้ำเสียไหลล้นลงคลองสาธารณะจนมีปัญหากับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ต้องเปิด ๆปิด ๆ อยู่อย่างนั้นทำให้การดำเนินงานเสียหาย ผมจึงใช้วิธีง่าย ๆ เพราะมันเป็นน้ำเสียอินทรีย์ เราจึงใช้วิธีบำบัดโดยการขุดบ่อหลาย ๆ บ่อ ใช้น้ำขี้เถ้าในโรงงานปรับพีเอชและใช้พืชน้ำหลายชนิดเพื่อกรองน้ำโดยการดูดกินสารอินทรีย์นั้น ๆ  และทดสอบน้ำบ่อสุดท้ายโดยการเลี้ยงปลาที่อ่อนไหวต่อน้ำเสีย หากปลาลอยหรือตายก็แสดงว่าน้ำนั้นยังไม่มีคุณภาพ  นอกจากจะได้ประโยชน์จากผักน้ำและปลาแล้ว  ยังช่วยลดปัญหาและค่าใช้จ่ายให้กับโรงงานเป็นอย่างดี ว่าจะเขียนเรื่องน้ำท่วม แล้วดันมาจบด้วยเรื่องน้ำเสีย จะเหมือน คห.ข้างบนหรือปล่าวก้อ..ไม่รู้ จากคุณ : jonathan w. เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 12:14:42

ความคิดเห็นที่ 80 สวัสดีค่ะ ขออนุญาตร่วมพูดคุยสนทนาหน่อยนะคะ ติดใจและคิดในเรื่องของ Butterfly Effect กับหลักทางพุทธศาสนา น่ะค่ะ ในทางวัตถุนั้น เห็นชัดว่า ไม่ว่าการกระทำใดๆ ล้วนกระเพื่อม และส่งแรงสะเทือนต่อระบบใหญ่ทั้งสิ้น ตัวอย่างเล็กๆ อาจมองไม่ชัด อย่างเขื่อนในด้านทรัพยากรน้ำ หรือกระสอบทรายกั้นน้ำ จะเป็นตัวนึงที่อธิบายได้เห็นภาพ เพราะสิ่งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดถึงความพยายามของมนุษย์ ที่จะเอาชนะหรือฝืนธรรมชาติจากที่ควรจะเป็น จากความเชื่อที่ว่า ทุกอย่าง ล้วนอธิบายได้ด้วยธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น จึงมองว่า Butterfly Effect นั้น คือ มิติหนึ่งของการอธิบาย กรรมและการส่งผลของกรรม เป็นหนึ่งขั้นตอน ระดับของ ปฏิจจมุปบาท ด้วยการเริ่มต้นของอวิชชา จึงมีสิ่งต่างๆ ตามมาเป็นลำดับขั้น (เพราะเป็นธรรมที่ตีความไม่ง่าย และเข้าใจได้ยากมากๆ จึงไม่ขอยกมาพิจารณานะคะ) กับคำจากพระไตรปิฏก "ฐานสูตร" ที่ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่ว ก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น http://www.84000.org/tipitaka/read/?22/57/81 การหยุดดังที่ว่าใน #59 นั้น มองว่า แท้จริง คือ การปรับตัว ให้สอดคล้อง เข้าหา และทันกับ การเปลี่ยนแปลงจากระบบ หาใช่การหยุดจริงๆ ไม่ เพราะว่า การหยุดของจิตในขณะยังมีลมหายใจนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่รุจะอธิบายยังไง แต่จิตจะมีอารมณ์ยึดเกาะเสมอ ในทุกจิต อย่างจะทบทวน พิจารณา สวดมนต์ เป็นต้น ก็เป็นทางหนึ่ง ของการสร้างสติเจตสิก หรือปัญญาเจตสิก ใ้ห้จิตยึด (ความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ มิได้จะก้าวล่วงหรือปรามาสคำสอนท่านใดนะคะ) ดังนั้น เห็นด้วยว่า การปรับตัว และเสริมสร้าง สติ ปัญญา สมาธิ ในการรับมือกับสิ่งที่กระทบต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เป็นสิ่งสำคัญมาก ก็ยังมองโยงใยเข้าเรื่องของกรรม และการส่งผลของกรรมอยู่ดี แม้ว่า เรื่องนี้จะเป็นอจิณไตย ไม่ควรนำมาคิดก็ตาม ก็คิดว่า อาจจะโยงใยกันพอเข้าข่ายอย่างไร้ระบบกระมังคะ.. (อาจจะเป็นระบบที่แตะไม่ถึง มีระเบียบในตัวเองในลักษณะเฉพาะ หรืออย่างไร เพียงแต่ผู้ที่จะล่วงรุได้ชัดแจ้ง มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นน่ะค่ะ) ขอบคุณที่นำบทความเรื่อง ทฤษฏีผีเสื้อกระพือปีก มานำเสนอนะคะ ได้เป็นความคิดเกิดก่อและนึกทบทวนต่อไปด้วยเลย ..ขอบคุณค่ะ จะว่าไป จริงๆ ยังน่าเป็นห่วงกับสถานการณ์น้ำในภาคกลางพอควร ผู้ประสบภัย ควรคิดในแง่บวก ตั้งสติดีๆ ใจจะได้ไม่จมน้ำ ดังที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาและเจตนาดีไว้ค่ะ..อนุโมทนานะคะ :) ขออนุญาตแสดงความเห็นเกี่ยวข้องความเห็นในกระทู้เล็กน้อยค่ะ อืมม เป็นอีกปรากฏการณ์ที่ทฤษฏีผีเสื้อ อธิบายได้ เช่นกัน ก็เพียงสันนิษฐาน ว่า ตด ฟากโพ้นทะเล ย่อมส่งผล น้อยบ้าง มากบ้าง ยังส่วนต่างๆ ของพื้นผิวโลกได้ ตามหลักนั้น (สงสัยแถวไหนจะกินกระทิงแดง เลยแรงข้ามทวีป - หยอกเล่นนะคะ) บททดสอบเช่นนี้ ทำนองนี้ มีให้พบเห็น เผชิญอยู่เรื่อยมา จากหลากหลายบุคคล หลายสถานการณ์ อยู่ที่ว่าจะมีมุมมองอย่างไร จะตอบโต้ ต่อกร แก้ไข สถานการณ์ รับมือ กับโจทย์นั้นๆ เช่นไร การทำให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียด ปรับกลับสู่บรรยากาศที่ดีได้ เป็นเทคนิค ที่ต้องคงไว้ ขอชมในวุฒิภาวะ และ EQ นะคะ .. ขอให้ปรับใช้กับสถานการณ์ทั่วไปได้อย่างสร้างสรรค์และเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ :) น้ำจะไหลมา จากแห่งใด หากที่ใจ หลั่งน้ำใจ ภัยไหน วิกฤติใด ก็คงผ่านพ้น ในไม่นานน่ะค่ะ :) . จากคุณ : เลื้อย เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 13:36:57

