|
แท้ที่จริงแล้ว พระท่านไม่ได้ให้พร แต่ท่านให้ธรรมะไปปฏิบัติต่างหากล่ะครับ
"อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัํฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง"
ธรรมะ -สภาวะที่เกิดขึ้น ทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ จะเจริญ(ปรากฏ) แก่ผู้มีปกติไหว้กราบ และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์เท่านั้น
ข้อนี้หมายความว่า ผู้ใดจะมีอายุยืน มีการได้รับความยกย่อง (วรรณะ แปลว่าผิวพรรณก็ได้ แปลว่าการยกย่องก็ได้) มีความสุข และมีกำลังกายแข็งแรง ก็ต้องเป็นผู้อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ มีปกติประพฤติไม่จองหองพองขน มีความเคารพต่อผู้อื่น
สังเกตดูก็ได้ว่า คนที่ชอบทำตัวกร่างเป็นนักเลง ทำตัวยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น ไม่ค่อยมีใครอายุยืนหรอก ส่วนมากจะถูกกระทืบตาย หรือไม่ก็โดนลูกน้องทรยศเอา
ส่วนที่ว่าจะมาเลือกหรือไม่เลือกนั้นไม่เกี่ยวเลย แท้จริงสภาวะธรรมทั้ง ๔ ประการนั้น เกิดขึ้นโดยลำดับของตัวมันเอง คือ คนต้องมีอายุยืนเสียก่อน จึงจะเป็นผู้ได้ประสบธรรมข้ออื่นๆ คือ ได้รับการยกย่องด้วย ได้รับความสุขด้วย มีกำลังกายแข็งแรงด้วย
อีกประการหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า "พร" นั้น แท้จริงความเข้าใจของคนไทย ก็ไม่ได้ถูกต้องตามความหมายเดิมของภาษาบาลี
คำว่า พร แต่เดิมหมายถึง การที่ผู้มีกำลังอำนาจ ความสามารถ ไ้ด้มอบโอกาส ในการขออะไรซักอย่าง แก่ผู้อื่น หรือมีผู้ที่มาขออะไรซัีกอย่างแก่ผู้มีอำนาจ แล้วผู้นั้นสามารถให้สิ่งนั้นๆได้ การให้ในสิ่งนั้น ๆ ตามที่ขอนั่นแหละ เรียกว่า "ให้พร"
เช่น
- พระพุทธเจ้า ทรงให้ "พร" แก่พระอานนท์ ๘ ประการ ตามที่พระอานนท์ขอไว้ว่า ถ้าหากไม่ได้รับพรตามนี้ จะขอไม่รับหน้าที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
- พระราชา ทรงให้"พร" แก่พระมเหสี ในการขอราชสมบัติให้พระโอรส
การให้พรนั้น หมายถึง การให้สิ่งต่าง ๆ ที่เรามี แก่ผู้อื่น หรือสิ่งที่เราให้แก่ผู้อื่นได้ ตามที่เขาขอ
ดังนั้น พระสงฆ์ "ให้พร" คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นต้นนั้น แก่ญาติโยม "ไม่ได้" ท่านให้ได้แต่เพียงคำแสดงความปรารถนาดีในทางเมตตา และการให้ธรรมะแก่ญาติโยม เพื่อนำไปปฏิบัติ
โดยแท้จริงแล้วพระสงฆ์เอง เวลาที่ท่านสวดบทอนุโมทนาทานของผู้เป็นทายก ทายิกา ท่านก็ "ไม่เคยให้พร" แต่กล่าวเนื้อหาธรรมะที่เป็นไปตามกฏธรรมชาติ เช่น "โยมทำุบุญอย่างนั้น ก็ย่อมได้อย่างนั้น ฯลฯ " เป็นเรื่องการบอกความเป็นจริงตามกฏธรรมชาติ ไม่ใช่ให้ "พร" แก่ใคร
อนึ่ง ถ้าพระสงฆ์รูปใด จะให้ "พร" แก่ใคร ท่านเองก็ต้องรู้ว่า ท่านต้องมีอำนาจและกำลังจะให้ แก่คน ๆ นั้นได้ ไม่ใช่ให้ "พร" จนทั่วไปหมด แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นผลตามที่ให้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับท่านกำลังโกหกญาติโยมนั่นเอง ยิ่งถ้ากำลังให้พรแบบที่เป็นผลอนาคตที่ต้องมีกำลังญาณเป็นพิเศษ ถึงจะไปตามรู้ได้ เช่นว่า
- โยมทำบุญนี้แล้ว โยมจะมีความสุข มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน
- โยมสร้างพระประจำตัวแล้ว โยมจะได้เป็นมหาเศรษฐีในอนาคตกาล ถ้าหากไปเกิดในสวรรค์ ก็จะไปเกิดในดาวดึงส์, ดุสิต, นิมมานรดี ฯลฯ
ถ้าพูดอย่างนี้ พระสงฆ์ที่กำลังให้ "พร" รูปนั้น ก็กำลังโกหกคำโต และเสี่ยงต่อการอวดอุตตริมนุสสธรรม เป็นปาราชิกสิกขาบท ขาดจากความเป็นพระ
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 10:30:16
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 10:25:16
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 10:21:57
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 10:21:17
จากคุณ |
:
chohokun
|
เขียนเมื่อ |
:
วันลอยกระทง 54 10:20:35
|
|
|
|
|