ความคิดเห็นที่ 81 โธ่ถัง...โดนเขาแหย่หน่อยก็แตกเสียแล้ว ยังไปทับเขาอีกว่ามี เจโต..อัสมิมานะตัวบะเริ่ม ยังไม่เห็นอีก คนทำสมถะเยอะๆเขารู้กันว่าโกรธแค่ไหน ใจก้ไม่กระเพื่อม ดูอาการของจิตไม่ได้หรอก ต้องระวัง พวกความคิดความเห็น ตัวพวกนี้มันจะแย็ปออกมา หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองให้ถูก ความคิดนี่แหละ ตัวดี ฟุ้งพุ่งออกมาจากไหนละ  ความคิดเห็น ปกป้องความเป้นตัวเราทั้งนั้น ส่วนใจไม่อาการ ไม่กระดิกสักกะติ๊ด ที่ลพ เคยเล่าว่า มีคนที่ไปตบเด็กเสริฟ แล้วยังบอกอีกนะ ว่าตบเป็นแค่อาการหนะ คือ ตบไป ใจไม่มีโกรธเลยสักนิด  นี่เขาเรียกว่า ทำสมถะกดไว้อย่างหนัก ใจนิ่งสงบราบเฉยไปหมด คุณโขตานคงรู้อยู่  ขำไปเรียบร้อยแล้ว ชิมิ ? ไม่ใช่เขายอมคุณเคอ๊อซหรอก แต่เขา สำเร็จมิสชั่น ในการทดสอบไปเรียบร้อยแล้วต่างหาก ร้ายจริงๆนะคุณ โขตาน จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 17:10:08

ความคิดเห็นที่ 82 คุณน้องต๋าว พวกเราต่างคนต่างอยู่ดีกว่าค่ะ ความจริงเราสองคนก็ดีต่อกันมาตลอดไม่ใช่หรือ อย่าให้ความสาแก่ใจเล็กๆ น้อยทำให้มิตรภาพของเราต้องแตกสลายไปเลย จากคุณ : บุษยมาศ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 17:55:53

ความคิดเห็นที่ 83 จ้า เอาเลยจ้า..  เชิญทดสอบกันตามกำลัง ตามสบาย.. คนอ่านกระทู้เขามีสมองบนหัว มีสติดี มีตาแจ่มใส  เดี๋ยวเขาเห็นกันเองแหละ.. ไม่เสียดายความดีที่ภาวนากันมา ก็เชิญเลยจ้ะ..   ตามสบายเลยคุณทั้งหลาย..   ตามกันมาให้หมดล่ะ คนเขาจะได้รู้จักกันไว้.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 17:59:17

ความคิดเห็นที่ 84 คุณนิแรน โมทนาค่ะ ขอบคุณที่ร่วมแจมค่ะ เราก็ว่างั้นนะคะ คุณ P2wichai ยังไม่เข้าใจประเด็นค่ะ สงสัยคุณพี่ต้องเริ่มก่อน แล้วน้องไปแจม จะได้เข้าใจว่าบุญนิยมคืออะไร คล้ายทุนนิยมอ่ะปล่าว ? ที่ชอบก็ขอบคุณ แต่ที่จริงเนื้อหาทฤษฏีลอกเขามา ส่วนเรื่องเชื่อมโยง คือเราถือว่าพุทธศาสนาตอบคำถามเราได้หมด ไม่ต้องอาศัย chaos เลย  แต่ว่า chaos นั้นศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ พอมันมาชนกับพุทธศาสนา เราก็ทึ่งในพระปรีชาของพระพุทธเจ้า ว่าเดี๋ยวนี้โลกตะวันตกเขาเริ่มคิดได้แล้วนะเออ   ที่จริงต้องศึกษาทฤษฏีซับซ้อน และทฤษฏีเครือข่ายด้วย มันเป็นกระบวนทัศน์เดียวกัน ทำให้อธิบายปรากฏการณ์ในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้นมากเลย.. เรื่อง Hidden Connection นั้นสุดยอดเลยค่ะ  ใครข้างบนที่อ่าน ก็เลือกไม่ผิดเล่มดอกค่ะ อธิบายโลกได้ดี  เชื่อมมาสู่พุทธศาสนาได้ง่ายค่ะ  เราอ่านงานของคาบร้ามาตั้งแต่เล่มแรกๆ เต๋าแห่งฟิสิกส์น่ะค่ะ   ส่วนตัวเอง ตอนแรกอ่านพุทธเถรวาทไม่เข้าใจเลย  จึงตีวงอ่านมหายาน วัชรยานแล้วก็ทฤษฏีฝรั่งมาก่อน รวมนิยายนิดหน่อย  จึงค่อยโอบเข้ามา  ส่วนพระไตรปิฏกหรือคำสอนทางเถรวาท เพิ่งมากระดิกหูเมื่อปฏิบัติแล้วค่ะ เราแค่หาอะไรเขียน อยากให้ญาติ มองน้ำท่วมในมุม สู้ๆ น่ะค่ะ.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:07:30

ความคิดเห็นที่ 85 ฮี่ๆ .. พี่ล้อเล่น..หนะ   ดูจิตทันกันมั๊ย จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:15:22

ความคิดเห็นที่ 86 พี่ไม่ใช่ศิษย์สายดูจิตค่ะ พอแค่นี้ โอเคนะคะ จากคุณ : บุษยมาศ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:19:10

ความคิดเห็นที่ 87 คุณ toytoytoy  เรื่องโยงใยซ่อนเร้น เจอทฤษฏีกรรมเข้าไป มันส์พะย่ะค่ะ ไว้ไปเมาท์กันในห้องลับค่ะ  ไปคุยกันตรงโน้นแหละดี.. คุณหมูน้อยตัวขาว เรื่องนี้ถ้านับวันที่เท่านั้น ไม่ต้องถามพระอาจารย์หรอกค่า ท่านนายกคงไม่ปล่อยให้น้ำท่วมถึงวันนั้น ม่ายงั้นปิดประเทศกันเลย ที่เขามาถามแล้วท่านตอบน่ะ เพราะว่าเขาทุกข์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ท่านเมตตาให้เขาคลายทุกข์ จะได้ฟังธรรมต่อได้ เขาถามท่านก็เลยตอบ พวกเราไม่กล้าถามเรื่องที่เราก็รู้อยู่ว่ามันเป็นกรรมน่ะค่ะ  เราไม่ฝืนกฏแห่งกรรมค่ะ เกิดตายย้ายถิ่น มันเป็นพลวัตรประชากร  เป็นธรรมดาจ้า แนะนำให้ตั้งมั่น สวดมนต์เข้า อธิษฐานเข้า เอาบารมีมากองแล้วอธิษฐานว่าขอให้ได้ไปกราบพระพุทธเจ้าค่ะ  เราไปมาแล้ว ขอบอกว่า เมื่อไปแล้ว กล้าเรียกพระพุทธเจ้าว่าสมเด็จพ่อเลย  เพราะคนที่นั่นเรียกกันอย่างนั้นค่ะ พระท่านสอนเรียก อบอุ่นชะมัด.. คุณกายใจ  การหยุด คือการสร้างสตินั่นเอง.. หลายคนไม่หยุดก่อนสร้างสติ เลยปล่อยวจีกรรมกายกรรมออกไปแล้ว คราวนี้มันก็ต้องเลยตามเลย..  ยิ่งวิ่งยิ่งขาดสติ ท่านจึงสอนให้หยุดค่ะ หยุดสงบ มีสมาธิ แล้วค่อยพิจารณา เคออสก็สอนให้หยุด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ ยิ่งแก้ยิ่งพันตัว  แต่ว่าเขาให้หยุด แล้วพิจารณาข้อมูลให้รอบด้าน พอเราหยุด จากนั้นก็จะเกิดปัญญา ได้เห็นแนวทางซึ่งผุดบังเกิดขึ้นมา  คือเราจะเจอจุดคานงัด แล้วก็อาศัยจุดนั้นเด้งไปสู่วิถีที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นเกิดอะไรแย่ๆ ขึ้น ทำอะไรไม่ได้ ให้หยุดก่อน หยุดสักพัก ทำใจนิ่งๆ ปล่อยให้โลกมันแตกไปค่ะ   หนีเข้าสมาธิก็ได้ นอนหลับก็ได้ หยุดกายให้นิ่งๆ  พอกายหยุดใจก็หยุดตาม คือเดินช้าลงหน่อย คราวนี้ค่อยๆ คิด  สติเขาตามมาทัน เขาเป็นตัวรู้ เขาจะชี้ทางให้เราเองค่ะ   ท่านว่านับมาหนึ่งสองสามถึงสิบแล้ว  ตื่นเช้าขึ้นมา ต้องมารับหนึ่งใหม่  ที่จริงมันเป็นธรรมดาของโลกค่ะ เป็นธรรมดาของชีวิต  แต่เรารับไม่ได้ เพราะเรายึดว่ามันจะต้องดีเหมือนเดิม  คือเราไม่ยอมรับความจริงว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ มันเอาแน่นอนไม่ได้ มันไม่เที่ยง และมันเป็นทุกข์   ดังนั้นเคออสกับพุทธก็เหมือนกันตรงที่  มองปรากฏการณ์ยุ่งเหยิง วิจลภาพ เป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นสภาวะที่เป็นปกติของระบบที่ไม่สมบูรณ์ และเป็นระบบเปิด  เมื่อมีความยุ่งเหยิงเกิดขึ้นมา เดี๋ยวธรรมชาติก็จะมีการจัดระเบียบใหม่ของมันเอง ยังไงยังไงก็จะต้องผ่านไปและเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง เพียงแต่คนฉลาด เขาสามารถเร่งปฏิกิริยาได้ โดยอาศัยจุดคานงัดนั่นเองค่ะ ถ้าเรายอมรับความเป็นธรรมดาแล้วก็แก้ไขไป  เวลามีทุกข์จากโลก มักเป็นช่วงเวลาที่ธรรมะและปัญญาจะเดินได้ดี  ดังนั้นเราต้องรักษาจิตไว้ให้มั่นค่ะ  ถ้าจิตตก ทั้งโลกทั้งธรรมก็ดิ่งลงท่อไปด้วยกันค่ะ    ถ้าจิตไม่ตก แล้วเราผ่านความทุกข์ทางโลกได้ เราจะได้ดีกรีทางธรรมเพิ่มขึ้น จะมั่นคงขึ้นอีกค่ะ   ดังนั้นท่านจึงว่า.. ทุกข์มากๆ แหละดีค่ะ  ยิ่งทุกข์ยิ่งดี จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:21:00

ความคิดเห็นที่ 88 เอ.. นักภาวนาสายไหน เขาสอนให้ล้อเล่นกันคะ ??   ที่โรงเรียนเราไม่สอนให้ล้อเล่นกันเลย   ท่านว่าบัณฑิตควรพูดแต่คำจริง คำตรง แม้บางครั้งพูดตรงผ่าซากไปบ้าง ก็เพราะมีเหตุ และที่เขาพูด พูดเพราะมีเจตนากุศลที่เมตตาต่อบุคคลผู้นั้น   แต่บุคคลผู้นั้นจะทราบหรือไม่นั้น ก็สุดแต่ปัญญาของเขา เราพูดแล้วก็แล้วกัน ก็วางอุเบกขาไป เท่านั้นเอง หากไม่มีเหตุนั้น หากพูดแล้วกระทบใจใครก็ไม่สมควรพูด พูดสิ่งที่เป็นจริงแต่ไม่มีประโยชน์กับผู้ฟังไม่ถูกกาล ก็ไม่สมควรพูด แต่เมื่อมีเหตุ ต้องยุติกรรมก็จึงต้องพูด เพื่อจะยุติกรรม   เพราะระบบกระทู้เป็นระบบเปิด  เราก็ใช้ทฤษฏีเคออสนี่แหละแสดงให้ดูค่ะ ทางแพร่งนั้นมีทางแพร่งสองชนิด คือทางแพร่งแห่งหายนะ และทางแพร่งแห่งความวิวัฒน์  ตรงนี้ก็สุดแล้วแต่ปัญญาว่าจะเลือกถูกทางหรือไม่ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:27:08

ความคิดเห็นที่ 89 OnceWakeUp  เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบันนะคะ แม้จะคิดถึงเขาคนนั้นมากๆ แต่เขาเป็นอดีตไปซะแล้ว เราไปยึดอยู่ก็แอบคิดถึง แต่ว่าคนปัจจุบันก็ดีค่ะ อีกลีลานึง  ลุงเขาก็ยังมีแฟนคลับตรึมอยู่ เราชอบคนที่สิ่งที่เขาทำนะ ไม่ยึดติดตัวหรอก เขาเขียนดีก็ให้กิ๊บได้ แม้เขาจะพร้อมแทงเราก็ตาม อะไรคิดไม่ออก ก็โทษกรรมสิคะ ง่ายจะตาย.. กรรมนี่ล่ะ Hidden Connection ที่คาบร้ายังตีโจทย์ไม่แตก  เป็นตัวแปรแทรกซ้อน ทางสถิติเขาเรียกว่า ตัวแปรที่มองไม่เห็น แต่เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงมาก ทำให้ตัวแปรอื่นๆ ชิดซ้ายไปเลย.. เป็นพี่น้องผู้ปฏิบัติกันมา ไหงตามอาฆาตกันเฉยเลย  อย่างนี้ไม่ดูจิตค่ะ ดูกรรม.. กรรมแท้ๆ  กำไม่แบ  เรยเชียว.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:31:01

ความคิดเห็นที่ 90 คุณ : jonathan w.  ที่เขียนมาก็ดีนี่คะ ได้ความรู้เรื่องน้ำเสียแถมด้วย     คุณเลื้อย โมทนากับกุศลจิตและธรรมที่แสดงไว้ค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:33:30

ความคิดเห็นที่ 91 รอฟังเรื่องพระพายค่ะ ว่าแต่ ต้องรออ่านในกระทู้ต่อไปรึเปล่าน๊า! :-) จากคุณ : วิเศษน้อย เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 19:23:10

ความคิดเห็นที่ 92 โห..นี่รออยู่เลยน่ะเนี่ย มีคนขอจัดไปค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 19:25:04